ตกหัวค่ำจางเหวิ่นชิงยังคงเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้องนอนด้วยท่าทางที่กลัดกลุ้มอย่างหนัก เขาได้แต่นึกเสียใจและอยากกัดลิ้นตัวเองให้ตายไปเสีย เมื่อเขาเผลอรับปากจางหมินเย่วออกไปในช่วงกลางวันที่ผ่านมาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่เมื่อนึกถึงแววตาที่เปล่งประกายอย่างมีความหวังกับท่าทางตื่นเต้นดีใจขึ้นมาอย่างกะทันหันของบุตรสาวก็ทำให้จางเหวิ่นชิงไม่อาจถอนคำพูดที่ตนเองลั่นออกมาได้
“ท่านพี่ยังไม่นอนอีกหรือ” เซี่ยเหมยเอ่ยทักพร้อมยกมือขึ้นลูบลำแขนหนาของเขาอย่างห่วงใย
จางเหวิ่นชิงถอนหายใจหนักออกมาอีกครั้ง “ข้ายังมิอาจทำใจยอมรับเจ้าคนหยิ่งผยองผู้นั้นได้” จางเหวิ่นชิงตัดพ้อออกมาให้ฮูหยินของตนรับฟัง สีหน้าฉายความขุ่นเคืองออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านพี่...เรื่องความรักมิอาจบีบบังคับได้...ท่านก็ทำใจยอมรับเสียเถอะ”
“แต่ว่า...เย่วเอ๋อร์ควรได้คู่ครองที่ดีกว่าเจ้าคนผู้นั้น ไม่ว่าข้าจะคิดเช่นใดคนผู้นั้นก็หาใช่คนที่เหมาะสมกับนาง” จางเหวิ่นชิงคำรามออกมา
เซี่ยเหมยสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างแง่งอน “เช่นนั้นท่านพี่ก็ไปบอกเย่วเอ๋อร์เสียเองเลยว่าท่านจะมิช่วยนางแล้ว...แต่ว่า...หากเกิดเรื่องอันใดกับนางขึ้นมา ท่านพี่ต้องเป็นคนรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวนะเจ้าคะ”
จางเหวิ่นชิงมองหน้าเซี่ยเหมยอย่างอ่อนใจ เขาได้แต่ยอมแพ้กับคำกล่าวของนางด้วยความจนใจ “เจ้าก็รู้ดี เย่วเอ๋อร์นั้นทั้งดื้อรั้นและเอาแต่ใจตนเองตั้งแต่เด็ก หากข้าผิดคำพูดขึ้นมา นางคงไม่ยอมมองหน้าข้าไปชั่วชีวิตเป็นแน่”
“ในเมื่อท่านพี่ก็รู้ดีกว่าข้า...เช่นนั้นวันนี้ก็นอนเถิดเจ้าค่ะ” เซี่ยเหมยพูดจบก็สะบัดตัวหันหลังเดินกลับไปที่เตียง พร้อมล้มตัวลงนอนเพียงลำพังอย่างไม่คิดจะสนใจสามีของตนอีก
จางเหวิ่นชิงเห็นท่าทางแข็งขืนเช่นนั้นของภรรยาก็ได้แต่ถอนหายใจครั้งใหญ่ “หากเจ้าทำให้เย่วเอ๋อร์เสียใจ ข้าจะทำให้เจ้าไม่มีความสุขไปชั่วชีวิต” จางเหวิ่นชิงกล่าวอาฆาตขึ้นมา ก่อนจะเดินกลับไปที่เตียง เขาล้มตัวลงนอนอยู่เป็นเวลานานก็มิอาจข่มตาหลับลงได้ จวบจนเกือบรุ่งสางจางเหวิ่นชิงถึงได้คล้อยหลับลงไป
รุ่งเช้าของวันจางเหวิ่นชิงลุกขึ้นแต่งตัวอย่างเป็นทางการโดยมีเซี่ยเหมยคอยดูแลความเรียบร้อยไม่ห่าง “ท่านพี่ วันนี้ท่านจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท หวังว่าคงไม่มีเรื่องหนักหนาอันใดขึ้นมาอีกนะเจ้าคะ”
จางเหวิ่นชิงพยักหน้ารับด้วยใบหน้าที่ไม่สู้ดีนัก เขามิได้กังวลใจเรื่องฮ่องเต้ แต่เขากลัดกลุ้มและยังคงทำใจยอมรับซ่งฟู่หลงไม่ได้อยู่ดี
ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่า ฮ่องเต้หนิงเว่ยเจี้ยนนั่งประทับอยู่บนบัลลังก์ทองคำด้วยท่าทางอันน่าเกรงขาม เขาจ้องมองจางเหวิ่นชิงที่คุกเข่าลงตรงหน้าเขาอย่างนึกประหลาดใจ
“ใต้เท้าจาง เจ้ามีเรื่องด่วนอันใดจึงเข้าเฝ้าข้าแต่เช้าเช่นนี้”
“ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องอยากทูลขอพ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าจางว่ามาได้เลย”
“ทูลฝ่าบาท...สกุลจางรับใช้แว่นแคว้นมาตลอดชั่วอายุคน หม่อมฉันเองก็รับใช้ฝ่าบาทด้วยความจงรักภักดี บัดนี้หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลขอฝ่าบาทหวังว่าฝ่าบาทจะอนุญาตให้คนชราเช่นหม่อมฉันได้สมหวัง” จางเหวิ่นชิงกล่าวออกมาก่อนจะปรายตาขึ้นมองหน้าหนิงเว่ยเจี้ยน แต่เมื่อเห็นว่าเขายังคงแสดงสีหน้าเป็นปกติ จางเหวิ่นชิงจึงได้กล่าวต่อ “หม่อมฉันอยากทูลขอพระราชทานสมรสให้บุตรสาวคนรองของข้า...จางหมินเย่วพ่ะย่ะค่ะ”
