“ชิงเอ๋อร์ ทำไมนอนที่นี่ล่ะ? กลิ่นเหล้าแรงเชียว หนูดื่มมาหรือเปล่า?”ท่ามกลางความสับสน หยวนชิงหลิงได้ยินเสียงใครบางคนเรียกเธอ เธอเวียนศีรษะมากและพึมพำว่า "หนูเวียนหัว"“หนูไปดื่มกับใครมา?” ผู้พูดถอนหายใจเบา ๆ “เคยบอกแล้วไงว่าห้ามดื่ม ยังจะดื้ออีก”เสียงฝีเท้าค่อย ๆ จางหายไป และหลังจากนั้นไม่นาน ผ้าร้อนก็ถูกนำมาประคบที่หน้าผากของเธอหยวนชิงหลิงลืมตาขึ้นทันทีในดวงตาที่พร่ามัว ใบหน้าค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น หยวนชิงหลิงตกใจมากจนน้ำตาคลอเบ้า "แม่?"“เป็นอะไรไป ไม่รู้จักแม่แล้วเหรอ” หญิงสาวยิ้ม หยิบผ้าที่วางบนหน้าผากออกให้ และช่วยเธอเช็ดหน้า “ดื่มกับใครมาจ๊ะ?”หยวนชิงหลิงตกใจสุดขีด ค่อย ๆ ลุกขึ้นมามองแม่ด้วยสายตางุนงง แม่ผอมและซีดเซียวขนาดนี้ได้อย่างไร?แม่หยวนเข้าห้องน้ำพร้อมผ้าเช็ดตัว เธอดีดตัวขึ้นทั้งที่ยังรู้สึกวิงเวียน แต่โซฟา ทีวี โต๊ะ ตู้ และหน้าต่างสูงตั้งแต่พื้นจรดเพดาน...สวรรค์ นี่คือในบ้าน เธอกลับบ้านแล้วเหรอ?เธอวิ่งเข้าไปในห้อง ตู้เสื้อผ้าของห้องที่มีกระจกติดอยู่ เธอเห็นตัวเองในกระจก กางเกงยีนส์ เสื้อยืด มัดผมหางม้า และสวมสร้อยคอทองคำขาวประดับเพชรอย่างประณีตที่คอ นี่เป็นของ
แม่หยวนกอดเธอร้องไห้ด้วยความเสียใจหยวนชิงหลิงตบหน้าตัวเองอย่างแรง เธอทำให้แม่เสียใจ และทำให้ครอบครัวของเธอต้องเสียใจเธอปล่อยแม่แล้วรีบถามไปว่า “พ่ออยู่ไหน? พี่ชายล่ะ? คุณย่าด้วย”แม่หยวนเช็ดน้ำตามองเธอแล้วบอกว่า "ทุกคนไปทำงาน คุณย่าอยู่โรงพยาบาล หลังจากที่หนูจากไปแล้ว สุขภาพของย่าก็ไม่ดี และอยู่ในโรงพยาบาลเกือบตลอดทั้งปี""โอ้สวรรค์" หยวนชิงหลิงลุกขึ้นยืนทันที "หนูจะไปโรงพยาบาล ไปหาคุณย่า ย่าอยู่โรงพยาบาลไหน?"“อยู่ในโรงพยาบาลอันดับหนึ่งในเมือง โอเค ๆ แม่จะพาไปนะ” แม่หยวนไปหยิบโทรศัพท์ “แม่จะโทรหาพ่อกับพี่ชาย บอกพวกเขาว่าหนูกลับมาแล้ว หนูรอแปปนะลูก…”หยวนชิงหลิงรู้สึกวิงเวียน เสียงที่ได้ยินก็ค่อย ๆ หายไป แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องด้วยความตกใจดังว่า "ชิงเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์อยู่ที่ไหน หนูอยู่ไหน?"“แม่!” เธอตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจ"หยวน หยวน ตื่น รีบตื่นสิ ร้องไห้ทำไม? ฝันร้ายหรือเปล่า?" อวี่เหวินห่าวกอดนางไว้ เห็นนางร้องไห้เสียงแห้ง และตะโกนมาจากในความฝันหยวนชิงหลิงลืมตาขึ้น และเห็นสีหน้ากังวลของอวี่เหวินห่าว นางรู้สึกเคว้งคว้างราวกับว่าได้เสียโลกอีกใบไป "เจ้าห้า? แม่อยู
