หกวันหลังจากที่ซูเยว่ซินได้พบกับสองพี่น้องตระกูลกู้ที่ตลาดตวนอี เทศกาลชมดอกเบญจมาศประจำปีของเมืองหลวงก็เวียนมาถึง จวนใหญ่ๆ ต่างจัดงานชมดอกเบญจมาศอย่างไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด จวนสกุลกู้เองก็เช่นกัน มีเพียงสองแม่ลูกที่กำลังนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ภายในเรือนของตน เพราะเป็นอนุภรรยาและบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปร่วมงาน กู้อี้เหวินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้ ที่จะป่ายปีนขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูง
“เหวินเอ๋อร์… เรื่องที่แม่บอกเจ้า เจ้านำไปบอกแม่นางสกุลหลูแล้วหรือยัง” อนุซิน หรือซินอี้ถงเอ่ยถามบุตรชายออกมา สายตาก็หาได้ละจากผ้าในมือไม่ “บอกแล้วขอรับท่านแม่ เรื่องนั้นท่านโปรดจงวางใจ” เสียงทุ้มนุ่มฟังแล้วรื่นหูดังออกมาจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกัน “แล้วเจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไรว่าแม่นางหลูผู้นั้นจะยอมทำตาม” อนุซินยังคงไม่ไว้ใจสตรีของบุตรชาย เพราะเรื่องนี้หากผิดพลาดมีแต่สตรีผู้นั้นที่ต้องเป็นฝ่ายอับอาย “สตรีผู้นั้นลุ่มหลงในหน้าตาและคำหวานของลูกจะตายไป นางย่อมทำตามสิ่งที่ลูกต้องการอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มละสายตาจากตำราแล้วเงยหน้าตอบมารดาอย่างมั่นอกมั่นใจ “หึ… ขอให้สำเร็จทีเถอะ แม่อยากเห็นสีหน้าของฮูหยินใหญ่ยิ่งนัก จัดงานเสียใหญ่โต บุตรีที่นางเฝ้าทะนุถนอมกลับทำตัวเป็นเด็กที่ไร้การอบรมสั่งสอน” ผู้ฟังเหยียดยิ้มออกมา ก่อนที่จะเบนสายตากลับไปสนใจตำราในมือต่อ เพราะถ้าหากครานี้เขายังสอบไม่ผ่านระดับชิวซื่ออีก มีหวังเขาต้องถูกพี่ชายต่างมารดา บดบังรัศมีความเป็นบุตรชายของท่านสิงปู้ เจ้ากรมการตุลาการไปจนหมดสิ้นเป็นแน่ เพียงแค่ทุกวันนี้ชื่อเสียงของเขาก็ไม่เป็นที่กล่าวถึงแล้ว “อ้อ…เจ้าได้ยินเรื่องที่เมืองหลวงของเรามีตระกูลแม่ทัพย้ายมาประจำการใหม่หรือยัง" “ได้ยินแล้วขอรับท่านแม่” เขาตอบมารดาทว่าสายตาก็ยังคงกวาดตัวอักษรตรงหน้า "หากเจ้าสามารถผูกไมตรีกับคุณชายใหญ่ตระกูลแม่ทัพไว้ได้ก็ดี และแม่ยังได้ยินมาว่าตระกูลนี้ยังมีบุตรีด้วยนางหนึ่ง มีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก หากเป็นไปได้…ถ้าเจ้าได้นางมาเป็นคู่หมาย หนทางการเป็นผู้นำตระกูลของเจ้าในวันหน้านั้นคงไม่ยาก” คำกล่าวของมารดาทำให้กู้อี้เหวินฉุกคิดทันที เขายังไม่เคยได้พบหน้าคุณชายใหญ่ตระกูลแม่ทัพ หรือคุณหนูรองที่มารดากล่าวมาเลยสักครา วันนี้หากเขาออกไปแอบมองผู้คนที่มาร่วมงานเลี้ยงภายในจวน ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นหน้าของทั้งสองพี่น้องตระกูลแม่ทัพก็เป็นได้ “ท่านแม่…ถ้าเช่นนั้นข้าขอออกไปแอบดูว่าผู้ใดคือสองพี่น้องตระกูลแม่ทัพได้หรือไม่ วันนี้คนพวกนั้นจะต้องได้รับเชิญให้มาร่วมงานที่นี่เป็นแน่ จะให้เสียโอกาสอันดีเช่นนี้ไปไม่ได้เป็นอันขาด” เขารีบขออนุญาตมารดาทันที อนุซินมีหรือจะขัดขวาง เพียงกำชับบุตรชายว่าให้แอบซ่อนตัวดีๆ เพราะเป็นบุตรของอนุจึงมีข้อห้ามในการใช้ชีวิตในจวน เรื่องนี้ทำให้อนุซินรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอยู่ไม่น้อย มีงานใหญ่ๆ ก็มักจะไม่ได้เข้าร่วม นอกจากงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ที่นางสามารถโผล่หน้าไปร่วมงานได้ หากภายภาคหน้าบุตรชายได้เป็นผู้นำตระกูล มีหรือที่นางจะยังคงมีชีวิตที่ต่ำต้อย ถูกกดอยู่ใต้อำนาจของฮูหยินใหญ่เช่นนี้ ทางด้านสวนดอกไม้ที่อยู่กลางจวน ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดงาน มีศาลารายล้อมสระน้ำเอาไว้ สะพานไม้เป็นทางเดินเชื่อมระหว่างทางไปยังศาลาต่างๆ สาวรับใช้เดินกันให้ขวักไขว่เพื่อลำเลียงอาหารมาวางตามโต๊ะของแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย หญิงอยู่ทางด้านปีกซ้าย ชายอยู่ทางด้านปีกขวา