“บุตรสาวของเจ้าหรือ...กับผู้ใดกันเล่า”
“ทูลฝ่าบาท...เป็นใต้เท้าซ่ง...ซ่งฟู่หลงพ่ะย่ะค่ะ”
“ฟู่หลงงั้นหรือ” หนิงเว่ยเจี้ยนพึมพำออกมาอย่างตกตะลึง เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าซ่งฟู่หลงมีความสัมพันธ์กับจางหมินเย่ว สีหน้าของหนิงเว่ยเจี้ยนแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที เขาหันไปหาขันทีข้างกายพร้อมส่งสัญญาณให้อย่างมีพิรุธ ก่อนที่ขันทีจะโค้งคำนับและหันหลังเดินหลบออกจากห้องไปทันที
“ช่างเป็นเรื่องที่ข้าประหลาดใจยิ่งนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าใต้เท้าซ่งและคุณหนูสกุลจางมีใจปฏิพัทธ์ซึ่งกันและกัน” หนิงเว่ยเจี้ยนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่สีหน้ากลับแสดงความใคร่รู้อย่างหนัก เขาขยับกายนั่งหลังตรงขึ้นอย่างต้องการตั้งใจฟัง
จางเหวิ่นชิงเองก็อดรู้สึกแปลกใจต่อท่าทีของหนิงเว่ยเจี้ยนเสียมิได้ เหตุใดเรื่องการแต่งงานของขุนนางระดับต่ำเช่นนี้จึงทำให้ฮ่องเต้ถึงกับแสดงความสนใจขึ้นมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อคิดถึงคำกล่าวอ้างที่ว่าซ่งฟู่หลงแม้เป็นขุนนางขั้นเจ็ดแต่ก็ได้รับความโปรดปรานจากหนิงเว่ยเจี้ยนอยู่มาก ทำให้เขาค่อยคลายความสงสัยลงไป
“ทูลฝ่าบาท...บุตรสาวของหม่อมฉันมีใจรักใคร่ต่อใต้เท้าซ่ง...ข้าผู้เป็นพ่อย่อมต้องสนับสนุนนางพ่ะย่ะค่ะ”
หนิงเว่ยเจี้ยนพยักหน้ารับแต่กลับมิตอบอันใด ทำเอาจางเหวิ่นชิงถึงกับยืนเก้อไปในทันที
สักพักใหญ่ร่างของชายหนุ่มก็ปรากฏตัวขึ้น ซ่งฟู่หลงก้าวเท้าเข้ามาภายในท้องพระโรงด้วยท่าทางหงุดหงิดเสียเต็มประดา
“ถวายพระพรฝ่าบาท” ซ่งฟู่หลงโค้งตัวคำนับหนิงเว่ยเจี้ยนตามธรรมเนียม ก่อนจะปรายตามองไปยังจางเหวิ่นชิงอีกหนอย่างรู้สึกขัดใจ
“ฝ่าบาทให้คนไปตามหม่อมฉันมา ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใด”
หนิงเว่ยเจี้ยนถึงกับกระแอมออกมาเมื่อเห็นท่าทางของซ่งฟู่หลงที่ตอนนี้แทบจะกระโดดเข้าขย้ำจางเหวิ่นชิงด้วยความโกรธ
“ใต้เท้าจางมาเข้าเฝ้าข้าเพื่อขอประทานสมรสให้บุตรสาวคนรองกับ...เจ้า”
“หม่อมฉันขอปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งฟู่หลงกล่าวคัดค้านออกมาทันทีอย่างไม่รอให้หนิงเว่ยเจี้ยนพูดจบ
“ใต้เท้าซ่ง...เจ้า...” จางเหวิ่นชิงถึงกับตะคอกออกมาพร้อมชี้หน้าไปยังซ่งฟู่หลงด้วยความโมโห
ซ่งฟู่หลงโค้งตัวหาหนิงเว่ยเจี้ยนก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันดัง “ทูลฝ่าบาท...หม่อมฉันมิอาจแต่งงานกับคุณหนูรองสกุลจางได้...เนื่องจากหม่อมฉันได้แต่งงานและมีฮูหยินของจวนอยู่ก่อนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ฟู่หลง...เจ้าแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ...” หนิงเว่ยเจี้ยนอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงอันดัง ท่าทางทั้งตกใจและแปลกใจในคราวเดียวกัน สายตาจ้องมองไปยังซ่งฟู่หลงอย่างเอาผิด หากแต่ซ่งฟู่หลงกลับยืนนิ่งเฉยอย่างไม่หวั่นเกรงหนิงเว่ยเจี้ยนหันไปหาขันทีข้างกายในทันที สายตาตำหนิส่งไปยังขันทีอย่างต้องการเอาเรื่อง ขันทีได้แต่หน้าเจื่อนพลางส่ายหน้าให้เป็นสัญญาณว่าอย่าได้ทรงกังวลใจไปนัก หนิงเว่ยเจี้ยนเห็นเช่นนั้นจึงได้ผ่อนอารมณ์ลง ความคิดแปรเปลี่ยนไปอีกครั้งพร้อมมองภาพเบื้องหน้าของคนทั้งสองอย่างนึกสนุกขึ้นมาจางเหวิ่นชิงเองก็ตกตะลึงกับคำกล่าวของซ่งฟู่หลงไม่ต่างกันมากนัก แต่เขาก็อดนึกแปลกใจในปฏิกิริยาของหนิงเว่ยเจี้ยนที่ดูจะร้อนรนใจมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำอย่างช่วยไม่ได้ แต่เพราะตอนนี้จิตใจของจางเหวิ่นชิงเอาแต่จดจ่ออยู่เพียงกับบุตรสาวเท่านั้น ทำให้จางเหวิ่นชิงละความสนใจในท่าทีดังกล่าวไปเสียสิ้น “ใต้เท้าซ่ง...เหตุใดข้าไม่เคยรู้ว่าท่านแต่งงานแล้ว” จางเหวิ่นชิงหันความสนใจกลับมายังซ่งฟู่หลง ตอนนี้ในใจเขาได้แต่กังวลใจเกี่ยวกับจางหมินเย่ว จางเหวิ่นชิงไม่อยากจะจินตนาการว่าหากบุตรสาวของตนรู้เรื่องนี้ นางจะเป็
