จางหมินเย่วเดินกระแทกเท้ากลับมายังเรือนของตนด้วยความรู้สึกขัดเคืองใจ ความร้อนรนทำให้นางเอาแต่เดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องอย่างวิตกกังวล
“คุณหนูรอง ท่านสงบใจลงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” เล่อจิ้นสาวใช้คนสนิทพูดปลอบประโลมจางหมินเย่ว หลังเห็นนางท่าทางหงุดหงิดและอารมณ์เสีย
“เล่อจิ้น...เจ้าไปคอยดูท่านแม่ที่หน้าเรือน หากเห็นท่านแม่รีบมาแจ้งข้าเร็ว”
“เจ้าค่ะ” เล่อจิ้นรีบรับคำ
ผ่านไปร่วมชั่วยามร่างบางระหงของเซี่ยเหมยก็ปรากฏตัวที่หน้าเรือน หญิงวัยกลางคนที่ยังดูงดงาม ยามเดินย่างกรายกลับดูสุขุมและอ่อนโยน
“คุณหนูรอง ฮูหยินมาแล้วเจ้าค่ะ”
จางหมินเย่วได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งออกไปด้านนอกในทันที
“ท่านแม่...ท่านพ่อว่าอันใดบ้าง ท่านแม่พูดให้ข้าแล้วใช่หรือไม่” จางหมินเย่วถามคำถามรัวออกไปอย่างร้อนใจ
“เย่วเอ๋อร์ เจ้าใจเย็นก่อน ให้แม่ได้พักหายใจสักหน่อย” เซี่ยเหมยหยอกเย้าใส่นางเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า
“ท่านแม่...ก็ข้าร้อนใจนี่เจ้าคะ” จางหมินเย่วก้มหน้างุดลงไป ก่อนจะประคองเซี่ยเหมยเข้ามาภายในเรือน จางหมินเย่วรีบพานางนั่งลงที่โต๊ะกลางห้อง พร้อมทั้งรินน้ำชายกให้ด้วยตนเองอย่างเอาอกเอาใจ
“พอแล้วๆ ลูกคนนี้นี่จริงๆ เลย ไม่ให้พ่อของเจ้าปวดหัวได้เช่นใดกัน” เซี่ยเหมยพูดพลางตวัดมือให้จางหมินเย่วนั่งลงด้านข้าง
จางหมินเย่วยิ้มกว้างออกมาอย่างหน้าทะเล้น พร้อมส่งสายตาทอดมองเซี่ยเหมยอย่างมีความหวัง
“ท่านแม่ ท่านเลิกแกล้งข้าได้แล้ว ท่านพ่อว่าอันใดบ้างเจ้าคะ”
“เย่วเอ๋อร์...เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าเจ้าชอบพอกับใต้เท้าซ่ง” เซี่ยเหมยถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“ข้าแน่ใจท่านแม่”
“แล้วใต้เท้าซ่งเล่าคิดเช่นใดกับเจ้า”
“เอ่อ...อันที่จริงข้ายังมิเคยพูดคุยกับใต้เท้าซ่งเลย” จางหมินเย่วสารภาพพลางก้มหน้าสลดลงไป นางนึกถึงคืนดังกล่าวในตอนที่ลงเรือ เดิมทีนางตั้งใจหาจังหวะเข้าไปพูดคุยทำความรู้จักกับชายหนุ่ม แต่เพราะคนค่อนข้างพลุกพล่าน ยามเมื่อตนลงจากเรือก็คลาดกับเขาเสียแล้ว
“ตายแล้ว...แล้วที่เจ้าพูดกับพ่อเจ้าว่าต้องการแต่งงานเล่า...มันเรื่องอันใดกัน” เซี่ยเหมยยกมือทาบอกพร้อมตกใจกับคำสารภาพของบุตรสาว
“ท่านแม่...เป็นความต้องการของข้าอย่างแท้จริง” จางหมินเย่วพูดพลางกุมมือทั้งสองของเซี่ยเหมยพร้อมจ้องหน้านางอย่างจริงจัง
“เฮ้อ...แล้วนี่ข้าจะพูดกับพ่อเจ้าเช่นใดกันดีเล่า” เซี่ยเหมยมองหน้าจางหมินเย่วพร้อมทอดถอนหายใจออกมาอย่างหนัก เดิมทีนางเกลี้ยกล่อมสามีด้วยคิดว่าทั้งสองผูกสมัครรักใคร่กัน แต่ที่ไหนได้กลับเป็นบุตรสาวของตนคิดเพ้อฝันไปคนเดียว
“ท่านแม่...ข้าอยากใช้ชีวิตร่วมกับใต้เท้าซ่ง...ท่านแม่ต้องช่วยข้านะ” จางหมินเย่วพูดพลางเขย่าแขนของนางไปพลาง “ข้ามั่นใจ ข้าจะทำให้ใต้เท้าซ่งชอบพอข้าให้ได้” จางหมินเย่วพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“เย่วเอ๋อร์...ข้าเกลี้ยกล่อมพ่อเจ้าไปแล้วหนหนึ่ง แม้พ่อเจ้าจะยังมิใจอ่อนแต่ก็มิได้แข็งขืนเช่นคราแรก หากเจ้าทั้งสองชอบพอกันจริง ข้าจะสนับสนุนเจ้าเอง”
“ขอบคุณท่านแม่...ท่านแม่ดีต่อข้าที่สุดเลย” จางหมินเย่วร้องออกมาอย่างดีใจ นางโผเข้ากอดเซี่ยเหมยอย่างนึกขอบคุณ
“เจ้าเด็กโง่...” เซี่ยเหมยส่ายหน้าพร้อมยิ้มบางออกมา
หลังจากเซี่ยเหมยออกจากเรือนไป จางหมินเย่วก็รีบเรียกเล่อจิ้นเข้ามาโดยด่วน
“เล่อจิ้น...เจ้าเตรียมชุดให้ข้าที พรุ่งนี้ข้าจะไปขอพบใต้เท้าซ่ง” จางหมินเย่วพูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้น ใบหน้ายิ้มกว้างจนแทบปริ ดวงตาระยิบระยับอย่างมีความหวัง