ตระกูลซูเดินทางมาถึงไม่ช้าไม่ไวนัก หลังจากคำนับทักทายใต้เท้ากู้และกู้ฮูหยินแล้ว กู้ฮูหยินจึงพาซูฮูหยินและบุตรีของนางไปนั่งร่วมโต๊ะกับเจียงฮูหยิน เหตุการณ์ล้วนเป็นไปเฉกเช่นในชีวิตก่อน ทำให้ซูเยว่ซินเริ่มแน่ใจว่า เหตุการณ์ที่สตรีผู้นั้นใส่ความคุณหนูรองสกุลกู้นั้นย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดนตรีจากคณะดนตรีที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวงเริ่มถูกบรรเลงขึ้น ซูเยว่ซินสดับฟังท่วงทำนองก็เริ่มรู้สึกคุ้นเคย และรู้สึกว่าใกล้ถึงยามที่หลูเจียงหลี จะสั่งให้คนผลักคุณหนูสกุลเจียงตกลงไปในสระน้ำเข้ามาทุกที จากนั้นความวุ่นวายก็จะเกิดขึ้นจนงานในวันนี้กร่อยไปเลยทีเดียว แล้วนางจะทนเห็นแผนการของอีกฝ่ายสำเร็จได้เยี่ยงไรกัน ซูเยว่ซินเริ่มทำทีมองหาคุณหนูทั้งสองตระกูล ก็ไม่พบว่าพวกนางอยู่ในศาลา แต่ดูเหมือนว่าเจียงฮูหยินจะสังเกตเห็น นางจึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าคงเบื่อล่ะสิท่า ที่นี่มีแต่พวกผู้ใหญ่ ก่อนที่ซูฮูหยินกับคุณหนูรองซูจะมาถึง บุตรีของข้ากับคุณหนูรองสกุลกู้ พากันออกไปเดินชมดอกเบญจมาศทางสวนด้านขวาโน่นแน่ะ เจ้าอยากจะไปตามหาพวกนางหรือไม่” ซูฮูหยินมองบุตรสาวแล้วก็นึกเห็นใจ เพราะถึงเยี่ยงไรแล้วซินเอ๋อร์ของนางก็ยังคงเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม คงจะอยากสนทนากับเด็กสาววัยเดียวกันเสียมากกว่า นางจึงบอกให้บุตรสาวลุกไปตามหาคุณหนูทั้งสอง ซูเยว่ซินได้โอกาสจึงลุกขึ้นยืนคำนับผู้อาวุโสทั้งสอง แล้วจึงออกจากศาลาหลังนี้ มุ่งหน้าไปตามทางที่เจียงฮูหยินบอกมา สตรีต่างวัยทั้งสองกำลังชื่นชมดอกเบญจมาศกันอยู่อย่างเพลิดเพลิน สาวรับใช้และผู้คุ้มกันคอยติดตามอยู่ไม่ไกล ครั้นซูเยว่ซินเดินเข้ามาใกล้ ผู้คุ้มกันก็ทำหน้าที่ของตน ทว่าเป็นสาวรับใช้คนสนิทของกู้มู่หรงที่บอกว่าอย่าเสียมารยาท เพราะสตรีตรงหน้าคือคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพ และก็เป็นแขกคนสำคัญของคุณหนูรอง กู้มู่หรงเห็นว่าผู้มาใหม่คือผู้ใดจึงรีบปรี่เข้าไปหา “คารวะพี่หญิงซู ท่านเพิ่งมาถึงหรือเจ้าคะ” ซูเยว่ซินรับการคำนับก่อนที่จะนางจะคำนับสตรีอีกคนที่นางย่อมรู้จักอีกฝ่ายดีจากชีวิตก่อน สตรีที่มีรูปร่างบอบบาง แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามสีชมพูอ่อน นางส่งยิ้มออกมาอย่างมีมิตรไมตรี แล้วคำนับซูเยว่ซินเช่นกัน “พี่หญิงเจียง นี่คือพี่หญิงซู คุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพ พี่หญิงซูนี่คือพี่หญิงเจียง คุณหนูใหญ่แห่งจวนท่านเจ้าเมืองเจ้าค่ะ” กู้มู่หรงรีบแนะนำพี่สาวทั้งสองให้รู้จักกันด้วยความยินดี ทั้งสองพยักหน้าพลางส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กัน ก่อนที่กู้มู่หรงจะพาสตรีทั้งสอง เดินชมดอกเบญจมาศในสวนที่มารดาปลูกเอาไว้ ผู้ที่แอบมองอยู่ไม่ไกลถึงกับตกตะลึงในความงดงามของสตรี ที่เขาได้ยินบ่าวรับใช้ที่ให้ไปสืบมา บอกว่านางคือคุณหนูรองแห่งจวนแม่ทัพนั่นเอง หากนางมีรูปโฉมงดงามเช่นนี้ แล้วเขาจะต้องรังเกียจรังงอนไปไย ติดเพียงแค่ว่าสถานะของนางนั้นสูงส่งกว่าเขามากเกินไป แล้วเขาจะทำเยี่ยงไรให้นางหันมามองเขาดี ชายหนุ่มมองสตรีผู้นั้นอยู่เนิ่นนานพลางคิดแผนการอยู่ภายในใจ จากนั้นจึงรีบกลับเรือนเพื่อหารือกับมารดาของตนในทันที คุณหนูทั้งสามเดินชมดอกเบญจมาศกันมาจนถึงสะพานข้ามสระน้ำ ที่เป็นสะพานเชื่อมไปยังศาลาซึ่งมีบรรดาพวกผู้ใหญ่นั่งรอพวกนางอยู่ ทว่าจู่ๆ ฝั่งตรงข้ามกลับมีสตรีผู้หนึ่ง เดินมายังทางพวกตนเข้าพอดี ซูเยว่ซินมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนพลันหัวใจเต้นแรง นางจดจำได้เป็นอย่างดีว่าสตรีผู้นี้คือสตรีชั่วช้าที่รวมหัวกับสามีในชีวิตก่อนของนางสังหารนาง นางกำมือเข้าหากันจนแน่นจิกเล็บลงกลางฝ่ามือ ความคับแค้นที่อยู่ในอกแทบจะปะทุออกมา ทว่านางจำต้องทำจิตใจให้สงบเพื่อทำลายแผนการของอีกฝ่าย สาวรับใช้ทางด้านหลังหลูเจียงหลี