จวนแม่ทัพที่แต่ก่อนนี้เคยเป็นจวนว่างเปล่า ทว่ายามนี้กลับคึกคักขึ้นมา เพราะว่าเจ้าของจวนคนใหม่นั้นมากด้วยบารมี ผู้คนต่างอยากที่จะเข้าหา เพื่อมาผูกมิตรกับเขา ทำให้ฮูหยินและลูกๆ ของเขา พลอยได้รับไมตรีไปด้วย ยามนี้ซูเยว่ซินรู้ดี ว่าทุกคนที่เข้ามาล้วนแล้วแต่ก็มีเป้าหมาย ผู้ใดบ้างหว่านพืชจะไม่หวังผล ค้าขายจะไม่หวังกำไร ขุนนางเหล่านี้เองก็เช่นกัน ชีวิตก่อนนางไร้เดียงสาและซื่อเซ่อจนเกินไป ทำให้ตามคนไม่ทัน ไม่เคยคิดว่าคนที่เข้ามานั้นจะหวังผลประโยชน์อันใดจากนาง ทว่าในชีวิตนี้นางมิใช่สตรีที่เคยซื่อเซ่อ และไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของคนเหล่านี้อีกแล้ว
“บุตรีของท่านจะเข้าวัยปักปิ่นแล้วกระมัง”
ใต้เท้าจ้ง เจ้ากรมการกลาโหมที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยือนท่านแม่ทัพซูเอ่ยถามออกมา เขามีบุตรชายคนรองในวัยไล่เลี่ยกันกับบุตรชายคนโตของท่านแม่ทัพ ทำให้เขานึกสนใจในตัวของบุตรีคนรองของท่านแม่ทัพขึ้นมา หากได้เกี่ยวดองกันจะดีเพียงใด
“อีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้ากับฮูหยินก็จะจัดพิธีปักปิ่นให้นางแล้วขอรับ” ท่านแม่ทัพซูหารู้ไม่ ว่าท่านใต้เท้าจ้งนั้น แอบหมายตาบุตรีของเขาเอาไว้ให้บุตรชายคนรองของตน เขาจึงตอบออกมาตามความจริง
“โอ้…ดีจริง หากเป็นเช่นนั้น นางก็เตรียมตัวออกเรือนได้แล้วกระมัง” ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มอยู่ก่อนหน้าของท่านแม่ทัพซูเปลี่ยนไปในทันใด ก่อนที่จะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเคร่งขรึมเย็นชาขึ้นอยู่หลายส่วน
“ยังหรอกขอรับ หากเป็นเรื่องคู่ครอง ย่อมต้องให้บุตรชายคนโตแต่งภรรยาก่อน ข้าถึงจะวางใจให้บุตรีออกเรือนไป อีกทั้งยามนี้คงเอ๋อร์ก็หาได้สนใจในสตรีใดไม่ ข้าจึงคิดว่าเรื่องออกเรือนของซินเอ๋อร์คงจะยังอีกยาวไกล”
คนฟังเข้าใจในทันที ว่าท่านแม่ทัพนั้นรักและหวงแหนบุตรีของตนมากเพียงใด ใต้เท้าจ้งหาได้โกรธเคืองอีกฝ่ายไม่ ที่อีกฝ่ายตอบเขาออกมาเช่นนี้ เพราะตามหลักการแล้ว บุตรชายคนโตย่อมต้องแต่งภรรยาเข้าเรือนก่อน อย่างที่ท่านแม่ทัพกล่าวจริงๆ
เรื่องที่ท่านใต้เท้าจ้งหยิบยกมาพูดคุยในการพบปะครานี้ จึงถือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีบุตรีอยู่ในวัยออกเรือน รีบเสนอตัวออกมาแทบจะทุกคน ทำให้ท่านแม่ทัพซูรู้สึกปวดศีรษะยิ่งนัก เขาจึงรีบบอกออกมาว่า เรื่องของคู่ครองไม่ว่าจะเป็นของบุตรชายหรือบุตรสาว เขาย่อมให้ลูกๆ เป็นผู้ที่ตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง เขากับภรรยามีหน้าที่ให้คำปรึกษาและสนับสนุนลูกๆ เพียงเท่านั้น
คำพูดของท่านแม่ทัพทำให้ใต้เท้าทุกคนต่างพากันล่าถอยไป ทว่าภายในใจของแต่ละคน กลับรีบคิดแผนการที่จะทำอย่างไร ถึงจะให้บุตรสาวของพวกตน ได้อยู่ในสายตาของบุตรชายคนโตของท่านแม่ทัพ เพราะยามนี้คุณชายใหญ่สกุลซูนั้น ถือได้ว่าเป็นขุนนางหนุ่มอนาคตไกล วัยเพียงสิบหกปีก็ได้เป็นถึงรองแม่ทัพ ครั้นวัยสิบเจ็ดกลับได้รับตำแหน่งเป็นถึงรองหัวหน้าองครักษ์ในวังหลวงเสียแล้ว
หลังจากผู้มาเยือนทยอยกลับไปกันจนหมด ท่านแม่ทัพซูจึงได้โอกาสเดินกลับเข้าไปในเรือนซูอี้ ภาพของภรรยาที่นั่งพูดคุยกับบุตรีทำให้เขายิ้มแย้มออกมา ความขุ่นขึ้งพวกขุนนางจอมวุ่นวายก่อนหน้าค่อยๆ จางลงไป เขารีบเดินเข้าไปหาสตรีทั้งสอง ทว่ากลับต้องประหลาดใจที่มองเห็นชัดๆ ว่าบุตรีของเขา กำลังทำสิ่งใดอยู่ก็ทำให้เขานึกขัน จึงกล่าวหยอกเย้านางออกมา
“โอ้…มือเจ้าเปลี่ยนมาถือเข็มกับด้ายก็ดูเข้าทีอยู่ไม่น้อย ว่าแต่ซินเอ๋อร์ของพ่อ เจ้ากำลังปักลวดลายลูกเป็ดอยู่หรอกรึนั่น แต่เหตุใดถึงได้ขี้เหร่นักเล่า” ซูเยว่ซินได้ยินเช่นนั้นก็มองค้อนบิดา สาวรับใช้รอบกายพากันลอบยิ้มออกมา
แท้จริงแล้วงานเย็บปักเหล่านี้ ซูเยว่ซินมิได้มีฝีมืออ่อนด้อยอย่างที่แสดงออกมาเลยด้วยซ้ำ ในชีวิตก่อนนางนั้นมีฝีมือในด้านการเย็บปักอยู่ไม่น้อย เป็นเพราะมารดาที่คอยเคี่ยวกรำนางอย่างหนัก หลังจากที่นางหายป่วยกลับมาจากค่ายทหาร ทำให้นางสามารถเย็บปักลวดลายต่างๆ ออกมาได้อย่างงดงาม
แม้แต่งานจัดการดูแลธุระภายในเรือน นางก็ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่เลยสักครั้ง ทว่ายามที่นางออกเรือนไปแล้ว กลับมิเคยได้แสดงฝีมือในการดูแลเรือนหลังเลย มีเพียงแม่สามีเท่านั้นที่คอยดูแลทุกอย่างให้แทน ยิ่งคิดถึงเรื่องราวในชีวิตก่อนก็ช่างน่าขันและรู้สึกสมเพชตนเองไม่น้อย นางหาได้เป็นคนในครอบครัวของพวกเขาสองแม่ลูกมาตั้งแต่ต้น คนพวกนั้นเพียงแค่ต้องการใช้ประโยชน์จากนาง นางที่เป็นบุตรีของท่านแม่ทัพผู้เรืองอำนาจ
“ซินเอ่อร์….เจ้าเคืองพ่อหรือ” เสียงของท่านแม่ทัพเรียกสติของซูเยว่ซินให้กลับคืนมา นางฉีกยิ้มตาหยีให้บิดาพลางส่ายหน้าไปมาก่อนกล่าว