จางเหวิ่นชิงเดินทางกลับจวนสกุลจางด้วยความโมโหและหงุดหงิด ในขณะที่เซี่ยเหมยและจางหมินเย่วกำลังนั่งรอเขาด้วยความตื่นเต้นและกระวนกระวายใจ จางหมินเย่วยืนชะเง้อมองไปที่ประตูอยู่ไม่เว้นว่าง สองมือจิกเกร็งไปมาด้วยความกระสับกระส่าย ทันทีที่จางเหวิ่นชิงก้าวเข้ามาภายในห้องโถง จางหมินเย่วก็ปรี่เข้าไปหาบิดาของตนในทันที “ท่านพ่อ...” จางเหวิ่นชิงที่ยังคงอารมณ์ขุ่นมัว เมื่อเขาได้เห็นบุตรสาวตรงหน้าก็พาลมีอารมณ์โมโหมากขึ้นไปอีก “เย่วเอ๋อร์...ข้าขอสั่งเจ้าเลิกยุ่งกับซ่งฟู่หลงอีกเป็นอันขาด” คำสั่งเฉียบขาดที่ดังขึ้นมา พร้อมใบหน้าถมึงทึง ทำเอาจางหมินเย่วถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตระหนก “ท่านพ่อเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านจึงพูดเช่นนั้น” “เจ้านี่ช่างไม่รู้ความเสียจริง เจ้ารู้หรือไม่ซ่งฟู่หลงแต่งงานแล้ว” จางเหวิ่นชิงตวาดใส่จางหมินเย่วด้วยน้ำเสียงอันดัง จางหมินเย่วถึงกับอ้าปากค้าง “ใต้เท้าซ่งแต่งงานแล้วหรือเจ้าคะ” “เจ้าหนุ่มผู้นั้นเอ่ยปากต่อหน้าพระพักตร์ ทั้งท่าทางจองหองนั่น ข้าคิดแล้วก็แค้นยิ่งนัก” จางเหวิ่นชิงกล่าวออกมาพร้อมตวัดสายตาตำห
บทที่ 11 ไม่ยอมแพ้ จางหมินเย่วถูกขังอยู่ในศาลบรรพชนเป็นเวลากว่าห้าวันแล้ว แต่ทว่านางยังคงมีท่าทีแข็งขืนและไม่ยอมแพ้ เล่อจิ้นยกสำรับอาหารเข้ามาภายในห้อง นางมองนายหญิงของตนด้วยความเป็นห่วง นับตั้งแต่จางหมินเย่วถูกลงโทษนางก็แตะต้องอาหาร เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ร่างกายบอบบางซีดผอมลงอย่างเห็นได้ชัด จนเล่อจิ้นอดนึกเป็นห่วงเสียมิได้ “คุณหนู...ท่านทานอาหารให้มากเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ หากท่านยังฝืนร่างกายเช่นนี้ ท่านจะล้มป่วยเอาได้นะเจ้าคะ”จางหมินเย่วหัวเราะหึๆ ออกมา “ป่วยงั้นรึ...ข้าป่วยได้ก็ดีสิ” เล่อจิ้นได้แต่ถอนหายใจในความดื้อรั้นของนางจนกระทั่งช่วงบ่ายของวันเล่อจิ้นเข้ามาภายในห้องเพื่อจัดเก็บสำรับ นางกรีดร้องออกมาเสียงดังลั่น “พ่อบ้าน...พ่อบ้านตามนายท่านและฮูหยินเร็ว...คุณหนูรองเป็นลมหมดสติไปแล้ว” เล่อจิ้นร้องพลางรีบวิ่งเข้ามาประคองร่างบางเอาไว้ในอ้อมแขน จางหมินเย่วนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นห้องอย่างไม่รู้สึกตัว จวนสกุลจางโกลาหลขึ้นอีกครั้ง จางเหวิ่นชิงรีบให้คนไปตามหมอมาที่จวนเป็นการด่วน ในขณะที่จางหมินเย่วถูกพาตัวกลับมายังเรือนนอน นางยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง จางเหวิ่นชิงรู
บทที่ 12 ทวงสัญญา จางเหวิ่นชิงสั่งให้พ่อบ้านเตรียมรถม้าในทันทีหลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว เขาเร่งเดินทางไปยังจวนสกุลซ่งพร้อมขบคิดคำพูดและหนทางมากมายในหัว เมื่อมาถึงหน้าจวนสกุลซ่ง จางเหวิ่นชิงนั่งอยู่ภายในรถม้าเป็นเวลานานกว่าที่เขาจะสงบใจและทำใจได้ จากนั้นจางเหวิ่นชิงจึงสั่งให้คนไปรายงานแก้ซ่งฟู่หลงว่าเขาต้องการพบซ่งฟู่หลงกำลังฝึกกระบี่อยู่ที่ลานกลางสวน เขาต้องหยุดชะงักลงเมื่อพ่อบ้าน เดินกึ่งวิ่งเข้ามาหาพร้อมกับรายงาน “เรียนนายท่าน...