จากเมืองโหย่วถิง ขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระของตระกูลซู ต้องใช้เวลาเดินทางนานนับเดือน กว่าจะถึงเมืองหลวงของแคว้นต้าโจว ระหว่างทางซูเยว่ซินได้พบกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย แต่ทว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เหมือนกับในชีวิตก่อนของนางแทบจะไม่มีผิดเพี้ยน เช่นรถม้าของจวนที่พวกสาวรับใช้โดยสารมา ล้อเกิดพังระหว่างทางจนเสีย หรือมีเหตุการณ์โจรป่าดักปล้นพวกพ่อค้า
ท่านพ่อและพี่ชายของนาง ได้ออกหน้าช่วยเหลือพวกพ่อค้าที่ถูกปล้น นำเหล่าทหารกล้าของตระกูลซูที่ติดตามขบวนมาด้วย จัดการปราบปรามกลุ่มโจรจนพวกมันไม่กล้าที่จะกลับมาก่อเหตุไปนานอีกหลายปี และระหว่างทางก่อนที่จะถึงเมืองหลวง ท่านแม่ของนางและสาวรับใช้อาวุโสบางคน ก็พากันเจ็บป่วยด้วยโรคไข้ป่า ดีที่นางเตรียมยารักษามาด้วย เพราะนางรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ทำให้ทั้งท่านแม่ และสาวรับใช้อาวุโส รอดพ้นจากปากประตูผีมาได้ ผิดกับชีวิตก่อนที่กว่าจะถึงเมืองหลวง ท่านแม่ของนางก็ต้องเสียสาวรับใช้อาวุโสไปถึงสองคน
“หากไม่ได้ซินเอ๋อร์ที่เตรียมยามาด้วย มีหวังแม่กับพวกสาวรับใช้อาวุโสเหล่านี้ คงไม่มีชีวิตรอดไปถึงเมืองหลวงแล้วเป็นแน่”
ซูฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงภูมิใจ บุตรสาวของนางนั้นช่างรอบคอบยิ่งนัก สิ่งที่นางคิดไม่ถึงบุตรสาวของนางนั้นมักจะเตรียมเอาไว้อยู่เสมอ เห็นท่านางคงจะดูเบาบุตรสาวไม่ได้เสียแล้ว การที่ซูเยว่ซินไปอยู่ในค่ายทหารมานานถึงสามปี คงจะไม่ใช่เรื่องที่ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ คุณหนูรองช่างเป็นเด็กที่มองการณ์ไกลยิ่งนัก บ่าวเองยังไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าพวกเราจะได้มาเจอกับโรคภัยไข้เจ็บระหว่างทางเยี่ยงนี้ได้” ป้ากุย สาวใช้อาวุโสที่คอยรับใช้ข้างกายซูฮูหยิน แสดงความชื่นชมคุณหนูรองออกมาเช่นกัน
เป็นเพราะพวกสาวรับใช้ของตระกูลซู ต่างก็ไม่เคยมีผู้ใดที่ต้องออกเดินทางไกลเช่นนี้มาก่อน จึงไม่มีผู้ใดที่คิดว่าจะได้เจอกับเหตุการณ์เลวร้ายเช่นโรคไข้ป่าได้ ทว่าคุณหนูรองที่ไปอยู่ในค่ายทหารกับนายท่านและคุณชายใหญ่มานานเกือบสามปี กลับตระหนักได้ถึงเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมายเหล่านี้
“เดินทางไกล ไร้โรงหมอ ข้าย่อมมิอาจมองข้ามได้อยู่แล้วเจ้าค่ะท่านแม่ ป้ากุย" ซูเยว่ซินกล่าวออกมาด้วยท่าทีขัดเขิน
ชีวิตก่อนนางนั้นมักจะเมินเฉยต่อผู้คนรอบกาย นางจำได้ว่าในชีวิตก่อนเวลานี้ท่านแม่ของนางป่วยหนักจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ดีที่ท่านพ่อสั่งให้บ่าวรับใช้คนสนิทห้อม้าไปรับท่านหมอมาจากเมืองโหย่วติงซึ่งเป็นเมืองผ่านพอดี เสียเวลาไปไม่น้อยกว่าอาการของท่านแม่จะดีขึ้น แต่ทว่าก็มีสาวรับใช้อาวุโสถึงสองคน ที่ต้องมาสิ้นใจไปเพราะพิษไข้เล่นงาน ถูกฝังเอาไว้กลางทาง ก่อนที่จะเดินทางไปถึงจวนหลังใหม่เสียด้วยซ้ำ ทว่าชีวิตนี้เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นนั้นได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ซูเยว่ซินลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ
หลังจากซูฮูหยินและสาวรับใช้อาวุโสรักษาตัวจนมีอาการดีขึ้นแล้ว ขบวนรถม้ากับเกวียนสัมภาระของตระกูลซูจึงเคลื่อนขบวนกันต่อ และไม่ถึงสิบวันขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระของตระกูลซูก็ได้เดินทางเข้าสู่เขตเมืองหลวง ผู้คนสัญจรขวักไขว่ตลอดสองข้างทาง ต่างพากันมองมายังขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระของตระกูลซูกันอย่างสนอกสนใจ บ้างก็จับกลุ่มซุบซิบกัน บ้างก็ชี้ไม้ชี้มือชักชวนให้คนข้างกายมองมาเช่นกัน
ซูเยว่ซินมองผ่านผ้าม่านบนรถม้าออกไปก็เห็นเป็นภาพที่ชินตา ภาพเช่นนี้นางเคยพบเห็นมาแล้วในชีวิตก่อนนี้ เพราะเมืองหลวงนั้นเป็นสถานที่ที่มีความเจริญรุ่งเรือง ย่อมมีชาวเมืองอาศัยอยู่มากกว่าที่ใด ครั้นมีเรื่องราวแปลกตาย่อมเป็นจุดสนใจของผู้คน
“คุณหนูรอง ท่านดูนั่นสิเจ้าคะ”
ชิงหลวนรีบชักชวนให้คุณหนูรองของนางมองออกไปยังนอกรถม้า ที่มีร้านค้าข้างทางตั้งกันเรียงราย มีทั้งขายอาหาร เครื่องประดับ ขนม หรือแม้แต่เสื้อผ้าอาภรณ์ล้วนมีให้เลือกซื้ออย่างมากมาย ซูเยว่ซินยกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อยพลางกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“ก็ที่นี่คือเมืองหลวงของแคว้นต้าโจว ย่อมมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ชาวเมืองต้องการซื้อหากันอยู่แล้ว”
เมืองโหย่วถิงที่นางจากมานั้นเป็นเมืองที่อยู่ติดชายแดน อีกทั้งยังเกิดสงครามอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้ความเจริญรุ่งเรืองเทียบไม่ได้กับเมืองหลวงแห่งนี้ สาวรับใช้ของนางเกิดและเติบโตที่เมืองนั้น ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะรู้สึกตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งที่เพิ่งจะเคยเห็น ทว่าสำหรับนางที่เคยได้มาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้นานเกือบสี่ปี ความตื่นเต้นยินดีจึงน้อยกว่าสาวรับใช้คนสนิท