คือผู้ที่จะลงมือผลักคุณหนูใหญ่เจียงในยามที่เดินสวนทางกัน ครานี้มีนางอยู่ด้วยมีหรือเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น“คารวะคุณหนูใหญ่เจียง คุณหนูรองกู้ เอ่อ…แม่นางใช่คุณหนูรองจวนแม่ทัพใช่หรือไม่เจ้าคะ”หลูเจียงหลีที่มาร่วมงานในวันนี้เช่นกันคำนับสตรีทั้งสามพร้อมทั้งกล่าวทักทายออกมา รอยยิ้มเสแสร้งไม่จริงใจที่นางแสดงออกมาทำให้ซูเยว่ซินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงได้มองอีกฝ่ายไม่ออกกัน หรือจะเป็นเพราะนางเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ“ตามสบายเถิดแม่นางหลู ใช่แล้วนี่คือพี่หญิงซู คุณหนูรองสกุลซู ตระกูลแม่ทัพที่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำการในเมืองหลวงของเรา” กู้มู่หรงกล่าวออกมาอย่างไม่ถือตน นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ค่อยชอบหน้าตนนัก เพราะอีกฝ่ายมีไมตรีกับพี่ชายรอง พี่ชายต่างมารดาของนาง“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” หลูเจียงหลีหันไปผูกมิตรกับคุณหนูรองสกุลซูทันที ทว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นช่างเย็นชายิ่งนัก เพราะสตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง หลูเจียงหลีนึกขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ ทว่ากลับไม่กล้าที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา“ท่านแม่ของพวกข้ารออยู่ เห็นทีต้องขอตัวก่อน” คุณหนูใหญ่สกุลเจียงกล่าวออกมา นางไม่อยากแม้แต่จะพูดคุยกับส
หลังจากเกิดเหตุการณ์อันน่าอับอายที่สาวรับใช้ของหลูเจียงหลีทำงานผิดพลาด ทำให้ตกลงไปในสระน้ำกลางงานเลี้ยงแล้ว หลูเจียงหลีจึงไม่มีหน้าอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ นางหาโอกาสแอบหลบเลี่ยงออกจากงานเลี้ยงไปก่อน เพราะเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ นางจึงสามารถออกมาจากงานเลี้ยงได้อย่างราบรื่น และพยายามขอพบกับคุณชายรองกู้ ทว่าเขากลับส่งบ่าวรับใช้คนสนิทให้มาบอกกับนางว่า‘ทำงานไม่สำเร็จยังหวังอยากจะพบหน้าข้าอยู่อีกหรือ หากอยากให้ข้าอภัยให้เจ้า ก็จงไปตีสนิทคุณหนูรองสกุลซูเสีย พยายามผูกมิตรกับนางให้จงได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก’ คนสนิทของคุณชายรองกู้อี้เหวินกล่าวจบก็รีบหลบออกไปจากบริเวณนั้นทันทีหลูเจียงหลีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่บุรุษที่นางมอบทั้งความรักและภักดีให้ กลับเห็นนางเป็นแค่เพียงหมากตัวหนึ่ง ที่จะช่วยให้เขามีอำนาจขึ้นมา แม้จะต้องใช้วิธีที่ต่ำช้าก็ตาม“เป็นเพราะเจ้า… หากข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสาวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า คอยปรนนิบัติรับใช้ข้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ข้าจะให้ท่านแม่ขายเจ้าออกไปให้หอโคมเขียวเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
หลังจากเดินชมนกชมดอกไม้อยู่นานเกือบหนึ่งก้านธูป ซูเยว่ซินจึงไปคารวะมารดาที่เรือนซูอี้ ยามนี้บิดาและพี่ชายไม่อยู่ที่จวน บิดาออกไปสำนักบัญชาการตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนพี่ชายเข้าไปทำหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงอยู่หลายวันแล้วยังไม่กลับมา ทำให้นางต้องหมั่นแวะเวียนไปหามารดาเพื่อไม่ให้มารดาต้องรู้สึกเหงาใจเฉกเช่นในชีวิตก่อน“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างระหงย่อกายคำนับมารดา ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิงยิ้มแย้มให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ตามสบายเถิดซินเอ๋อร์ ว่าแต่เจ้ากินมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง” ซูเยว่ซินเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วจึงตอบมารดา“กินมาแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”“แม่กำลังเย็บปักลายลงบนผ้าม่าน เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่สักผืนสองผืนเถิด” เพราะไม่อยากให้มารดาเหงา ซูเยว่ซินจึงพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในงานอดิเรกของมารดา“ท่านแม่แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะให้ข้าช่วยปักลวดลายลงบนผ้าม่านจริงๆ คราก่อนที่ข้าปักผ้า ท่านพ่อก็ทักว่าเป็ดของข้าขี้เหร่” ซูฮูหยินกับป้ากุยหัวเราะออกม