“ต้องฝันร้ายเป็นแน่ อย่าคิดมาก” อวี่เหวินห่าวรีบพูดทันทีหยวนชิงหลิงพยักหน้ายกผ้านวมลุกขึ้นจากเตียง "ข้าจะไปดูลูก ๆ"“ข้าไปด้วย” อวี่เหวินห่าวรีบลุกจากเตียง คว้ามือนางไว้ “รอข้าด้วย”หยวนชิงหลิงมองกลับมาที่เขาด้วยความประหลาดใจ "ต้องรอท่านด้วยหรือ? เดินตรงไปก็ได้แล้ว อยู่ถัดไปนี่เอง"อวี่เหวินห่าวพูดว่า "งั้นไปด้วยกัน เจ้ายังไม่ได้ล้างหน้า กลิ่นเหล้าหึ่งแบบนี้จะพาลทำให้ลูก ๆ หายใจไม่ออกเสียเปล่า"หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "จริงหรือ เมื่อคืนท่านทนไปได้อย่างไร? ท่านเมาหรือไม่?""ข้ากึ่งเมานิดหน่อย ไม่เป็นไร" อวี่เหวินห่าวกล่าวหมานเอ๋อร์เคาะประตู "ฝ่าบาท พระชายา ต้องการคนรับใช้ไหมเพคะ?""ไปเอาน้ำมาเถอะ" อวี่เหวินห่าวพูด"เพคะ!" หมานเอ่อร์ถอยออกไปเนื่องจากนิสัยหยวนชิงหลิงเวลาแต่งตัวไม่จำเป็นต้องมีคนมารับใช้ ดังนั้นนายท่านอย่างอวี่เหวินห่าวจึงลองแต่งตัวแบบไม่มีข้ารับใช้ดู แต่วันนี้เขานอนไม่พอ เขาใส่อยู่นานแล้ว ยังใส่กางเกงตัวในไม่เรียบร้อยเลยหยวนชิงหลิงหัวเราะและเดินมาหา "ท่านบอกว่าไม่เมา เมื่อคืนท่านเมามากกว่าข้าเสียอีก? แต่งตัวไม่ได้ด้วยซ้ำ"นางยื่นมือออกไปจัดกางเกงตัวในแล้วส
ฉากของความฝันนั้นค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในหัวของหยวนชิงหลิง ทุกถ้อยคำและประโยคเหล่านั้นค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ชัดจนดูเหมือนว่าไม่ใช่ความฝันนางรู้สึกว่าตอนนี้เป็นเพียงความฝัน บางทีอาจเป็นเพราะอาการง่วงนอนหลังจากอาการเมาค้าง ทำให้นางรู้สึกราวกับว่านางกำลังฝันไป นางเคว้งคว้างเหมือนเหยียบเมฆอยู่เช่นนั้นต่อหน้าอวี่เหวินห่าว รอยยิ้มของนางช่างซีดเซียวและจืดเจื่อน ราวกับว่านางกำลังพยายามฉีกยิ้มออกมาดูฝืดเฝื่อนมากบางครั้งก็ได้ยินเสียงร้องของแม่ดังขึ้นในหูของนาง นางปวดใจมากเสียจนนางคู้ตัวลงไปเพื่อหยุดเสียงนั้นในตอนนี้อวี่เหวินห่าวย่อตัวลงและกอดนางเบา ๆ ไม่ถามหรือพูดอะไร แต่มองมาที่นางด้วยสายตาเจ็บปวดหยวนชิงหลิงเข้าใจแล้วว่าทำไมเขารู้ทุกอย่าง ในความฝันมีอีกอย่างในฝัน นั่นคือนางกระโดดไปหาแม่ และเขาก็กอดนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อยนางไปเขากำลังกลัว เมื่อเห็นความร้อนรนในแววตาของเขา หยวนชิงหลิงเก็บซ่อนความเจ็บปวดและความคิดถึงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจนางเขาไม่พูดอะไรสักคำ และนางเองก็ไม่พูดอะไรสักคำเช่นกัน ราวกับว่านางไม่เคยเมามาก่อนอย่างไรก็ตาม ในคืนนั้นหยวนชิงหลิงนั่งพิงเขาในศาลาเพื่อชมดาว นางพูดเบา ๆ "เจ้า