ชิงหลวนรู้สึกประหลาดใจในท่าทีและความสุขุมของคุณหนูรอง ครั้นนึกไปว่าคุณหนูรองของนางนั้น เคยใช้ชีวิตที่ผ่านความเป็นความตายในสนามรบมาแล้ว สิ่งเหล่านี้คงจะไม่นับว่าน่าสนใจอันใด ชิงหลวนนึกเห็นใจที่คุณหนูรองของนางใช้ชีวิตที่แตกต่างจากคุณหนูจวนอื่นที่อยู่ในวัยเดียวกัน ที่ต่างรักสวยรักงาม ชอบแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่เอี่ยม และชื่นชอบในเครื่องประดับ หากจะให้คุณหนูรองของนางเลือกระหว่างเครื่องประดับงามๆ สักอัน กับดาบคมๆ สักเล่ม นางคิดว่าคงจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า ในขณะที่ชิงหลวนกำลังคิดไปอีกอย่าง ซูเยว่ซินก็คิดไปอีกอย่าง
อีกไม่นานก็จะได้พบกันแล้ว การได้พบกับสตรีผู้นั้นต่างหาก ถึงจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับซูเยว่ซิน เพราะนางเฝ้านับวันคืนที่จะได้พบกับหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นมานานถึงสามปี และแล้ววันที่นางรอคอยก็ใกล้เข้ามาทุกที ทว่าก่อนที่นางจะได้พบกับหลูเจียงหลี นางจะได้พบกับคุณชายใหญ่สกุลกู้ก่อน และนั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขามีใจให้นาง ชีวิตก่อนเขาต้องมาตายเพราะความโลภของน้องชายต่างมารดาผู้นั้น ชีวิตนี้นางจึงอยากที่จะปกป้องเขา และตอบแทนในไมตรีที่เขาเคยมอบให้
ขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระที่มีทหารนับห้าสิบติดตามมาด้วย ย่อมเป็นที่สะดุดตาของชาวเมือง ทว่าข่าวเรื่องที่ท่านแม่ทัพซู ได้ย้ายมาประจำการอยู่ที่ค่ายทหารประจำเมืองหลวง ย่อมถูกกล่าวถึงก่อนที่เขาจะเดินทางมาถึงอยู่แล้ว การมาถึงของเขาและเหล่าทหารจึงไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าตระหนกตกใจอันใดสำหรับชาวเมืองมากนัก ซ้ำยังได้รับการต้อนรับจากพวกชาวเมืองอย่างอบอุ่นอีกด้วย
ในที่สุดรถม้าที่ซูเยว่ซินโดยสารมานานนับเดือน ก็หยุดนิ่งลงจริงๆ เสียที หน้าประตูจวนหลังใหญ่ติดป้ายตระกูลซูเอาไว้อย่างสมเกียรติ เป็นป้ายที่มีตัวอักษรสีทอง ซึ่งได้รับพระราชทานมาจากฝ่าบาท แสดงให้เห็นว่าตระกูลซูได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทถึงเพียงใด นอกจากมอบจวนพระราชทานให้แล้ว ยังมอบป้ายตระกูลพระราชทานให้อีกด้วย นับเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลซูยิ่ง หลังจากนี้มีหวังประตูจวนคงต้องเปิดอ้าเอาไว้เพื่อรับแขกไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่
“พ่อกับแม่จะอยู่ที่เรือนซูอี้ คงเอ๋อร์…อยู่ที่เรือนซูเอ้อร์ และลูกซินเอ๋อร์ เจ้าไปอยู่ที่เรือนซูซาน สาวรับใช้จากเรือนเดิมของพวกเจ้า ให้เพิ่มเข้าไปอีกเรือนละสิบคน” ท่านแม่ทัพซูแจกแจงเรือนสำหรับเข้าพำนักให้ตัวเขากับภรรยา บุตรชายและบุตรสาวตามลำดับ รวมไปถึงจำนวนสาวรับใช้ และบ่าวแรงงานที่จะคอยดูแลรับใช้เจ้านายของเรือนต่างๆ ด้วย
ทุกคนต่างก็ไม่คัดค้านอันใด ซูเยว่ซินมองไปรอบๆ จวนหลังนี้ก็รู้สึกว่า ฝ่าบาททรงเห็นความสำคัญของตระกูลซูยิ่งนัก คงเพราะเห็นว่าเป็นตระกูลแม่ทัพ ที่สร้างคุณงามความดีให้แก่แผ่นดิน จึงได้รับพระเมตตามากกว่าผู้ใด จวนแห่งนี้นับว่าฮวงจุ้ยดีมากทีเดียว ด้านหน้ามีน้ำตกจำลองขนาดกลางๆ
เสียงน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาหินจำลอง กระทบผิวน้ำดังซ่าๆ ปลานานาพันธุ์แหวกว่ายไปมามองแล้วให้ความรู้สึกเพลิดเพลิน ทว่าความรู้สึกของซูเยว่ซินในยามนี้นั้นต่างจากชีวิตก่อนนัก มันไร้ความตื่นเต้นดีใจ อาจจะเป็นเพราะนางเคยได้อาศัยอยู่ในจวนหลังนี้มาในชีวิตก่อนแล้ว จึงทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่าง
“คุณหนูรองเจ้าคะ พวกบ่าวที่ดูแลเรือนทำความสะอาดเรือนซูซานเอาไว้ก่อนที่พวกเราจะเดินทางมาถึงแล้ว คุณหนูอยากจะเข้าไปพักผ่อนที่เรือนก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
ชิงหลวนถามคุณหนูรองออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น ช่วยดึงสติของซูเยว่ซินที่เอาแต่จ้องมองปลาในน้ำราวกับตกอยู่ในภวังค์ นางหันมาตอบสาวรับใช้คนสนิท
“ก็ดีเหมือนกัน ชิงหลวน…เจ้าเองก็ไปพักผ่อนก่อนเถิด ให้ชิงหลัวกับชิงหรงคอยอยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้าก็พอ”
ยามนี้นางได้สาวรับใช้ที่คอยติดตามมาเพิ่มอีกสองคน เป็นเด็กหญิงวัยสิบสามย่างสิบปีที่มีใบหน้าจิ้มลิ้ม เกลี้ยงเกลา เพราะเป็นบุตรหลานของอดีตขุนนางต้องโทษ ถูกลดบรรดาศักดิ์ให้มาเป็นชนชั้นทาส เท่าที่ซูเยว่ซินจำได้ ในชีวิตก่อนของนางนั้น ไม่ได้พาสาวรับใช้ทั้งสองติดตามออกเรือนไปด้วย ทำให้ทั้งสองคนไม่ได้พบกับจุดจบเช่นเดียวกับชิงหลวน ที่ต้องมาตายเพราะปกป้องผู้เป็นนายที่โง่เขลาเช่นนาง
เรือนซูซานที่บิดามอบให้นางใช้เป็นเรือนพักส่วนตัวนั้นเป็นเรือนขนาดกลาง มีห้องหับสำหรับผู้เป็นเจ้านายและสาวรับใช้ข้างกาย มีห้องอาบน้ำ ห้องเก็บตำรา ห้องรับรองผู้มาเยือนแยกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน และแน่นอนว่าซูเยว่ซินนั้นเคยชินกับเรือนหลังนี้เป็นอย่างดี เพราะในชีวิตก่อนนางเองก็ได้พำนักอยู่ในเรือนหลังนี้นานถึงสองปี ก่อนที่นางจะออกเรือนไป