ใต้เท้าจาง จางเหวิ่นชิงมาขอพบขอรับ”ซ่งฟู่หลงขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ เขาไม่คิดว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะวุ่นวายกับตัวเขาไม่น้อยเช่นนี้ พ่อบ้านมีท่าทางอึดอัด “นายท่านจะให้ใต้เท้าจางเข้าพบหรือไม่ขอรับ”ซ่งฟู่หลงถอนหายใจก่อนจะพยักหน้ารับ “บอกใต้เท้าจางให้รอข้าสักครู่ก่อน ข้าจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่นาน”จางเหวิ่นชิงนั่งรออยู่ที่โต๊ะใหญ่กลางห้องภายในห้องโถงของเรือนสกุลซ่งด้วยท่าทางที่ใจเย็น เขาลอบสำรวจสภาพแวดล้อมภายในจวนรวมถึงเรือนรับรองแห่งนี้อย่างละเอียด บรรยากาศภายในจวนค่อนข้างเรียบง่ายและสงบร่มรื่น การตกแต่งแม้จะดูมิได้โอ่อ่าใหญ
บทที่ 13 ตบแต่งจางเหวิ่นชิงเดินทางเข้าเฝ้าหนิงเว่ยเจี้ยนในทันที เขาคุกเข่าลงตรงหน้าฮ่องเต้ด้วยท่าทางที่ร้อนรน“ถวายบังคมฝ่าบาท...หม่อมฉันมีเรื่องทูลขอ...ขอฝ่าบาทให้ความเป็นธรรมแก่หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันวอนขอราชโองการตบแต่งใต้เท้าซ่งฟู่หลงกับจางหมินเย่วบุตรสาวคนรองของหม่อมฉันตามที่ใต้เท้าซ่งเคยสัญญาเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ” จางเหวิ่นชิงที่ร้อนใจ เขารีบทูลขอความต้องการดังกล่าวแก่หนิงเว่ยเจี้ยนในทันทีหนิงเว่ยเจี้ยนจ้องมองจางเหวิ่นชิงอย่างสนใจ เขารับรู้มาว่าจางเหวิ่นชิงนั้นรักจางหมินเย่วบุตรสาวคนรองที่เกิดจากฮูหยินคนก่อนอย่างมาก เรียกได้ว่านางเป็นแก้วตาดวงใจของเขาเลยด้วยซ้ำ แล้วเหตุใดเขาจึงยอมตบแต่งบุตรสาวสุดที่รักให้เป็นเพียงอนุแก่ขุนนางขั้นเจ็ดที่ไร้อำนาจอย่างซ่งฟู่หลงกัน และหลังจากขันทีนำข้อมูลของจางหมินเย่วมารายงานแก่เขา นางก็ถือได้ว่าเป็นหญิงสาวที่โดดเด่นมากในบรรดาคุณหนูทั้งหลายในเมืองหลวงเลยทีเดียว ตัวเขาเองก็นึกชมชอบอยู่พอสมควรหากซ่งฟู่หลงจะตบแต่งจางหมินเย่วเข้ามาในจวนสกุลซ่ง“เจ้ารีบไปตามใต้เท้าซ่งมาเข้าเฝ้าข้าเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงราบเรียบแต่เฉียบขาดของหนิงเว่ยเจี้ยนกล่าวออกมา ขันทีโค้งกายพร
บทที่ 14 งานแต่งงานแต่งของจางหมินเย่วถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ โดยมีขันทีประจำตัวฮ่องเต้ เป็นผู้จัดงานฝั่งฝ่ายชาย สามหนังสือหกพิธีการถูกตระเตรียมอย่างครบครันสร้างความประหลาดใจให้กับคนในจวนสกุลจางเป็นอย่างมาก และแม้กระทั่งผู้คนภายในเมืองหลวงก็ต่างฉงนกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะงานแต่งครั้งนี้เป็นเพียงการแต่งอนุเข้าจวน แต่เหตุอันใดพิธีการจึงไม่แตกต่างจากงานแต่งฮูหยินเอาเสียเลย อีกทั้งงานดังกล่าวยังเป็นเพียงงานแต่งรับอนุของขุนนางขั้นเจ็ดอีกด้วย ทำให้ข่าวลือเรื่องความโปรดปราน ในตัวซ่งฟู่หลงโหมกระพือมากขึ้นไปอีกจางเหวิ่นชิงเองก็พลอยได้หน้าเสียยกใหญ่ เหล่าขุนนางต่างพากันมาร่วมแสดงความยินดีกันอย่างคับคั่ง“เป็นบุญของใต้เท้าจางยิ่งนัก ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทเป็นผู้กำชับและสั่งการเรื่องงานแต่งนี้ด้วยพระองค์เองเลยนะขอรับ”“ใต้เท้าซ่งผู้นี้มิอาจดูแคลนได้เสียแล้ว ทั้งความโปรดปรานของฝ่าบาท ทั้งเป็นเขยของใต้เท้าจาง ต่อไปใต้เท้าซ่งต้องอนาคตไกลเป็นแน่”คำกล่าวเยินยอมากมายทำเอาจางเหวิ่นชิงถึงกับยิ้มไม่หุบ ยิ่งเมื่อขบวนรับเจ้าสาวมาถึงที่จวนสกุลจางหีบสินสอดรวมกว่ายี่สิบหีบ เรียงรายอยู่ด้านหน้าจวนสร้างความตื่นเ