“ก็มือของลูกจับแต่ดาบอยู่ในสนามรบตั้งสองปีกว่า งานเย็บปักเหล่านี้ก็มีแต่ชิงหลวนที่เป็นผู้ทำให้ อีกทั้งเพิ่งจะได้ร่ำเรียนกับท่านแม่เพียงไม่กี่วัน พวกเราก็ต้องย้ายจวนเข้ามาในเมืองหลวงกันแล้วนี่เจ้าคะ จะให้ลูกปักลวดลายออกมางดงามได้เยี่ยงไรกัน” คำพูดของซูเยว่ซินทำให้มารดายิ้มกว้างออกมา ทว่าบิดากลับหัวเราะเสียงดัง
“ทำได้ถึงเพียงนี้ก็นับว่าดีมากแล้ว ท่านพี่ล่ะก็…เหตุใดถึงต้องมาพูดจาหยอกเย้าให้ลูกต้องเขินอายด้วย" ซูฮูหยินกล่าวชมบุตรสาวออกมา พลางแสร้งตำหนิสามี ท่านแม่ทัพซูพยายามกลั้นหัวเราะ ก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งลงยังตั่งเตียงที่ยังว่างอยู่ สาวรับใช้รีบรินชาให้นายท่านอย่างรู้หน้าที่
ทั้งชิงหลัวและชิงหรงที่เพิ่งจะรู้ความจริงว่า คุณหนูรองเคยอยู่ในสนามรบกับท่านแม่ทัพนานเกือบสามปี อีกทั้งยังเคยจับดาบออกรบไม่ต่างจากบุรุษอีกด้วย ทำให้สาวรับใช้ทั้งสองรู้สึกตื่นเต้น พลางนึกชื่นชมอีกฝ่ายในใจ ว่าถึงแม้จะไม่ใช่สตรีที่เก่งเรื่องการเรือน ทว่ากลับมีความกล้าหาญเฉกเช่นบุรุษ สมกับที่มีสายเลือดของนักรบไหลเวียนอยู่ในกาย เห็นทีพวกนางคงดูเบาคุณหนูรองไม่ได้เสียแล้ว
“ท่านพ่อเจ้าคะ…พิธีปักปิ่นของลูก ท่านพี่ใหญ่จะได้กลับมาหรือไม่เจ้าคะ”
หากเป็นชีวิตก่อน พี่ชายของนางย่อมอยู่ร่วมพิธีปักปิ่นของนางด้วย เพราะว่าอีกฝ่ายยังคงอยู่ในตำแหน่งของรองแม่ทัพ หาได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าองครักษ์เฉกเช่นในชีวิตนี้ไม่ เรื่องนี้คือเรื่องที่เปลี่ยนไปจากในชีวิตก่อนของนาง ในเมื่อเรื่องราวมันเปลี่ยนไปเช่นนี้แล้ว นางจะยังได้พบกับเขาตามที่เคยคาดหวังเอาไว้อยู่หรือ
“เห็นส่งคนมาบอกว่าจะกลับมา แต่ทว่ามิอาจอยู่ร่วมงานเลี้ยงในจวนได้ ก็เขาทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของเชื้อพระวงศ์ ไหนเลยจะออกมาได้ตามใจชอบ” ท่านแม่ทัพตอบบุตรสาวออกมา ในใจพลันนึกขุ่นเคือง
แม้ตระกูลซูของเขาจะดูเหมือนได้รับพระเมตตา แต่นี่ก็ไม่ต่างอันใดกับการที่ฮ่องเต้พาตัวบุตรชายของเขาไปเป็นตัวประกันอยู่ในวังหลวง คนภายนอกอาจจะมองว่า ซูเยว่คงได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ถึงได้รับตำแหน่งรองหัวหน้าองครักษ์ในวังหลวงมา ทว่าผู้ใดเลยจะรู้ดีไปกว่าเขา ว่าฝ่าบาทกำลังคิดเห็นสิ่งใดอยู่ เพราะตระกูลซูเรืองอำนาจทางการทหารมายาวนาน มีชาวบ้านเคารพนับถืออยู่ทั่วแคว้น พระองค์ย่อมหวาดระแวงตระกูลซูเป็นเรื่องธรรมดา
เรื่องนี้เองซูเยว่ซินไม่ใคร่รู้นัก เพราะชีวิตก่อนนางไม่เคยสนใจเรื่องราวเหล่านี้ นางเองก็มองเห็นเป็นเช่นเดียวกับผู้อื่น ว่าเพราะความดีความชอบที่ตระกูลซูสร้างสมมา ทำให้ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ชีวิตก่อนนางใช้ชีวิตอย่างโง่งม ไม่คบหากับผู้ใดหลังจากได้คบหาสหายเพียงหนึ่งเดียว นางจึงทุ่มเทใจให้อีกฝ่าย โดยหารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายเข้ามาหานางเพราะแผนการ และคอยกีดกันผู้ที่อยากจะมาผูกไมตรีกับนางให้ห่างไกล ครานี้มีหรือที่นางจะยอมแืดหูปิดตาแล้วคล้อยตามอีกฝ่าย ชีวิตก่อนผูกมิตร ชีวิตนี้ผูกแค้น
พิธีปักปิ่นของซูเยว่ซินถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ตามความต้องการของนาง มีสตรีอาวุโสจากตระกูลสวี ซึ่งเป็นตระกูลเดิมของมารดา ตระกูลซู และญาติดองที่พำนักอาศัยอยู่ในเมืองหลวง ที่เดินทางมาร่วมพิธี วันนี้ซูเยว่ซินแต่งกายด้วยเป้ยจึสีเหลืองอร่าม ดูงดงามตา ราวกับดอกเบญจมาศที่เพิ่งเบ่งบาน พลอยให้ผู้พบเห็นรู้สึกเพลินตาไปด้วย รอยยิ้มและท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ของคุณหนูรองสกุลซู ทำให้ผู้อาวุโสทั้งหลายรู้สึกเอ็นดูได้ไม่ยาก และพิธีปักปิ่นของนางก็ผ่านไปได้ด้วยดี
พี่ชายของนางมาเยือนตามที่เขาได้บอกบิดา ทว่าเขากลับพาบุรุษหนุ่มรูปงามกลับมายังจวนตระกูลซูด้วย ทั้งสองหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปในลานพิธีที่มีแต่สตรีอาวุโส แล้วหลบไปยังศาลากลางน้ำที่สามารถมองเห็นลานที่ใช้จัดพิธีอยู่แต่ไกลๆ เขาหันไปพูดคุยกับสหายข้างกายอย่างเป็นกันเอง
“นั่นคือน้องหญิงรองของข้าเอง”
บุรุษหนุ่มข้างกายมองตามมือที่ชี้ไป หัวใจของชายหนุ่มพลันเต้นแรง ยามที่ได้เห็นใบหน้าของสตรีวัยแรกแย้ม ที่ยามนี้กำลังถูกรายล้อมด้วยเหล่าสตรีอาวุโส ใบหน้านางประดับไปด้วยรอยยิ้ม คิ้วโก่ง จมูกโด่ง ริมฝีปากจิ้มลิ้ม สวมใส่อาภรณ์สีเหลืองอร่ามขับผิวพรรณของนางให้น่ามองยิ่งขึ้น
“พวกเจ้าห่างกันแค่สามปีเองรึ แล้วนอกจากเจ้าและน้องสาวของเจ้าแล้ว ท่านลุงกับท่านป้ายังมีทายาทผู้อื่นอีกหรือไม่” คุณชายใหญ่สกุลกู้ซักถามสหายออกมาด้วยความสนใจ ใคร่รู้