ร่างระหงเดินตรงไปยังห้องนอนอย่างลืมตน ท่ามกลางสายตางุนงงของสองสาวรับใช้ที่เพิ่งได้รับมาใหม่จากบิดา พวกนางอยู่ที่นี่มาก่อนหลายเดือน คอยดูแลจวนหลังนี้มาก่อนที่ตระกูลซูจะได้เข้ามาครอบครองเสียอีก ทว่าพวกนางยังมิอาจจดจำห้องหับได้ทั้งหมด เพราะจวนหลังนี้นั้นมีพื้นที่กว้างขวาง และมีเรือนอยู่หลายเรือน แต่เหตุใดคุณหนูรองสกุลซูที่เพิ่งจะเดินทางมาถึงจวนหลังนี้ได้ไม่นาน ถึงได้เดินเข้าห้องนอนของนางไปได้อย่างถูกทิศทาง
“พวกเจ้าทั้งสองหาสิ่งใดทำอยู่แถวนี้ก่อนเถิด ข้าจะเข้าไปนอนกลางวันสักพัก”
ก่อนที่นางจะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอน ซูเยว่ซินชะงักเท้าแล้วหันกลับมาสั่งสาวรับใช้ทั้งสอง ทั้งชิงหลัวและชิงหรงต่างพากันคำนับรับคำสั่งของนางอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ริมฝีปากบางจึงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา จากนั้นร่างระหงจึงเดินเข้าไปภายในห้องนอน
“เหตุใดคุณหนูรองนางถึงได้รู้ว่า ที่นี่คือห้องนอนของเรือนหลังนี้ได้เล่า นางเพิ่งจะมาถึงจวนเองมิใช่หรอกหรือ” ชิงหรงเอ่ยออกมาด้วยความประหลาดใจ
“นั่นสิ…หรือแม้แต่จวนแม่ทัพที่เมืองโหย่วถิงก็เป็นเช่นนี้”
ชิงหลัวเห็นด้วย ทว่ากลับคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเรือนหลังนี้ไม่ต่างไปจากเรือนเดิมของเจ้านายคนใหม่ สองสาวรับใช้ขจัดความประหลาดใจออกไป ก่อนที่จะออกไปหาสิ่งใดทำ เพื่อรอเวลาให้คุณหนูรองตื่นมาก่อนมื้ออาหารเย็น
วันนี้ครอบครัวกินมื้อเย็นอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากัน ตลาดของเมืองหลวงอยู่ไม่ไกลจากจวนหลังนี้มากนัก ทำให้แม่บ้านและสาวรับใช้ของจวน สามารถออกไปหาซื้อวัตถุดิบมาเตรียมอาหารให้แก่ท่านแม่ทัพ ฮูหยิน คุณชายใหญ่และคุณหนูรองได้ไม่ยาก แม้มื้อนี้จะเป็นอาหารที่สุดแสนจะเรียบง่าย แต่ทว่ากลับมิมีผู้ใดปริปากบ่น อาจจะเป็นเพราะนี่คืออาหารมื้อแรกในจวนหลังใหม่ก็เป็นได้
และข่าวที่ท่านแม่ทัพพร้อมทั้งครอบครัว เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ได้แพร่สะพัดออกไป แน่นอนว่าย่อมมีเหล่าขุนนาง และพ่อค้าจากหลากหลายตระกูลในเมืองหลวง ที่อยากจะมาผูกไมตรีกับจวนแม่ทัพ จึงได้พากันส่งของกำนัลต้อนรับมาให้ท่านแม่ทัพซูไม่ขาดสาย บ้างก็ส่งเทียบขอมาเยี่ยมเยือน บ้างก็ส่งเทียบเชิญซูฮูหยินให้ออกไปชื่นชมงานเลี้ยงต่างๆ ที่บรรดาฮูหยินของจวนนั้นๆ เป็นผู้จัดงาน เพื่ออยากทำความรู้จักและผูกไมตรีกับสตรีเรือนหลังเอาไว้
ทว่าเดิมทีซูฮูหยินนั้นหาใช่คนที่ชื่นชอบการพบปะผู้คนไม่ นางจึงเลือกที่จะปฏิเสธไป โดยให้เหตุผลว่านางเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง อีกทั้งธุระงานเรือนก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง และอีกห้าวันหลังจากนี้ ที่จวนยังจะต้องจัดเตรียมพิธีปักปิ่นให้แก่บุตรีอีก จึงขอรับไมตรีเหล่านั้นเอาไว้ด้วยใจก็พอ หากมีโอกาสคราหน้านางย่อมไปร่วมงานอย่างแน่นอน
ทำให้ฮูหยินเหล่านั้นพากันยอมถอยไปเอง เพราะต่างคิดดูแล้วพวกนางก็ค่อนข้างที่จะเสียมารยาท ในเมื่อตระกูลแม่ทัพเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองหลวง พวกตนก็เสนอหน้าเข้าไปประจบประแจงเสียแล้ว แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเกิดจากผู้เป็นสามีของพวกนางทั้งนั้น ผู้ที่มีอำนาจในมือไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก ผู้ใดบ้างที่ไม่อยากจะขอพึ่งพาบารมี
เหตุการณ์เหล่านี้ซูเยว่ซินล้วนรู้อยู่ก่อนแล้ว นางหาได้สนใจบรรดาฮูหยินจากสกุลต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่อยากเข้ามาผูกไมตรีกับมารดา เพียงอำนาจของบิดาและพี่ชายของนางไม่ ทว่าสิ่งที่นางสนใจคืองานเทศกาลชมดอกเบญจมาศที่จวนสกุลกู้จะจัดขึ้นหลังจากพิธีปักปิ่นของนางมากกว่า เพราะที่นั่นเป็นสถานที่ที่นางจะได้พบกับผู้คนที่ทั้งดีและไม่ดีกับนางในอดีต
“ท่านแม่เจ้าคะ หลังผ่านพิธีปักปิ่นของข้าไปแล้ว ข้าว่าพวกเราตอบรับเทียบเชิญ ไปร่วมงานเลี้ยงของจวนอื่นกันสักสองสามจวนเถิดเจ้าค่ะ อย่างน้อยการที่เราเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง จำเป็นต้องผูกไมตรีกับสตรีจวนอื่นเอาไว้บ้างย่อมเป็นเรื่องที่ดี”
นางไม่อยากให้มารดาต้องถูกฮูหยินตระกูลอื่นดูแคลน และถูกพวกนางเหล่านั้นทอดทิ้งให้โดดเดี่ยว ในยามที่ได้พบเจอกับปัญหา เฉกเช่นในชีวิตก่อนที่มารดาไร้ที่พึ่งพาทางใจ เพราะนางออกเรือนไปแล้ว ก็หาได้กลับมาเยือนสกุลเดิมบ่อยๆ ได้ ในชีวิตก่อนมีเพียงฮูหยินใหญ่สกุลกู้เท่านั้น ที่ท่านแม่ของนางคบหาและมีไมตรีด้วย
ทว่าอีกฝ่ายกลับต้องมาด่วนจากไปเสียก่อน หลังจากนางแต่งเข้าตระกูลกู้ไปเพียงแค่สามเดือน นางรู้ดีว่าฮูหยินใหญ่สกุลกู้นั้นเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจดีมากเพียงใด พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว การจากไปของจางซินอี๋ หรือกู้ฮูหยินในยามนั้น อาจจะเป็นฝีมือของแม่สามีของนางในชีวิตก่อนก็เป็นได้ เพราะแม่ร้ายฉันใด ลูกย่อมร้ายไม่ต่างกัน
