ขบวนกองทัพทหารของสกุลซูเคลื่อนทัพกลับเมืองโหย่วถิง หลังจากสงครามชายแดนเมืองโหย่วถิงจบลง ซูฮูหยินที่ได้ยินเรื่องราวของบุตรีมาโดยตลอด ก็อดที่จะรู้สึกเป็นห่วงซูเยว่ซินไม่ได้ ไปคลุกคลีอยู่กับเหล่าบุรุษมาตั้งนานเกือบสามปี กลับมาครานี้นางจึงวางแผนเอาไว้ว่าจะจับบุตรสาว ให้มาเรียนรู้งานของสตรีในเรือนหลัง เพราะอีกไม่นานบุตรสาวก็จะเข้าสู่วัยปักปิ่นแล้ว ซูเยว่ซินเองก็รู้แก่ใจดี ว่ากลับจวนมาแล้วนางต้องพบเจอกับเรื่องอันใด ทว่านางก็ไม่มีหนทางที่จะหลบลี้หนีหน้ามารดาไปได้
“มีสตรีใดบ้าง ออกไปวิ่งเพ่นพ่านอยู่ในสนามรบกับพวกบุรุษเยี่ยงเจ้า ตั้งแต่นี้ต่อไป ให้อยู่แต่ในเรือน คอยเรียนรู้งานของสตรีกับแม่” ซูฮูหยินกล่าวออกมาทันทีหลังจากที่ต้อนรับการกลับมาของสามีและลูกๆ เสร็จ
ทั้งใต้เท้าซูและซูเยว่คงต่างพากันนึกขันแกมเอ็นดูซูเยว่ซิน ทว่าหามีผู้ใดกล้าช่วยนางพูดเกลี้ยกล่อมมารดาสักคน แต่มิเป็นอันใดเพราะอีกไม่นานตระกูลซูก็ต้องย้ายจวนไปอยู่ในเมืองหลวงอยู่ดี ท่านแม่ของนางก็จะได้ควบคุมนางจนกว่าจะถึงวันนั้น ซึ่งนับจากวันนี้ก็เหลือเพียงอีกแค่ไม่กี่วันแล้ว
“เจ้าค่ะท่านแม่”
ครั้นได้ยินบุตรสาวตอบออกมาเยี่ยงนั้น ซูฮูหยินก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งใจ ก่อนที่จะเริ่มสำรวจร่างกายของบุตรสาว จากนั้นจึงหันไปบ่นให้ผู้เป็นบิดาและผู้เป็นพี่ชาย
“ท่านเป็นบิดา ส่วนเจ้าก็เป็นพี่ชาย เหตุใดถึงหักใจยอมให้ซินเอ๋อร์จับดาบเฉกเช่นบุรุษได้ หากนางเกิดพลาดพลั้งเป็นอันใดขึ้นมา พวกท่านเคยนึกถึงใจข้าหรือไม่ ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไร”
เรื่องนี้ซูเยว่ซินรู้ดี ว่าถ้าหากครอบครัวต้องสูญเสียใครไปสักคน มารดาของนางย่อมมิอาจทำใจให้ยอมรับได้ เพราะในชีวิตก่อนมารดาของนางก็ตรอมใจตาย เพราะสูญเสียสามีและบุตรชายไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ในชีวิตนี้ซูเยว่ซินตั้งใจเอาไว้แล้วว่า นางจะปกป้องทุกคน จะไม่ให้ผู้ใดต้องมาจากไปเพราะความโง่เขลาของนางเฉกเช่นในชีวิตก่อนอีก
“โถ่…ท่านแม่เจ้าคะ ลูกก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วเยี่ยงไร ท่านอย่าได้ตำหนิท่านพ่อกับพี่ชายใหญ่เลยนะเจ้าค่ะ ต่อไปหากท่านแม่ต้องการให้ลูกทำสิ่งใด ลูกจะยอมทำโดยมิปริปากบ่นเลยเจ้าค่ะ” ซูเยว่ซินออดอ้อนมารดา
คราแรกซูฮูหยินแสดงท่าทีขุ่นขึ้ง ครั้นได้เจอลูกอ้อนของบุตรสาวที่ไม่ได้พบหน้ากันมานานเกือบสามปี ก็พาให้ใจของนางอ่อนยวบ นางดึงร่างบางของซูเยว่ซินเข้ามากอดพลางใคร่ครวญในใจ ว่านางไม่น่าออกเรือนมากับสามีที่เป็นแม่ทัพเลย หากรู้ว่ามีบุตรีกับเขาแล้ว บุตรีของนางจะได้เลือดของบิดามาเต็มๆ สองแม่ลูกกอดกัน สองพ่อลูกได้แต่ลอบมองหน้ากันพลางส่ายหน้าไปมา
วันนี้ใต้เท้าโจว ท่านเจ้าเมืองโหยว่ถิง ได้จัดงานเลี้ยงฉลองชัยชนะให้แก่กองทัพทหารสกุลซู ที่ช่วยปกป้องบ้านเมืองจากพวกข้าศึก ตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา ทหารหลายนายต้องพลีชีพในสนามรบ และทหารอีกหลายนายที่สร้างคุณงามความดีให้แก่ตนเอง ท่านแม่ทัพและท่านรองแม่ทัพต่างยินดี ที่จะเสนอรายนามบุคคลเหล่านั้น ให้ได้รับความดีความชอบไปด้วยกัน หาได้ตกหล่นสักคนไม่ หากจะตกหล่นก็คงจะมีเพียงแค่บุตรีของเขา ที่มิอาจเปิดเผยตัวตนได้ หากตระกูลอื่นรู้เข้าว่านางเคยเข้าสู่สนามรบด้วย คงจะไม่มีบุรุษใดอยากจะมาสู่ขอสตรีที่เก่งเกินบุรุษเยี่ยงนาง
“ขอบน้ำใจท่านเจ้าเมืองยิ่งนักขอรับ ที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับเหล่าทหารกล้า สหายร่วมรบของข้า จอกนี้ข้าขอดื่มคารวะเป็นการตอบแทนน้ำใจของท่าน ที่มีต่อพวกเราทุกคน”
ท่านแม่ทัพซูกล่าวออกมา ในขณะที่สองมือยกจอกสุราขึ้นมา แล้วกระดกดื่มรวดเดียวจนหมดจอก ใต้เท้าโจวเจ้าเมืองโหย่วถิงเองครั้นได้รับเกียรติเช่นนั้น จึงยกจอกสุราขึ้นมากระดกจนหมดบ้าง
“เชิญเหล่าพี่น้องดื่มกินกันให้เต็มที่ หากมิได้พวกท่าน มีหรือที่เมืองโหย่วถิงจะคงดำรงอยู่ต่อไปได้”
ท่านเจ้าเมืองกล่าวออกมาพลางยกจอกสุราขึ้นมาอีกคราแล้วกระดกจนหมด เหล่าทหารกล้าพากันร้องเฮออกมา ก่อนที่เสียงดนตรีจะถูกบรรเลงขึ้นจนดังไปทั่วทั้งบริเวณลานกว้างกลางเมือง ใต้เท้าโจว ผู้เป็นเจ้าเมืองจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้พวกทหารกล้าในครานี้ แบบไม่เสียดายเงินที่เสียไปกันเลยทีเดียว
ในยามที่ท่านแม่ทัพ รองแม่ทัพและเหล่าทหารกล้ากำลังดื่มกินกันอยู่ในงานเลี้ยงต้อนรับและฉลองชัยชนะอยู่นั้น ซูเยว่ซินหาได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงไม่ เพราะมารดาบอกว่าไม่เหมาะสม อีกทั้งคนนอกก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่า นางคือหนึ่งในผู้ที่ช่วยกองทัพทหารของตระกูลซู ขับไล่ข้าศึกศัตรูออกไปจากแคว้นต้าโจว ทำให้ซูเยว่ซินต้องเก็บเนื้อเก็บตัว อยู่แต่ภายในจวนอย่างเชื่อฟัง