แม้เขาและอีกฝ่ายเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นานมานี้ แต่ทว่ากลับรู้สึกสนิทใจยิ่งกว่าผู้ที่คบหากันมานานเสียอีก ประมาณสิบวันก่อน เขาได้พบเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นบนถนนตรอกซืออู้ ซึ่งอยู่ห่างจากจวนแม่ทัพแห่งนี้ไปเกือบห้าลี้ อีกฝ่ายได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือเขาเอาไว้ เขาจึงตัดสินใจตอบแทนสหายผู้นี้ ด้วยการเลี้ยงสุราชั้นดีจากหอจิ่วเซียนสองกา ทว่าพูดคุยกันไปพูดคุยกันมา จึงทำให้ได้รู้ว่า ผู้มีพระคุณคือคุณชายใหญ่จวนแม่ทัพที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหลวงได้ไม่นาน เขารู้สึกว่าคุยกับอีกฝ่ายถูกคอยิ่งนัก จึงคบหากันเป็นสหายตั้งแต่นั้นมา
วันนี้อีกฝ่ายเชิญเขาให้มาเยือนที่จวนตระกูลซูด้วยกัน บอกว่าที่จวนทำพิธีปักปิ่นให้แก่น้องหญิงรองในวันนี้ แม้เขาอยากจะปฏิเสธ แต่ทว่ากลับทนการรบเร้าของอีกฝ่ายไม่ไหว และเห็นแก่ไมตรีที่มีต่อกัน ก่อนที่จะติดตามอีกฝ่ายมาจึงได้กล่าวว่า ‘ข้าติดตามไปได้ แต่ไม่ขอเข้าไปด้านใน เพราะว่าดูไม่เหมาะสม’ คุณชายใหญ่สกุลซูยิ้มรับด้วยความยินดี เขาจึงได้ติดตามสหายมา
“ท่านพ่อกับท่านแม่มีข้ากับน้องหญิงรองแค่สองคนนี่แหละ ตระกูลซูของเราถือเกียรติมีภรรยาเดียวมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตระกูลของเราจึงมีญาติสายตรงอยู่เพียงน้อยนิด” ซูเยว่คงกล่าวออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“ช่างดีเหลือเกิน ข้าเองก็อยากให้ท่านพ่อของข้ามีเพียงแต่ท่านแม่บ้าง แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
น้ำเสียงที่ฟังดูแล้วรู้สึกหดหู่ ทำให้ซูเยว่คงหันไปมองสหายข้างกาย ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นมาวางลงไปบนบ่าของอีกฝ่าย แล้วตบเบาๆ กู้มู่เฉินหันมองอีกฝ่ายมุมปากพลันยกขึ้นเพียงเล็กน้อยอย่างซึ้งใจ เท่าที่ซูเยว่คงสืบเรื่องราวของสหายผู้นี้มา คุณชายใหญ่สกุลกู้มีบิดาเป็นถึงขุนนางในตำแหน่ง สิงปู้ เจ้ากรมตุลาการ ทำหน้าที่พิจารณาคดีความและการลงทัณฑ์อยู่ในศาลอู่จง นับได้ว่ามีเกียรติและน่าเกรงขามอยู่ไม่น้อย
อีกทั้งท่านใต้เท้ากู้ยังเป็นผู้นำของตระกูลกู้ มีบุตรชายและบุตรสาวจากภรรยาเอก มีบุตรชายจากอนุภรรยาอีกหนึ่งคน ทว่าบุตรชายที่เกิดจากอนุภรรยานั้น มีความทะเยอทะยานอยู่ไม่น้อย การที่กู้มู่เฉินถูกลอบทำร้ายในวันที่เขาได้พบกับอีกฝ่าย ก็อาจจะเป็นฝีมือของน้องชายต่างมารดาก็เป็นได้ เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยชอบใจบุตรอนุผู้นัั้นยิ่งนัก
“ข้าฝากพู่หยกชิ้นนี้ให้แก่น้องสาวของเจ้าได้หรือไม่ ถือเสียว่ามอบให้น้องสาวของเจ้า เพื่อเป็นของกำนัลในวัยปักปิ่นของนาง”
คราแรกซูเยว่คงจะไม่ยอมรับ แต่ทว่าเห็นแววตาที่จริงใจเปิดเผยของอีกฝ่าย จึงยอมรับน้ำใจของกู้มู่เฉินเอาไว้แต่โดยดี เขาแอบลอบสำรวจใบหน้าของสหายหนุ่มอีกคราก็รู้สึกว่าพึงพอใจอยู่ไม่น้อย หากไม่ติดที่ว่าเรื่องราวภายในตระกูลของอีกฝ่ายค่อนข้างจะยุ่งเหยิง เขาก็คงจะยินดี หากอีกฝ่ายมาหมายตาน้องสาวของเขา
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน พอดีว่าต้องรีบกลับไปเตรียมตำราเพื่อเข้าสำนักศึกษาโจวซื่อในวันพรุ่ง"
คุณชายใหญ่สกุลกู้กล่าวออกมา ซูเยว่คงไม่กล่าวรั้งเพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นอาจารย์ของสำนักศึกษาโจวซื่อ ซึ่งเป็นสำนักศึกษาขนาดใหญ่ของเมืองหลวง ให้การอบรมศึกษาบรรดาลูกหลานขุนนาง ชนชั้นสูง เขาเดินนำหน้าพาสหายหนุ่มออกไปส่งที่หน้าประตูจวน ก่อนที่จะกลับเข้ามาเพื่อมอบของกำนัลให้น้องสาว จากนั้นเขาจึงเดินทางกลับเข้าวังหลวงทันที
ซูเยว่ซินก้มมองพู่หยกที่อยู่ในมือ พลันหัวใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ยามที่พี่ชายส่งมอบพู่หยกชิ้นนี้ให้แก่นาง แล้วบอกกับนางว่าสหายของเขาเป็นผู้ที่มอบให้ อีกฝ่ายเป็นสหายของเขาที่เพิ่งคบหากันได้ไม่นาน จึงยังไม่ได้แนะนำให้คนในตระกูลได้รู้จัก แต่ว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษที่มีจิตใจดี น่าคบหา
ครั้นนางถามพี่ชายใหญ่ว่า เขาคือคุณชายจากตระกูลใดหรือ พี่ชายก็ตอบกลับมาอย่างกระตือรือร้นว่า ตระกูลกู้ นางยังแอบนึกกังวลเกรงว่าจะเป็นกู้อี้เหวิน ที่ชีวิตนี้เข้าหานางเร็วกว่าในชีวิตก่อน ครั้นได้ยินว่าเป็นคุณชายใหญ่สกุลกู้ นั่นก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกประหลาดใจ ว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงได้กลายมาเป็นสหายของพี่ชายไปเสียได้ ทั้งที่ในชีวิตก่อนทั้งสองคนไม่เคยผูกมิตรกันเลยด้วยซ้ำ
หรือเรื่องราวในชีวิตนี้จะเปลี่ยนไปจากในชีวิตก่อน หากคนพวกนั้นไม่ใช่คนเลวขึ้นมา นางจะตัดใจทำร้ายพวกเขาได้ลงหรือ ทว่าความตั้งใจเดิมของนางย่อมไม่เปลี่ยนแปลง ชีวิตก่อนนางต้องทนทุกข์ทรมาน มองคนที่รักนางตายจากไปทีละคน ชีวิตนี้ได้รับโอกาสให้กลับมา นางจะยอมปล่อยวางหรือไม่มีทาง
“คุณหนูรองเจ้าคะ บ่าวให้คนไปสืบเรื่องของสหายคุณชายใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ” ชิงหลัวรีบเข้ามารายงานคุณหนูรองทันที หลังจากที่ซูเยว่ซินมอบหมายงานสำคัญงานแรกให้นางทำ
“ได้เรื่องว่าเยี่ยงไรบ้าง”
