อวี่เหวินห่าวรู้สึกงงงวยมาก "ให้ตายเถอะ ราวกั้นหลวมหรือไม่?" เขาลองตรวจสอบดู พบว่ามันแข็งแรงราวกับหินเมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินเขาพูดแบบนั้น นางนึกถึงสิ่งที่เจ้าอาวาสพูดขึ้นมาได้การถ่ายทอดทางพันธุกรรมหากหลังจากฉีดยาแล้วสมองได้พัฒนาขึ้นจริง ๆ แฝดสามก็จะได้รับถ่ายทอดด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่แล้วเซลล์สมองจะทำงานมากกว่า หรือมีมากกว่าเซลล์อื่น กล่าวคือยิ่งฉลาดและมีไอคิวสูงในแง่ของกล้ามเนื้อและสมรรถภาพทางกาย...ก็มีผลกับทั้งร่างกายด้วยกล่าวคือ สมองสำหรับร่างกายมนุษย์เปรียบเหมือนผู้บังคับบัญชาสูงสุด การพัฒนาของสมองจะส่งผลต่อทุกสิ่งในร่างกายมนุษย์"เกิดอะไรขึ้น?" อวี่เหวินห่าวถาม เมื่อเห็นใบหน้าของหยวนชิงหลิงซีดลงอย่างกะทันหัน“ไม่เป็นไร” หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างเคอะเขิน “ข้าแค่คิดว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย”"นั่นสิ แต่พวกเขาอาจจะฉลาดและแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไป ท้ายที่สุดเด็กที่เกิดในวันประสูติของพระพุทธองค์นั้นย่อมไม่ธรรมดา" อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงยิ้ม “ใช่แล้ว”วันรุ่งขึ้น หลังจากที่อวี่เหวินห่าวออกไปแล้ว นางขอให้แม่นมอุ้มทารกทั้งสามเข้าไปใน
หยวนชิงหลิงพูดอย่างโกรธเคืองว่า "ใช่ แถมยังช่วยกู้โลกด้วย"เจ้าอาวาสกล่าวว่า "รุ่นพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องปฏิเสธการวิจัยของท่านเอง หากท่านสามารถเข้าใจและชั่งน้ำหนักนั้นได้ ท่านจะสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อมนุษยชาติ"ผู้ที่ทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มักมีความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอยู่ในใจแน่นอนว่านางเองก็เช่นกันอย่างไรก็ตาม หลังจากเดินทางข้ามเวลา นางถึงตระหนักว่าการค้นคว้าของนางนั้นไม่จำเป็นจริง ๆมนุษย์ฉลาดอยู่แล้วหากฉลาดขึ้นหรือมีความสามารถมากขึ้น ความทะเยอทะยานก็จะมากขึ้น และความกล้าหาญก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ความสามารถควบคุมความทะเยอทะยานได้ และความสามารถก็เป็นตัวขยายความทะเยอทะยานด้วยเช่นกันหลังจากส่งเจ้าอาวาสไปแล้ว นางมองไปที่สามแฝดและเตือนอย่างเคร่งเครียดว่า "ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะฟังเข้าใจหรือไม่ สรุปเลยนะ เป็นคนปกติ เก็บท่าทีให้ดี ไม่อนุญาตให้แสดงพฤติกรรมผิดปกติอะไรออกมานะ "คุณชายน้อยติ่มซำทั้งสามคนมองนางด้วยดวงตาดำขลับเป็นประกาย เม้มปาก ชูกำปั้นดิ้นไปดิ้นมา และผายลมออกมาพร้อมกันเปาจื่อยิ้มทังหยวนเหม่อลอยเสี่ยวลั่วหมี่ตกใจแล้วร้องไห้เสียงดังออกมาหยวนชิงหลิงมองพ