“เจ้าค่ะ...ข้าจะเตรียมชุดที่สวยที่สุดให้คุณหนูเจ้าค่ะ”
“อืม...พรุ่งนี้ข้าควรมีของติดไม้ติดมือไปด้วย พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปช่วยข้าทำขนมเซาปิ่ง” จางหมินเย่วพูดพร้อมความคิดที่โลดแล่นไปไกล
“คุณหนูจะเข้าครัวเองเลยหรือเจ้าคะ หรือไม่ให้ข้าสั่งพ่อครัวจัดเตรียมไว้ให้ดีหรือไม่”
“เหลวไหล...ของติดไม้ติดมือข้า...ข้าก็ต้องเป็นคนทำกับมือสิ” จางหมินเย่วตวัดสายตาดุใส่เล่อจิ้น
“เจ้าค่ะ...เช่นนั้นข้าจะรีบให้พ่อครัวเตรียมของไว้ให้คุณหนูแต่เช้านะเจ้าคะ” เล่อจิ้นพยักหน้าปลกๆ ท่าทางคุณหนูของนางจะเสน่หาใต้เท้าซ่งผู้นี้อย่างแท้จริง คุณหนูของนางถึงกับเข้าครัวด้วยตัวเองเช่นนี้
จางหมินเย่วยิ้มกลับให้เล่อจิ้นอีกครั้งอย่างพึงพอใจ “เจ้าช่างรู้ใจข้าที่สุด”
จางหมินเย่วสบายใจขึ้นมาอย่างมาก นางยกมือขึ้นเท้าคางกับโต๊ะ พร้อมจิตใจที่ล่องลอยไปกับจินตนาการของตนอย่างมีความสุข
ในขณะที่เซี่ยเหมยที่เดินออกจากห้องของจางหมินเย่วอย่างสบายอารมณ์ พลันร่างของนางก็ต้องสะดุดลงเมื่อจางเซี่ยโยวยืนดักขึ้นข้างหน้าของตน จางเซี่ยโยวยืนนิ่งพร้อมใบหน้าที่หงิกง้ำอย่างไม่พอใจนัก
“โยวเอ๋อร์...เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ” เซี่ยเหมยปรับสีหน้าก่อนจะถามบุตรสาวออกไป
“ท่านแม่ ข้ารู้เรื่องเย่วเอ๋อร์แล้ว ท่านแม่ตามใจนางมากเกินไปหรือไม่”
คำถามของจางเซี่ยโยวทำเอาเซี่ยเหมยถึงกับหน้าตึงขึ้นมาทันที นางเอ็ดบุตรสาวออกไปอย่างทันควัน “เจ้าอย่ายุ่งเรื่องนี้ให้มากนักเลย พิณผาที่ข้าให้เจ้าเล่าเรียนไปถึงไหนแล้ว นี่ก็ใกล้วันประสูติของฮองเฮาแล้ว เจ้าจะด้อยกว่าผู้ใดไม่ได้เป็นอันขาด”
น้ำเสียงอันเฉียบคมดังกล่าวทำเอาจางเซี่ยโยวถึงกับหน้าสลดลงไป น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาเต็มสองตาด้วยความนึกน้อยใจ ท่านแม่ของนางมักไม่ยุติธรรมเสมอ กับจางหมินเย่ว ท่านแม่ของนางไม่เคยบังคับเคี่ยวเข็ญสิ่งใดทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของนางแทบทั้งสิ้น ผิดกับตนยิ่งนักที่ตั้งแต่จำความได้นางต้องอยู่แต่หน้าตำรากาพย์กลอน เครื่องดนตรี และเหล่าหมัวมัวที่เวียนมาสอนมารยาทให้กับนางไม่หยุดหย่อน จนบางครั้งนางได้แต่นึกน้อยใจว่าใครกันแน่ที่เป็นบุตรสาวของมารดาตน และเพราะเหตุนี้เองทำให้จางเซี่ยโยวไม่อาจสนิทใจที่จะชิดเชื้อกับจางหมินเย่วได้ดั่งพี่น้องทั่วไป ระยะห่างของจางเซี่ยโยวและจางหมินเย่วจึงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นทุกทีจนกลายเป็นความหมางเมินและเฉยชาไปในที่สุด
“ท่านแม่...เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” จางเซี่ยโยวพูดจบก็หันหลังให้เซี่ยเหมยพร้อมเดินจากไปอย่างไม่เหลียวหลังกลับมา
จางหมินเย่วตื่นแต่เช้าตรู่จนเล่อจิ้นอดประหลาดใจไม่ได้แต่เมื่อได้เห็นนายหญิงของตนรีบตรงเข้าเข้าครัวเพื่อทำเซาปิ่ง นางก็อดนึกขบขันในความคลั่งรักของจางหมินเย่วเสียมิได้จางหมินเย่วใช้เวลาในการทำเซาปิ่งกว่าสี่ชั่วยามกว่าที่ขนมจะสำเร็จเป็นรูปเป็นร่าง เมื่อจางหมินเย่วตระเตรียมทุกอย่างจนเสร็จสิ้นด้วยมือของตนเอง นางยกยิ้มขึ้นมาด้วยความภาคภูมิใจใบหน้าของซ่งฟู่หลงปรากฏเด่นชัดขึ้นในความคิดของจางหมินเย่ว สายตาละเมอเพ้อพก นัยน์ตาชวนฝันดั่งคนที่ตกอยู่ในภวังค์ความรัก ทำเอาเล่อจิ้นอดที่จะหยอกเย้านางอย่างเสียมิได้ “คุณหนู ใต้เท้าซ่งต้องปลาบปลื้มเป็นแน่เจ้าค่ะ”จางหมินเย่วยิ้มกริ่มรับโดยทันที “ขนมเสร็จแล้ว พวกเรารีบกลับไปแต่งตัวกันเถิด”จางหมินเย่วอาบน้ำแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน โดยมีเล่อจิ้นคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง “คุณหนูช่างงดงามยิ่งนัก หากใต้เท้าซ่งได้พบคุณหนูจะต้องตกหลุมรักคุณหนูเป็นแน่” เล่อจิ้นกล่าวออกมาตามที่นางเห็น จางหมินเย่วนับวันยิ่งงดงามขึ้นอย่างมาก ใบหน้าที่จิ้มลิ้มรับกับดวงตากลมโตอันหวานซึ้งชวนให้หลงใหล ผิวขาวเนียนราวกับหยวกกล้วย ทั้งหน้าอกกลมมนที่ใหญ่โตกว่าหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันจางหมินเย่วค