“ถ้าเช่นนั้น…แม่ให้เจ้าเลือกดีหรือไม่ ว่าเจ้าอยากจะไปงานของตระกูลใดบ้าง”
การตัดสินใจของซูฮูหยินเข้าทางซูเยว่ซินทันที ชีวิตก่อนนางไม่เคยที่จะแสดงความเห็นออกมาเยี่ยงนี้ แต่ทว่ามารดาก็ยังตัดสินใจเลือกไปงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศของจวนตระกูลกู้ด้วยตัวนางเองอยู่ดี ทว่าครานี้นางเป็นคนเลือกโชคชะตานี้ด้วยตนเอง ซูเยว่ซินฉีกยิ้มออกมาเพียงเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหยิบเอาเทียบเชิญมากมายก่ายกองที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเลือก สุดท้ายนางก็ส่งเทียบเชิญที่นางเลือกไปให้แก่มารดา
มีงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศของจวนสกุลกู้ และมีงานชมบุปผาที่จวนสกุลเจียง สองเทียบเชิญเท่านั้นที่นางเลือกให้แก่มารดา ทั้งสองตระกูลล้วนแล้วแต่มีฮูหยินใหญ่ที่เป็นสตรีที่ดี น่าคบหาด้วยทั้งสิ้น ชีวิตนี้นางไม่เพียงแค่จะช่วยให้คนที่นางรักไม่ต้องตายไปก่อนวัยอันควร นางยังมีความคิดที่จะช่วยเหลือมารดาของกู้มู่เฉินให้อยู่รอดปลอดภัยด้วยอีกคน
ซูฮูหยินเงยหน้ามองบุตรสาวแล้วส่งยิ้มจางๆ ออกมา นางได้ให้คนไปลองสืบดูมาแล้ว สตรีจากสองตระกูลนี้น่าคบหาอยู่ไม่น้อย อีกทั้งท่านผู้เฒ่าตระกูลจาง ซึ่งเป็นบิดาของกู้ฮูหยิน ก็ยังนับว่าเป็นสหายเก่าของท่านพ่อของนางที่ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย แสดงว่าบุตรสาวของนาง ก็คงจะมีสายตากว้างไกล หาใช่เด็กที่นางจะดูเบาได้
สองแม่ลูกนั่งสนทนากันอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ซูเยว่ซินจะเอ่ยขอตัว…อีกไม่กี่วันก็จะถึงพิธีปักปิ่นของนางแล้ว และหลังจากนั้นอีกเจ็ดวัน นางก็จะได้พบกับคนที่นางรอคอย นางเดินออกจากเรือนใหญ่ไป พลันใบหน้างามกลับปรากฏรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา โดยที่ไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกตเห็น
จวนแม่ทัพที่แต่ก่อนนี้เคยเป็นจวนว่างเปล่า ทว่ายามนี้กลับคึกคักขึ้นมา เพราะว่าเจ้าของจวนคนใหม่นั้นมากด้วยบารมี ผู้คนต่างอยากที่จะเข้าหา เพื่อมาผูกมิตรกับเขา ทำให้ฮูหยินและลูกๆ ของเขา พลอยได้รับไมตรีไปด้วย ยามนี้ซูเยว่ซินรู้ดี ว่าทุกคนที่เข้ามาล้วนแล้วแต่ก็มีเป้าหมาย ผู้ใดบ้างหว่านพืชจะไม่หวังผล ค้าขายจะไม่หวังกำไร ขุนนางเหล่านี้เองก็เช่นกัน ชีวิตก่อนนางไร้เดียงสาและซื่อเซ่อจนเกินไป ทำให้ตามคนไม่ทัน ไม่เคยคิดว่าคนที่เข้ามานั้นจะหวังผลประโยชน์อันใดจากนาง ทว่าในชีวิตนี้นางมิใช่สตรีที่เคยซื่อเซ่อ และไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนเหล่านี้อีกแล้ว“บุตรีของท่านจะเข้าวัยปักปิ่นแล้วกระมัง”ใต้เท้าจ้ง เจ้ากรมการกลาโหมที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนท่านแม่ทัพซูเอ่ยถามออกมา เขามีบุตรชายคนรองในวัยไล่เลี่ยกันกับบุตรชายคนโตของท่านแม่ทัพ ทำให้เขานึกสนใจในตัวของบุตรีคนรองของท่านแม่ทัพขึ้นมา หากได้เกี่ยวดองกันจะดีเพียงใด“อีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้ากับฮูหยินก็จะจัดพิธีปักปิ่นให้นางแล้วขอรับ” ท่านแม่ทัพซูหารู้ไม่ ว่าท่านใต้เท้าจ้งนั้น แอบหมายตาบุตรีของเขาเอาไว้ให้บุตรชายคนรองของตน เขาจึงตอบออกมาตามความจริง“โอ้…ดีจริง หา
เช้าวันต่อมาซูเยว่ซินขออนุญาตมารดาออกไปเที่ยวที่ตลาดตวนอี เพราะอยากจะหาซื้อของกำนัลให้แก่กู้ฮูหยินในวันงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศ ที่ตระกูลของนางได้รับเทียบเชิญให้ไปเข้าร่วม งานนี้จะเป็นงานแรกที่ครอบครัวของนางจะได้พบปะบรรดาขุนนางและฮูหยินของขุนนางเหล่านั้นเพื่อเป็นการผูกไมตรี ซูฮูหยินเห็นดีเห็นงามที่บุตรสาวจะออกไปหาเลือกซื้อของกำนัล จึงมอบเงินให้แก่บุตรสาวไป และกำชับสาวรับใช้คนสนิทของซูเยว่ซิน ว่าให้พวกนางดูแลคุณหนูรองให้ดี ทั้งนายทั้งบ่าวรวมสี่คน จึงนั่งรถม้าออกจากจวนตระกูลซูไปในปลายยามเซินออกจากจวนมาได้ไม่นานเท่าใดนัก รถม้าก็หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมเซียงซี สตรีทั้งสี่ลงมาจากรถม้าตามลำดับ ซูเยว่ซินก็ไม่ถามไถ่ผู้ใดให้มากความ นางเดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับชิวจี้ทันที สาวรับใช้ทั้งสามติดตามคุณหนูรองไปไม่ห่าง หญิงสาววัยแรกแย้มที่มีรูปโฉมงดงาม แต่งกายด้วยเป้ยจึสีชมพู ชายผ้าปลิวสไวยามที่นางเยื้องย่าง ทำให้ผู้คนที่กำลังผ่านไปผ่านมา อดที่จะเหลียวมองนางอย่างชื่นชมไม่ได้ และทุกย่างก้าวของนาง ตกอยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งจิบชาอยู่บนหอจิ่วซา เขามองตามนางไปด้วยแววตาสนใจ“คุณชายให