บทที่ 15 อากาศธาตุผ่านไปเพียงไม่นานเล่อจิ้นเดินกลับเข้ามาภายในห้องด้วยท่าทางผิดหวัง ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มดีใจก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมอง นางมองนายหญิงของตนอย่างนึกสงสารจับใจ“เล่อจิ้น...เจ้ากลับมาแล้วหรือ” จางหมินเย่วถามออกไปเมื่อผ้าคลุมหน้ายังปกคลุมใบหน้าของนางทำให้ไม่เห็นสิ่งใดเล่อจิ้นปิดประตูแน่นก่อนจะเดินมานั่งคุกเข่าตรงหน้าจางหมินเย่ว นางยกมือทั้งสองขึ้นกอบกุมมือของจางหมินเย่วเอาไว้แน่น “คุณหนูเจ้าขา ใต้เท้าซ่งกลับเรือนนอนของใต้เท้าแล้วเจ้าค่ะ คืนนี้ใต้เท้าซ่งคงไม่ได้มาที่นี่แล้ว” เล่อจิ้นรายงานด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก นางยังคงบีบมือจางหมินเย่วเอาไว้ ด้วยกังวลว่านายหญิงของตน จะเศร้าโศกมากเกินไปจางหมินเย่วได้ฟังก็นิ่งอึ้งไปในทันที “ใต้เท้าคงมีเหตุผลที่ทำเช่นนี้เป็นแน่ เจ้าอย่าได้คิดมากนัก...เล่อจิ้น...เจ้าช่วยข้าเสื้อผ้าพวกนี้เสียเถอะ ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว อยากจะพักผ่อนเต็มที” จางหมินเย่วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาเอ่อคลอเต็มสอง ตา แต่นางก็ยังคงพยายามสะกดกั้นเอาไว้ มิให้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม วันนี้เป็นวันแต่งของนาง นางจะโศกเศร้าไม่ได้ จางหมินเย่วได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายาม
บทที่ 16 หลบเลี่ยงหลังจากจางหมินเย่วหันหลังเดินออกจากห้องไป ซ่งฟู่หลงก็เงยหน้าขึ้นมองร่างบางที่ลับสายตาอย่างรู้สึกหนักใจ “เจ้าช่างดื้อรั้นยิ่งนัก” ซ่งฟู่หลงพึมพำออกมา พลันอดนึกถึงยามที่สายตาของนางจับจ้องเขาอย่างไม่วางตาทำเอาหัวใจของเขากระตุกวูบไปในทันที ดวงตานั้นเปล่งประกายจ้องมองเขาราวกับเป็นบุรุษเพียงคนเดียวในโลกใบนี้ที่นางมองเห็น ท่าทางตื่นเต้นดีใจราวกับโลกทั้งใบของนางมีเพียงเขา และยามที่เขาเมินเฉย ดวงตาที่หม่นแสงลงพร้อมท่าทางที่เหี่ยวเฉาราวกับโลกนี้กำลังแตกสลาย นั่นยิ่งทำให้ซ่งฟู่หลงอดรู้สึกปวดใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ซ่งฟู่หลงวางพู่กันลงพร้อมเอนกายพิงพนักอย่างรู้สึกเหนื่อยใจ เขาเบือนหน้า มองถ้วยซุปที่ยังคงมีควันจางๆ พวยพุ่งส่งกลิ่นหอมละมุนออกมา ซ่งฟู่หลงถึงกับยกยิ้มขึ้นมาอย่างลืมตัว เขายกมือเอื้อมหยิบซุปเห็ดหูขาวขึ้นมา พร้อมตักเข้าปากจนกระทั่งหมดถ้วย รสชาตินั้นช่างดีเยี่ยมถูกปากเขายิ่งนักซ่งฟู่หลงยิ้มออกมาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขานึกถึงท่าทางตื่นเต้นและประหม่าเขินอายในคราแรกที่พวกเขาทั้งสองได้พบกัน ก็อดนึกเอ็นดูขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามใจซ่งฟู่หลงชะงักมือ
บทที่ 68 ฟ้าหลังฝน“โยวเอ๋อร์....โยวเอ๋อร์...ข้าขอโทษ...ข้าขอโทษ” เสียงร้องตะโกนเรียกบุตรสาวของเซี่ยเหมยดังก้องไปทั่วห้องขัง นางทรุดตัวลงกับพื้นด้วยน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มพร้อมหันหลังให้กับจางหมินเย่วอย่างหมดอาลัยตายอยาก นางอ่อนล้าและอ่อนแรงจนไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอันใดกับจางหมินเย่วให้ตนเองต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว“ท่านแม่...ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าได้แต่นึกขอบคุณท่านที่รักและเอาใจใส่ข้ามาโดยตลอดแม้ว่าท่านจะเกลียดชังข้ามากเพียงใด...แต่ว่า...ท่านแม่...จะมีสักครั้งหรือไม่ที่ท่านจริงใจต่อข้าแม้เสียงสักเสี้ยวนาที”เซี่ยเหมยกัดฟันแน่นข่มความอาดูรเอาไว้ในใจ ภาพแต่หนหลังผุดขึ้นมาในความนึกคิดของนางอีกครั้ง แม้นางจะนึกเกลียดชังสองแม่ลูกมากสักเพียงใดแต่ความผูกพันที่มีมาเนิ่นนานก็เป็นสิ่งที่นางมิอาจปฏิเสธได้ “นับแต่นี้ต่อไป...เจ้าอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าเจ้าอีก” เซี่ยเหมยกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่สงบและจริงจัง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปนั่งหันหลังที่มุมห้องขังอย่างไม่ต้องการเสวนากับจางหมินเย่วอีกต่อไปจางหมินเย่วสะอื้นไห้ในลำคอ ก่อนจะยกยิ้มบางขึ้นมาอีกหน “ขอท่านแม่โปรดรักษาตัวด้วย” นางคุกเข่าลงพร้อมโขกศีรษะกับพื้นเ