หลังจากซ่งฟู่หลงฝึกกระบี่เรียบร้อย เขาหย่อนกายนั่งพักตรงโต๊ะด้านข้างลานภายในสวน เขาหยิบผ้าขาวขึ้นซับเหงื่อที่ไหลชโลมกายไปทั่ว พ่อบ้านเดินนำขนมที่จัดใส่จานมาวางตรงหน้าซ่งฟู่หลงซ่งฟู่หลงหยิบขนมเข้าปากในทันทีด้วยความหิว เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างรู้สึกชอบใจในรสชาติดังกล่าว“เรียนนายท่าน นี่เป็นขนมเซาปิ่งที่คุณหนูรองสกุลจางนำมามอบให้ท่านขอรับ” ซ่งฟู่หลงชะงักมือค้างไปชั่วขณะ คิ้วหนาเลิกขึ้นก่อนจะขมวดกันจนเป็นปม สีหน้าของเขาเคร่งขรึมลงไปในทันที ขนมครึ่งชิ้นที่ยังจดจ่ออยู่ตรงปากถูกเขาวางลงบนจานอย่างหมดความสนใจ“นางมีธุระอันใด”“คุณหนูรองเพียงนำขนมมาฝากให้นายท่านขอรับ”“ต่อไปเจ้าอย่าได้รับของจากคนแปลกหน้าอีก” ซ่งฟู่หลงกล่าวตำหนิออกมา “แล้วก็..อย่าได้รายงานเรื่องนี้กับผู้ใดด้วย” ซ่งฟู่หลงพูดทิ้งท้ายพร้อมปรายตามองอย่างรู้ทัน เขารีบดักคอพ่อบ้านก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับเรือนอย่างไม่พอใจนักพ่อบ้านหน้าเสียลงไปในทันที เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจในวันต่อมาจางหมินเย่วยังคงมุ่งมั่นออกไปพบซ่งฟู่หลงอีกครั้ง นางยังคงลุกขึ้นแต่เช้าเพื่อลงมือทำขนมเซาปิ่งให้กับชายหนุ่มอีกหนเมื่อจางหมินเย่วเดินทางไปถึงที่ห
หลังจากวันนั้นจางหมินเย่วก็ยังคงไม่ลดละความพยายาม ในเมื่อนางได้ปักใจกับซ่งฟู่หลงแล้ว นางย่อมไม่มีวันเปลี่ยนใจง่ายๆ เป็นแน่ ความมุ่งมั่นที่มีกับความรู้สึกที่ลึกซึ้งเบ่งบานในใจทำให้นางสลัดความเศร้าที่มีในหนก่อน และเดินหน้าเพื่อความรักของนางต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้จางหมินเย่วจัดเตรียมตะกร้าอีกครั้งโดยนางเปลี่ยนจากขนมหวานเป็นอาหารคาวแบบง่ายๆ ด้วยตนเองแต่เมื่อไปถึงหน้าจวน พ่อบ้านคนเดิมได้แต่ทำสีหน้าเหน็ดเหนื่อยใจ เขาปฏิเสธจางหมินเย่วออกไปอย่างไม่ไว้หน้า“คุณหนู โปรดอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจเลย นายท่านไม่ประสงค์ให้คุณหนูเข้าพบ หวังว่าคุณหนูจะตัดใจโดยเร็ว”จางหมินเย่วยิ้มหน้าเจื่อนไม่เสียทุกรอบ แต่นางก็ยังคงหวังว่าสักวันซ่งฟู่หลงจะใจอ่อนให้นางอยู่บ้าง ผิดกับเล่อจิ้นที่เอาแต่หงุดหงิดฉุนเฉียวไปเสียทุกครั้งไป ใต้เท้าซ่งผู้นั้นมีตาหามีแววไม่ นายหญิงลดตัวลงมาหาเขาเช่นนี้ แต่เขากลับแสดงความหยาบคายอย่างไม่ไว้หน้าทีเดียวหลังจากจางหมินเย่วถูกปฏิเสธอยู่หลายหน นางก็ได้แต่ทอดถอนหายใจ ท่าทางร่าเริงแปรเปลี่ยนเป็นเซื่องซึมและดูเหม่อลอย แม้เล่อจิ้นจะพยายามปลอบขวัญนางเช่นใดก็มิอาจทำให้จางหมินเย่วกลับมาสดใสได้อีก
จางเหวิ่นชิงกลับจวนด้วยโทสะที่อัดแน่น เสนาบดีเช่นเขากลับถูกขุนนางขั้นเจ็ดหักหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี จางเหวิ่นชิงกระแทกเท้าเดินเข้ามาภายในห้องโถงพร้อมตะโกนเสียงดังลั่น “เย่วเอ๋อร์...ไปตามเย่วเอ๋อร์มาเดี๋ยวนี้”สาวใช้ต่างพากันลนลาน พ่อบ้านถึงกับเหงื่อตก เขารีบเดินกึ่งวิ่งออกไปตามคำสั่งอย่างรวดเร็วเล่อจิ้นวิ่งหน้าตื่นเข้ามาหาจางหมินเย่วที่กำลังนั่งเหม่อลอยอยู่ภายในศาลากลางน้ำ กลิ่นหอมของดอกบัวที่บานสะพรั่งที่ทั่วผืนน้ำมิอาจข่มความว้าวุ่นภายในใจที่มีลงไปได้ ภาพซ่งฟู่หลงที่แลดูเฉยชาและไม่แยแสนางแม้แต่น้อย ยิ่งทำให้ใบหน้าหวานแลดูเศร้าสร้อยไปถนัดตา“คุณหนู...