“เหตุใดท่านแม่จึงต้องไม่ให้บอกผู้ใดว่าข้าเคยถือดาบ ออกรบกับพวกท่านพ่อและพี่ชายใหญ่ด้วยเล่า”
ซูเยว่ซินอดที่จะตั้งคำถามออกมาไม่ได้ ทั้งๆ ที่นางก็เป็นส่วนหนึ่งในกองทัพตระกูลซู เหตุใดนางถึงไปร่วมงานเลี้ยงฉลองในครานี้ไม่ได้
“ก็อีกไม่นานคุณหนูจะถึงวัยปักปิ่นแล้วนี่เจ้าคะ” ชิงหลวนยิ้มในขณะที่แสดงความคิดเห็นออกมา
“แล้วเรื่องนี้มันเกี่ยวอันใดกับการที่ข้าจะเข้าพิธีปักปิ่นด้วยล่ะชิงหลวน” ซูเยว่ซินเอ่ยถามสาวรับใช้คนสนิทด้วยความสงสัย
“ก็เพราะว่า…หากผู้อื่นรู้ว่าคุณหนูเป็นสตรีที่เคยอยู่ในสนามรบมา แล้วยังจะมีบุรุษใดกล้าที่จะมาสู่ขอคุณหนูของบ่าวไปเป็นภรรยาอีกเล่าเจ้าคะ” ชิงหลวนตอบออกมายิ้มๆ ทว่าซูเยว่ซินกลับอ้าปากกว้าง เคยมีชีวิตอยู่จนถึงวัยสิบแปดปีมาแล้ว เคยผ่านชีวิตของการเป็นภรรยามาแล้วเช่นกัน แล้วเหตุใดนางถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้กัน
“ไม่มีก็ดี เพราะชีวิตนี้ข้าก็มิได้อยากออกเรือนไปกับบุรุษใด” นางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังจนทำให้ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของชิงหลวน ถึงกับเปลี่ยนสีหน้าไปเป็นเคร่งเครียดทันที
“จะเป็นเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกันเล่าเจ้าคะ คุณหนูของข้าน้อยทั้งงดงาม ทั้งมีความสามารถเยี่ยงนี้ ข้าเชื่อว่าจะต้องมีบุรุษสักคน ที่ยอมรับในสิ่งที่คุณหนูของบ่าวเป็นได้อย่างแน่นอน” ชิงหลวนรีบแย้ง พลางกล่าวถึงเหตุผลออกมา
ซูเยว่ซินยิ้มจางๆ ก่อนที่นางจะเดินออกจากเรือนแล้วเข้าไปในสวนดอกไม้ นางนั่งลงยังม้านั่งในสวนดอกไม้ข้างเรือนนอนของตน ใบหน้างามแหงนมองดวงจันทร์ที่ยามนี้ส่องแสงสว่างอยู่เต็มท้องฟ้า พลันคิดในใจ
‘หากเขาผู้นั้นยังคงมีใจต่อข้าเช่นชีวิตก่อน ไม่แน่ว่าในชีวิตนี้ ข้าอาจจะลองให้โอกาสเขาดูสักคราก็เป็นได้’
ชิงหลวนไม่รู้ว่าคุณหนูรองกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่ทว่าหากยามใดที่คุณหนูรองเหม่อมองออกไปบนท้องฟ้า หรือเหม่อมองบางสิ่งบางอย่างอยู่อย่างเลื่อนลอยนั้น นั่นหมายความว่า ไม่ใช่เวลาที่นางจะเข้าไปขัดขวางคุณหนูรองได้ ชิงหลวนจึงคอยยืนอยู่ด้านหลังของคุณหนูรองอย่างเงียบๆ รอให้อีกฝ่ายชื่นชมความงามของจันทราในยามค่ำคืนให้พอใจ
และแล้วเหตุการณ์ที่ซูเยว่ซินรู้ล่วงหน้าก็เกิดขึ้นจริงๆ เพราะหลังจากที่บิดาของนางกลับมายังจวนตระกูลซูได้เพียงแค่ไม่กี่วัน ฮ่องเต้ก็ทรงมีพระราชโองการ แต่งตั้งให้บิดาไปเป็นแม่ทัพประจำการอยู่ในเมืองหลวง มอบจวนหลังโตให้อีกหนึ่งหลัง ที่ไร่ที่นาอีกหลายหมู่ เงินทอง และผ้าแพรไหมอีกหลายหีบ ทำให้ยามนี้ตระกูลซูมีแต่ผู้คนอยากจะผูกมิตรไมตรีมากยิ่งขึ้น
เพราะยิ่งมีอำนาจและบารมีนั่นเอง ถึงได้ทำให้คุณชายรองสกุลกู้ตัดสินใจเข้าหานาง แต่ทว่าเขากลับมีแผนการที่เหนือกว่าบุรุษใด นั่นก็คือการส่งสตรีผู้นั้นให้มาเป็นสหายข้างกายนาง เสแสร้งแกล้งทำเป็นหวังดีและจริงใจ ทำให้นางไว้วางใจ และหลงเชื่อใจทั้งสองคนจนไม่ทันระแวดระวังตัว ครานี้มีหรือที่คนพวกนั้นจะได้สมหวัง ยิ่งคิดนางก็ยิ่งอยากให้ถึงวันนั้นไวๆ เสียจริง
“นี่พวกเราจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหลวงกันจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ซูเยว่ซินแสร้งถามออกมา ราวกับว่ากำลังตื่นเต้นดีใจ ทว่าภายในใจนั้น เรื่องนี้หาใช่เรื่องแปลกใหม่ของนางเลยสักนิด เพราะชีวิตก่อนบิดาก็ได้รับตำแหน่งและจวนพระราชทานจากฮ่องเต้เช่นเดียวกัน
“จริงสิลูก เป็นเพราะตระกูลของเรามีความดีความชอบ ฝ่าบาทถึงได้พระราชทานจวนหลังใหม่ให้แก่ตระกูลเรา พี่ชายของเจ้าก็จะได้เข้าไปรับตำแหน่งรองหัวหน้าของหน่วยองครักษ์ กองกำลังพยัคฆ์ขาว ทำหน้าที่ดูแลเชื้อพระวงศ์โดยเฉพาะ ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับงานในค่ายทหารอีก”
ท่านใต้เท้าซูตอบบุตรสาวยิ้มๆ พลางมองภรรยาที่กำลังสั่งการสาวรับใช้ให้ทยอยเก็บของอยู่ ส่วนบุตรชายคนโตนั้นออกจากจวนไปร่ำลาเหล่าสหาย เพราะพรุ่งนี้ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงกันแต่เช้า
ซูเยว่ซินรู้สึกประหลาดใจ เพราะเรื่องที่พี่ชายของนางได้รับตำแหน่งนี้ นั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไปจากในชีวิตก่อน นั่นก็หมายความว่าทิศทางของอนาคตได้เปลี่ยนไปบ้างแล้ว อย่างน้อยพี่ชายของนางก็ได้ไปทำงานอยู่ในที่ ที่ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับผู้ที่อยู่นอกวังหลวง ครานี้ก็จะได้ไม่มีผู้ใดกล้าหลอกใช้เขาเช่นในชีวิตก่อนอีก