บทที่ 67 ท่านยอมรับความจริงเถิดข่าวคราวเรื่องของหนิงอันอวี้ที่มีสภาพไม่ต่างจากตุ๊กตามีชีวิตแพร่สะพัดไปทั่วแคว้น “ไม่จริง...อันอวี้ต้องไม่เป็นอันใด...ไม่จริง...” หยางกุยฮวาที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับคลุ้มคลั่งอาละวาด ก่อนจะเป็นลมจนสิ้นสติไปในทันทีในขณะที่ซ่งฟู่หลงและจางหมินเย่วได้ยินเรื่องดังกล่าวก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างนึกสังเวชใจ “เวรกรรมจริงๆ”จางหมินเย่วหันไปมองซ่งฟู่หลงก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความประหม่า “ใต้เท้า...ข้ามีเรื่องอยากขอร้อง”ซ่งฟู่หลงหรี่ตามองจางหมินเย่ว “เจ้าว่ามาสิ”“ข้าอยากไปเยี่ยมท่านแม่สักครั้ง...ท่านให้ข้าไปได้หรือไม่” จางหมินเย่วกล่าวออกมาในที่สุดแววตาที่อ้อนวอนทอดมองมาที่ซ่งฟู่หลง เขาได้แต่พยักหน้ารับพร้อมกำชับให้องครักษ์คอยคุ้มกันนางเอาไว้อย่างใกล้ชิดจางหมินเย่วพร้อมเล่อจิ้นและองครักษ์อีกสองนายขึ้นรถม้าพร้อมมุ่งหน้าตรงไปยังคุกอาญาในทันทีเซี่ยเหมยถูกกักขังอยู่ในห้องขังตามลำพัง ใบหน้าเหม่อลอย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงอย่างทอดอาลัยตายอยาก นางรู้สึกอับจนและสิ้นหวังเป็นอย่างยิ่งในทันทีที่เซี่ยเหมยเห็นจางหมินเย่วตรงหน้า นางก็ปรี่เข้ามาพร้อมยื่นแขน ออกมาด้านนอกกรงขังหวั
บทที่ 66 ข้ามิอาจให้ท่านทำร้ายได้อีกจางเซี่ยโยวประคองหนิงอันอวี้เข้ามาภายในห้องนอนด้วยท่าทางที่เป็นปกติ แม้ว่าภายในใจนั้นกลับตื่นเต้นระคนหวาดหวั่นไปพร้อมกัน สุราและอาหารถูกจัดเรียงไว้อย่างพร้อมสรรพหนิงอันอวี้เข้ามาภายในห้องนอน เขามิได้ใส่ใจกับสิ่งใดตรงหน้า หนิงอันอวี้กระชากร่างของจางเซี่ยโยวเข้าหาตัวพร้อมบดขย้ำนางด้วยความอัดอั้นในอารมณ์ ริมฝีปากหนาบดขยี้ริมฝีปากบางอย่างดุนดันและตะกละตะกลามจางเซี่ยโยวร้องอู้อี้ออกมา นางพยายามดิ้นรนขัดขืนก่อนจะสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมได้ในที่สุด การกระทำดังกล่าวส่งผลให้หนิงอันอวี้มีท่าทางฉุนเฉียวและหงุดหงิดใจขึ้นมาในทันทีจางเซี่ยโยวรีบปรับอารมณ์ให้เป็นปกติอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มกว้างอย่างหวานเยิ้มออกมาพร้อมเดินเข้าไปคล้องลำแขนของเขาอย่างประจบเอาใจ “องค์ชาย...ข้าตระเตรียมสุราชั้นดีเอาไว้สำหรับดื่มด่ำในค่ำคืนนี้ หากท่านใจร้อนเช่นนี้จะมิทำให้เสียบรรยากาศหรอกหรือเจ้าคะ”จางเซี่ยโยวกล่าวพลางดึงรั้งหนิงอันอวี้ลงนั่งที่โต๊ะ ก่อนจะหย่อนกายลงนั่งบนตักเขา มือข้างหนึ่งวาดแขนโอบรอบลำคอ ในขณะที่อีกมือหนึ่งก็ยกสุรารินลงในจอกด้วยท่าทางที่เชื่องช้าแต่เย้ายวนในที จางเซี
บทที่ 65 น้อยเนื้อต่ำใจจางเซี่ยโยวโขกศีรษะขอบคุณหนิงเว่ยเจี้ยนอีกครั้ง เมื่อนางได้รับอนุญาตตามที่หนิงเว่ยเจี้ยนได้ให้คำมั่นไว้ นางก็ขอตัวลากลับไปในทันที นางหันหลังเดินออกไปโดยมิได้มองจางหมินเย่วที่อยู่ด้านข้างเลยแม้แต่น้อย“เช่นนั้นลูกก็ขอตัวเช่นกัน” ซ่งฟู่หลงโค้งตัวลาหนิงเว่ยเจี้ยนในทันที พร้อมกระชับร่างของจางหมินเย่วที่ยังคงยืนนิ่งราวกับกำลังอยู่ในความฝัน เหตุการณ์ตรงหน้าซับซ้อนเกินกว่าที่จางหมินเย่วจะสามารถคาดเดาอันใดได้“ฟู่หลง...ต่อไปเจ้าก็ดูแลเย่วเอ๋อร์ให้ดีเล่า” หนิงเว่ยเจี้ยนกล่าวกำชับซ่งฟู่หลงอีกครั้งอย่างนึกเป็นห่วงและเอ็นดู“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ...ชายาของข้านั้นดื้อรั้นและโง่เขลา...ต่อไปข้าคงมิอาจให้นางคลาดสายตาไปได้อีก” ซ่งฟู่หลงกล่าวตอบพร้อมปรายตามองจางหมินเย่วอย่างหยอกเย้าจางหมินเย่วได้แต่ยิ้มเจื่อนออกมา พร้อมใบหน้าที่สลดลงไป นางมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาอีก นางได้แต่นึกเสียใจในความโง่เขลาของตนเองขณะที่อยู่ลำพังภายในเรือนนอน จางหมินเย่วได้แต่นั่งคอตกหวนคิดถึงความผิดพลาดที่ตนเองได้ก่อขึ้น นางได้แต่รู้สึกหมดอาลัยตายอยาก ทั้งความผิดหวัง ความท้อแท้ ความรันทดใจซ่งฟู่หลงเข้ามานั่ง