“พี่ซูจ้วนบอกว่า เมื่อสิบวันก่อนยามที่คุณชายใหญ่กลับออกมาจากไปรายงานตัวที่ในวังหลวง พวกเขาได้ผ่านตรอกซืออู้ ทว่าระหว่างนั้นกลับได้พบชายชุดดำกำลังจะทำร้ายคุณชายใหญ่สกุลกู้เข้าพอดี คุณชายใหญ่จึงได้ให้ความช่วยเหลืออีกฝ่าย คุณชายใหญ่สกุลกู้ซาบซึ้งใจและนับว่าเป็นพระคุณ จึงตอบแทนคุณชายใหญ่ด้วยการพาไปเลี้ยงสุราที่หอจุ้ยเซียน ทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอ และตัดสินใจคบหาเป็นสหายที่ดีต่อกันเจ้าค่ะ”
สิ่งที่ชิงหลัวเล่าออกมาทำให้ซูเยว่ซินประหลาดใจนัก ชีวิตก่อนกู้มู่เฉินได้เผชิญเหตุการณ์เช่นนี้หรือไม่ นางก็มิอาจรู้ได้ เพราะยามนี้นางกับเขายังไม่รู้จักกัน แต่ที่นางจดจำได้พี่ชายไม่เคยให้ความช่วยเหลือผู้ใด แท้จริงแล้วนางกับคุณชายใหญ่กู้มู่เฉินจะพบกันที่จวนของเขาโดยบังเอิญ ในวันเทศกาลชมดอกเบญจมาศที่กู้ฮูหยินเป็นผู้จัดขึ้น
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตนี้ เหตุใดถึงได้ต่างออกไปจนทำให้นางรู้สึกฉงนใจได้เช่นนี้ ซูเยว่ซินสลัดความคิดของตน ก่อนที่จะหยิบเงินสองอีแปะส่งให้แก่ชิงหลัว เพื่อเป็นรางวัลในการทำงานให้แก่นาง คราแรกชิงหลัวไม่กล้ารับ ทว่าชิงหลวนกลับกล่าวว่า น้ำใจของเจ้านาย พวกนางควรรับไว้ด้วยความยินดี
ชิงหลัวรู้สึกดีใจยิ่งนักที่คุณหนูรองเป็นคนใจกว้าง นางจึงยื่นมือไปรับเงินมา ก่อนที่จะเก็บซ่อนเอาไว้อย่างดี ชิงหลวนได้แต่นึกขันในท่าทางของสาวรับใช้รุ่นน้อง หากซื่อสัตย์และภักดีกับคุณหนูรอง ภายภาคหน้าย่อมได้มากกว่านี้อีก เพราะคุณหนูรองของนางนั้นทั้งใจกว้าง และเป็นผู้ที่มีน้ำใจให้สาวรับใช้เสมอมา
เช้าวันต่อมาซูเยว่ซินขออนุญาตมารดาออกไปเที่ยวที่ตลาดตวนอี เพราะอยากจะหาซื้อของกำนัลให้แก่กู้ฮูหยินในวันงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศ ที่ตระกูลของนางได้รับเทียบเชิญให้ไปเข้าร่วม งานนี้จะเป็นงานแรกที่ครอบครัวของนางจะได้พบปะบรรดาขุนนางและฮูหยินของขุนนางเหล่านั้นเพื่อเป็นการผูกไมตรี ซูฮูหยินเห็นดีเห็นงามที่บุตรสาวจะออกไปหาเลือกซื้อของกำนัล จึงมอบเงินให้แก่บุตรสาวไป และกำชับสาวรับใช้คนสนิทของซูเยว่ซิน ว่าให้พวกนางดูแลคุณหนูรองให้ดี ทั้งนายทั้งบ่าวรวมสี่คน จึงนั่งรถม้าออกจากจวนตระกูลซูไปในปลายยามเซินออกจากจวนมาได้ไม่นานเท่าใดนัก รถม้าก็หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมเซียงซี สตรีทั้งสี่ลงมาจากรถม้าตามลำดับ ซูเยว่ซินก็ไม่ถามไถ่ผู้ใดให้มากความ นางเดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับชิวจี้ทันที สาวรับใช้ทั้งสามติดตามคุณหนูรองไปไม่ห่าง หญิงสาววัยแรกแย้มที่มีรูปโฉมงดงาม แต่งกายด้วยเป้ยจึสีชมพู ชายผ้าปลิวสไวยามที่นางเยื้องย่าง ทำให้ผู้คนที่กำลังผ่านไปผ่านมา อดที่จะเหลียวมองนางอย่างชื่นชมไม่ได้ และทุกย่างก้าวของนาง ตกอยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งจิบชาอยู่บนหอจิ่วซา เขามองตามนางไปด้วยแววตาสนใจ“คุณชายให
หกวันหลังจากที่ซูเยว่ซินได้พบกับสองพี่น้องตระกูลกู้ที่ตลาดตวนอี เทศกาลชมดอกเบญจมาศประจำปีของเมืองหลวงก็เวียนมาถึง จวนใหญ่ๆ ต่างจัดงานชมดอกเบญจมาศอย่างไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด จวนสกุลกู้เองก็เช่นกัน มีเพียงสองแม่ลูกที่กำลังนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ภายในเรือนของตน เพราะเป็นอนุภรรยาและบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปร่วมงาน กู้อี้เหวินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้ ที่จะป่ายปีนขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูง“เหวินเอ๋อร์… เรื่องที่แม่บอกเจ้า เจ้านำไปบอกแม่นางสกุลหลูแล้วหรือยัง” อนุซิน หรือซินอี้ถงเอ่ยถามบุตรชายออกมา สายตาก็หาได้ละจากผ้าในมือไม่“บอกแล้วขอรับท่านแม่ เรื่องนั้นท่านโปรดจงวางใจ” เสียงทุ้มนุ่มฟังแล้วรื่นหูดังออกมาจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกัน“แล้วเจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไรว่าแม่นางหลูผู้นั้นจะยอมทำตาม” อนุซินยังคงไม่ไว้ใจสตรีของบุตรชาย เพราะเรื่องนี้หากผิดพลาดมีแต่สตรีผู้นั้นที่ต้องเป็นฝ่ายอับอาย“สตรีผู้นั้นลุ่มหลงในหน้าตาและคำหวานของลูกจะตายไป นางย่อมทำตามสิ่งท