“พ่อคิดว่าจะจัดพิธีปักปิ่นให้เจ้าหลังจากที่เราย้ายไปอยู่เมืองหลวงแล้ว จะได้จัดงานเลี้ยงฉลองจวนใหม่ด้วยเลย…เจ้าว่าดีหรือไม่”
“ไม่ต้องจัดให้มันเอิกเกริกอันใดหรอกหนาเจ้าคะท่านพ่อ เชิญเพียงแค่ญาติพี่น้องของตระกูลเรากับท่านตาท่านยายมาก็พอ เพราะข้ายังไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมปฏิบัติตนต่อสตรีอาวุโสเท่าใดนัก”
ใต้เท้าซูเข้าใจในความต้องการของบุตรีเป็นอย่างดี นางอยู่ในสนามรบกับเขามาตั้งสามปี มีหรือที่เขาจะมองบุตรสาวไม่ออก นางคงจะนึกกังวลเกรงว่าจะประพฤติตนไม่ถูกไม่ควร ยามที่ต้องอยู่ต่อหน้าพวกสตรีอาวุโสจากตระกูลอื่น เพราะถ้าหากเป็นคนในตระกูลหรือญาติมิตรกัน ย่อมเป็นกันเองมากกว่า
“พ่อย่อมทำตามที่เจ้าต้องการอยู่แล้วซินเอ๋อร์….ก็นั่นคือพิธีสำคัญของเจ้า เห้อ…พอมาคิดดูแล้วก็รู้สึกใจหายไม่น้อย แต่ก็ยังอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดีเช่นกัน"
“ใจหายเรื่องอันใดกันหรือเจ้าคะ แล้วที่ว่าอดตื่นเต้นไม่ได้นั่นคือเรื่องใด” ซูเยว่ซินเอ่ยถามบิดาออกมาด้วยความงุนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดากล่าวออกมา
"ก็ท่านพ่อของเจ้ากำลังรู้สึกใจหาย ที่เจ้ากำลังจะเข้าสู่วัยออกเรือนแล้วน่ะสิ และที่เขาบอกว่าตื่นเต้น ก็คือเขาอยากจะรู้ว่า คุณชายจากตระกูลใดที่จะมีความสามารถมาคว้าหัวใจบุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ตระกูลซูเช่นเขาไปครอบครองได้เยี่ยงไรเล่าซินเอ๋อร์…”
ซูฮูหยินเดินเข้ามาได้ยินที่สองพ่อลูกพูดคุยกันพอดี นางจึงตอบคำถามของบุตรสาวออกมาแทนสามี ใบหน้าของนางนั้นยิ้มแย้มยินดีในยามที่กล่าวออกมา ทว่าซูเยว่ซินกลับแสดงสีหน้าเฉยชาหาได้มีความเขินอายไม่
“ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ข้าสัญญาว่าข้าจะเลือกว่าที่ลูกเขยที่เป็นคนดีให้แก่ท่านพ่อท่านแม่อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ว่าหาใช่ในอีกสองสามปีข้างหน้านี้ไม่” น้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังของบุตรสาว ทำให้ทั้งบิดาและมารดาต่างมองหน้ากัน
ทั้งคู่พลันหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เพราะต่างคนต่างก็ไม่คิดว่าบุตรสาวจะกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ แต่ถึงอย่างไรเรื่องคู่ครองพวกเขาจะให้นางเป็นผู้ตัดสินใจเอง ทั้งท่านแม่ทัพซูและซูฮูหยิน ต่างก็ไม่อยากเร่งรัดให้บุตรสาวรีบออกเรือน และไม่มีความคิดที่จะให้บุตรสาวออกเรือนไป เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับตระกูลใด อำนาจในมือของตระกูลซูยามนี้นั้นมีมากพออยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องไปหาพึ่งพาอำนาจจากตระกูลใดอีก
ซูเยว่ซินนั้นเป็นเพราะชีวิตก่อนเลือกคนผิด ทำให้นางรู้สึกผิดต่อบิดามารดาและพี่ชาย ที่นางกล่าวออกมาเยี่ยงนี้ จึงหาใช่คำพูด ที่เพียงอยากแค่เอาอกเอาใจบิดามารดาไม่ แต่ทว่าเป็นความตั้งใจของนางอย่างแท้จริง ชีวิตนี้นางตั้งใจเอาไว้แล้ว ถ้าหากนางไม่ได้พบกับบุรุษที่รักนางจากใจ นางก็จะไม่มีวันออกเรือนไปกับผู้ใด นางจะไม่มีทางทำให้ตระกูลซูต้องล่มสลายเพราะความโง่เขลาของนางอีกเป็นอันขาด
หลังจากปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับเรื่องย้ายไปยังเมืองหลวง และพิธีปักปิ่นของบุตรสาวเป็นอันเข้าใจกันดีแล้ว สองสามีภรรยาจึงพากันกลับไปพักผ่อนที่เรือนใหญ่ ซูเยว่ซินเองก็กลับเรือนนอนของตนเช่นกัน ทว่านางกลับแวะเข้าไปในสวนดอกไม้ข้างๆ เรือนนอนของนาง ร่างบางนั่งลงบนเก้าอี้หินในใจคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตั้งแต่นางฟื้นคืนมาเหตุการณ์กำลังดำเนินไปเช่นในชีวิตก่อน
ทว่าสิ่งที่ต่างออกไปคือชีวิตนี้นางมีวรยุทธ์เป็นเลิศ และพี่ชายกำลังจะได้เข้าไปรับตำแหน่งรองหัวหน้ากองกำลังพยัคฆ์ขาว ซึ่งเป็นองครักษ์ของราชวงศ์ แม้ลึกๆ จะรู้สึกโล่งใจที่ต่อไปพี่ชายจะไม่ได้มาพัวพันกับเรื่องของนาง แต่ทว่าก็ยังอดเป็นกังวลเรื่องราวของอนาคตที่เปลี่ยนไปไม่ได้ ถึงแม้เรื่องราวในภายภาคหน้าจะเปลี่ยนไป สิ่งที่นางต้องการจะตอบแทนหญิงร้ายชายเลวสองคนนั้น ก็ยังคงไม่เปลี่ยนตาม
“ชิงหลวน เจ้ากลับไปเตรียมที่นอนให้ข้าก่อนเถิด ข้าขอนั่งอยู่ที่นี่ตามลำพังอีกสักพัก แล้วข้าค่อยเข้าไปนอน”
ชิงหลวนรับคำสั่งแล้วจากไปแต่โดยดี ซูเยว่ซินนั่งมองดอกไม้ในสวนที่บานสะพรั่งอยู่นานเกือบสองเค่อ นางจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเยื้องย่างกลับไปทางเรือนนอนของตน