หยวนชิงหลิงยื่นมือไปจับไหล่เขาและพูดอย่างจริงจัง "ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน แต่ท่านต้องใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งพูดว่าเชื่อหรือไม่เชื่อนะ ฟังข้าพูดให้จบก่อน"อวี่เหวินห่าวมองนางด้วยความประหลาดใจ "เจ้ารู้แล้วหรือ? ข้ายังอยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ"หยวนชิงหลิงตกตะลึง "ท่านเก็บเรื่องนี้เป็นความลับหรือ?"อวี่เหวินห่าวก็ตกตะลึงเช่นกัน "เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่ได้พูดเรื่องเดียวกัน"“ท่านพูดก่อน” หยวนชิงหลิงกล่าวจู่ ๆ อวี่เหวินห่าวก็ยิ้มจนคิ้วของเขาขยับราวกับมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน และพูดอย่างเขินอายว่า "จิ้งถิงกำลังมา"หยวนชิงหลิงเห็นเขายิ้มจนตาหยี ท่าทางของเขาชวนหมั่นไส้ยิ่งนัก และได้ยินไม่ชัดจึงถามอีกครั้งว่า "ใครมานะ?""จิ้งถิง!" อวี่เหวินห่าวพูดอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาช่างนุ่มนวล เข้ากับรอยยิ้มที่ไม่มีใครเทียบได้เหมือนสาวน้อยที่รอคอยการแต่งงาน"จิ้งถิง?" ระฆังเตือนดังขึ้นในหัวของหยวนชิงหลิง เฉินจิ้งถิงคนนั้น เพื่อนทางจดหมายจากต้าโจว "เขามาที่นี่ เขามาทำอะไร?""เข้าร่วมพิธีสถาปนาองค์รัชทายาท" อวี่เหวินห่าวนั่งตัวตรงดูจริงและเคร่งขรึม "วันนั้นเป็นวันสำคัญสำหรับข้า ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะมาหร
หยวนชิงหลิงมองเขา “ท่านเคยพูดไม่ใช่หรือว่าว่าข้าแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก? ท่านอยากรู้ไหมว่าทำไม"“แตกต่างกัน แล้วมันจะทำไมเล่า? ผู้คนต่างมีประสบการณ์แตกต่างกันและนิสัยใจคอก็ย่อมแตกต่างกัน” อวี่เหวินห่าวเริ่มหลบตาของนาง “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ไปเดินเล่นกันเถอะ”หยวนชิงหลิงมองเขา นึกถึงก่อนหน้านั้นที่เขาเคยพูดถึงเรื่องนี้เป็นครั้งคราวและเขาไม่สนใจที่จะบีบบังคับถามต่อไป ในตอนแรกเขาอยากจะถาม แต่ภายหลังเขาก็ถามจนไม่ถาม และมาตอนนี้ก็เลี่ยงที่จะถามด้วยสมองอันชาญฉลาดของเขาจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่สงสัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของนาง“เจ้าห้า ข้าไม่อยากออกไปเดินเล่น ข้าแค่อยากพูดให้ชัดเจน” หยวนชิงหลิงพูดอวี่เหวินห่าวมองนาง "สิ่งที่เจ้าพูดจะทำให้เราแยกจากกันในที่สุดงั้นหรือ?"หยวนชิงหลิงตกใจ "จะเป็นไปได้ย่างไร ทำไมท่านถึงคิดอย่างนั้น?"“ไม่จริงหรือ?”หยวนชิงหลิงพูดว่า "ไม่แน่นอน ทำไมเราถึงแยกจากกัน เจ้าคิดอะไรอยู่?"เหนื่อยจริง ๆ!อวี่เหวินห่าวมองนางและพูดอย่างช้า ๆ ว่า "อันที่จริง ถังหยางกับข้าเคยคุยกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเจ้าเป็นการส่วนตัวมากกว่าหนึ่งครั้ง รวมถึงกล่องยาด้