“คารวะคุณหนูใหญ่เจียง คุณหนูรองกู้ เอ่อ…แม่นางใช่คุณหนูรองจวนแม่ทัพใช่หรือไม่เจ้าคะ”หลูเจียงหลีที่มาร่วมงานในวันนี้เช่นกันคำนับสตรีทั้งสามพร้อมทั้งกล่าวทักทายออกมา รอยยิ้มเสแสร้งไม่จริงใจที่นางแสดงออกมาทำให้ซูเยว่ซินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงได้มองอีกฝ่ายไม่ออกกัน หรือจะเป็นเพราะนางเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ“ตามสบายเถิดแม่นางหลู ใช่แล้วนี่คือพี่หญิงซู คุณหนูรองสกุลซู ตระกูลแม่ทัพที่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำการในเมืองหลวงของเรา” กู้มู่หรงกล่าวออกมาอย่างไม่ถือตน นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ค่อยชอบหน้าตนนัก เพราะอีกฝ่ายมีไมตรีกับพี่ชายรอง พี่ชายต่างมารดาของนาง“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” หลูเจียงหลีหันไปผูกมิตรกับคุณหนูรองสกุลซูทันที ทว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นช่างเย็นชายิ่งนัก เพราะสตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง หลูเจียงหลีนึกขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ ทว่ากลับไม่กล้าที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา“ท่านแม่ของพวกข้ารออยู่ เห็นทีต้องขอตัวก่อน” คุณหนูใหญ่สกุลเจียงกล่าวออกมา นางไม่อยากแม้แต่จะพูดคุยกับส
หลังจากเกิดเหตุการณ์อันน่าอับอายที่สาวรับใช้ของหลูเจียงหลีทำงานผิดพลาด ทำให้ตกลงไปในสระน้ำกลางงานเลี้ยงแล้ว หลูเจียงหลีจึงไม่มีหน้าอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ นางหาโอกาสแอบหลบเลี่ยงออกจากงานเลี้ยงไปก่อน เพราะเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ นางจึงสามารถออกมาจากงานเลี้ยงได้อย่างราบรื่น และพยายามขอพบกับคุณชายรองกู้ ทว่าเขากลับส่งบ่าวรับใช้คนสนิทให้มาบอกกับนางว่า‘ทำงานไม่สำเร็จยังหวังอยากจะพบหน้าข้าอยู่อีกหรือ หากอยากให้ข้าอภัยให้เจ้า ก็จงไปตีสนิทคุณหนูรองสกุลซูเสีย พยายามผูกมิตรกับนางให้จงได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก’ คนสนิทของคุณชายรองกู้อี้เหวินกล่าวจบก็รีบหลบออกไปจากบริเวณนั้นทันทีหลูเจียงหลีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่บุรุษที่นางมอบทั้งความรักและภักดีให้ กลับเห็นนางเป็นแค่เพียงหมากตัวหนึ่ง ที่จะช่วยให้เขามีอำนาจขึ้นมา แม้จะต้องใช้วิธีที่ต่ำช้าก็ตาม“เป็นเพราะเจ้า… หากข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสาวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า คอยปรนนิบัติรับใช้ข้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ข้าจะให้ท่านแม่ขายเจ้าออกไปให้หอโคมเขียวเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
หลังจากเดินชมนกชมดอกไม้อยู่นานเกือบหนึ่งก้านธูป ซูเยว่ซินจึงไปคารวะมารดาที่เรือนซูอี้ ยามนี้บิดาและพี่ชายไม่อยู่ที่จวน บิดาออกไปสำนักบัญชาการตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนพี่ชายเข้าไปทำหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงอยู่หลายวันแล้วยังไม่กลับมา ทำให้นางต้องหมั่นแวะเวียนไปหามารดาเพื่อไม่ให้มารดาต้องรู้สึกเหงาใจเฉกเช่นในชีวิตก่อน“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างระหงย่อกายคำนับมารดา ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิงยิ้มแย้มให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ตามสบายเถิดซินเอ๋อร์ ว่าแต่เจ้ากินมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง” ซูเยว่ซินเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วจึงตอบมารดา“กินมาแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”“แม่กำลังเย็บปักลายลงบนผ้าม่าน เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่สักผืนสองผืนเถิด” เพราะไม่อยากให้มารดาเหงา ซูเยว่ซินจึงพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในงานอดิเรกของมารดา“ท่านแม่แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะให้ข้าช่วยปักลวดลายลงบนผ้าม่านจริงๆ คราก่อนที่ข้าปักผ้า ท่านพ่อก็ทักว่าเป็ดของข้าขี้เหร่” ซูฮูหยินกับป้ากุยหัวเราะออกม
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างในค่ำคืนนี้ บ่งบอกให้ได้รู้ว่ายามนี้ถึงเทศกาลชมจันทร์ที่ชาวเมืองต่างเฝ้ารอคอยแล้ว ปีนี้ตลาดตวนอีจัดงานเทศกาลชมจันทร์อย่างครึกครื้น มีทั้งการแสดงจากคณะอุปรากรที่มีชื่อเสียงของโยวโจว และละครหลังม่านจากเจียงซี เพราะยามนี้บ้านเมืองสงบสุข ทำให้ชาวเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข ซูเยว่ซินได้ออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลในค่ำคืนนี้พร้อมกับคุณหนูใหญ่สกุลเจียง ทั้งสองอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจึงไม่ยากที่จะเปิดใจคบหากันอีกทั้งยังเป็นความตั้งใจเดิมของซูเยว่ซินอยู่แล้วด้วย ชีวิตก่อนนางไม่มีมิตรมากมายข้างกาย มีเพียงสตรีผู้นั้นผู้เดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง นางจึงคิดว่านั่นคือมิตรแท้ ทำให้อีกฝ่ายหลอกใช้ความจริงใจของนาง แทงข้างหลังนางราวกับคนโง่ ชีวิตนี้หรือนางจะใช้ชีวิตเช่นเดิม ผู้ใดแสดงความจริงใจออกมา นางก็เปิดใจคบหาได้อย่างไม่ลังเล คุณหนูทั้งสองตระกูลเดินนำหน้าสาวรับใช้ที่ติดตามพวกตนมาเข้าไปภายในตลาดตวนอี ผู้คุ้มกันรอบกายของคุณหนูใหญ่เจียง ก็คอยระแวดระวังภัยให้คุณหนูทั้งสองไม่ห่าง“ซินเอ๋อร์…เจ้าไม่มีพวกผู้คุ้มกันคอยติดตามมาดูแลหรอกหรือ” คำถามนี้เจียงซีหรูเอ่ยถามซูเยว่ซินตั้งแต่อยู่บนรถม้า ระหว่าง