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างในค่ำคืนนี้ บ่งบอกให้ได้รู้ว่ายามนี้ถึงเทศกาลชมจันทร์ที่ชาวเมืองต่างเฝ้ารอคอยแล้ว ปีนี้ตลาดตวนอีจัดงานเทศกาลชมจันทร์อย่างครึกครื้น มีทั้งการแสดงจากคณะอุปรากรที่มีชื่อเสียงของโยวโจว และละครหลังม่านจากเจียงซี เพราะยามนี้บ้านเมืองสงบสุข ทำให้ชาวเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข ซูเยว่ซินได้ออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลในค่ำคืนนี้พร้อมกับคุณหนูใหญ่สกุลเจียง ทั้งสองอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจึงไม่ยากที่จะเปิดใจคบหากันอีกทั้งยังเป็นความตั้งใจเดิมของซูเยว่ซินอยู่แล้วด้วย ชีวิตก่อนนางไม่มีมิตรมากมายข้างกาย มีเพียงสตรีผู้นั้นผู้เดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง นางจึงคิดว่านั่นคือมิตรแท้ ทำให้อีกฝ่ายหลอกใช้ความจริงใจของนาง แทงข้างหลังนางราวกับคนโง่ ชีวิตนี้หรือนางจะใช้ชีวิตเช่นเดิม ผู้ใดแสดงความจริงใจออกมา นางก็เปิดใจคบหาได้อย่างไม่ลังเล คุณหนูทั้งสองตระกูลเดินนำหน้าสาวรับใช้ที่ติดตามพวกตนมาเข้าไปภายในตลาดตวนอี ผู้คุ้มกันรอบกายของคุณหนูใหญ่เจียง ก็คอยระแวดระวังภัยให้คุณหนูทั้งสองไม่ห่าง“ซินเอ๋อร์…เจ้าไม่มีพวกผู้คุ้มกันคอยติดตามมาดูแลหรอกหรือ” คำถามนี้เจียงซีหรูเอ่ยถามซูเยว่ซินตั้งแต่อยู่บนรถม้า ระหว่าง
สตรีทั้งสองรีบออกจากงานเทศกาลไป โดยไม่สนใจบรรยากาศอันน่าสนุกสนานภายในงานอีก หลูเจียงหลีอยากเอาอกเอาใจกู้อี้เหวิน เพราะมีเพียงแต่เขาเท่านั้น ที่จะช่วยให้นางใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหลูได้อย่างไม่ยากลำบาก และในภายภาคหน้านางก็อาจจะได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างกายของเขา กลายเป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลกู้ก็เป็นได้รถม้าของตระกูลหลูถูกบังคับขับเคลื่อนให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลกู้ นางให้เถียวเอ๋อร์ลงไปบอกบ่าวผู้คุ้นกันประตูจวน ให้ไปแจ้งคุณชายรองกู้อี้เหวิน ว่าคุณหนูสี่สกุลหลูมาขอพบ พร้อมกับหยิบเงินเพื่อเป็นรางวัลให้อีกฝ่ายไปสองเหวิน บ่าวผู้นั้นจึงรีบเข้าไปรายงานให้คุณชายรองทราบทันที ผ่านไปนานเกือบหนึ่งเค่ออีกฝ่ายจึงกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด“คุณชายรองบอกว่า วันนี้เขาไม่สะดวกที่จะออกมาพบ แต่ว่าวันพรุ่งนี้ยามเซิน ขอเชิญคุณหนูสี่ไปพบคุณชายรองที่โรงเตี๊ยมเซียงซีแทนขอรับ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น หลูเจียงหลีจึงยินยอมที่จะกลับไปแต่โดยดี นางรู้ว่ายามนี้อาจจะเป็นเพราะท่านใต้เท้ากู้นั้นกำลังพำนักอยู่ที่จวน ทำให้กู้อี้เหวินไม่สะดวกที่จะออกมาพบหน้านาง เพราะคุณชายรองกู้ไม่ใช่บุตรในภรรยาเอก อีกทั้งยังสอบไม่ติดร
หลังจากที่กลับถึงเรือนซูซานแล้ว สาวรับใช้ก็ยกน้ำเข้ามาให้คุณหนูรองได้ล้างหน้าล้างตา ชิงหลวนทำหน้าที่สางผมให้ซูเยว่ซิน ส่วนชิงหลัวไปเตรียมอาภรณ์สำหรับใส่นอนให้คุณหนูรองเปลี่ยน ชิงหรงจัดเตรียมที่หลับที่นอน ครั้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซูเยว่ซินจึงสั่งให้สาวรับใช้ของนางไปนอนเช่นกัน ชิงหลวนดับไฟจากโคมก่อนที่นางจะออกจากห้องนอนของคุณหนูรองไปเป็นคนสุดท้ายซูเยว่ซินที่แสร้งล้มตัวลงนอนแล้ว กลับมิอาจข่มตานอนให้หลับได้ นางกำลังสับสนและไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใด คุณชายใหญ่กู้มู่เฉิน