เช้าวันใหม่ ขบวนรถม้าที่บรรทุกคนและเกวียนที่บรรทุกสัมภาระยาวหลายลี้ ก็เตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง ชาวบ้านต่างพากันมารอส่งท่านแม่ทัพซู และกองทัพทหารตระกูลซูเต็มสองข้างทาง ทุกคนล้วนแล้วแต่เสียดายที่เมืองโหย่วถิงจะไม่มีขุนนางตงฉินผู้นี้อีกแล้ว แต่ถึงเยี่ยงไรการตัดสินใจของฮ่องเต้ย่อมสำคัญและไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ พวกเขาจึงมารอส่งตระกูลซูเดินทางย้ายไปอยู่เมืองหลวงด้วยความเสียดาย
ซูเยว่ซินที่นั่งอยู่ในรถม้า มองผ่านผ้าม่านไปยังอดที่จะรู้สึกปลื้มใจไม่ได้ ที่ผ่านมานางไม่เคยรู้เลยว่า ตระกูลของนางจะเป็นที่รักและนับถือของพวกชาวเมืองโหย่วถิงได้ถึงเพียงนี้ ใบหน้าที่เศร้าหมองจริงใจของชาวเมืองทุกคนที่แสดงออกมา ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งใจ เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงมองคนไม่ออกหนอ ในเมื่อชีวิตนี้ได้รับกลับมาใหม่แล้ว นางจะต้องใช้มันให้ดี ผู้ใดเคยทำดีต่อนางย่อมได้รับสิ่งที่ดีๆ จากนางเป็นการตอบแทน ทว่าผู้ใดที่เคยมอบความเจ็บปวดให้แก่นาง นางก็จะตอบแทนคนผู้นั้นด้วยความเจ็บปวดกลับคืนไปเช่นกัน
จากเมืองโหย่วถิง ขบวนรถม้าและเกวียนสัมภาระของตระกูลซู ต้องใช้เวลาเดินทางนานนับเดือน กว่าจะถึงเมืองหลวงของแคว้นต้าโจว ระหว่างทางซูเยว่ซินได้พบกับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย แต่ทว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น เหมือนกับในชีวิตก่อนของนางแทบจะไม่มีผิดเพี้ยน เช่นรถม้าของจวนที่พวกสาวรับใช้โดยสารมา ล้อเกิดพังระหว่างทางจนเสีย หรือมีเหตุการณ์โจรป่าดักปล้นพวกพ่อค้าท่านพ่อและพี่ชายของนาง ได้ออกหน้าช่วยเหลือพวกพ่อค้าที่ถูกปล้น นำเหล่าทหารกล้าของตระกูลซูที่ติดตามขบวนมาด้วย จัดการปราบปรามกลุ่มโจรจนพวกมันไม่กล้าที่จะกลับมาก่อเหตุไปนานอีกหลายปี และระหว่างทางก่อนที่จะถึงเมืองหลวง ท่านแม่ของนางและสาวรับใช้อาวุโสบางคน ก็พากันเจ็บป่วยด้วยโรคไข้ป่า ดีที่นางเตรียมยารักษามาด้วย เพราะนางรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ทำให้ทั้งท่านแม่ และสาวรับใช้อาวุโส รอดพ้นจากปากประตูผีมาได้ ผิดกับชีวิตก่อนที่กว่าจะถึงเมืองหลวง ท่านแม่ของนางก็ต้องเสียสาวรับใช้อาวุโสไปถึงสองคน“หากไม่ได้ซินเอ๋อร์ที่เตรียมยามาด้วย มีหวังแม่กับพวกสาวรับใช้อาวุโสเหล่านี้ คงไม่มีชีวิตรอดไปถึงเมืองหลวงแล้วเป็นแน่”ซูฮูหยินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงภูมิใจ บุตรสาวของ
จวนแม่ทัพที่แต่ก่อนนี้เคยเป็นจวนว่างเปล่า ทว่ายามนี้กลับคึกคักขึ้นมา เพราะว่าเจ้าของจวนคนใหม่นั้นมากด้วยบารมี ผู้คนต่างอยากที่จะเข้าหา เพื่อมาผูกมิตรกับเขา ทำให้ฮูหยินและลูกๆ ของเขา พลอยได้รับไมตรีไปด้วย ยามนี้ซูเยว่ซินรู้ดี ว่าทุกคนที่เข้ามาล้วนแล้วแต่ก็มีเป้าหมาย ผู้ใดบ้างหว่านพืชจะไม่หวังผล ค้าขายจะไม่หวังกำไร ขุนนางเหล่านี้เองก็เช่นกัน ชีวิตก่อนนางไร้เดียงสาและซื่อเซ่อจนเกินไป ทำให้ตามคนไม่ทัน ไม่เคยคิดว่าคนที่เข้ามานั้นจะหวังผลประโยชน์อันใดจากนาง ทว่าในชีวิตนี้นางมิใช่สตรีที่เคยซื่อเซ่อ และไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนเหล่านี้อีกแล้ว“บุตรีของท่านจะเข้าวัยปักปิ่นแล้วกระมัง”ใต้เท้าจ้ง เจ้ากรมการกลาโหมที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนท่านแม่ทัพซูเอ่ยถามออกมา เขามีบุตรชายคนรองในวัยไล่เลี่ยกันกับบุตรชายคนโตของท่านแม่ทัพ ทำให้เขานึกสนใจในตัวของบุตรีคนรองของท่านแม่ทัพขึ้นมา หากได้เกี่ยวดองกันจะดีเพียงใด“อีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้ากับฮูหยินก็จะจัดพิธีปักปิ่นให้นางแล้วขอรับ” ท่านแม่ทัพซูหารู้ไม่ ว่าท่านใต้เท้าจ้งนั้น แอบหมายตาบุตรีของเขาเอาไว้ให้บุตรชายคนรองของตน เขาจึงตอบออกมาตามความจริง“โอ้…ดีจริง หา
เช้าวันต่อมาซูเยว่ซินขออนุญาตมารดาออกไปเที่ยวที่ตลาดตวนอี เพราะอยากจะหาซื้อของกำนัลให้แก่กู้ฮูหยินในวันงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศ ที่ตระกูลของนางได้รับเทียบเชิญให้ไปเข้าร่วม งานนี้จะเป็นงานแรกที่ครอบครัวของนางจะได้พบปะบรรดาขุนนางและฮูหยินของขุนนางเหล่านั้นเพื่อเป็นการผูกไมตรี ซูฮูหยินเห็นดีเห็นงามที่บุตรสาวจะออกไปหาเลือกซื้อของกำนัล จึงมอบเงินให้แก่บุตรสาวไป และกำชับสาวรับใช้คนสนิทของซูเยว่ซิน ว่าให้พวกนางดูแลคุณหนูรองให้ดี ทั้งนายทั้งบ่าวรวมสี่คน จึงนั่งรถม้าออกจากจวนตระกูลซูไปในปลายยามเซินออกจากจวนมาได้ไม่นานเท่าใดนัก รถม้าก็หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมเซียงซี สตรีทั้งสี่ลงมาจากรถม้าตามลำดับ ซูเยว่ซินก็ไม่ถามไถ่ผู้ใดให้มากความ นางเดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับชิวจี้ทันที สาวรับใช้ทั้งสามติดตามคุณหนูรองไปไม่ห่าง หญิงสาววัยแรกแย้มที่มีรูปโฉมงดงาม แต่งกายด้วยเป้ยจึสีชมพู ชายผ้าปลิวสไวยามที่นางเยื้องย่าง ทำให้ผู้คนที่กำลังผ่านไปผ่านมา อดที่จะเหลียวมองนางอย่างชื่นชมไม่ได้ และทุกย่างก้าวของนาง ตกอยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งจิบชาอยู่บนหอจิ่วซา เขามองตามนางไปด้วยแววตาสนใจ“คุณชายให