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ หยวนชิงหลิงก็หัวเราะเช่นกัน "คนเรามีสามเศียรหกกรได้อย่างไร นี่ไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ?""แม้ว่าจะไม่มีสามเศียรหกกร แต่ก็ต้องยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ท่านคิดลองดูสิ นี่มันแม่ทัพหญิงเลยนะเจ้าคะ" อาซื่อพูดอย่างใฝ่หาหยวนชิงหลิงหัวเราะออกมาดัง ๆ "อาซื่อ ข้าได้ยินมาว่าตระกูลหยวนของเจ้ามีแม่ทัพหญิงกลุ่มหนึ่งด้วย ตระกูลหยวนของเจ้าล้วนยิ่งใหญ่น่าเกรงขามใช่ไหม?"เมื่อพูดถึงครอบครัวของนาง อาซื่อก็ภูมิใจมากเช่นกัน แต่นางกล่าวว่า "ตระกูลหยวนของเราย่อมเก่งกาจอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ดีเท่าเฉินจิ้งหนิงจวิ้นจู่หรอก นางนำทัพเพียงลำพังเพื่อกวาดล้างความวุ่นวายภายใน จากนั้นจึงไปสู้รบกับเสียนเป่ย แม่ทัพหญิงช่างยอดเยี่ยม ออกรบครั้งเดียวก็ประสบความสำเร็จเลื่องชื่อแล้ว เป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้ชายก็ทำไม่ได้ใช่ไหม”ออกรบครั้งเดียวก็ประสบความสำเร็จเลื่องชื่อแล้ว ช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ และหยวนชิงหลิงก็ชื่นชมคนที่มีความสามารถ นางจึงคาดหวังมากกว่านี้เล็กน้อยจากฮูหยินแม่ทัพเฉินเมื่อพวกเขามาถึงประตูเมือง คณะต้อนรับจากกรมพิธีการก็รออยู่ ในสองวันที่ผ่านมาทูตจากแคว้นต่าง ๆ ก็ทยอยมาถึง กรมพิธีการรับผิดชอบหน้าที่ต้
หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและหันไปมองอาซื่อ "ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น"อาซื่อพูดว่า "ข้าแค่คิดว่าสิ่งที่ติดค้างในใจนางตอนนี้น่าจะเป็นอ๋องเว่ย ถ้านางอยากปล่อยวางจริง นางอาจจะคุยกับอ๋องเว่ย?"“มีอะไรให้คุยอีก?” หยวนชิงหลิงนึกถึงเรื่องที่อ๋องเว่ยทำร้ายนาง หวังเพียงว่าอ๋องเว่ยจะออกไปจากชีวิต และไม่รบกวนนางอีก“ไม่รู้สิ” อาซื่อไม่เข้าใจความรักระหว่างชายกับหญิง แต่คิดแค่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะไปไหนได้?หยวนชิงหลิงก้าวไปข้างหน้า อาซื่อรีบพูดว่า "พี่หยวนก้าวไปข้างหน้าไม่ได้นะ มันอันตราย"หยวนชิงหลิงหันศีรษะและยิ้มให้นาง "ไม่เป็นไร ลมดีมากเลย ข้าอยากรับลม"“นางข้าหลวงสี่เพิ่งบอกอยู่หยก ๆ เพิ่งอยู่เดือนเสร็จ ยังโดนลมไม่ได้” อาซื่อกล่าว“ไม่เป็นไร อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว” หยวนชิงหลิงกล่าวอาซื่อยิ้ม "จะอุ่นหรือไม่ก็ช่างเถอะ ใต้เท้าถังส่งเครื่องนอนไปที่คุกเมื่อวานนี้ พ่อของท่านบอกว่าในคุกมันหนาว"เนื่องจากฝ่าบาทยังคงต้องดำเนินการสอบสวนต่อไป แม้ว่าจิ้งโฮ่วจะให้การเป็นอย่างดี แต่เขาจะหลอกลวงเบื้องสูงได้หรือ? ดังนั้นฝ่าบาทจึงสั่งให้เขาถูกคุมขังในคุกของสำนักผู้ตรวจการจวนจิ้งเป่าไปก่อนอย่า