ถึงได้กล้าแสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ชีวิตก่อนเขาเป็นคนที่มีบุคลิกเคร่งขรึม จนตัวนางเองยังไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งหลังจากที่เขาสูญเสียผู้เป็นมารดาและบิดาในเวลาไล่เลี่ยกัน ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่เย็นชายิ่งขึ้นไปอีก พลันคิดได้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นคือความผิดของผู้ใด ความแค้นที่คับแน่นอยู่ในอกก็ทำให้นางพึมพำออกมา“เจียงหลีผู้โง่เขลา ในเมื่อเจ้าทำงานให้เขาไม่สำเร็จ เจ้าคิดว่าเขาจะยังมีไมตรีต่อเจ้าอยู่อีกหรือ แท้จริงเจ้าก็เป็นสตรีที่โง่งมไม่ต่างไปจากตัวข้าในชีวิตก่อนเลย แต่เป็นเพราะชีวิตก่อนข้าหลงเชื่อ
แขนเรียวเสลาทั้งสองข้างโอบกอดชายหนุ่มเอาไว้ราวกับต้องการปลอบใจ ใบหน้างามเห่อร้อน ใจก็เต้นโครมคราม ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมา มือหนาอีกข้างจับไปที่เรือนผมด้านหลังของหญิงสาว แล้วดึงใบหน้างามให้โน้มลงมา ริมฝีปากของทั้งสองแนบชิดก่อนที่ชายหนุ่มจะอุ้มหญิงสาวตรงไปยังเตียงนอนที่อยู่หลังม่านกั้น สองร่างโรมรันกันอย่างไร้ซึ่งความละอาย ไม่นานนักอาภรณ์ที่สวมใส่ติดกายก็หลุดลุ่ย เสียงครางต่ำของหญิงสาวดังขึ้นมา ยามที่ริมฝีปากหนาจุมพิตไปตามลำคอระหง ชายหนุ่มขบเม้มหนักเบาตามแรงอารมณ์ หญิงสาวเผยสีหน้าเย้ายวนชวนลุ่มหลงออกมาทันทีที่สองร่างสอดประสานกันดั่งฉินเส้อ เสียงครางต่ำก็ดังขึ้นปะปนไปกับเสียงของเตียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าด กว่าเมฆจะเคลื่อน น้ำค้างจะพรมก็ทำเอาทั้งสองร่างพากันไร้เรี่ยวแรงกันเลยทีเดียว ชายหนุ่มถอดถอนตัวตน แล้วผละกายไปนอนแผ่หลาอยู่ข้างกายสตรีงาม เขายอมรับเลยว่าสตรีเช่นหลูเจียงหลีนั้น เหมาะสมยิ่งนักที่จะเป็นสตรีเพื่อให้เขาได้ระบายอารมณ์ ยามนี้ความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายทำงานล้มเหลวซ้ำๆ จึงค่อยๆ บางเบาลงไปหลังจากอาบน้ำและสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงกลับมานั่งคุยกันเช่นเดิม กู้อี้เหวินอารมณ์ดีข
ณ จวนตระกูลกู้ จวนของตระกูลขุนนางที่มีรั้วสูงท่วมศีรษะ ภายในเรือนใหญ่ของผู้นำตระกูล ปรากฏร่างของสตรีนางหนึ่งในลักษณะท่าทางกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้นเรือน มือข้างหนึ่งของนางยันพื้นเอาไว้ มืออีกข้างถูกยกขึ้นมากุมหน้าอกเพราะความรู้สึกเจ็บปวด ด้านนอกเรือนมีร่างของสาวรับใช้คนสนิทที่เพิ่งจะสิ้นใจไปก่อนหน้า เพราะถูกลูกน้องของผู้ชายสารเลวตรงหน้าแทงด้วยมีดอันแหลมคม แม้แต่ตัวนางเองในยามนี้ก็คงไม่อาจจะมีชีวิตรอดไปได้แล้วเช่นกัน“เพราะเหตุใด ท่านกับนางถึงได้ร่วมมือกันสังหารข้าได้ลงคอ ข้าคือภรรยาของท่านนะ กู้อี้เหวิน อ๊อก!!”โลหิตสีดำกระเด็นออกมาจากริมฝีปากที่เคยงดงาม ยามนี้มันเริ่มเปลี่ยนสีเป็นม่วงคล้ำจนไม่น่ามอง สาเหตุมาจากยาพิษที่นางเพิ่งจะดื่มเข้าไป นัยน์ตากลมยามนี้แดงก่ำจ้องมองสามีอันเป็นที่รัก โอบกอดร่างบางของสหายสนิทของนางเอาไว้ในอ้อมอก ด้วยความเคียดแค้น“โถๆๆ ซูเยว่ซิน เจ้าช่างเป็นสตรีที่น่าสงสารยิ่งนัก ไหนๆ เจ้าก็จะตายอยู่แล้ว ข้าจะเมตตาบอกความจริงทั้งหมดให้เจ้ารับรู้ก็แล้วกัน ข้ากับท่านพี่อี้เหวิน เรารักกันมานาน ก่อนที่เขาจะได้พบกับเจ้าเสียอีก แต่เป็นเจ้าที่โง่เอง คิดว่าเขารักเจ้าจริง จนย
แขนเรียวเสลาทั้งสองข้างโอบกอดชายหนุ่มเอาไว้ราวกับต้องการปลอบใจ ใบหน้างามเห่อร้อน ใจก็เต้นโครมคราม ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมา มือหนาอีกข้างจับไปที่เรือนผมด้านหลังของหญิงสาว แล้วดึงใบหน้างามให้โน้มลงมา ริมฝีปากของทั้งสองแนบชิดก่อนที่ชายหนุ่มจะอุ้มหญิงสาวตรงไปยังเตียงนอนที่อยู่หลังม่านกั้น สองร่างโรมรันกันอย่างไร้ซึ่งความละอาย ไม่นานนักอาภรณ์ที่สวมใส่ติดกายก็หลุดลุ่ย เสียงครางต่ำของหญิงสาวดังขึ้นมา ยามที่ริมฝีปากหนาจุมพิตไปตามลำคอระหง ชายหนุ่มขบเม้มหนักเบาตามแรงอารมณ์ หญิงสาวเผยสีหน้าเย้ายวนชวนลุ่มหลงออกมาทันทีที่สองร่างสอดประสานกันดั่งฉินเส้อ เสียงครางต่ำก็ดังขึ้นปะปนไปกับเสียงของเตียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าด กว่าเมฆจะเคลื่อน น้ำค้างจะพรมก็ทำเอาทั้งสองร่างพากันไร้เรี่ยวแรงกันเลยทีเดียว ชายหนุ่มถอดถอนตัวตน แล้วผละกายไปนอนแผ่หลาอยู่ข้างกายสตรีงาม เขายอมรับเลยว่าสตรีเช่นหลูเจียงหลีนั้น เหมาะสมยิ่งนักที่จะเป็นสตรีเพื่อให้เขาได้ระบายอารมณ์ ยามนี้ความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายทำงานล้มเหลวซ้ำๆ จึงค่อยๆ บางเบาลงไปหลังจากอาบน้ำและสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงกลับมานั่งคุยกันเช่นเดิม กู้อี้เหวินอารมณ์ดีข
หลังจากที่กลับถึงเรือนซูซานแล้ว สาวรับใช้ก็ยกน้ำเข้ามาให้คุณหนูรองได้ล้างหน้าล้างตา ชิงหลวนทำหน้าที่สางผมให้ซูเยว่ซิน ส่วนชิงหลัวไปเตรียมอาภรณ์สำหรับใส่นอนให้คุณหนูรองเปลี่ยน ชิงหรงจัดเตรียมที่หลับที่นอน ครั้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซูเยว่ซินจึงสั่งให้สาวรับใช้ของนางไปนอนเช่นกัน ชิงหลวนดับไฟจากโคมก่อนที่นางจะออกจากห้องนอนของคุณหนูรองไปเป็นคนสุดท้ายซูเยว่ซินที่แสร้งล้มตัวลงนอนแล้ว กลับมิอาจข่มตานอนให้หลับได้ นางกำลังสับสนและไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใด คุณชายใหญ่กู้มู่เฉิน ถึงได้กล้าแสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ชีวิตก่อนเขาเป็นคนที่มีบุคลิกเคร่งขรึม จนตัวนางเองยังไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งหลังจากที่เขาสูญเสียผู้เป็นมารดาและบิดาในเวลาไล่เลี่ยกัน ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่เย็นชายิ่งขึ้นไปอีก พลันคิดได้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นคือความผิดของผู้ใด ความแค้นที่คับแน่นอยู่ในอกก็ทำให้นางพึมพำออกมา“เจียงหลีผู้โง่เขลา ในเมื่อเจ้าทำงานให้เขาไม่สำเร็จ เจ้าคิดว่าเขาจะยังมีไมตรีต่อเจ้าอยู่อีกหรือ แท้จริงเจ้าก็เป็นสตรีที่โง่งมไม่ต่างไปจากตัวข้าในชีวิตก่อนเลย แต่เป็นเพราะชีวิตก่อนข้าหลงเชื่อ
สตรีทั้งสองรีบออกจากงานเทศกาลไป โดยไม่สนใจบรรยากาศอันน่าสนุกสนานภายในงานอีก หลูเจียงหลีอยากเอาอกเอาใจกู้อี้เหวิน เพราะมีเพียงแต่เขาเท่านั้น ที่จะช่วยให้นางใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหลูได้อย่างไม่ยากลำบาก และในภายภาคหน้านางก็อาจจะได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างกายของเขา กลายเป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลกู้ก็เป็นได้รถม้าของตระกูลหลูถูกบังคับขับเคลื่อนให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลกู้ นางให้เถียวเอ๋อร์ลงไปบอกบ่าวผู้คุ้นกันประตูจวน ให้ไปแจ้งคุณชายรองกู้อี้เหวิน ว่าคุณหนูสี่สกุลหลูมาขอพบ พร้อมกับหยิบเงินเพื่อเป็นรางวัลให้อีกฝ่ายไปสองเหวิน บ่าวผู้นั้นจึงรีบเข้าไปรายงานให้คุณชายรองทราบทันที ผ่านไปนานเกือบหนึ่งเค่ออีกฝ่ายจึงกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด“คุณชายรองบอกว่า วันนี้เขาไม่สะดวกที่จะออกมาพบ แต่ว่าวันพรุ่งนี้ยามเซิน ขอเชิญคุณหนูสี่ไปพบคุณชายรองที่โรงเตี๊ยมเซียงซีแทนขอรับ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น หลูเจียงหลีจึงยินยอมที่จะกลับไปแต่โดยดี นางรู้ว่ายามนี้อาจจะเป็นเพราะท่านใต้เท้ากู้นั้นกำลังพำนักอยู่ที่จวน ทำให้กู้อี้เหวินไม่สะดวกที่จะออกมาพบหน้านาง เพราะคุณชายรองกู้ไม่ใช่บุตรในภรรยาเอก อีกทั้งยังสอบไม่ติดร