หกวันหลังจากที่ซูเยว่ซินได้พบกับสองพี่น้องตระกูลกู้ที่ตลาดตวนอี เทศกาลชมดอกเบญจมาศประจำปีของเมืองหลวงก็เวียนมาถึง จวนใหญ่ๆ ต่างจัดงานชมดอกเบญจมาศอย่างไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด จวนสกุลกู้เองก็เช่นกัน มีเพียงสองแม่ลูกที่กำลังนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ภายในเรือนของตน เพราะเป็นอนุภรรยาและบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปร่วมงาน กู้อี้เหวินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้ ที่จะป่ายปีนขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูง“เหวินเอ๋อร์… เรื่องที่แม่บอกเจ้า เจ้านำไปบอกแม่นางสกุลหลูแล้วหรือยัง” อนุซิน หรือซินอี้ถงเอ่ยถามบุตรชายออกมา สายตาก็หาได้ละจากผ้าในมือไม่“บอกแล้วขอรับท่านแม่ เรื่องนั้นท่านโปรดจงวางใจ” เสียงทุ้มนุ่มฟังแล้วรื่นหูดังออกมาจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกัน“แล้วเจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไรว่าแม่นางหลูผู้นั้นจะยอมทำตาม” อนุซินยังคงไม่ไว้ใจสตรีของบุตรชาย เพราะเรื่องนี้หากผิดพลาดมีแต่สตรีผู้นั้นที่ต้องเป็นฝ่ายอับอาย“สตรีผู้นั้นลุ่มหลงในหน้าตาและคำหวานของลูกจะตายไป นางย่อมทำตามสิ่งท
“คารวะคุณหนูใหญ่เจียง คุณหนูรองกู้ เอ่อ…แม่นางใช่คุณหนูรองจวนแม่ทัพใช่หรือไม่เจ้าคะ”หลูเจียงหลีที่มาร่วมงานในวันนี้เช่นกันคำนับสตรีทั้งสามพร้อมทั้งกล่าวทักทายออกมา รอยยิ้มเสแสร้งไม่จริงใจที่นางแสดงออกมาทำให้ซูเยว่ซินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงได้มองอีกฝ่ายไม่ออกกัน หรือจะเป็นเพราะนางเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ“ตามสบายเถิดแม่นางหลู ใช่แล้วนี่คือพี่หญิงซู คุณหนูรองสกุลซู ตระกูลแม่ทัพที่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำการในเมืองหลวงของเรา” กู้มู่หรงกล่าวออกมาอย่างไม่ถือตน นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ค่อยชอบหน้าตนนัก เพราะอีกฝ่ายมีไมตรีกับพี่ชายรอง พี่ชายต่างมารดาของนาง“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” หลูเจียงหลีหันไปผูกมิตรกับคุณหนูรองสกุลซูทันที ทว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นช่างเย็นชายิ่งนัก เพราะสตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง หลูเจียงหลีนึกขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ ทว่ากลับไม่กล้าที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา“ท่านแม่ของพวกข้ารออยู่ เห็นทีต้องขอตัวก่อน” คุณหนูใหญ่สกุลเจียงกล่าวออกมา นางไม่อยากแม้แต่จะพูดคุยกับส
หลังจากเกิดเหตุการณ์อันน่าอับอายที่สาวรับใช้ของหลูเจียงหลีทำงานผิดพลาด ทำให้ตกลงไปในสระน้ำกลางงานเลี้ยงแล้ว หลูเจียงหลีจึงไม่มีหน้าอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ นางหาโอกาสแอบหลบเลี่ยงออกจากงานเลี้ยงไปก่อน เพราะเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ นางจึงสามารถออกมาจากงานเลี้ยงได้อย่างราบรื่น และพยายามขอพบกับคุณชายรองกู้ ทว่าเขากลับส่งบ่าวรับใช้คนสนิทให้มาบอกกับนางว่า‘ทำงานไม่สำเร็จยังหวังอยากจะพบหน้าข้าอยู่อีกหรือ หากอยากให้ข้าอภัยให้เจ้า ก็จงไปตีสนิทคุณหนูรองสกุลซูเสีย พยายามผูกมิตรกับนางให้จงได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก’ คนสนิทของคุณชายรองกู้อี้เหวินกล่าวจบก็รีบหลบออกไปจากบริเวณนั้นทันทีหลูเจียงหลีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่บุรุษที่นางมอบทั้งความรักและภักดีให้ กลับเห็นนางเป็นแค่เพียงหมากตัวหนึ่ง ที่จะช่วยให้เขามีอำนาจขึ้นมา แม้จะต้องใช้วิธีที่ต่ำช้าก็ตาม“เป็นเพราะเจ้า… หากข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสาวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า คอยปรนนิบัติรับใช้ข้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ข้าจะให้ท่านแม่ขายเจ้าออกไปให้หอโคมเขียวเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
หลังจากเดินชมนกชมดอกไม้อยู่นานเกือบหนึ่งก้านธูป ซูเยว่ซินจึงไปคารวะมารดาที่เรือนซูอี้ ยามนี้บิดาและพี่ชายไม่อยู่ที่จวน บิดาออกไปสำนักบัญชาการตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนพี่ชายเข้าไปทำหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงอยู่หลายวันแล้วยังไม่กลับมา ทำให้นางต้องหมั่นแวะเวียนไปหามารดาเพื่อไม่ให้มารดาต้องรู้สึกเหงาใจเฉกเช่นในชีวิตก่อน“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างระหงย่อกายคำนับมารดา ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิงยิ้มแย้มให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ตามสบายเถิดซินเอ๋อร์ ว่าแต่เจ้ากินมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง” ซูเยว่ซินเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วจึงตอบมารดา“กินมาแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”“แม่กำลังเย็บปักลายลงบนผ้าม่าน เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่สักผืนสองผืนเถิด” เพราะไม่อยากให้มารดาเหงา ซูเยว่ซินจึงพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในงานอดิเรกของมารดา“ท่านแม่แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะให้ข้าช่วยปักลวดลายลงบนผ้าม่านจริงๆ คราก่อนที่ข้าปักผ้า ท่านพ่อก็ทักว่าเป็ดของข้าขี้เหร่” ซูฮูหยินกับป้ากุยหัวเราะออกม