หกวันหลังจากที่ซูเยว่ซินได้พบกับสองพี่น้องตระกูลกู้ที่ตลาดตวนอี เทศกาลชมดอกเบญจมาศประจำปีของเมืองหลวงก็เวียนมาถึง จวนใหญ่ๆ ต่างจัดงานชมดอกเบญจมาศอย่างไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด จวนสกุลกู้เองก็เช่นกัน มีเพียงสองแม่ลูกที่กำลังนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ภายในเรือนของตน เพราะเป็นอนุภรรยาและบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปร่วมงาน กู้อี้เหวินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้ ที่จะป่ายปีนขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูง“เหวินเอ๋อร์… เรื่องที่แม่บอกเจ้า เจ้านำไปบอกแม่นางสกุลหลูแล้วหรือยัง” อนุซิน หรือซินอี้ถงเอ่ยถามบุตรชายออกมา สายตาก็หาได้ละจากผ้าในมือไม่“บอกแล้วขอรับท่านแม่ เรื่องนั้นท่านโปรดจงวางใจ” เสียงทุ้มนุ่มฟังแล้วรื่นหูดังออกมาจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกัน“แล้วเจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไรว่าแม่นางหลูผู้นั้นจะยอมทำตาม” อนุซินยังคงไม่ไว้ใจสตรีของบุตรชาย เพราะเรื่องนี้หากผิดพลาดมีแต่สตรีผู้นั้นที่ต้องเป็นฝ่ายอับอาย“สตรีผู้นั้นลุ่มหลงในหน้าตาและคำหวานของลูกจะตายไป นางย่อมทำตามสิ่งท
“คารวะคุณหนูใหญ่เจียง คุณหนูรองกู้ เอ่อ…แม่นางใช่คุณหนูรองจวนแม่ทัพใช่หรือไม่เจ้าคะ”หลูเจียงหลีที่มาร่วมงานในวันนี้เช่นกันคำนับสตรีทั้งสามพร้อมทั้งกล่าวทักทายออกมา รอยยิ้มเสแสร้งไม่จริงใจที่นางแสดงออกมาทำให้ซูเยว่ซินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงได้มองอีกฝ่ายไม่ออกกัน หรือจะเป็นเพราะนางเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ“ตามสบายเถิดแม่นางหลู ใช่แล้วนี่คือพี่หญิงซู คุณหนูรองสกุลซู ตระกูลแม่ทัพที่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำการในเมืองหลวงของเรา” กู้มู่หรงกล่าวออกมาอย่างไม่ถือตน นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ค่อยชอบหน้าตนนัก เพราะอีกฝ่ายมีไมตรีกับพี่ชายรอง พี่ชายต่างมารดาของนาง“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” หลูเจียงหลีหันไปผูกมิตรกับคุณหนูรองสกุลซูทันที ทว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นช่างเย็นชายิ่งนัก เพราะสตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง หลูเจียงหลีนึกขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ ทว่ากลับไม่กล้าที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา“ท่านแม่ของพวกข้ารออยู่ เห็นทีต้องขอตัวก่อน” คุณหนูใหญ่สกุลเจียงกล่าวออกมา นางไม่อยากแม้แต่จะพูดคุยกับส
หลังจากเกิดเหตุการณ์อันน่าอับอายที่สาวรับใช้ของหลูเจียงหลีทำงานผิดพลาด ทำให้ตกลงไปในสระน้ำกลางงานเลี้ยงแล้ว หลูเจียงหลีจึงไม่มีหน้าอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ นางหาโอกาสแอบหลบเลี่ยงออกจากงานเลี้ยงไปก่อน เพราะเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ นางจึงสามารถออกมาจากงานเลี้ยงได้อย่างราบรื่น และพยายามขอพบกับคุณชายรองกู้ ทว่าเขากลับส่งบ่าวรับใช้คนสนิทให้มาบอกกับนางว่า‘ทำงานไม่สำเร็จยังหวังอยากจะพบหน้าข้าอยู่อีกหรือ หากอยากให้ข้าอภัยให้เจ้า ก็จงไปตีสนิทคุณหนูรองสกุลซูเสีย พยายามผูกมิตรกับนางให้จงได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก’ คนสนิทของคุณชายรองกู้อี้เหวินกล่าวจบก็รีบหลบออกไปจากบริเวณนั้นทันทีหลูเจียงหลีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่บุรุษที่นางมอบทั้งความรักและภักดีให้ กลับเห็นนางเป็นแค่เพียงหมากตัวหนึ่ง ที่จะช่วยให้เขามีอำนาจขึ้นมา แม้จะต้องใช้วิธีที่ต่ำช้าก็ตาม“เป็นเพราะเจ้า… หากข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสาวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า คอยปรนนิบัติรับใช้ข้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ข้าจะให้ท่านแม่ขายเจ้าออกไปให้หอโคมเขียวเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