“นี่เป็นการสิงร่างคนอื่นได้อย่างไร?”มันแตกต่างจากที่นางพูดเลยมิใช่หรือ?“ทำไมจะไม่ใช่การสิงร่างคนอื่นล่ะ? ร่างกายยืมมาจากคนอื่น แต่วิญญาณเป็นของเจ้า ไม่แปลกใจเลยที่ข้าบอกว่าเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ แต่ที่แท้ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของเจ้าเอง เรื่องของวิญญาณน่าสนใจมากทีเดียว” อวี่เหวินห่าวที่ดูเคร่งเครียดกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่ปีศาจอสูรกายก็ถือว่าใช้ได้แล้ว การสิงร่างคนอื่นนั้น โชคดีที่ว่าวิญญาณต้องอยู่ในร่างกายของตัวเอง และไม่ไปไหนไม่ได้หยวนชิงหลิงอึ้งไปสักพัก รู้สึกสับสนเล็กน้อยกับตรรกะในหัวของเขา เขาพูดเหมือนว่าดีมาได้อย่างนั้นอวี่เหวินห่าวถาม "เจ้าบอกว่าเดิมทีเจ้าเป็นหมอ? หมอชาหรือหมอเหล้า? ดูเจ้าชงชาเก่ง เจ้าเป็นหมอชาหรือไม่?"มุมปากของหยวนชิงหลิงกระตุก "หมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอชาหรือหมอเหล้าสักหน่อยใช่ไหม? เท่าที่ข้ารู้ราชวงศ์ของเราก็มีหมอเป็นเจ้าหน้าที่วิชาการด้วย""แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้ชาย เจ้า..." จู่ ๆ อวี่เหวินห่าวก็มองนางอย่างหวาดผวา และพูดอย่างตื่นตระหนกว่า "สวรรค์ เจ้าไม่ใช่ผู้ชายใช่ไหม? ข้าจะบอกว่าเจ้ารู้เรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ตั้งมากมาย และยังคุยเรื่องจุดดำ
"ดังนั้นพวกเด็ก ๆ จึงมีพลังวิญญาณมาแต่กำเนิด พลังวิญญาณนี้มาจากวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า และวิญญาณของเจ้าคือพลังงานอย่างที่เจ้าอาวาสเคยว่าไว้"จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็ประหลาดใจและตั้งใจมองเขาหยวนชิงหลิงเข้าใจว่าทำไมร่างนี้ถึงไม่ใช่ของนาง แต่มันสามารถส่งต่อไปให้พวกเด็ก ๆ ได้นางรีบพูดว่า "ข้าเข้าสิงร่างนี้ด้วยความคิดของข้า ซึ่งหมายความว่าความคิดของข้าสามารถควบคุมกล่องยาได้ และมันสามารถส่งผลต่อสมองของหยวนชิงหลิงคนเดิม หรืออีกนัยหนึ่งคือคลื่นสมองของข้าแต่เดิม และหยวนชิงหลิงคนก่อนเกิดการเชื่อมต่อกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสมองของร่างกายที่ข้าใช้อยู่ตอนนี้ และส่งต่อไปยังพวกเด็ก ๆ ด้วย น่าจะเป็นแบบนี้นะ"อวี่เหวินห่าวมองนางด้วยสายตาใสซื่อ "เจ้าบอกว่าใช่ แต่ข้าเองก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระ ข้าก็ไม่รู้จัปฏิเสธได้อย่างไร"เมื่อเห็นสีหน้านิ่งสงบของเขา หยวนชิงหลิงก็ไม่ตกใจมากนัก ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่นางก็ยังถามอย่างระมัดระวังว่า "หลังจากฟังเรื่องนี้แล้ว ท่านไม่มีอะไรจะถามแล้วใช่ไหม?""ถามรึ?" อวี่เหวินห่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ไม่มีอะไรจะถามแล้ว มีอะ