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างในค่ำคืนนี้ บ่งบอกให้ได้รู้ว่ายามนี้ถึงเทศกาลชมจันทร์ที่ชาวเมืองต่างเฝ้ารอคอยแล้ว ปีนี้ตลาดตวนอีจัดงานเทศกาลชมจันทร์อย่างครึกครื้น มีทั้งการแสดงจากคณะอุปรากรที่มีชื่อเสียงของโยวโจว และละครหลังม่านจากเจียงซี เพราะยามนี้บ้านเมืองสงบสุข ทำให้ชาวเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข ซูเยว่ซินได้ออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลในค่ำคืนนี้พร้อมกับคุณหนูใหญ่สกุลเจียง ทั้งสองอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจึงไม่ยากที่จะเปิดใจคบหากันอีกทั้งยังเป็นความตั้งใจเดิมของซูเยว่ซินอยู่แล้วด้วย ชีวิตก่อนนางไม่มีมิตรมากมายข้างกาย มีเพียงสตรีผู้นั้นผู้เดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง นางจึงคิดว่านั่นคือมิตรแท้ ทำให้อีกฝ่ายหลอกใช้ความจริงใจของนาง แทงข้างหลังนางราวกับคนโง่ ชีวิตนี้หรือนางจะใช้ชีวิตเช่นเดิม ผู้ใดแสดงความจริงใจออกมา นางก็เปิดใจคบหาได้อย่างไม่ลังเล คุณหนูทั้งสองตระกูลเดินนำหน้าสาวรับใช้ที่ติดตามพวกตนมาเข้าไปภายในตลาดตวนอี ผู้คุ้มกันรอบกายของคุณหนูใหญ่เจียง ก็คอยระแวดระวังภัยให้คุณหนูทั้งสองไม่ห่าง“ซินเอ๋อร์…เจ้าไม่มีพวกผู้คุ้มกันคอยติดตามมาดูแลหรอกหรือ” คำถามนี้เจียงซีหรูเอ่ยถามซูเยว่ซินตั้งแต่อยู่บนรถม้า ระหว่าง
สตรีทั้งสองรีบออกจากงานเทศกาลไป โดยไม่สนใจบรรยากาศอันน่าสนุกสนานภายในงานอีก หลูเจียงหลีอยากเอาอกเอาใจกู้อี้เหวิน เพราะมีเพียงแต่เขาเท่านั้น ที่จะช่วยให้นางใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหลูได้อย่างไม่ยากลำบาก และในภายภาคหน้านางก็อาจจะได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างกายของเขา กลายเป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลกู้ก็เป็นได้รถม้าของตระกูลหลูถูกบังคับขับเคลื่อนให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลกู้ นางให้เถียวเอ๋อร์ลงไปบอกบ่าวผู้คุ้นกันประตูจวน ให้ไปแจ้งคุณชายรองกู้อี้เหวิน ว่าคุณหนูสี่สกุลหลูมาขอพบ พร้อมกับหยิบเงินเพื่อเป็นรางวัลให้อีกฝ่ายไปสองเหวิน บ่าวผู้นั้นจึงรีบเข้าไปรายงานให้คุณชายรองทราบทันที ผ่านไปนานเกือบหนึ่งเค่ออีกฝ่ายจึงกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด“คุณชายรองบอกว่า วันนี้เขาไม่สะดวกที่จะออกมาพบ แต่ว่าวันพรุ่งนี้ยามเซิน ขอเชิญคุณหนูสี่ไปพบคุณชายรองที่โรงเตี๊ยมเซียงซีแทนขอรับ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น หลูเจียงหลีจึงยินยอมที่จะกลับไปแต่โดยดี นางรู้ว่ายามนี้อาจจะเป็นเพราะท่านใต้เท้ากู้นั้นกำลังพำนักอยู่ที่จวน ทำให้กู้อี้เหวินไม่สะดวกที่จะออกมาพบหน้านาง เพราะคุณชายรองกู้ไม่ใช่บุตรในภรรยาเอก อีกทั้งยังสอบไม่ติดร
แขนเรียวเสลาทั้งสองข้างโอบกอดชายหนุ่มเอาไว้ราวกับต้องการปลอบใจ ใบหน้างามเห่อร้อน ใจก็เต้นโครมคราม ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมา มือหนาอีกข้างจับไปที่เรือนผมด้านหลังของหญิงสาว แล้วดึงใบหน้างามให้โน้มลงมา ริมฝีปากของทั้งสองแนบชิดก่อนที่ชายหนุ่มจะอุ้มหญิงสาวตรงไปยังเตียงนอนที่อยู่หลังม่านกั้น สองร่างโรมรันกันอย่างไร้ซึ่งความละอาย ไม่นานนักอาภรณ์ที่สวมใส่ติดกายก็หลุดลุ่ย เสียงครางต่ำของหญิงสาวดังขึ้นมา ยามที่ริมฝีปากหนาจุมพิตไปตามลำคอระหง ชายหนุ่มขบเม้มหนักเบาตามแรงอารมณ์ หญิงสาวเผยสีหน้าเย้ายวนชวนลุ่มหลงออกมาทันทีที่สองร่างสอดประสานกันดั่งฉินเส้อ เสียงครางต่ำก็ดังขึ้นปะปนไปกับเสียงของเตียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าด กว่าเมฆจะเคลื่อน น้ำค้างจะพรมก็ทำเอาทั้งสองร่างพากันไร้เรี่ยวแรงกันเลยทีเดียว ชายหนุ่มถอดถอนตัวตน แล้วผละกายไปนอนแผ่หลาอยู่ข้างกายสตรีงาม เขายอมรับเลยว่าสตรีเช่นหลูเจียงหลีนั้น เหมาะสมยิ่งนักที่จะเป็นสตรีเพื่อให้เขาได้ระบายอารมณ์ ยามนี้ความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายทำงานล้มเหลวซ้ำๆ จึงค่อยๆ บางเบาลงไปหลังจากอาบน้ำและสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงกลับมานั่งคุยกันเช่นเดิม กู้อี้เหวินอารมณ์ดีข
หลังจากที่กลับถึงเรือนซูซานแล้ว สาวรับใช้ก็ยกน้ำเข้ามาให้คุณหนูรองได้ล้างหน้าล้างตา ชิงหลวนทำหน้าที่สางผมให้ซูเยว่ซิน ส่วนชิงหลัวไปเตรียมอาภรณ์สำหรับใส่นอนให้คุณหนูรองเปลี่ยน ชิงหรงจัดเตรียมที่หลับที่นอน ครั้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซูเยว่ซินจึงสั่งให้สาวรับใช้ของนางไปนอนเช่นกัน ชิงหลวนดับไฟจากโคมก่อนที่นางจะออกจากห้องนอนของคุณหนูรองไปเป็นคนสุดท้ายซูเยว่ซินที่แสร้งล้มตัวลงนอนแล้ว กลับมิอาจข่มตานอนให้หลับได้ นางกำลังสับสนและไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใด คุณชายใหญ่กู้มู่เฉิน ถึงได้กล้าแสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ชีวิตก่อนเขาเป็นคนที่มีบุคลิกเคร่งขรึม จนตัวนางเองยังไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งหลังจากที่เขาสูญเสียผู้เป็นมารดาและบิดาในเวลาไล่เลี่ยกัน ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่เย็นชายิ่งขึ้นไปอีก พลันคิดได้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นคือความผิดของผู้ใด ความแค้นที่คับแน่นอยู่ในอกก็ทำให้นางพึมพำออกมา“เจียงหลีผู้โง่เขลา ในเมื่อเจ้าทำงานให้เขาไม่สำเร็จ เจ้าคิดว่าเขาจะยังมีไมตรีต่อเจ้าอยู่อีกหรือ แท้จริงเจ้าก็เป็นสตรีที่โง่งมไม่ต่างไปจากตัวข้าในชีวิตก่อนเลย แต่เป็นเพราะชีวิตก่อนข้าหลงเชื่อ