บทที่ 64 ทวงสัญญาหลังจากที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง หยางกุยฮวาถึงคุมตัวไปยังตำหนักเย็น ในขณะที่เซี่ยเหมยถูกจับกุมไปยังเรือนจำของศาลอาญาเพื่อรอคำตัดสิน จางเซี่ยโยวก็ได้คุกเข่าลงตรงหน้าหนิงเว่ยเจี้ยน “ทูลฝ่าบาท...ขอพระองค์ทรงทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”จางเซี่ยโยวหวนนึกถึงในวันที่เซี่ยเหมยได้เดินทางมาหาตนที่จวนก่อนหน้านี้“โยวเอ๋อร์...แม่มีเรื่องสำคัญจะบอกกับเจ้า” เซี่ยเหมยกล่าวออกมา ในขณะที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง“ท่านแม่มีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ เหตุใดท่านจึงดูร้อนรนเช่นนี้”เซี่ยเหมยหยิบขวดยาจากแผงเสื้อออกมา ก่อนจะนำมาวางตรงหน้าจางเซี่ยโยว“นี่คือ....”เซี่ยเหมยตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่หยางกุยฮวาได้นัดหมายกับตนให้จางเซี่ยโยวได้ฟังจนสิ้น “โยวเอ๋อร์...หากการนี้ทำสำเร็จ...อนาคตของเจ้าและองค์ชายสามย่อมสว่างสดใส และต่อไปจะมิมีผู้ใดขัดขวางตำแหน่งว่าที่ฮองเฮาของเจ้าไปได้อีกแล้ว” เซี่ยเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง“ท่านแม่...” จางเซี่ยโยวพ้อออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจกับความคิดอันเลวร้ายของมารดาของตน “ท่านแม่ องค์ชายสามนั้นมีตำแหน่งรัชทายาทอยู่ก่อนแล้ว ห
บทที่ 63 จนมุมนางกำนัลคนสนิทของหยางกุยฮวาถูกโยนลงมาตรงด้านข้างของเซี่ยเหมยด้วยสภาพบอบช้ำและอิดโรย“เจ้าจงสารภาพออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงตวาดของหนิงเว่ยเจี้ยนดังขึ้นอีกครั้งนางกำนัลหันไปมองหยางกุยฮวาอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะโขกศีรษะลงกับพื้นหลายต่อหลายครั้ง “ทูลฝ่าบาท...หม่อมฉันผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาทเมตตาด้วย หม่อมฉัน...เอ่อ...เรื่องราวทั้งหมดฮองเฮาเป็นผู้บงการเพคะ”สิ้นเสียงของนางกำนัล หยางกุยฮวาก็ปรี่เข้ามาตบหน้านางอย่างแรง “นางทาสชั้นต่ำ เจ้ากล้าใส่ความข้าอย่างนั้นหรือ” หยางกุยฮวาตวาดออกมาด้วยเนื้อตัวที่สั่นเทา โทสะคุกรุ่นด้วยความเจ็บแค้นที่คนสนิทของตนคิดคดทรยศนาง“หยุดเดี๋ยวนี้...” หนิงเว่ยเจี้ยนตะคอกออกมาทำเอาหยางกุยฮวาถึงกับชะงักงันไป นางจ้องมองนางกำนัลด้วยแววตาเดือดดาลและอาฆาตแค้น“เจ้าจงบอกความจริงออกมาให้หมด ข้าจะให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าเอง”“ทูลฝ่าบาท...ฮองเฮาวางแผนต้องการใส่ความองค์ชายหกจึงได้มอบยาพิษให้ฮูหยินจางเพื่อใส่ร้ายพระชายา หากแผนการสำเร็จก็จะสามารถกำจัดองค์ชายหกได้สำเร็จเพคะ” นางกำนัลกล่าวออกมาด้วยท่าทางลนลาน แม้นางจะซื่อสัตย์ต่อหยางกุยฮวามากเพียงใด แต่เมื่อนางถูกต่อรองด้วยชีวิ