ถังหยางพบเขาข้างนอกและถามว่า "องค์ชายบอกไปหรือยัง? องค์หญิงว่าอย่างไรบ้าง?"อวี่เหวินห่าวรู้สึกหดหู่ใจ "ไม่ ต้องอยู่โรงเตี้ยม"ถังหยางร้อนรน "ทำไมท่านไม่พูดถึงมิตรภาพเก่าแก่ระหว่างท่านแม่ทัพใหญ่กับท่านก่อน? กระหม่อมไม่ได้สอนท่านไปแล้วหรือ?"อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า "ในตอนแรกนางเล่าเรื่องของนางให้ข้าฟังมากมาย ต่อมาข้าพูดถึงเรื่องนี้นางดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่""นางพูดว่าอะไรพ่ะย่ะค่ะ?" ถังหยางถาม“เรื่องที่พวกเราเคยคุยกันก่อนหน้านี้ เพื่อปิดปังว่านางไม่ใช่ผี นางพูดเรื่องไร้สาระมากมาย และบอกว่านางเป็นหมอและมีพลังวิญญาณ ข้าตั้งใจฟังและไม่หัวเราะเยาะนาง ใครจะไปรู้ว่านางไม่พอใจ จิตใจผู้หญิงยากแท้หยั่งถึง!”ถังหยางถอนหายใจ "แล้วเราควรทำอย่างไรดี? ปล่อยให้ท่านแม่ทัพใหญ่พักที่โรงเตี้ยมได้อย่างไร? มันคงยากที่จะมาที่นี่นะพ่ะย่ะค่ะ""อย่ากังวลไปเลย เมื่อถึงเวลาค่อยหาทาง" อวี่เหวินห่าวหรี่ตากัดฟันพูด เพื่อให้จิ้งถิงอยู่ในจวน เขาจะพยายามอย่างเต็มที่อารามชีหมิงเยว่วันนี้กู้จือเริ่มมีอาการปวดท้องตั้งแต่เช้าตรู่ และวันครบกำหนดคลอดของนางก็ไม่เร็วขนาดนี้ ดังนั้นในตอนแรกจิ้งเหอจวิ้นจู่และแม่นมฉีจ
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? นางช่วยข้าไว้"กู้จือพึมพำ "ข้าไม่เชื่อพวกเจ้า""ข้ารู้ เจ้าเชื่อได้อย่างเดียวเท่านั้น เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น" จิ้งเหอจวิ้นจู่พูดจบนางก็เดินออกไปนางเรียกคนเข้าไปช่วยแม่นมฉี นางไม่รู้เรื่องการคลอดลูกหรอกนางนั่งอยู่ข้างนอก ฟังเสียงกรีดร้องของกู้จือของนางจากข้างใน แสงแดดส่องผ่านกิ่งไม้และใบไม้มากระทบใบหน้าของนางเป็นระยะ ๆ นางเงยหน้าขึ้น ตอนนี้แสงแดดที่ดีที่สุดของปลายเดือนเมษายนก็มาถึงแล้วไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าชีวิตที่กำลังจะเกิดมาในโลกแม้ว่าเด็กคนนี้อาจจะต้องพบเจอกับโลกที่ทุกข์สุขมากมายในอนาคต แต่การได้มาอยู่บนโลกนี้สักระยะหนึ่ง ก็อาจเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ก็มีเสียงร้องของทารกดังมาจากข้างใน จู่ ๆ เสียงร้องไห้หยุดลงทันทีทันใดนั้น เป็นแม่นมฉีที่ตะโกนออกมาด้วยความหวาดผวา "เจ้ามันบ้า เจ้ามันบ้าไปแล้ว นั่นลูกสาวของเจ้านะ"จิ้งเหอจวิ้นจู่รีบเดินเข้าไป เห็นว่ากู้จือกึ่งนอนอยู่บนเตียงเปื้อนเลือด นางอุ้มทารกแรกเกิดไว้ในอ้อมแขน บีบคอของทารก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย"ข้าจะฆ่านางด้วยมือของข้าเอง ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าเอง ปล่อ