แย่แล้วเจ้าค่ะ...คุณหนู”เสียงร้องเรียกของเล่อจิ้นทำให้จางหมินเย่วหลุดออกจากภวังค์ นางหันกลับไปมองสาวใช้ที่หน้าตาที่ตระหนกราวกับเห็นผี“เล่อจิ้น...มีเรื่องอันใดกันหรือ”“นายท่านเจ้าค่ะ...” เล่อจิ้นพูดไปพลางหอบเหนื่อยไปในที “นายท่านเรียกหาคุณหนูเจ้าค่ะ พ่อบ้านบอกว่านายท่านมีท่าทางโกรธมาก”จางหมินเย่วเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะพยักหน้ารับ ช่วงนี้เรื่องที่ท่านพ่อโกรธนางก็คงมีแต่เรื่องของซ่งฟู่หลงเป็นแน่ หรือท่านพ่อของนางรู้เรื่องที่นางตามตอแยใต้เท้าซ่
ตกหัวค่ำจางเหวิ่นชิงยังคงเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องนอนด้วยท่าทางที่กลัดกลุ้มอย่างหนัก เขาได้แต่นึกเสียใจและอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปเสีย เมื่อเขาเผลอรับปากจางหมินเย่วออกไปในช่วงกลางวันที่ผ่านมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อนึกถึงแววตาที่เปล่งประกายอย่างมีความหวังกับท่าทางตื่นเต้นดีใจขึ้นมาอย่างกะทันหันของบุตรสาวก็ทำให้จางเหวิ่นชิงไม่อาจถอนคำพูดที่ตนเองลั่นออกมาได้ “ท่านพี่ยังไม่นอนอีกหรือ” เซี่ยเหมยเอ่ยทักพร้อมยกมือขึ้นลูบลำแขนหนาของเขาอย่างห่วงใย จางเหวิ่นชิงถอนหายใจหนักออกมาอีกครั้ง “ข้ายังมิอาจทำใจยอมรับเจ้าคนหยิ่งผยองผู้นั้นได้” จางเหวิ่นชิงตัดพ้อออกมาให้ฮูหยินของตนรับฟัง สีหน้าฉายความขุ่นเคืองออกมาอย่างเห็นได้ชัด “ท่านพี่...เรื่องความรักมิอาจบีบบังคับได้...ท่านก็ทำใจยอมรับเสียเถอะ” “แต่ว่า...เย่วเอ๋อร์ควรได้คู่ครองที่ดีกว่าเจ้าคนผู้นั้น ไม่ว่าข้าจะคิดเช่นใดคนผู้นั้นก็หาใช่คนที่เหมาะสมกับนาง” จางเหวิ่นชิงคำรามออกมา เซี่ยเหมยสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างแง่งอน “เช่นนั้นท่านพี่ก็ไปบอกเย่วเอ๋อร์เสียเองเลยว่าท่านจะมิช่วยนางแล้ว...แต่ว่า...ห
“ฟู่หลง...เจ้าแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ...” หนิงเว่ยเจี้ยนอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงอันดัง ท่าทางทั้งตกใจและแปลกใจในคราวเดียวกัน สายตาจ้องมองไปยังซ่งฟู่หลงอย่างเอาผิด หากแต่ซ่งฟู่หลงกลับยืนนิ่งเฉยอย่างไม่หวั่นเกรงหนิงเว่ยเจี้ยนหันไปหาขันทีข้างกายในทันที สายตาตำหนิส่งไปยังขันทีอย่างต้องการเอาเรื่อง ขันทีได้แต่หน้าเจื่อนพลางส่ายหน้าให้เป็นสัญญาณว่าอย่าได้ทรงกังวลใจไปนัก หนิงเว่ยเจี้ยนเห็นเช่นนั้นจึงได้ผ่อนอารมณ์ลง ความคิดแปรเปลี่ยนไปอีกครั้งพร้อมมองภาพเบื้องหน้าของคนทั้งสองอย่างนึกสนุกขึ้นมาจางเหวิ่นชิงเองก็ตกตะลึงกับคำกล่าวของซ่งฟู่หลงไม่ต่างกันมากนัก แต่เขาก็อดนึกแปลกใจในปฏิกิริยาของหนิงเว่ยเจี้ยนที่ดูจะร้อนรนใจมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำอย่างช่วยไม่ได้ แต่เพราะตอนนี้จิตใจของจางเหวิ่นชิงเอาแต่จดจ่ออยู่เพียงกับบุตรสาวเท่านั้น ทำให้จางเหวิ่นชิงละความสนใจในท่าทีดังกล่าวไปเสียสิ้น “ใต้เท้าซ่ง...เหตุใดข้าไม่เคยรู้ว่าท่านแต่งงานแล้ว” จางเหวิ่นชิงหันความสนใจกลับมายังซ่งฟู่หลง ตอนนี้ในใจเขาได้แต่กังวลใจเกี่ยวกับจางหมินเย่ว จางเหวิ่นชิงไม่อยากจะจินตนาการว่าหากบุตรสาวของตนรู้เรื่องนี้ นางจะเป็