สตรีทั้งสองรีบออกจากงานเทศกาลไป โดยไม่สนใจบรรยากาศอันน่าสนุกสนานภายในงานอีก หลูเจียงหลีอยากเอาอกเอาใจกู้อี้เหวิน เพราะมีเพียงแต่เขาเท่านั้น ที่จะช่วยให้นางใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหลูได้อย่างไม่ยากลำบาก และในภายภาคหน้านางก็อาจจะได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างกายของเขา กลายเป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลกู้ก็เป็นได้รถม้าของตระกูลหลูถูกบังคับขับเคลื่อนให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลกู้ นางให้เถียวเอ๋อร์ลงไปบอกบ่าวผู้คุ้นกันประตูจวน ให้ไปแจ้งคุณชายรองกู้อี้เหวิน ว่าคุณหนูสี่สกุลหลูมาขอพบ พร้อมกับหยิบเงินเพื่อเป็นรางวัลให้อีกฝ่ายไปสองเหวิน บ่าวผู้นั้นจึงรีบเข้าไปรายงานให้คุณชายรองทราบทันที ผ่านไปนานเกือบหนึ่งเค่ออีกฝ่ายจึงกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด“คุณชายรองบอกว่า วันนี้เขาไม่สะดวกที่จะออกมาพบ แต่ว่าวันพรุ่งนี้ยามเซิน ขอเชิญคุณหนูสี่ไปพบคุณชายรองที่โรงเตี๊ยมเซียงซีแทนขอรับ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น หลูเจียงหลีจึงยินยอมที่จะกลับไปแต่โดยดี นางรู้ว่ายามนี้อาจจะเป็นเพราะท่านใต้เท้ากู้นั้นกำลังพำนักอยู่ที่จวน ทำให้กู้อี้เหวินไม่สะดวกที่จะออกมาพบหน้านาง เพราะคุณชายรองกู้ไม่ใช่บุตรในภรรยาเอก อีกทั้งยังสอบไม่ติดร
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างในค่ำคืนนี้ บ่งบอกให้ได้รู้ว่ายามนี้ถึงเทศกาลชมจันทร์ที่ชาวเมืองต่างเฝ้ารอคอยแล้ว ปีนี้ตลาดตวนอีจัดงานเทศกาลชมจันทร์อย่างครึกครื้น มีทั้งการแสดงจากคณะอุปรากรที่มีชื่อเสียงของโยวโจว และละครหลังม่านจากเจียงซี เพราะยามนี้บ้านเมืองสงบสุข ทำให้ชาวเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข ซูเยว่ซินได้ออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลในค่ำคืนนี้พร้อมกับคุณหนูใหญ่สกุลเจียง ทั้งสองอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจึงไม่ยากที่จะเปิดใจคบหากันอีกทั้งยังเป็นความตั้งใจเดิมของซูเยว่ซินอยู่แล้วด้วย ชีวิตก่อนนางไม่มีมิตรมากมายข้างกาย มีเพียงสตรีผู้นั้นผู้เดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง นางจึงคิดว่านั่นคือมิตรแท้ ทำให้อีกฝ่ายหลอกใช้ความจริงใจของนาง แทงข้างหลังนางราวกับคนโง่ ชีวิตนี้หรือนางจะใช้ชีวิตเช่นเดิม ผู้ใดแสดงความจริงใจออกมา นางก็เปิดใจคบหาได้อย่างไม่ลังเล คุณหนูทั้งสองตระกูลเดินนำหน้าสาวรับใช้ที่ติดตามพวกตนมาเข้าไปภายในตลาดตวนอี ผู้คุ้มกันรอบกายของคุณหนูใหญ่เจียง ก็คอยระแวดระวังภัยให้คุณหนูทั้งสองไม่ห่าง“ซินเอ๋อร์…เจ้าไม่มีพวกผู้คุ้มกันคอยติดตามมาดูแลหรอกหรือ” คำถามนี้เจียงซีหรูเอ่ยถามซูเยว่ซินตั้งแต่อยู่บนรถม้า ระหว่าง
หลังจากเดินชมนกชมดอกไม้อยู่นานเกือบหนึ่งก้านธูป ซูเยว่ซินจึงไปคารวะมารดาที่เรือนซูอี้ ยามนี้บิดาและพี่ชายไม่อยู่ที่จวน บิดาออกไปสำนักบัญชาการตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนพี่ชายเข้าไปทำหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงอยู่หลายวันแล้วยังไม่กลับมา ทำให้นางต้องหมั่นแวะเวียนไปหามารดาเพื่อไม่ให้มารดาต้องรู้สึกเหงาใจเฉกเช่นในชีวิตก่อน“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างระหงย่อกายคำนับมารดา ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิงยิ้มแย้มให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ตามสบายเถิดซินเอ๋อร์ ว่าแต่เจ้ากินมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง” ซูเยว่ซินเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วจึงตอบมารดา“กินมาแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”“แม่กำลังเย็บปักลายลงบนผ้าม่าน เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่สักผืนสองผืนเถิด” เพราะไม่อยากให้มารดาเหงา ซูเยว่ซินจึงพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในงานอดิเรกของมารดา“ท่านแม่แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะให้ข้าช่วยปักลวดลายลงบนผ้าม่านจริงๆ คราก่อนที่ข้าปักผ้า ท่านพ่อก็ทักว่าเป็ดของข้าขี้เหร่” ซูฮูหยินกับป้ากุยหัวเราะออกม