สตรีทั้งสองรีบออกจากงานเทศกาลไป โดยไม่สนใจบรรยากาศอันน่าสนุกสนานภายในงานอีก หลูเจียงหลีอยากเอาอกเอาใจกู้อี้เหวิน เพราะมีเพียงแต่เขาเท่านั้น ที่จะช่วยให้นางใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหลูได้อย่างไม่ยากลำบาก และในภายภาคหน้านางก็อาจจะได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างกายของเขา กลายเป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลกู้ก็เป็นได้รถม้าของตระกูลหลูถูกบังคับขับเคลื่อนให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลกู้ นางให้เถียวเอ๋อร์ลงไปบอกบ่าวผู้คุ้นกันประตูจวน ให้ไปแจ้งคุณชายรองกู้อี้เหวิน ว่าคุณหนูสี่สกุลหลูมาขอพบ พร้อมกับหยิบเงินเพื่อเป็นรางวัลให้อีกฝ่ายไปสองเหวิน บ่าวผู้นั้นจึงรีบเข้าไปรายงานให้คุณชายรองทราบทันที ผ่านไปนานเกือบหนึ่งเค่ออีกฝ่ายจึงกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด“คุณชายรองบอกว่า วันนี้เขาไม่สะดวกที่จะออกมาพบ แต่ว่าวันพรุ่งนี้ยามเซิน ขอเชิญคุณหนูสี่ไปพบคุณชายรองที่โรงเตี๊ยมเซียงซีแทนขอรับ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น หลูเจียงหลีจึงยินยอมที่จะกลับไปแต่โดยดี นางรู้ว่ายามนี้อาจจะเป็นเพราะท่านใต้เท้ากู้นั้นกำลังพำนักอยู่ที่จวน ทำให้กู้อี้เหวินไม่สะดวกที่จะออกมาพบหน้านาง เพราะคุณชายรองกู้ไม่ใช่บุตรในภรรยาเอก อีกทั้งยังสอบไม่ติดร
หลังจากที่กลับถึงเรือนซูซานแล้ว สาวรับใช้ก็ยกน้ำเข้ามาให้คุณหนูรองได้ล้างหน้าล้างตา ชิงหลวนทำหน้าที่สางผมให้ซูเยว่ซิน ส่วนชิงหลัวไปเตรียมอาภรณ์สำหรับใส่นอนให้คุณหนูรองเปลี่ยน ชิงหรงจัดเตรียมที่หลับที่นอน ครั้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซูเยว่ซินจึงสั่งให้สาวรับใช้ของนางไปนอนเช่นกัน ชิงหลวนดับไฟจากโคมก่อนที่นางจะออกจากห้องนอนของคุณหนูรองไปเป็นคนสุดท้ายซูเยว่ซินที่แสร้งล้มตัวลงนอนแล้ว กลับมิอาจข่มตานอนให้หลับได้ นางกำลังสับสนและไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใด คุณชายใหญ่กู้มู่เฉิน ถึงได้กล้าแสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ชีวิตก่อนเขาเป็นคนที่มีบุคลิกเคร่งขรึม จนตัวนางเองยังไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งหลังจากที่เขาสูญเสียผู้เป็นมารดาและบิดาในเวลาไล่เลี่ยกัน ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่เย็นชายิ่งขึ้นไปอีก พลันคิดได้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นคือความผิดของผู้ใด ความแค้นที่คับแน่นอยู่ในอกก็ทำให้นางพึมพำออกมา“เจียงหลีผู้โง่เขลา ในเมื่อเจ้าทำงานให้เขาไม่สำเร็จ เจ้าคิดว่าเขาจะยังมีไมตรีต่อเจ้าอยู่อีกหรือ แท้จริงเจ้าก็เป็นสตรีที่โง่งมไม่ต่างไปจากตัวข้าในชีวิตก่อนเลย แต่เป็นเพราะชีวิตก่อนข้าหลงเชื่อ
แขนเรียวเสลาทั้งสองข้างโอบกอดชายหนุ่มเอาไว้ราวกับต้องการปลอบใจ ใบหน้างามเห่อร้อน ใจก็เต้นโครมคราม ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นมา มือหนาอีกข้างจับไปที่เรือนผมด้านหลังของหญิงสาว แล้วดึงใบหน้างามให้โน้มลงมา ริมฝีปากของทั้งสองแนบชิดก่อนที่ชายหนุ่มจะอุ้มหญิงสาวตรงไปยังเตียงนอนที่อยู่หลังม่านกั้น สองร่างโรมรันกันอย่างไร้ซึ่งความละอาย ไม่นานนักอาภรณ์ที่สวมใส่ติดกายก็หลุดลุ่ย เสียงครางต่ำของหญิงสาวดังขึ้นมา ยามที่ริมฝีปากหนาจุมพิตไปตามลำคอระหง ชายหนุ่มขบเม้มหนักเบาตามแรงอารมณ์ หญิงสาวเผยสีหน้าเย้ายวนชวนลุ่มหลงออกมาทันทีที่สองร่างสอดประสานกันดั่งฉินเส้อ เสียงครางต่ำก็ดังขึ้นปะปนไปกับเสียงของเตียงที่ดังเอี๊ยดอ๊าด กว่าเมฆจะเคลื่อน น้ำค้างจะพรมก็ทำเอาทั้งสองร่างพากันไร้เรี่ยวแรงกันเลยทีเดียว ชายหนุ่มถอดถอนตัวตน แล้วผละกายไปนอนแผ่หลาอยู่ข้างกายสตรีงาม เขายอมรับเลยว่าสตรีเช่นหลูเจียงหลีนั้น เหมาะสมยิ่งนักที่จะเป็นสตรีเพื่อให้เขาได้ระบายอารมณ์ ยามนี้ความขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายทำงานล้มเหลวซ้ำๆ จึงค่อยๆ บางเบาลงไปหลังจากอาบน้ำและสวมใส่อาภรณ์เรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงกลับมานั่งคุยกันเช่นเดิม กู้อี้เหวินอารมณ์ดีข