จางเหวิ่นชิงเดินทางกลับจวนสกุลจางด้วยความโมโหและหงุดหงิด ในขณะที่เซี่ยเหมยและจางหมินเย่วกำลังนั่งรอเขาด้วยความตื่นเต้นและกระวนกระวายใจ จางหมินเย่วยืนชะเง้อมองไปที่ประตูอยู่ไม่เว้นว่าง สองมือจิกเกร็งไปมาด้วยความกระสับกระส่าย ทันทีที่จางเหวิ่นชิงก้าวเข้ามาภายในห้องโถง จางหมินเย่วก็ปรี่เข้าไปหาบิดาของตนในทันที “ท่านพ่อ...” จางเหวิ่นชิงที่ยังคงอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อเขาได้เห็นบุตรสาวตรงหน้าก็พาลมีอารมณ์โมโหมากขึ้นไปอีก “เย่วเอ๋อร์...ข้าขอสั่งเจ้าเลิกยุ่งกับซ่งฟู่หลงอีกเป็นอันขาด” คำสั่งเฉียบขาดที่ดังขึ้นมา พร้อมใบหน้าถมึงทึง ทำเอาจางหมินเย่วถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตระหนก “ท่านพ่อเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนั้น” “เจ้านี่ช่างไม่รู้ความเสียจริง เจ้ารู้หรือไม่ซ่งฟู่หลงแต่งงานแล้ว” จางเหวิ่นชิงตวาดใส่จางหมินเย่วด้วยน้ำเสียงอันดัง จางหมินเย่วถึงกับอ้าปากค้าง “ใต้เท้าซ่งแต่งงานแล้วหรือเจ้าคะ” “เจ้าหนุ่มผู้นั้นเอ่ยปากต่อหน้าพระพักตร์ ทั้งท่าทางจองหองนั่น ข้าคิดแล้วก็แค้นยิ่งนัก” จางเหวิ่นชิงกล่าวออกมาพร้อมตวัดสายตาตำห
บทที่ 11 ไม่ยอมแพ้ จางหมินเย่วถูกขังอยู่ในศาลบรรพชนเป็นเวลากว่าห้าวันแล้ว แต่ทว่านางยังคงมีท่าทีแข็งขืนและไม่ยอมแพ้ เล่อจิ้นยกสำรับอาหารเข้ามาภายในห้อง นางมองนายหญิงของตนด้วยความเป็นห่วง นับตั้งแต่จางหมินเย่วถูกลงโทษนางก็แตะต้องอาหาร เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ร่างกายบอบบางซีดผอมลงอย่างเห็นได้ชัด จนเล่อจิ้นอดนึกเป็นห่วงเสียมิได้ “คุณหนู...ท่านทานอาหารให้มากเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ หากท่านยังฝืนร่างกายเช่นนี้ ท่านจะล้มป่วยเอาได้นะเจ้าคะ”จางหมินเย่วหัวเราะหึๆ ออกมา “ป่วยงั้นรึ...ข้าป่วยได้ก็ดีสิ” เล่อจิ้นได้แต่ถอนหายใจในความดื้อรั้นของนางจนกระทั่งช่วงบ่ายของวันเล่อจิ้นเข้ามาภายในห้องเพื่อจัดเก็บสำรับ นางกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น “พ่อบ้าน...พ่อบ้านตามนายท่านและฮูหยินเร็ว...คุณหนูรองเป็นลมหมดสติไปแล้ว” เล่อจิ้นร้องพลางรีบวิ่งเข้ามาประคองร่างบางเอาไว้ในอ้อมแขน จางหมินเย่วนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นห้องอย่างไม่รู้สึกตัว จวนสกุลจางโกลาหลขึ้นอีกครั้ง จางเหวิ่นชิงรีบให้คนไปตามหมอมาที่จวนเป็นการด่วน ในขณะที่จางหมินเย่วถูกพาตัวกลับมายังเรือนนอน นางยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง จางเหวิ่นชิงรู
บทที่ 68 ฟ้าหลังฝน“โยวเอ๋อร์....โยวเอ๋อร์...ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษ” เสียงร้องตะโกนเรียกบุตรสาวของเซี่ยเหมยดังก้องไปทั่วห้องขัง นางทรุดตัวลงกับพื้นด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มพร้อมหันหลังให้กับจางหมินเย่วอย่างหมดอาลัยตายอยาก นางอ่อนล้าและอ่อนแรงจนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอันใดกับจางหมินเย่วให้ตนเองต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว“ท่านแม่...ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าได้แต่นึกขอบคุณท่านที่รักและเอาใจใส่ข้ามาโดยตลอดแม้ว่าท่านจะเกลียดชังข้ามากเพียงใด...แต่ว่า...ท่านแม่...จะมีสักครั้งหรือไม่ที่ท่านจริงใจต่อข้าแม้เสียงสักเสี้ยวนาที”เซี่ยเหมยกัดฟันแน่นข่มความอาดูรเอาไว้ในใจ ภาพแต่หนหลังผุดขึ้นมาในความนึกคิดของนางอีกครั้ง แม้นางจะนึกเกลียดชังสองแม่ลูกมากสักเพียงใดแต่ความผูกพันที่มีมาเนิ่นนานก็เป็นสิ่งที่นางมิอาจปฏิเสธได้ “นับแต่นี้ต่อไป...เจ้าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก” เซี่ยเหมยกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่สงบและจริงจัง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งหันหลังที่มุมห้องขังอย่างไม่ต้องการเสวนากับจางหมินเย่วอีกต่อไปจางหมินเย่วสะอื้นไห้ในลำคอ ก่อนจะยกยิ้มบางขึ้นมาอีกหน “ขอท่านแม่โปรดรักษาตัวด้วย” นางคุกเข่าลงพร้อมโขกศีรษะกับพื้นเ