มีคนคล้ายแม่อยู่ข้างตัวเอง ก็อย่าคิดถึงแม่ของตัวเองเลยแต่นี่มันแตกต่างกัน“นั่นมาแล้วใช่ไหม?” จู่ ๆ อาซื่อก็พูดขึ้นมาทั้งสองมองออกไปทันที และเห็นกลุ่มรถม้าและกองม้าค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนถนน ม้าที่อยู่ด้านหน้าดูเหมือนจะเป็นทหารม้าแปดตัว และรถม้าสองคันที่อยู่ข้างหลังติดธงของต้าโจวมาด้วย"มาแล้วจริง ๆ!" อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความตื่นเต้นเขาทิ้งหยวนชิงหลิงไว้ข้างหลังทันที และวิ่งปึงปังลงไปและพูดกับกรมพิธีการข้างล่างว่า "มาแล้ว ๆ เตรียมพรมแดง เตรียมต้อนรับ"หยวนชิงหลิงมองไปที่อวี่เหวินห่าวที่กระโดดโล้ดเต้นเหมือนเด็ก นางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก "ใช่เขาหรือ? ทำไมถึงรู้สึกเหมือนตัวตลกโดบี้มากขึ้นเรื่อย ๆ นะ"“โดบี้คืออะไรเจ้าคะ?” อาซีถามหยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "โดบี้เป็นคนโง่ที่น่ารัก"อาซื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งรู้สึกน่าสนใจมาก ตอนเดินไปด้วยกันจึงพูดกับนางว่า "ตอนทำงานไม่เคยเห็นเขาดูงี่เง่าเลอะเลือนแบบนี้มาก่อน รัชทายาทของพวกเราฉลาดมากนะเจ้าคะ"หยวนชิงหลิงลงไปที่ประตูเมือง เห็นรัชทายาทผู้ชาญฉลาดที่อาซื่อว่าควบม้าออกไปทักทายเขา เสียงเกือกม้าทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว เขาและม้าเกือบจะจมอยู่
ผู้หญิงที่อยู่บนรถม้าก็ลงมาด้วย ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้าที่งดงามและห้าวหาญ สวมเสื้อผ้าแพรลายเมฆาหลวม ๆ เห็นได้ชัดว่านางมีท้องที่ใหญ่โต นางกระโดดออกจากรถม้าด้วยตัวเอง หลังจากที่นางลงจากรถแล้ว นางยังคงมองไปที่ท่านแม่ทัพด้วยความงุนงงอีกคนหนึ่งลงมาจากรถม้า เป็นผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบปี มักผมหางม้า สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ เปื้อนฝุ่นและดูเหนื่อยล้าหยวนชิงหลิงจับจ้องไปที่ใบหน้าของผู้หญิงอีกคน โดยเฉพาะเสื้อผ้าหน้าผมของนาง และท่าทางของนางขณะที่นางลงจากรถม้า นางเห็นรองเท้าของนาง เป็นรองเท้าหนังหัวแหลมคู่หนึ่งอยู่ใต้กระโปรงยาวเมื่อมองไปที่การแต่งตัวแบบนี้ หยวนชิงหลิงรู้สึกแปลกประหลาดใจ ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะมองอีกสักพักคนนี้แม้ไม่ได้งดงามมาก แต่ให้ความรู้สึกสบายใจกับผู้คนมาก แม้ว่าเฉินจิ้งหนิง ภรรยาของจิ้งถิงก็ให้ความรู้สึกคล้ายกัน แต่ก็แตกต่างกันเล็กน้อยรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก“เฉินจิ้งหนิง คารวะองค์หญิงรัชทายาทเพคะ!”นางที่ยังเหม่อไม่ได้สติ เมื่อเห็นเฉินจิ้งหนิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับให้เช่นนี้ นางรีบคืนคำนับโดยจับมือของเฉินจิ้งหนิงเอาไว้ทันที "จวิ้นจู่อย่าเกรงใจไปเลย ระหว่างทางลำบา