หลังจากที่กลับถึงเรือนซูซานแล้ว สาวรับใช้ก็ยกน้ำเข้ามาให้คุณหนูรองได้ล้างหน้าล้างตา ชิงหลวนทำหน้าที่สางผมให้ซูเยว่ซิน ส่วนชิงหลัวไปเตรียมอาภรณ์สำหรับใส่นอนให้คุณหนูรองเปลี่ยน ชิงหรงจัดเตรียมที่หลับที่นอน ครั้นทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซูเยว่ซินจึงสั่งให้สาวรับใช้ของนางไปนอนเช่นกัน ชิงหลวนดับไฟจากโคมก่อนที่นางจะออกจากห้องนอนของคุณหนูรองไปเป็นคนสุดท้ายซูเยว่ซินที่แสร้งล้มตัวลงนอนแล้ว กลับมิอาจข่มตานอนให้หลับได้ นางกำลังสับสนและไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใด คุณชายใหญ่กู้มู่เฉิน ถึงได้กล้าแสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อนางออกมาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ชีวิตก่อนเขาเป็นคนที่มีบุคลิกเคร่งขรึม จนตัวนางเองยังไม่กล้าเข้าใกล้ ยิ่งหลังจากที่เขาสูญเสียผู้เป็นมารดาและบิดาในเวลาไล่เลี่ยกัน ยิ่งทำให้เขากลายเป็นคนที่เย็นชายิ่งขึ้นไปอีก พลันคิดได้ว่าเรื่องทั้งหมดนั้นคือความผิดของผู้ใด ความแค้นที่คับแน่นอยู่ในอกก็ทำให้นางพึมพำออกมา“เจียงหลีผู้โง่เขลา ในเมื่อเจ้าทำงานให้เขาไม่สำเร็จ เจ้าคิดว่าเขาจะยังมีไมตรีต่อเจ้าอยู่อีกหรือ แท้จริงเจ้าก็เป็นสตรีที่โง่งมไม่ต่างไปจากตัวข้าในชีวิตก่อนเลย แต่เป็นเพราะชีวิตก่อนข้าหลงเชื่อ
สตรีทั้งสองรีบออกจากงานเทศกาลไป โดยไม่สนใจบรรยากาศอันน่าสนุกสนานภายในงานอีก หลูเจียงหลีอยากเอาอกเอาใจกู้อี้เหวิน เพราะมีเพียงแต่เขาเท่านั้น ที่จะช่วยให้นางใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลหลูได้อย่างไม่ยากลำบาก และในภายภาคหน้านางก็อาจจะได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างกายของเขา กลายเป็นฮูหยินใหญ่ของสกุลกู้ก็เป็นได้รถม้าของตระกูลหลูถูกบังคับขับเคลื่อนให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนตระกูลกู้ นางให้เถียวเอ๋อร์ลงไปบอกบ่าวผู้คุ้นกันประตูจวน ให้ไปแจ้งคุณชายรองกู้อี้เหวิน ว่าคุณหนูสี่สกุลหลูมาขอพบ พร้อมกับหยิบเงินเพื่อเป็นรางวัลให้อีกฝ่ายไปสองเหวิน บ่าวผู้นั้นจึงรีบเข้าไปรายงานให้คุณชายรองทราบทันที ผ่านไปนานเกือบหนึ่งเค่ออีกฝ่ายจึงกลับออกมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด“คุณชายรองบอกว่า วันนี้เขาไม่สะดวกที่จะออกมาพบ แต่ว่าวันพรุ่งนี้ยามเซิน ขอเชิญคุณหนูสี่ไปพบคุณชายรองที่โรงเตี๊ยมเซียงซีแทนขอรับ”ครั้นได้ยินเช่นนั้น หลูเจียงหลีจึงยินยอมที่จะกลับไปแต่โดยดี นางรู้ว่ายามนี้อาจจะเป็นเพราะท่านใต้เท้ากู้นั้นกำลังพำนักอยู่ที่จวน ทำให้กู้อี้เหวินไม่สะดวกที่จะออกมาพบหน้านาง เพราะคุณชายรองกู้ไม่ใช่บุตรในภรรยาเอก อีกทั้งยังสอบไม่ติดร
แสงจันทร์ที่ส่องสว่างในค่ำคืนนี้ บ่งบอกให้ได้รู้ว่ายามนี้ถึงเทศกาลชมจันทร์ที่ชาวเมืองต่างเฝ้ารอคอยแล้ว ปีนี้ตลาดตวนอีจัดงานเทศกาลชมจันทร์อย่างครึกครื้น มีทั้งการแสดงจากคณะอุปรากรที่มีชื่อเสียงของโยวโจว และละครหลังม่านจากเจียงซี เพราะยามนี้บ้านเมืองสงบสุข ทำให้ชาวเมืองได้อยู่เย็นเป็นสุข ซูเยว่ซินได้ออกมาเที่ยวชมงานเทศกาลในค่ำคืนนี้พร้อมกับคุณหนูใหญ่สกุลเจียง ทั้งสองอยู่ในวัยไล่เลี่ยกันจึงไม่ยากที่จะเปิดใจคบหากันอีกทั้งยังเป็นความตั้งใจเดิมของซูเยว่ซินอยู่แล้วด้วย ชีวิตก่อนนางไม่มีมิตรมากมายข้างกาย มีเพียงสตรีผู้นั้นผู้เดียวที่คอยอยู่เคียงข้าง นางจึงคิดว่านั่นคือมิตรแท้ ทำให้อีกฝ่ายหลอกใช้ความจริงใจของนาง แทงข้างหลังนางราวกับคนโง่ ชีวิตนี้หรือนางจะใช้ชีวิตเช่นเดิม ผู้ใดแสดงความจริงใจออกมา นางก็เปิดใจคบหาได้อย่างไม่ลังเล คุณหนูทั้งสองตระกูลเดินนำหน้าสาวรับใช้ที่ติดตามพวกตนมาเข้าไปภายในตลาดตวนอี ผู้คุ้มกันรอบกายของคุณหนูใหญ่เจียง ก็คอยระแวดระวังภัยให้คุณหนูทั้งสองไม่ห่าง“ซินเอ๋อร์…เจ้าไม่มีพวกผู้คุ้มกันคอยติดตามมาดูแลหรอกหรือ” คำถามนี้เจียงซีหรูเอ่ยถามซูเยว่ซินตั้งแต่อยู่บนรถม้า ระหว่าง
หลังจากเดินชมนกชมดอกไม้อยู่นานเกือบหนึ่งก้านธูป ซูเยว่ซินจึงไปคารวะมารดาที่เรือนซูอี้ ยามนี้บิดาและพี่ชายไม่อยู่ที่จวน บิดาออกไปสำนักบัญชาการตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนพี่ชายเข้าไปทำหน้าที่องครักษ์ในวังหลวงอยู่หลายวันแล้วยังไม่กลับมา ทำให้นางต้องหมั่นแวะเวียนไปหามารดาเพื่อไม่ให้มารดาต้องรู้สึกเหงาใจเฉกเช่นในชีวิตก่อน“คารวะท่านแม่เจ้าค่ะ” ร่างระหงย่อกายคำนับมารดา ซูฮูหยินหรือสวีซูหลิงยิ้มแย้มให้บุตรสาวก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“ตามสบายเถิดซินเอ๋อร์ ว่าแต่เจ้ากินมื้อเช้ามาแล้วหรือยัง” ซูเยว่ซินเดินไปนั่งยังเก้าอี้ที่ว่างอยู่ แล้วจึงตอบมารดา“กินมาแล้วเจ้าค่ะท่านแม่ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่หรือเจ้าคะ”“แม่กำลังเย็บปักลายลงบนผ้าม่าน เจ้ามาก็ดีแล้ว มาช่วยแม่สักผืนสองผืนเถิด” เพราะไม่อยากให้มารดาเหงา ซูเยว่ซินจึงพยายามเข้ามามีส่วนร่วมในงานอดิเรกของมารดา“ท่านแม่แน่ใจหรือเจ้าคะ ว่าจะให้ข้าช่วยปักลวดลายลงบนผ้าม่านจริงๆ คราก่อนที่ข้าปักผ้า ท่านพ่อก็ทักว่าเป็ดของข้าขี้เหร่” ซูฮูหยินกับป้ากุยหัวเราะออกม