บทที่ 67 ท่านยอมรับความจริงเถิดข่าวคราวเรื่องของหนิงอันอวี้ที่มีสภาพไม่ต่างจากตุ๊กตามีชีวิตแพร่สะพัดไปทั่วแคว้น “ไม่จริง...อันอวี้ต้องไม่เป็นอันใด...ไม่จริง...” หยางกุยฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับคลุ้มคลั่งอาละวาด ก่อนจะเป็นลมจนสิ้นสติไปในทันทีในขณะที่ซ่งฟู่หลงและจางหมินเย่วได้ยินเรื่องดังกล่าวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างนึกสังเวชใจ “เวรกรรมจริงๆ”จางหมินเย่วหันไปมองซ่งฟู่หลงก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความประหม่า “ใต้เท้า...ข้ามีเรื่องอยากขอร้อง”ซ่งฟู่หลงหรี่ตามองจางหมินเย่ว “เจ้าว่ามาสิ”“ข้าอยากไปเยี่ยมท่านแม่สักครั้ง...ท่านให้ข้าไปได้หรือไม่” จางหมินเย่วกล่าวออกมาในที่สุดแววตาที่อ้อนวอนทอดมองมาที่ซ่งฟู่หลง เขาได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกำชับให้องครักษ์คอยคุ้มกันนางเอาไว้อย่างใกล้ชิดจางหมินเย่วพร้อมเล่อจิ้นและองครักษ์อีกสองนายขึ้นรถม้าพร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังคุกอาญาในทันทีเซี่ยเหมยถูกกักขังอยู่ในห้องขังตามลำพัง ใบหน้าเหม่อลอย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงอย่างทอดอาลัยตายอยาก นางรู้สึกอับจนและสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่งในทันทีที่เซี่ยเหมยเห็นจางหมินเย่วตรงหน้า นางก็ปรี่เข้ามาพร้อมยื่นแขน ออกมาด้านนอกกรงขังหวั
บทที่ 66 ข้ามิอาจให้ท่านทำร้ายได้อีกจางเซี่ยโยวประคองหนิงอันอวี้เข้ามาภายในห้องนอนด้วยท่าทางที่เป็นปกติ แม้ว่าภายในใจนั้นกลับตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นไปพร้อมกัน สุราและอาหารถูกจัดเรียงไว้อย่างพร้อมสรรพหนิงอันอวี้เข้ามาภายในห้องนอน เขามิได้ใส่ใจกับสิ่งใดตรงหน้า หนิงอันอวี้กระชากร่างของจางเซี่ยโยวเข้าหาตัวพร้อมบดขย้ำนางด้วยความอัดอั้นในอารมณ์ ริมฝีปากหนาบดขยี้ริมฝีปากบางอย่างดุนดันและตะกละตะกลามจางเซี่ยโยวร้องอู้อี้ออกมา นางพยายามดิ้นรนขัดขืนก่อนจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมได้ในที่สุด การกระทำดังกล่าวส่งผลให้หนิงอันอวี้มีท่าทางฉุนเฉียวและหงุดหงิดใจขึ้นมาในทันทีจางเซี่ยโยวรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างหวานเยิ้มออกมาพร้อมเดินเข้าไปคล้องลำแขนของเขาอย่างประจบเอาใจ “องค์ชาย...ข้าตระเตรียมสุราชั้นดีเอาไว้สำหรับดื่มด่ำในค่ำคืนนี้ หากท่านใจร้อนเช่นนี้จะมิทำให้เสียบรรยากาศหรอกหรือเจ้าคะ”จางเซี่ยโยวกล่าวพลางดึงรั้งหนิงอันอวี้ลงนั่งที่โต๊ะ ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนตักเขา มือข้างหนึ่งวาดแขนโอบรอบลำคอ ในขณะที่อีกมือหนึ่งก็ยกสุรารินลงในจอกด้วยท่าทางที่เชื่องช้าแต่เย้ายวนในที จางเซี
บทที่ 65 น้อยเนื้อต่ำใจจางเซี่ยโยวโขกศีรษะขอบคุณหนิงเว่ยเจี้ยนอีกครั้ง เมื่อนางได้รับอนุญาตตามที่หนิงเว่ยเจี้ยนได้ให้คำมั่นไว้ นางก็ขอตัวลากลับไปในทันที นางหันหลังเดินออกไปโดยมิได้มองจางหมินเย่วที่อยู่ด้านข้างเลยแม้แต่น้อย“เช่นนั้นลูกก็ขอตัวเช่นกัน” ซ่งฟู่หลงโค้งตัวลาหนิงเว่ยเจี้ยนในทันที พร้อมกระชับร่างของจางหมินเย่วที่ยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังอยู่ในความฝัน เหตุการณ์ตรงหน้าซับซ้อนเกินกว่าที่จางหมินเย่วจะสามารถคาดเดาอันใดได้“ฟู่หลง...ต่อไปเจ้าก็ดูแลเย่วเอ๋อร์ให้ดีเล่า” หนิงเว่ยเจี้ยนกล่าวกำชับซ่งฟู่หลงอีกครั้งอย่างนึกเป็นห่วงและเอ็นดู“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ...ชายาของข้านั้นดื้อรั้นและโง่เขลา...ต่อไปข้าคงมิอาจให้นางคลาดสายตาไปได้อีก” ซ่งฟู่หลงกล่าวตอบพร้อมปรายตามองจางหมินเย่วอย่างหยอกเย้าจางหมินเย่วได้แต่ยิ้มเจื่อนออกมา พร้อมใบหน้าที่สลดลงไป นางมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก นางได้แต่นึกเสียใจในความโง่เขลาของตนเองขณะที่อยู่ลำพังภายในเรือนนอน จางหมินเย่วได้แต่นั่งคอตกหวนคิดถึงความผิดพลาดที่ตนเองได้ก่อขึ้น นางได้แต่รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ทั้งความผิดหวัง ความท้อแท้ ความรันทดใจซ่งฟู่หลงเข้ามานั่ง