หลังจากเดินชมนกชมดอกไม้อยู่นานเกือบหนึ่งก้านธูป ซูเยว่ซินจึงไปคารวะมารดาที่เรือนซูอี้ ยามนี้บิดาและพี่ชายไม่อยู่ที่จวน บิดาออกไปสำนักบัญชาการตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนพี่ชายเข้าไปทำหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงอยู่หลายวันแล้วยังไม่กลับมา ทำให้นางต้องหมั่นแวะเวียนไปหามารดาเพื่อไม่ให้มารดาต้องรู้สึกเหงาใจเฉกเช่นในชีวิตก่อน“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างระหงย่อกายคำนับมารดา ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิงยิ้มแย้มให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ตามสบายเถิดซินเอ๋อร์ ว่าแต่เจ้ากินมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง” ซูเยว่ซินเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วจึงตอบมารดา“กินมาแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”“แม่กำลังเย็บปักลายลงบนผ้าม่าน เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่สักผืนสองผืนเถิด” เพราะไม่อยากให้มารดาเหงา ซูเยว่ซินจึงพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในงานอดิเรกของมารดา“ท่านแม่แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะให้ข้าช่วยปักลวดลายลงบนผ้าม่านจริงๆ คราก่อนที่ข้าปักผ้า ท่านพ่อก็ทักว่าเป็ดของข้าขี้เหร่” ซูฮูหยินกับป้ากุยหัวเราะออกม
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างในค่ำคืนนี้ บ่งบอกให้ได้รู้ว่ายามนี้ถึงเทศกาลชมจันทร์ที่ชาวเมืองต่างเฝ้ารอคอยแล้ว ปีนี้ตลาดตวนอีจัดงานเทศกาลชมจันทร์อย่างครึกครื้น มีทั้งการแสดงจากคณะอุปรากรที่มีชื่อเสียงของโยวโจว และละครหลังม่านจากเจียงซี เพราะยามนี้บ้านเมืองสงบสุข ทำให้ชาวเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข ซูเยว่ซินได้ออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลในค่ำคืนนี้พร้อมกับคุณหนูใหญ่สกุลเจียง ทั้งสองอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจึงไม่ยากที่จะเปิดใจคบหากันอีกทั้งยังเป็นความตั้งใจเดิมของซูเยว่ซินอยู่แล้วด้วย ชีวิตก่อนนางไม่มีมิตรมากมายข้างกาย มีเพียงสตรีผู้นั้นผู้เดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง นางจึงคิดว่านั่นคือมิตรแท้ ทำให้อีกฝ่ายหลอกใช้ความจริงใจของนาง แทงข้างหลังนางราวกับคนโง่ ชีวิตนี้หรือนางจะใช้ชีวิตเช่นเดิม ผู้ใดแสดงความจริงใจออกมา นางก็เปิดใจคบหาได้อย่างไม่ลังเล คุณหนูทั้งสองตระกูลเดินนำหน้าสาวรับใช้ที่ติดตามพวกตนมาเข้าไปภายในตลาดตวนอี ผู้คุ้มกันรอบกายของคุณหนูใหญ่เจียง ก็คอยระแวดระวังภัยให้คุณหนูทั้งสองไม่ห่าง“ซินเอ๋อร์…เจ้าไม่มีพวกผู้คุ้มกันคอยติดตามมาดูแลหรอกหรือ” คำถามนี้เจียงซีหรูเอ่ยถามซูเยว่ซินตั้งแต่อยู่บนรถม้า ระหว่าง
“เจ้าพูดจริงหรือไม่” กู้มู่อวิ๋นถามตู้ชวนออกมาเพื่อความแน่ใจ เด็กชายตัวน้อยที่อายุน้อยกว่าเขาหนึ่งปีกว่าๆ พยักหน้าขึ้นลง“ตู้ชวน ข้าให้เจ้าคิดดูให้ดี ว่าเจ้าจะทิ้งท่านแม่ของเจ้าไปได้แน่รึ สามปีเชียวนะ…หาใช่สามวัน” กู้มู่อวิ๋นถามย้ำตู้ชวนหันไปมองหน้ามารดา นางมองมายังเขาด้วยแววตาอาวรณ์ ทว่าเขาตระหนักถึงคำสอนของบิดา ว่าพวกเขาเป็นบ่าวรับใช้ที่ซื่อสัตย์ต่อตระกูลกู้มาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษไม่ว่าเจ้านายจะไปที่ใด หากเป็นที่ที่พวกตนสามารถติดตามเข้าไปได้ ก็ต้องติดตามไปรับใช้พวกเขาทุกที่ เด็กชายจดจำคำสอนของบิดาอย่างขึ้นใจ เขาจึงตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ก่อนที่จะหันไปคำนับขออนุญาตมารดา“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านแม่…โปรดอนุญาตให้ลูกติดตามไปรับใช้คุณชายใหญ่ด้วยเถิดขอรับ”ชิงหลวนน้ำตาซึม บุตรชายยังเยาว์วัยนัก แต่ถ้าหากนางอยากจะให้บุตรชายแข็งแรง และสามารถปกป้องคุณชายใหญ่ได้ในภายภาคหน้า นางก็จำต้องให้เขาไป“แม่อนุญาต” ชิงหลวนตอบบุตรชายกลั้นสะอื้นซูเยว่ซินมองสาวรับใช้คนสนิทด้วยแววตาขอบคุณ กู้มู่เฉินหันไ
ในช่วงเหมันตฤดู มีหิมะโปรยปรายร่วงหล่นลงมาบนพื้นดิน จนปรากฏให้เห็นภาพขาวโพลน บริเวณลานกว้างในจวนสกุลกู้ ยามนี้มีเด็กชายตัวน้อยสองคน กำลังวิ่งเล่นกันอยู่กลางลานกว้างหน้าเรือน ด้านหลังมีสตรีวัยยี่สิบต้นๆ กับสตรีวัยแรกแย้มอีกสองคนคอยวิ่งตามหลังจนเหนื่อยหอบเสียงหัวเราะสดใสตามวัยดังขึ้นเป็นระยะ บัดนี้กู้มู่อวิ๋น บุตรชายคนโตของท่านราชครูกู้มู่เฉิน กับฮูหยินใหญ่ซูเยว่ซิน ก็ได้เติบโตเข้าสู่วัยเจ็ดปีแล้ว เด็กน้อยเกิดในฤดูหนาว ทำให้เขาคุ้นชินกับสภาพอากาศเช่นนี้และเด็กน้อยอีกคนที่กำลังวิ่งตามหลังเขา นั่นก็คือบุตรชายของตู้จิ้นและชิงหลวน ซึ่งเป็นบ่าวและสาวรับใช้คนสนิทของท่านราชครูและฮูหยินใหญ่ ทั้งคู่แต่งงานกันหลังจากที่ฮูหยินใหญ่ให้กำเนิดคุณชายใหญ่ได้เพียงสามเดือน และไม่นานนัก ชิงหลวนก็ตั้งครรภ์ ทันใช้สมใจของผู้เป็นบิดามารดา ที่ต้องการจะให้ทายาทของตน มาคอยรับใช้คุณชายน้อยต่อไปเช่นกัน“คุณชายใหญ่ ระวังลื่นนะเจ้าคะ” แม่นมกุ้ยร้องตามหลังคุณชายตัวน้อย“ไม่ล้ม…ข้าเก่ง ตู้ชวนเร็วเข้า”กู้มู่อวิ๋นร้องบอกแม่นมขณะที่ยังคงวิ่งวนอยู่บริเวณลานกว้าง