หลังจากเกิดเหตุการณ์อันน่าอับอายที่สาวรับใช้ของหลูเจียงหลีทำงานผิดพลาด ทำให้ตกลงไปในสระน้ำกลางงานเลี้ยงแล้ว หลูเจียงหลีจึงไม่มีหน้าอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ นางหาโอกาสแอบหลบเลี่ยงออกจากงานเลี้ยงไปก่อน เพราะเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ นางจึงสามารถออกมาจากงานเลี้ยงได้อย่างราบรื่น และพยายามขอพบกับคุณชายรองกู้ ทว่าเขากลับส่งบ่าวรับใช้คนสนิทให้มาบอกกับนางว่า‘ทำงานไม่สำเร็จยังหวังอยากจะพบหน้าข้าอยู่อีกหรือ หากอยากให้ข้าอภัยให้เจ้า ก็จงไปตีสนิทคุณหนูรองสกุลซูเสีย พยายามผูกมิตรกับนางให้จงได้ มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องมาพบหน้ากันอีก’ คนสนิทของคุณชายรองกู้อี้เหวินกล่าวจบก็รีบหลบออกไปจากบริเวณนั้นทันทีหลูเจียงหลีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ที่บุรุษที่นางมอบทั้งความรักและภักดีให้ กลับเห็นนางเป็นแค่เพียงหมากตัวหนึ่ง ที่จะช่วยให้เขามีอำนาจขึ้นมา แม้จะต้องใช้วิธีที่ต่ำช้าก็ตาม“เป็นเพราะเจ้า… หากข้าไม่เห็นว่าเจ้าเป็นสาวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อข้า คอยปรนนิบัติรับใช้ข้ามาตั้งแต่เยาว์วัย ข้าจะให้ท่านแม่ขายเจ้าออกไปให้หอโคมเขียวเสียให้รู้แล้วรู้รอด”
“คารวะคุณหนูใหญ่เจียง คุณหนูรองกู้ เอ่อ…แม่นางใช่คุณหนูรองจวนแม่ทัพใช่หรือไม่เจ้าคะ”หลูเจียงหลีที่มาร่วมงานในวันนี้เช่นกันคำนับสตรีทั้งสามพร้อมทั้งกล่าวทักทายออกมา รอยยิ้มเสแสร้งไม่จริงใจที่นางแสดงออกมาทำให้ซูเยว่ซินรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมาทันที เหตุใดชีวิตก่อนนางถึงได้มองอีกฝ่ายไม่ออกกัน หรือจะเป็นเพราะนางเป็นสตรีที่โง่งมจริงๆ“ตามสบายเถิดแม่นางหลู ใช่แล้วนี่คือพี่หญิงซู คุณหนูรองสกุลซู ตระกูลแม่ทัพที่เพิ่งย้ายเข้ามาประจำการในเมืองหลวงของเรา” กู้มู่หรงกล่าวออกมาอย่างไม่ถือตน นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ค่อยชอบหน้าตนนัก เพราะอีกฝ่ายมีไมตรีกับพี่ชายรอง พี่ชายต่างมารดาของนาง“ยินดีที่ได้พบเจ้าค่ะ” หลูเจียงหลีหันไปผูกมิตรกับคุณหนูรองสกุลซูทันที ทว่าสีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายที่แสดงออกมานั้นช่างเย็นชายิ่งนัก เพราะสตรีผู้นี้ไม่แม้แต่จะมองหน้านาง หลูเจียงหลีนึกขุ่นเคืองอยู่ภายในใจ ทว่ากลับไม่กล้าที่จะแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา“ท่านแม่ของพวกข้ารออยู่ เห็นทีต้องขอตัวก่อน” คุณหนูใหญ่สกุลเจียงกล่าวออกมา นางไม่อยากแม้แต่จะพูดคุยกับส
หกวันหลังจากที่ซูเยว่ซินได้พบกับสองพี่น้องตระกูลกู้ที่ตลาดตวนอี เทศกาลชมดอกเบญจมาศประจำปีของเมืองหลวงก็เวียนมาถึง จวนใหญ่ๆ ต่างจัดงานชมดอกเบญจมาศอย่างไม่ให้น้อยหน้าผู้ใด จวนสกุลกู้เองก็เช่นกัน มีเพียงสองแม่ลูกที่กำลังนั่งทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่ภายในเรือนของตน เพราะเป็นอนุภรรยาและบุตรที่เกิดจากอนุภรรยา จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปร่วมงาน กู้อี้เหวินรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา ทว่าเขากลับไม่เคยยอมแพ้ ที่จะป่ายปีนขึ้นไปยังตำแหน่งที่สูง“เหวินเอ๋อร์… เรื่องที่แม่บอกเจ้า เจ้านำไปบอกแม่นางสกุลหลูแล้วหรือยัง” อนุซิน หรือซินอี้ถงเอ่ยถามบุตรชายออกมา สายตาก็หาได้ละจากผ้าในมือไม่“บอกแล้วขอรับท่านแม่ เรื่องนั้นท่านโปรดจงวางใจ” เสียงทุ้มนุ่มฟังแล้วรื่นหูดังออกมาจากชายหนุ่มที่กำลังนั่งอ่านตำราอยู่ที่โต๊ะไม่ห่างกัน“แล้วเจ้ามั่นใจได้เยี่ยงไรว่าแม่นางหลูผู้นั้นจะยอมทำตาม” อนุซินยังคงไม่ไว้ใจสตรีของบุตรชาย เพราะเรื่องนี้หากผิดพลาดมีแต่สตรีผู้นั้นที่ต้องเป็นฝ่ายอับอาย“สตรีผู้นั้นลุ่มหลงในหน้าตาและคำหวานของลูกจะตายไป นางย่อมทำตามสิ่งท
เช้าวันต่อมาซูเยว่ซินขออนุญาตมารดาออกไปเที่ยวที่ตลาดตวนอี เพราะอยากจะหาซื้อของกำนัลให้แก่กู้ฮูหยินในวันงานเทศกาลชมดอกเบญจมาศ ที่ตระกูลของนางได้รับเทียบเชิญให้ไปเข้าร่วม งานนี้จะเป็นงานแรกที่ครอบครัวของนางจะได้พบปะบรรดาขุนนางและฮูหยินของขุนนางเหล่านั้นเพื่อเป็นการผูกไมตรี ซูฮูหยินเห็นดีเห็นงามที่บุตรสาวจะออกไปหาเลือกซื้อของกำนัล จึงมอบเงินให้แก่บุตรสาวไป และกำชับสาวรับใช้คนสนิทของซูเยว่ซิน ว่าให้พวกนางดูแลคุณหนูรองให้ดี ทั้งนายทั้งบ่าวรวมสี่คน จึงนั่งรถม้าออกจากจวนตระกูลซูไปในปลายยามเซินออกจากจวนมาได้ไม่นานเท่าใดนัก รถม้าก็หยุดนิ่งอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมเซียงซี สตรีทั้งสี่ลงมาจากรถม้าตามลำดับ ซูเยว่ซินก็ไม่ถามไถ่ผู้ใดให้มากความ นางเดินตรงไปยังร้านขายเครื่องประดับชิวจี้ทันที สาวรับใช้ทั้งสามติดตามคุณหนูรองไปไม่ห่าง หญิงสาววัยแรกแย้มที่มีรูปโฉมงดงาม แต่งกายด้วยเป้ยจึสีชมพู ชายผ้าปลิวสไวยามที่นางเยื้องย่าง ทำให้ผู้คนที่กำลังผ่านไปผ่านมา อดที่จะเหลียวมองนางอย่างชื่นชมไม่ได้ และทุกย่างก้าวของนาง ตกอยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังนั่งจิบชาอยู่บนหอจิ่วซา เขามองตามนางไปด้วยแววตาสนใจ“คุณชายให