หลังจากเกิดเหตุการณ์อันน่าอับอายที่สาวรับใช้ของหลูเจียงหลีทำงานผิดพลาด ทำให้ตกลงไปในสระน้ำกลางงานเลี้ยงแล้ว หลูเจียงหลีจึงไม่มีหน้าอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ นางหาโอกาสแอบหลบเลี่ยงออกจากงานเลี้ยงไปก่อน เพราะเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ นางจึงสามารถออกมาจากงานเลี้ยงได้อย่างราบรื่น และพยายามขอพบกับคุณชายรองกู้ ทว่าเขากลับส่งบ่าวรับใช้คนสนิทให้มาบอกกับนางว่า‘ทำงานไม่สำเร็จยังหวังอยากจะพบหน้าข้าอยู่อีกหรือ หากอยากให้ข้าอภัยให้เจ้า ก็จงไปตีสนิทคุณหนูรองสกุลซูเสีย พยายามผูกมิตรกับนางให้จงได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก’ คนสนิทของคุณชายรองกู้อี้เหวินกล่าวจบก็รีบหลบออกไปจากบริเวณนั้นทันทีหลูเจียงหลีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่บุรุษที่นางมอบทั้งความรักและภักดีให้ กลับเห็นนางเป็นแค่เพียงหมากตัวหนึ่ง ที่จะช่วยให้เขามีอำนาจขึ้นมา แม้จะต้องใช้วิธีที่ต่ำช้าก็ตาม“เป็นเพราะเจ้า… หากข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสาวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า คอยปรนนิบัติรับใช้ข้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ข้าจะให้ท่านแม่ขายเจ้าออกไปให้หอโคมเขียวเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
“คารวะคุณหนูใหญ่เจียง คุณหนูรองกู้ เอ่อ…แม่นางใช่คุณหนูรองจวนแม่ทัพใช่หรือไม่เจ้าคะ”หลูเจียงหลีที่มาร่วมงานในวันนี้เช่นกันคำนับสตรีทั้งสามพร้อมทั้งกล่าวทักทายออกมา รอยยิ้มเสแสร้งไม่จริงใจที่นางแสดงออกมาทำให้ซูเยว่ซินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงได้มองอีกฝ่ายไม่ออกกัน หรือจะเป็นเพราะนางเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ“ตามสบายเถิดแม่นางหลู ใช่แล้วนี่คือพี่หญิงซู คุณหนูรองสกุลซู ตระกูลแม่ทัพที่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำการในเมืองหลวงของเรา” กู้มู่หรงกล่าวออกมาอย่างไม่ถือตน นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ค่อยชอบหน้าตนนัก เพราะอีกฝ่ายมีไมตรีกับพี่ชายรอง พี่ชายต่างมารดาของนาง“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” หลูเจียงหลีหันไปผูกมิตรกับคุณหนูรองสกุลซูทันที ทว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นช่างเย็นชายิ่งนัก เพราะสตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง หลูเจียงหลีนึกขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ ทว่ากลับไม่กล้าที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา“ท่านแม่ของพวกข้ารออยู่ เห็นทีต้องขอตัวก่อน” คุณหนูใหญ่สกุลเจียงกล่าวออกมา นางไม่อยากแม้แต่จะพูดคุยกับส
หกวันหลังจากที่ซูเยว่ซินได้พบกับสองพี่น้องตระกูลกู้ที่ตลาดตวนอี เทศกาลชมดอกเบญจมาศประจำปีของเมืองหลวงก็เวียนมาถึง จวนใหญ่ๆ ต่างจัดงานชมดอกเบญจมาศอย่างไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด จวนสกุลกู้เองก็เช่นกัน มีเพียงสองแม่ลูกที่กำลังนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ภายในเรือนของตน เพราะเป็นอนุภรรยาและบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปร่วมงาน กู้อี้เหวินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้ ที่จะป่ายปีนขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูง“เหวินเอ๋อร์… เรื่องที่แม่บอกเจ้า เจ้านำไปบอกแม่นางสกุลหลูแล้วหรือยัง” อนุซิน หรือซินอี้ถงเอ่ยถามบุตรชายออกมา สายตาก็หาได้ละจากผ้าในมือไม่“บอกแล้วขอรับท่านแม่ เรื่องนั้นท่านโปรดจงวางใจ” เสียงทุ้มนุ่มฟังแล้วรื่นหูดังออกมาจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกัน“แล้วเจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไรว่าแม่นางหลูผู้นั้นจะยอมทำตาม” อนุซินยังคงไม่ไว้ใจสตรีของบุตรชาย เพราะเรื่องนี้หากผิดพลาดมีแต่สตรีผู้นั้นที่ต้องเป็นฝ่ายอับอาย“สตรีผู้นั้นลุ่มหลงในหน้าตาและคำหวานของลูกจะตายไป นางย่อมทำตามสิ่งท
เช้าวันต่อมาซูเยว่ซินขออนุญาตมารดาออกไปเที่ยวที่ตลาดตวนอี เพราะอยากจะหาซื้อของกำนัลให้แก่กู้ฮูหยินในวันงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศ ที่ตระกูลของนางได้รับเทียบเชิญให้ไปเข้าร่วม งานนี้จะเป็นงานแรกที่ครอบครัวของนางจะได้พบปะบรรดาขุนนางและฮูหยินของขุนนางเหล่านั้นเพื่อเป็นการผูกไมตรี ซูฮูหยินเห็นดีเห็นงามที่บุตรสาวจะออกไปหาเลือกซื้อของกำนัล จึงมอบเงินให้แก่บุตรสาวไป และกำชับสาวรับใช้คนสนิทของซูเยว่ซิน ว่าให้พวกนางดูแลคุณหนูรองให้ดี ทั้งนายทั้งบ่าวรวมสี่คน จึงนั่งรถม้าออกจากจวนตระกูลซูไปในปลายยามเซินออกจากจวนมาได้ไม่นานเท่าใดนัก รถม้าก็หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมเซียงซี สตรีทั้งสี่ลงมาจากรถม้าตามลำดับ ซูเยว่ซินก็ไม่ถามไถ่ผู้ใดให้มากความ นางเดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับชิวจี้ทันที สาวรับใช้ทั้งสามติดตามคุณหนูรองไปไม่ห่าง หญิงสาววัยแรกแย้มที่มีรูปโฉมงดงาม แต่งกายด้วยเป้ยจึสีชมพู ชายผ้าปลิวสไวยามที่นางเยื้องย่าง ทำให้ผู้คนที่กำลังผ่านไปผ่านมา อดที่จะเหลียวมองนางอย่างชื่นชมไม่ได้ และทุกย่างก้าวของนาง ตกอยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งจิบชาอยู่บนหอจิ่วซา เขามองตามนางไปด้วยแววตาสนใจ“คุณชายให