บทที่ 64 ทวงสัญญาหลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หยางกุยฮวาถึงคุมตัวไปยังตำหนักเย็น ในขณะที่เซี่ยเหมยถูกจับกุมไปยังเรือนจำของศาลอาญาเพื่อรอคำตัดสิน จางเซี่ยโยวก็ได้คุกเข่าลงตรงหน้าหนิงเว่ยเจี้ยน “ทูลฝ่าบาท...ขอพระองค์ทรงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”จางเซี่ยโยวหวนนึกถึงในวันที่เซี่ยเหมยได้เดินทางมาหาตนที่จวนก่อนหน้านี้“โยวเอ๋อร์...แม่มีเรื่องสำคัญจะบอกกับเจ้า” เซี่ยเหมยกล่าวออกมา ในขณะที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง“ท่านแม่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงดูร้อนรนเช่นนี้”เซี่ยเหมยหยิบขวดยาจากแผงเสื้อออกมา ก่อนจะนำมาวางตรงหน้าจางเซี่ยโยว“นี่คือ....”เซี่ยเหมยตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่หยางกุยฮวาได้นัดหมายกับตนให้จางเซี่ยโยวได้ฟังจนสิ้น “โยวเอ๋อร์...หากการนี้ทำสำเร็จ...อนาคตของเจ้าและองค์ชายสามย่อมสว่างสดใส และต่อไปจะมิมีผู้ใดขัดขวางตำแหน่งว่าที่ฮองเฮาของเจ้าไปได้อีกแล้ว” เซี่ยเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง“ท่านแม่...” จางเซี่ยโยวพ้อออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจกับความคิดอันเลวร้ายของมารดาของตน “ท่านแม่ องค์ชายสามนั้นมีตำแหน่งรัชทายาทอยู่ก่อนแล้ว ห
บทที่ 63 จนมุมนางกำนัลคนสนิทของหยางกุยฮวาถูกโยนลงมาตรงด้านข้างของเซี่ยเหมยด้วยสภาพบอบช้ำและอิดโรย“เจ้าจงสารภาพออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดของหนิงเว่ยเจี้ยนดังขึ้นอีกครั้งนางกำนัลหันไปมองหยางกุยฮวาอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะโขกศีรษะลงกับพื้นหลายต่อหลายครั้ง “ทูลฝ่าบาท...หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาทเมตตาด้วย หม่อมฉัน...เอ่อ...เรื่องราวทั้งหมดฮองเฮาเป็นผู้บงการเพคะ”สิ้นเสียงของนางกำนัล หยางกุยฮวาก็ปรี่เข้ามาตบหน้านางอย่างแรง “นางทาสชั้นต่ำ เจ้ากล้าใส่ความข้าอย่างนั้นหรือ” หยางกุยฮวาตวาดออกมาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา โทสะคุกรุ่นด้วยความเจ็บแค้นที่คนสนิทของตนคิดคดทรยศนาง“หยุดเดี๋ยวนี้...” หนิงเว่ยเจี้ยนตะคอกออกมาทำเอาหยางกุยฮวาถึงกับชะงักงันไป นางจ้องมองนางกำนัลด้วยแววตาเดือดดาลและอาฆาตแค้น“เจ้าจงบอกความจริงออกมาให้หมด ข้าจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าเอง”“ทูลฝ่าบาท...ฮองเฮาวางแผนต้องการใส่ความองค์ชายหกจึงได้มอบยาพิษให้ฮูหยินจางเพื่อใส่ร้ายพระชายา หากแผนการสำเร็จก็จะสามารถกำจัดองค์ชายหกได้สำเร็จเพคะ” นางกำนัลกล่าวออกมาด้วยท่าทางลนลาน แม้นางจะซื่อสัตย์ต่อหยางกุยฮวามากเพียงใด แต่เมื่อนางถูกต่อรองด้วยชีวิ