เช้าวันรุ่งขึ้น มีชาวเมืองพบศพของสตรีนางหนึ่ง ที่ลอยไปติดอยู่กับเรือบรรทุกสินค้าของพ่อค้า ที่เดินทางมาค้าขายในเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อคืน ทว่าเขาจอดเรือเทียบท่าเอาไว้ แล้วตนเองไปเข้าพักที่หอชิวเซียน ยามเช้ากลับมาสำรวจเรือตนเอง จึงได้พบศพของสตรี เขาจึงรีบแจ้งให้แก่ทางการได้ทราบครั้นทางการนำศพขึ้นมาแล้วก็พบว่า ผู้ตายเป็นอดีตฮูหยินของกู้อี้เหวิน คุณชายรองสกุลกู้ที่เพิ่งจะป่วยตายจากไปได้ไม่นาน ชาวเมืองหลายคนต่างพากันนึกเวทนา หญิงสาวที่ก่อนหน้าเคยเป็นสตรีที่เพียบพร้อมนางหนึ่ง อยู่ ๆ ก็กลายเป็นคนสติไม่ดี ผู้ใดเลยจะคิดว่าคุณหนูสี่ผู้เย่อหยิ่งแห่งจวนตระกูลหลู จะได้มาพบกับจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนี้ซูเยว่ซินนั่งมองดอกบัวหลากสีที่กำลังเบ่งบานอยู่ในสระกลางจวนตระกูลกู้ นางกำลังขบคิดว่า จุดจบที่ชายหญิงสารเลวทั้งสองได้พบเจอ นั้นสาสมกับสิ่งที่พวกเขาเคยกระทำต่อนางและผู้คนที่รักนางในชีวิตก่อนแล้วหรือ ทว่าพอกลับมาคิดดูอีกที หากเรื่องที่นางย้อนเวลากลับมาไม่เคยเกิดขึ้น จะไม่เท่ากับว่านางเองก็เป็นสตรีร้ายกาจ ไม่ต่างจากคนพวกนั้นหรือในระหว่างที่ซูเยว่ซินกำลังว้าวุ่นใจอยู่นั้น กู้มู่เฉินก็เดินเ
หลังจากที่กู้อี้เหวินถูกใต้เท้ากู้ลงโทษตามกฎของตระกูล เขาก็ทนมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงสามวัน ทว่าก่อนที่เขาจะจากไป เขากลับได้ฝันเห็นเรื่องราวบางอย่าง ช่างเป็นความฝันที่ทำให้เขามีความสุขยิ่งนัก เป็นความฝันที่เขาไม่อาจสัมผัสในชีวิตนี้ในฝันนั้นเขาได้แต่งงานกับซูเยว่ซิน และได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลสมดังใจปรารถนา แต่ทว่าสุดท้ายเขาก็เป็นผู้ที่หยิบยื่นความตายให้แก่นางผู้เป็นภรรยา เพียงเพราะมีสตรีที่คอยช่วยเหลือเขามาตั้งแต่ต้น อย่างหลูเจียงหลีคอยยุยงเขายืมมือมารดาเพื่อกำจัดท่านแม่ใหญ่ เขาหลอกใช้พี่ชายของซูเยว่ซินเพื่อกำจัดกู้มู่เฉิน ครั้นคุณชายใหญ่ซูผู้นั้นกำจัดพี่ชายของเขาสำเร็จ เขาก็จ้างให้นักฆ่าไปสังหารอีกฝ่ายเพื่อปิดปากบิดาของซูเยว่ซินก็เป็นเขา ที่สั่งให้นักฆ่าลอบสังหาร ยามที่อีกฝ่ายต้องเข้าไปปราบโจรในป่า เขาบีบน้องสาวต่างมารดาให้ออกเรือนไปกับขุนนางเฒ่า เพื่อผลประโยชน์ของตระกูล สิ่งที่เขากระทำนั้นช่างชั่วช้ายิ่งนักหากภาพที่เขาเห็นเหล่านี้ เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริง ที่อาจจะเป็นชาติภพใดชาติภพหนึ่ง เขาก็ไม่นึกประหลาดใจเลย ว่าเหตุใดชีวิตนี้ซูเยว่ซินถึงได้เลือกที่จะเมินเฉย
เช้าวันต่อมา ข่าวการถูกปล้นฆ่าของพ่อลูกตระกูลหลู ก็ถูกเล่าลือเข้ามาในเมืองหลวง หลูเจียงหลีที่ได้ยินข่าวมาจากพวกสาวรับใช้ก็ถึงกับเป็นลมล้มพับไป ยามที่นางฟื้นขึ้นมานางก็ได้แต่นั่งซึม พลางขบคิดอยู่เพียงลำพัง บิดาของนางกับพี่ชายสามถูกลอบสังหาร ฝีมือของผู้ใดกัน กล้าสังหารขุนนางของราชสำนักได้เยี่ยงไร พลันนางก็คิดไปถึงความบาดหมางระหว่างสามีกับบิดา หรือจะเป็นเขากัน หลูเจียงหลีโกรธจนตัวสั่น ทว่านางต้องพยายามทำใจให้สงบ หากนางจะจัดการกับกู้อี้เหวิน นางจะต้องใช้ความเงียบแทนการส่งเสียงให้อีกฝ่ายรู้ตัว“ฟู่เอ๋อร์… เจ้าอยากเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของข้าหรือไม่” กู้อี้เหวินเอ่ยถามสตรีที่นอนอยู่ข้างกาย“อยากสิเจ้าคะ ผู้ใดบ้างที่อยากจะให้สามีมีภรรยาหลายคน” นางตอบเขาออกมาอย่างกระตือรือร้น“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องช่วยข้า…จัดการสตรีที่ขวางทางเจ้าอยู่”“น่ะ…นายท่าน…กะ…กล่าวถึง ฮูหยินเล็กรองน่ะหรือเจ้าคะ” ฟู่เอ๋อร์ลุกขึ้น เอ่ยถามเขาออกมาอย่างละล่ำละลัก“ในเรือนนี้จะยังมีผู้ใดอีกเล่า” เขาเอ