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างในค่ำคืนนี้ บ่งบอกให้ได้รู้ว่ายามนี้ถึงเทศกาลชมจันทร์ที่ชาวเมืองต่างเฝ้ารอคอยแล้ว ปีนี้ตลาดตวนอีจัดงานเทศกาลชมจันทร์อย่างครึกครื้น มีทั้งการแสดงจากคณะอุปรากรที่มีชื่อเสียงของโยวโจว และละครหลังม่านจากเจียงซี เพราะยามนี้บ้านเมืองสงบสุข ทำให้ชาวเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข ซูเยว่ซินได้ออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลในค่ำคืนนี้พร้อมกับคุณหนูใหญ่สกุลเจียง ทั้งสองอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจึงไม่ยากที่จะเปิดใจคบหากันอีกทั้งยังเป็นความตั้งใจเดิมของซูเยว่ซินอยู่แล้วด้วย ชีวิตก่อนนางไม่มีมิตรมากมายข้างกาย มีเพียงสตรีผู้นั้นผู้เดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง นางจึงคิดว่านั่นคือมิตรแท้ ทำให้อีกฝ่ายหลอกใช้ความจริงใจของนาง แทงข้างหลังนางราวกับคนโง่ ชีวิตนี้หรือนางจะใช้ชีวิตเช่นเดิม ผู้ใดแสดงความจริงใจออกมา นางก็เปิดใจคบหาได้อย่างไม่ลังเล คุณหนูทั้งสองตระกูลเดินนำหน้าสาวรับใช้ที่ติดตามพวกตนมาเข้าไปภายในตลาดตวนอี ผู้คุ้มกันรอบกายของคุณหนูใหญ่เจียง ก็คอยระแวดระวังภัยให้คุณหนูทั้งสองไม่ห่าง“ซินเอ๋อร์…เจ้าไม่มีพวกผู้คุ้มกันคอยติดตามมาดูแลหรอกหรือ” คำถามนี้เจียงซีหรูเอ่ยถามซูเยว่ซินตั้งแต่อยู่บนรถม้า ระหว่าง
หลังจากเดินชมนกชมดอกไม้อยู่นานเกือบหนึ่งก้านธูป ซูเยว่ซินจึงไปคารวะมารดาที่เรือนซูอี้ ยามนี้บิดาและพี่ชายไม่อยู่ที่จวน บิดาออกไปสำนักบัญชาการตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนพี่ชายเข้าไปทำหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงอยู่หลายวันแล้วยังไม่กลับมา ทำให้นางต้องหมั่นแวะเวียนไปหามารดาเพื่อไม่ให้มารดาต้องรู้สึกเหงาใจเฉกเช่นในชีวิตก่อน“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างระหงย่อกายคำนับมารดา ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิงยิ้มแย้มให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ตามสบายเถิดซินเอ๋อร์ ว่าแต่เจ้ากินมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง” ซูเยว่ซินเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วจึงตอบมารดา“กินมาแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”“แม่กำลังเย็บปักลายลงบนผ้าม่าน เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่สักผืนสองผืนเถิด” เพราะไม่อยากให้มารดาเหงา ซูเยว่ซินจึงพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในงานอดิเรกของมารดา“ท่านแม่แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะให้ข้าช่วยปักลวดลายลงบนผ้าม่านจริงๆ คราก่อนที่ข้าปักผ้า ท่านพ่อก็ทักว่าเป็ดของข้าขี้เหร่” ซูฮูหยินกับป้ากุยหัวเราะออกม
หลังจากเกิดเหตุการณ์อันน่าอับอายที่สาวรับใช้ของหลูเจียงหลีทำงานผิดพลาด ทำให้ตกลงไปในสระน้ำกลางงานเลี้ยงแล้ว หลูเจียงหลีจึงไม่มีหน้าอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ นางหาโอกาสแอบหลบเลี่ยงออกจากงานเลี้ยงไปก่อน เพราะเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ นางจึงสามารถออกมาจากงานเลี้ยงได้อย่างราบรื่น และพยายามขอพบกับคุณชายรองกู้ ทว่าเขากลับส่งบ่าวรับใช้คนสนิทให้มาบอกกับนางว่า‘ทำงานไม่สำเร็จยังหวังอยากจะพบหน้าข้าอยู่อีกหรือ หากอยากให้ข้าอภัยให้เจ้า ก็จงไปตีสนิทคุณหนูรองสกุลซูเสีย พยายามผูกมิตรกับนางให้จงได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก’ คนสนิทของคุณชายรองกู้อี้เหวินกล่าวจบก็รีบหลบออกไปจากบริเวณนั้นทันทีหลูเจียงหลีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่บุรุษที่นางมอบทั้งความรักและภักดีให้ กลับเห็นนางเป็นแค่เพียงหมากตัวหนึ่ง ที่จะช่วยให้เขามีอำนาจขึ้นมา แม้จะต้องใช้วิธีที่ต่ำช้าก็ตาม“เป็นเพราะเจ้า… หากข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสาวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า คอยปรนนิบัติรับใช้ข้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ข้าจะให้ท่านแม่ขายเจ้าออกไปให้หอโคมเขียวเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