บทที่ 62 ผิดแผนเสียงเย็นยะเยือกที่ดังก้องกังวานของหนิงเว่ยเจี้ยนทำเอาเซี่ยเหมยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับทรุดฮวบลงไปกับพื้นนี้ แผ่นหลังเย็นวาบจนนางแทบลืมหายใจ “ฝ่าบาท หม่อมฉันมิรู้เรื่องอันใดเพคะ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย” เซี่ยเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก มือไม้สั่นเทาด้วยความกลัวที่แล่นเข้าจับหัวใจจางเหวิ่นชิงที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างถึงกับหันหน้ามองฮูหยินของตนอย่างไม่คาดคิด ท่าทางของนางเช่นนี้ทำให้เขารับรู้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น“ฮูหยินจาง...เจ้ายังคิดจะแก้ตัวอยู่อีกหรือ” หนิงเว่ยเจี้ยนตวาดออกมาอย่างสุดจะทนเซี่ยเหมยถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างมิรู้จะทำเช่นใดต่อไป นางพยายามปรายตาขึ้นมองหยางกุยฮวาอย่างต้องการความช่วยเหลือหยางกุยฮวานึกเจ็บแค้นยิ่งนัก นางแทบอยากจะปรี่ตรงเข้าไปตบหน้าเซี่ยเหมยที่ทำตัวมิรู้ความเช่นนี้ แต่นางก็ได้แต่ทำเพียงกัดฟันแน่นพร้อมเบือนหน้าหนีออกไปเซี่ยเหมยรับรู้ได้ถึงการถูกตัดหางปล่อยวัด นางรู้สึกสิ้นหวังลงไปในทันที เซี่ยเหมยที่ยังคงน้ำตานองอาบสองแก้มถึงกับโขกศีรษะลงกับพื้นหลายต่อหลายที “หม่อมฉันผิดไปแล้ว...หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”“เจ้าบอกว่าเจ
บทที่ 61 เป็นไปไม่ได้สิ้นเสียงของขันทีประกาศก้อง หนิงเว่ยเจี้ยนก็ก้าวเดินเข้ามาภายในท้องโถงใหญ่ด้วยท่วงท่าที่ราบเรียบแต่มั่นคง ใบหน้าเรียบเฉยแต่กลับดุดันไม่ต่างจากราชสีห์ที่น่าเกรงขามยิ่งนักหยางกุยฮวาถึงกับผงะถอยหลังด้วยความตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้” หยางกุยฮวาเพ้อออกมาอย่างหวาดหวั่น ฝ่าบาทที่นอนแน่นิ่งมิต่างจากหุ่นที่มีชีวิต บัดนี้กลับก้าวเดินมาตรงหน้าของนางราวกับมิมีเหตุการณ์ร้ายใดเกิดขึ้นหนิงอันอวี้หันหน้าไปหาหยางกุยฮวางอย่างรู้สึกตื่นตระหนก หยางกุยฮวารีบยกมือขึ้นแตะฝ่ามือของหนิงอันอวี้เพื่อให้เขาสงบอารมณ์ลง จากนั้นนางจึงปรับสีหน้าและท่าทางให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งหยางกุยฮวาและหนิงอันอวี้ก้าวเดินลงมาด้านล่างก่อนจะย่อกายคำนับหนิงเว่ยเจี้ยนอย่างสุขุม “ถวายพระพรฝ่าบาท ฝ่าบาททรงหายประชวรแล้วหรือเพคะ มิมีใดมาแจ้งข่าวดีเช่นนี้ให้ข้าทราบเลย” หยางกุยฮวากล่าวออกมาพร้อมเดินไปด้านข้าง เพื่อประคองแขนของหนิงเว่ยเจี้ยนหนิงเว่ยเจี้ยนสะบัดมือจากการเกาะกุมของหยางกุยฮวาในทันทีอย่างนึกรังเกียจ หยางกุยฮวาที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถึงกับล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ หนิงอันอวี้รีบเข้ามาประคองร่างของหยางกุยฮวาด้
บทที่ 60 ทวงคืนจางหมินเย่วที่เดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องนอน ฉับพลันประตูก็ถูกเปิดออก ซ่งฟู่หลงก้าวเท้าเข้ามาด้านในด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“ใต้เท้า...” จางหมินเย่วรีบปรี่เข้าไปสวมกอดร่างแกร่งอย่างต้องการที่พึ่ง บัดนี้นางได้แต่นึกสับสนและไม่อาจเชื่อสายตาตนเองได้ว่าเซี่ยเหมยจะวางแผนให้ร้ายนางเช่นนี้ จางหมินเย่วยังคงคาดเดาว่าอาจเป็นไปได้ที่นางจะถูกผู้อื่นใส่ร้ายแทน“เย่วเอ๋อร์...เจ้าบอกความจริงข้าได้หรือยัง” ซ่งฟู่หลงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและคาดคั้นออกมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนพุ่งเป้ามาที่จางหมินเย่ว ดังนั้นศัตรูย่อมหมายเอาชีวิตของเขาเป็นหลักอย่างแน่นอน“ข้า...ใต้เท้า...ข้าไม่ทราบเรื่องจริงๆ” จางหมินเย่วยังคงมืดแปดด้าน นางมิกล้ากล่าวหามารดาของตนไปได้ซ่งฟู่หลงถอนหายใจออกมาพร้อมมองหน้าจางหมินเย่วอย่างนึกน้อยใจ “เรื่องราวเช่นนี้ เจ้ายังคิดจะปิดบังข้าอยู่หรือ” น้ำเสียงตัดพ้อทำเอาจางหมินเย่วถึงกับเม้มปากและก้มหน้าสลดลงไป“ใต้เท้า...ขนมที่ข้าทำ...ข้าเพียงใส่ยาบำรุงที่ท่านแม่มอบให้” จางหมินเย่วพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “แต่ว่าท่านแม่ไม่มีทางให้ร้ายข้าเป็นแน่...ใต้เท้าต้องมีผู้ไม่หวังดีใส่ร้ายข้า