ข่าวที่ฮูหยินเล็กมีครรภ์ถูกกล่าวถึงไปทั่วทั้งจวนตระกูลกู้ เพราะถือเป็นข่าวที่น่ายินดีไม่น้อย ต่างจากเรือนหลงจู้ที่ยังไม่ข่าวดีในเรื่องนี้เสียที จนกู้อี้เหวินทนไม่ไหว สองเดือนก่อนเขาจึงได้ใช้เงินสินเดิมของมารดา ไปไถ่ตัวฟู่เอ่อร์ออกมาจากหอชิวโหรว และซื้อเรือนให้นางอยู่แถวตรอกซืออู้ อีกทั้งยังส่งสาวรับใช้ในเรือนไปคอยรับใช้นางอีกสองสามคน“เจ้าได้ยินมาเช่นนั้นจริงๆ รึ”ตั้งแต่แต่งเข้าจวนตระกูลกู้มา หลูเจียงหลีพยายามตีสนิทพี่สะใภ้ กับแม่เลี้ยงของสามีมาตลอด ทว่าพวกนางกลับแสดงท่าทีเมินเฉยต่อนาง ราวกับว่าไม่อยากทำตัวสนิทสนมกับนางไม่ นางจนใจจึงคิดว่าต่างคนต่างอยู่ดีที่สุด อีกทั้งนางก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ยามที่นางได้อยู่ใกล้กับพี่สะใภ้ใหญ่ ซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าสาเหตุใดที่ทำให้นางรู้สึกเช่นนั้น“ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ สาวรับใช้และบ่าวรับใช้ทุกขั้นได้รับของกำนัลจากนายท่านกันทุกคน ที่เรือนเราก็ได้รับเช่นเดียวกันเจ้าค่ะ” นางหยิบเหรียญเงินสองเหรียญที่ได้รับมาเป็นรางวัลเช่นกัน ชูให้แก่หลูเจียงหลีดู“เหตุใดข้าถึงได้ไม่ท้องก่อนนาง อืม…แล้ว
สองเดือนต่อมาภายในเรือนใหญ่ ท่านใต้เท้ากู้ กู้ฮูหยิน กู้มู่เฉินและสะใภ้ใหญ่ซูเยว่ซิน กำลังนั่งกินมื้อเช้ากันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ส่วนกู้มู่หรงยามนี้นางยังไม่ตื่นนอน ท่านใต้เท้ากู้และกู้ฮูหยินล้วนแต่ตามใจบุตรี เพราะนางกำลังอยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอน ให้นอนตื่นสายสักหน่อย ก็ไม่ถือว่าไม่ดีแต่อย่างใด ขอเพียงกู้มู่หรงรู้ถึงสิ่งที่สตรีพึงปฏิบัติ ยามที่นางออกเรือนไปก็เป็นพอยามนี้ที่โต๊ะอาหารทรงกลมจึงมีเพียงใต้เท้ากู้ กู้ฮูหยิน กู้มู่เฉินและซูเยว่ซิน สะใภ้ใหญ่ ที่กำลังนั่งล้อมวงกินอาหารกันอยู่พร้อมหน้า กู้มู่เฉินคอยคีบอาหารใส่ชามของภรรยาอย่างเอาใจ ทั้งท่านใต้เท้ากู้และกู้ฮูหยินต่างพากันยิ้มแย้มออกมาด้วยความสุขใจ ทว่าลึกๆ ในใจต่างคนต่างก็ยังคงมีความรู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อยก็บุตรชายกับสะใภ้ใหญ่ก็แต่งงานกันมานานหลายเดือนแล้ว ทว่าซูเยว่ซินกลับยังไม่มีวี่แววว่าจะมีครรภ์เช่นสะใภ้จวนอื่นเสียที หากความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ ไม่ดีเช่นเดียวกับคู่ของกู้อี้เหวินและหลูเจียงหลี ที่เอาแต่ทะเลาะกันอยู่ทุกวัน ทั้งท่านใต้เท้ากู้และกู้ฮูหยินก็จะไม่หวังเรื่องทายาทสืบสกุลจากทั้งคู่เลย ทว่าบุตรชา
ในช่วงเวลานี้ของชีวิตก่อน เป็นช่วงเวลาที่บิดาและพี่ชายของซูเยว่ซินถูกสังหาร ทว่ายามนี้ผู้ที่ได้รับกรรมนั้นไป กลับกลายเป็นท่านใต้เท้าซิน และคุณชายใหญ่ซินอี้ฉู ผู้ที่เป็นท่านตาและท่านลุงของกู้อี้เหวินนั่นเอง นางได้ยินมาว่าสองพ่อลูกใช้อำนาจ จากการแอบอ้างชื่อเสียงของท่านใต้เท้ากู้ ไปรับเงินติดสินบนจากพวกผู้กระทำผิด และรีดไถเงินของพวกชาวบ้าน พวกเขาทำกันมานานจนในที่สุด ท่านใต้เท้ากู้ก็อดทนต่อความโลภมากของพวกเขาไม่ไหว จึงได้รวบรวมหลักฐานแล้วแจ้งเรื่องนี้ให้แก่ทางการ จนสองพ่อลูกริบทรัพย์และเนรเทศออกจากเมืองหลวงไปยังเมืองโหย่วชิงระหว่างทางกลุ่มของผู้ถูกเนรเทศก็พยายามหลบหนี สองพ่อลูกโชคดีที่หลบหนีไปได้ แต่ทว่าโชคไม่ดีที่พวกเขาไปเจอกับพวกโจรเข้า ทั้งสองต่างก็ไม่มีทรัพย์สมบัติใดให้พวกโจรปล้นชิง จึงถูกพวกโจรปล้นชิงชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเขาไปแทน สองพ่อลูกสิ้นใจตายอย่างอนาถ เป็นอันจบสิ้นคนตระกูลซิน เหลือเพียงกู้อี้เหวิน ที่ถึงขั้นยอมตัดขาดกับตระกูลเดิมของมารดา เพียงเพราะฝั่งนั้นมีคดีติดตัวพ่อสามีของซูเยว่ซินที่ยามนี้ยังมีชีวิตอยู่ดี ก็คงจะเป็นเพราะภรรยาไม่ได้จากไปเฉกเช่นในชีวิตก่อน คน
หลูเจียงหลีมองหญิงคณิกาที่นั่งตัวสั่นอยู่บนเตียงด้วยแววตาดูถูก ทว่าเพียงแวบเดียวนางกลับเห็นแววตาเย้ยหยันของอีกฝ่ายที่มองมายังนาง ก่อนที่หญิงคณิกาผู้นั้นจะก้มหน้าลงร่ำไห้ออกมา หลูเจียงหลีรู้แล้วว่านางผู้นี้หาใช่สตรีที่จะรับมือด้วยได้ง่าย ขอแค่ให้ผ่านค่ำคืนนี้ไป สถานะของนางในจวนตระกูลกู้มั่นคง มีหรือที่นางจะจัดการแม้กระทั่งหญิงคณิกาที่ต่ำต้อยเพียงนางเดียวไม่ได้กู้อี้เหวินจ้องบ่าวรับใช้คนสนิทด้วยสายตาตำหนิ ครานี้อีกฝ่ายทำงานผิดพลาด เห็นทีผ่านคืนนี้ไปเขาต้องสั่งโบยเพื่อให้หลาบจำ จะได้ไม่ปล่อยให้เขาได้พบเจอกับเรื่องที่อับอายเช่นนี้อีก ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่บนรถม้าที่มีหลูเจียงหลีนั่งมองมายังเขา กู้อี้เหวินทอดถอนใจออกมา ก่อนที่จะเอ่ยปากบอกนางตรงๆ“ไหนๆ เจ้าก็แต่งเข้ามาเป็นภรรยาเอกของข้าแล้ว หลังจากนี้ไป ข้าจะรับอนุภรรยาเข้ามา” หลูเจียงหลีถึงกับตะลึงในคำพูดของผู้เป็นสามี“แต่เราเพิ่งจะแต่งงานกันนะเจ้าคะ พี่ชายใหญ่ของท่านแต่งก่อนท่านตั้งหลายเดือนด้วยซ้ำ แต่เขายังไม่มีวี่แววที่จะรับอนุภรรยาเลย นอกเสียจากว่าข้ามีครรภ์ นั่นถึงจะเป็นเหตุผลที่ดีหากท่านต้องการจะรับ