บทที่ 62 ผิดแผนเสียงเย็นยะเยือกที่ดังก้องกังวานของหนิงเว่ยเจี้ยนทำเอาเซี่ยเหมยที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับทรุดฮวบลงไปกับพื้นนี้ แผ่นหลังเย็นวาบจนนางแทบลืมหายใจ “ฝ่าบาท หม่อมฉันมิรู้เรื่องอันใดเพคะ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย” เซี่ยเหมยกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก มือไม้สั่นเทาด้วยความกลัวที่แล่นเข้าจับหัวใจจางเหวิ่นชิงที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างถึงกับหันหน้ามองฮูหยินของตนอย่างไม่คาดคิด ท่าทางของนางเช่นนี้ทำให้เขารับรู้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้น“ฮูหยินจาง...เจ้ายังคิดจะแก้ตัวอยู่อีกหรือ” หนิงเว่ยเจี้ยนตวาดออกมาอย่างสุดจะทนเซี่ยเหมยถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างมิรู้จะทำเช่นใดต่อไป นางพยายามปรายตาขึ้นมองหยางกุยฮวาอย่างต้องการความช่วยเหลือหยางกุยฮวานึกเจ็บแค้นยิ่งนัก นางแทบอยากจะปรี่ตรงเข้าไปตบหน้าเซี่ยเหมยที่ทำตัวมิรู้ความเช่นนี้ แต่นางก็ได้แต่ทำเพียงกัดฟันแน่นพร้อมเบือนหน้าหนีออกไปเซี่ยเหมยรับรู้ได้ถึงการถูกตัดหางปล่อยวัด นางรู้สึกสิ้นหวังลงไปในทันที เซี่ยเหมยที่ยังคงน้ำตานองอาบสองแก้มถึงกับโขกศีรษะลงกับพื้นหลายต่อหลายที “หม่อมฉันผิดไปแล้ว...หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ”“เจ้าบอกว่าเจ
บทที่ 61 เป็นไปไม่ได้สิ้นเสียงของขันทีประกาศก้อง หนิงเว่ยเจี้ยนก็ก้าวเดินเข้ามาภายในท้องโถงใหญ่ด้วยท่วงท่าที่ราบเรียบแต่มั่นคง ใบหน้าเรียบเฉยแต่กลับดุดันไม่ต่างจากราชสีห์ที่น่าเกรงขามยิ่งนักหยางกุยฮวาถึงกับผงะถอยหลังด้วยความตกตะลึง “เป็นไปไม่ได้” หยางกุยฮวาเพ้อออกมาอย่างหวาดหวั่น ฝ่าบาทที่นอนแน่นิ่งมิต่างจากหุ่นที่มีชีวิต บัดนี้กลับก้าวเดินมาตรงหน้าของนางราวกับมิมีเหตุการณ์ร้ายใดเกิดขึ้นหนิงอันอวี้หันหน้าไปหาหยางกุยฮวางอย่างรู้สึกตื่นตระหนก หยางกุยฮวารีบยกมือขึ้นแตะฝ่ามือของหนิงอันอวี้เพื่อให้เขาสงบอารมณ์ลง จากนั้นนางจึงปรับสีหน้าและท่าทางให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้งหยางกุยฮวาและหนิงอันอวี้ก้าวเดินลงมาด้านล่างก่อนจะย่อกายคำนับหนิงเว่ยเจี้ยนอย่างสุขุม “ถวายพระพรฝ่าบาท ฝ่าบาททรงหายประชวรแล้วหรือเพคะ มิมีใดมาแจ้งข่าวดีเช่นนี้ให้ข้าทราบเลย” หยางกุยฮวากล่าวออกมาพร้อมเดินไปด้านข้าง เพื่อประคองแขนของหนิงเว่ยเจี้ยนหนิงเว่ยเจี้ยนสะบัดมือจากการเกาะกุมของหยางกุยฮวาในทันทีอย่างนึกรังเกียจ หยางกุยฮวาที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ถึงกับล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ หนิงอันอวี้รีบเข้ามาประคองร่างของหยางกุยฮวาด้
บทที่ 60 ทวงคืนจางหมินเย่วที่เดินไปเดินมาอยู่ภายในห้องนอน ฉับพลันประตูก็ถูกเปิดออก ซ่งฟู่หลงก้าวเท้าเข้ามาด้านในด้วยสีหน้าเคร่งขรึม“ใต้เท้า...” จางหมินเย่วรีบปรี่เข้าไปสวมกอดร่างแกร่งอย่างต้องการที่พึ่ง บัดนี้นางได้แต่นึกสับสนและไม่อาจเชื่อสายตาตนเองได้ว่าเซี่ยเหมยจะวางแผนให้ร้ายนางเช่นนี้ จางหมินเย่วยังคงคาดเดาว่าอาจเป็นไปได้ที่นางจะถูกผู้อื่นใส่ร้ายแทน“เย่วเอ๋อร์...เจ้าบอกความจริงข้าได้หรือยัง” ซ่งฟู่หลงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและคาดคั้นออกมา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล้วนพุ่งเป้ามาที่จางหมินเย่ว ดังนั้นศัตรูย่อมหมายเอาชีวิตของเขาเป็นหลักอย่างแน่นอน“ข้า...ใต้เท้า...ข้าไม่ทราบเรื่องจริงๆ” จางหมินเย่วยังคงมืดแปดด้าน นางมิกล้ากล่าวหามารดาของตนไปได้ซ่งฟู่หลงถอนหายใจออกมาพร้อมมองหน้าจางหมินเย่วอย่างนึกน้อยใจ “เรื่องราวเช่นนี้ เจ้ายังคิดจะปิดบังข้าอยู่หรือ” น้ำเสียงตัดพ้อทำเอาจางหมินเย่วถึงกับเม้มปากและก้มหน้าสลดลงไป“ใต้เท้า...ขนมที่ข้าทำ...ข้าเพียงใส่ยาบำรุงที่ท่านแม่มอบให้” จางหมินเย่วพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “แต่ว่าท่านแม่ไม่มีทางให้ร้ายข้าเป็นแน่...ใต้เท้าต้องมีผู้ไม่หวังดีใส่ร้ายข้า