“คารวะคุณหนูใหญ่เจียง คุณหนูรองกู้ เอ่อ…แม่นางใช่คุณหนูรองจวนแม่ทัพใช่หรือไม่เจ้าคะ”หลูเจียงหลีที่มาร่วมงานในวันนี้เช่นกันคำนับสตรีทั้งสามพร้อมทั้งกล่าวทักทายออกมา รอยยิ้มเสแสร้งไม่จริงใจที่นางแสดงออกมาทำให้ซูเยว่ซินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงได้มองอีกฝ่ายไม่ออกกัน หรือจะเป็นเพราะนางเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ“ตามสบายเถิดแม่นางหลู ใช่แล้วนี่คือพี่หญิงซู คุณหนูรองสกุลซู ตระกูลแม่ทัพที่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำการในเมืองหลวงของเรา” กู้มู่หรงกล่าวออกมาอย่างไม่ถือตน นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ค่อยชอบหน้าตนนัก เพราะอีกฝ่ายมีไมตรีกับพี่ชายรอง พี่ชายต่างมารดาของนาง“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” หลูเจียงหลีหันไปผูกมิตรกับคุณหนูรองสกุลซูทันที ทว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นช่างเย็นชายิ่งนัก เพราะสตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง หลูเจียงหลีนึกขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ ทว่ากลับไม่กล้าที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา“ท่านแม่ของพวกข้ารออยู่ เห็นทีต้องขอตัวก่อน” คุณหนูใหญ่สกุลเจียงกล่าวออกมา นางไม่อยากแม้แต่จะพูดคุยกับส
หกวันหลังจากที่ซูเยว่ซินได้พบกับสองพี่น้องตระกูลกู้ที่ตลาดตวนอี เทศกาลชมดอกเบญจมาศประจำปีของเมืองหลวงก็เวียนมาถึง จวนใหญ่ๆ ต่างจัดงานชมดอกเบญจมาศอย่างไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด จวนสกุลกู้เองก็เช่นกัน มีเพียงสองแม่ลูกที่กำลังนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ภายในเรือนของตน เพราะเป็นอนุภรรยาและบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปร่วมงาน กู้อี้เหวินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้ ที่จะป่ายปีนขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูง“เหวินเอ๋อร์… เรื่องที่แม่บอกเจ้า เจ้านำไปบอกแม่นางสกุลหลูแล้วหรือยัง” อนุซิน หรือซินอี้ถงเอ่ยถามบุตรชายออกมา สายตาก็หาได้ละจากผ้าในมือไม่“บอกแล้วขอรับท่านแม่ เรื่องนั้นท่านโปรดจงวางใจ” เสียงทุ้มนุ่มฟังแล้วรื่นหูดังออกมาจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกัน“แล้วเจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไรว่าแม่นางหลูผู้นั้นจะยอมทำตาม” อนุซินยังคงไม่ไว้ใจสตรีของบุตรชาย เพราะเรื่องนี้หากผิดพลาดมีแต่สตรีผู้นั้นที่ต้องเป็นฝ่ายอับอาย“สตรีผู้นั้นลุ่มหลงในหน้าตาและคำหวานของลูกจะตายไป นางย่อมทำตามสิ่งท
เช้าวันต่อมาซูเยว่ซินขออนุญาตมารดาออกไปเที่ยวที่ตลาดตวนอี เพราะอยากจะหาซื้อของกำนัลให้แก่กู้ฮูหยินในวันงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศ ที่ตระกูลของนางได้รับเทียบเชิญให้ไปเข้าร่วม งานนี้จะเป็นงานแรกที่ครอบครัวของนางจะได้พบปะบรรดาขุนนางและฮูหยินของขุนนางเหล่านั้นเพื่อเป็นการผูกไมตรี ซูฮูหยินเห็นดีเห็นงามที่บุตรสาวจะออกไปหาเลือกซื้อของกำนัล จึงมอบเงินให้แก่บุตรสาวไป และกำชับสาวรับใช้คนสนิทของซูเยว่ซิน ว่าให้พวกนางดูแลคุณหนูรองให้ดี ทั้งนายทั้งบ่าวรวมสี่คน จึงนั่งรถม้าออกจากจวนตระกูลซูไปในปลายยามเซินออกจากจวนมาได้ไม่นานเท่าใดนัก รถม้าก็หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมเซียงซี สตรีทั้งสี่ลงมาจากรถม้าตามลำดับ ซูเยว่ซินก็ไม่ถามไถ่ผู้ใดให้มากความ นางเดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับชิวจี้ทันที สาวรับใช้ทั้งสามติดตามคุณหนูรองไปไม่ห่าง หญิงสาววัยแรกแย้มที่มีรูปโฉมงดงาม แต่งกายด้วยเป้ยจึสีชมพู ชายผ้าปลิวสไวยามที่นางเยื้องย่าง ทำให้ผู้คนที่กำลังผ่านไปผ่านมา อดที่จะเหลียวมองนางอย่างชื่นชมไม่ได้ และทุกย่างก้าวของนาง ตกอยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งจิบชาอยู่บนหอจิ่วซา เขามองตามนางไปด้วยแววตาสนใจ“คุณชายให