อวี่เหวินห่าวรู้สึกงงงวยมาก "ให้ตายเถอะ ราวกั้นหลวมหรือไม่?" เขาลองตรวจสอบดู พบว่ามันแข็งแรงราวกับหินเมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินเขาพูดแบบนั้น นางนึกถึงสิ่งที่เจ้าอาวาสพูดขึ้นมาได้การถ่ายทอดทางพันธุกรรมหากหลังจากฉีดยาแล้วสมองได้พัฒนาขึ้นจริง ๆ แฝดสามก็จะได้รับถ่ายทอดด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะเป็นกรรมพันธุ์ แต่ส่วนใหญ่แล้วเซลล์สมองจะทำงานมากกว่า หรือมีมากกว่าเซลล์อื่น กล่าวคือยิ่งฉลาดและมีไอคิวสูงในแง่ของกล้ามเนื้อและสมรรถภาพทางกาย...ก็มีผลกับทั้งร่างกายด้วยกล่าวคือ สมองสำหรับร่างกายมนุษย์เปรียบเหมือนผู้บังคับบัญชาสูงสุด การพัฒนาของสมองจะส่งผลต่อทุกสิ่งในร่างกายมนุษย์"เกิดอะไรขึ้น?" อวี่เหวินห่าวถาม เมื่อเห็นใบหน้าของหยวนชิงหลิงซีดลงอย่างกะทันหัน“ไม่เป็นไร” หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างเคอะเขิน “ข้าแค่คิดว่ามันน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อย”"นั่นสิ แต่พวกเขาอาจจะฉลาดและแข็งแกร่งกว่าเด็กทั่วไป ท้ายที่สุดเด็กที่เกิดในวันประสูติของพระพุทธองค์นั้นย่อมไม่ธรรมดา" อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงยิ้ม “ใช่แล้ว”วันรุ่งขึ้น หลังจากที่อวี่เหวินห่าวออกไปแล้ว นางขอให้แม่นมอุ้มทารกทั้งสามเข้าไปใน
หยวนชิงหลิงพูดอย่างโกรธเคืองว่า "ใช่ แถมยังช่วยกู้โลกด้วย"เจ้าอาวาสกล่าวว่า "รุ่นพี่ ท่านไม่จำเป็นต้องปฏิเสธการวิจัยของท่านเอง หากท่านสามารถเข้าใจและชั่งน้ำหนักนั้นได้ ท่านจะสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ต่อมนุษยชาติ"ผู้ที่ทำการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มักมีความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนแปลงโลกอยู่ในใจแน่นอนว่านางเองก็เช่นกันอย่างไรก็ตาม หลังจากเดินทางข้ามเวลา นางถึงตระหนักว่าการค้นคว้าของนางนั้นไม่จำเป็นจริง ๆมนุษย์ฉลาดอยู่แล้วหากฉลาดขึ้นหรือมีความสามารถมากขึ้น ความทะเยอทะยานก็จะมากขึ้น และความกล้าหาญก็จะมากขึ้นตามไปด้วย ความสามารถควบคุมความทะเยอทะยานได้ และความสามารถก็เป็นตัวขยายความทะเยอทะยานด้วยเช่นกันหลังจากส่งเจ้าอาวาสไปแล้ว นางมองไปที่สามแฝดและเตือนอย่างเคร่งเครียดว่า "ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะฟังเข้าใจหรือไม่ สรุปเลยนะ เป็นคนปกติ เก็บท่าทีให้ดี ไม่อนุญาตให้แสดงพฤติกรรมผิดปกติอะไรออกมานะ "คุณชายน้อยติ่มซำทั้งสามคนมองนางด้วยดวงตาดำขลับเป็นประกาย เม้มปาก ชูกำปั้นดิ้นไปดิ้นมา และผายลมออกมาพร้อมกันเปาจื่อยิ้มทังหยวนเหม่อลอยเสี่ยวลั่วหมี่ตกใจแล้วร้องไห้เสียงดังออกมาหยวนชิงหลิงมองพ
หยวนชิงหลิงยื่นมือไปจับไหล่เขาและพูดอย่างจริงจัง "ข้ามีเรื่องจะบอกท่าน แต่ท่านต้องใจเย็น ๆ อย่าเพิ่งพูดว่าเชื่อหรือไม่เชื่อนะ ฟังข้าพูดให้จบก่อน"อวี่เหวินห่าวมองนางด้วยความประหลาดใจ "เจ้ารู้แล้วหรือ? ข้ายังอยากเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ"หยวนชิงหลิงตกตะลึง "ท่านเก็บเรื่องนี้เป็นความลับหรือ?"อวี่เหวินห่าวก็ตกตะลึงเช่นกัน "เห็นได้ชัดว่าพวกเราไม่ได้พูดเรื่องเดียวกัน"“ท่านพูดก่อน” หยวนชิงหลิงกล่าวจู่ ๆ อวี่เหวินห่าวก็ยิ้มจนคิ้วของเขาขยับราวกับมีสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน และพูดอย่างเขินอายว่า "จิ้งถิงกำลังมา"หยวนชิงหลิงเห็นเขายิ้มจนตาหยี ท่าทางของเขาชวนหมั่นไส้ยิ่งนัก และได้ยินไม่ชัดจึงถามอีกครั้งว่า "ใครมานะ?""จิ้งถิง!" อวี่เหวินห่าวพูดอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาช่างนุ่มนวล เข้ากับรอยยิ้มที่ไม่มีใครเทียบได้เหมือนสาวน้อยที่รอคอยการแต่งงาน"จิ้งถิง?" ระฆังเตือนดังขึ้นในหัวของหยวนชิงหลิง เฉินจิ้งถิงคนนั้น เพื่อนทางจดหมายจากต้าโจว "เขามาที่นี่ เขามาทำอะไร?""เข้าร่วมพิธีสถาปนาองค์รัชทายาท" อวี่เหวินห่าวนั่งตัวตรงดูจริงและเคร่งขรึม "วันนั้นเป็นวันสำคัญสำหรับข้า ไม่สำคัญว่าคนอื่นจะมาหร
หยวนชิงหลิงมองเขา “ท่านเคยพูดไม่ใช่หรือว่าว่าข้าแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก? ท่านอยากรู้ไหมว่าทำไม"“แตกต่างกัน แล้วมันจะทำไมเล่า? ผู้คนต่างมีประสบการณ์แตกต่างกันและนิสัยใจคอก็ย่อมแตกต่างกัน” อวี่เหวินห่าวเริ่มหลบตาของนาง “อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย ไปเดินเล่นกันเถอะ”หยวนชิงหลิงมองเขา นึกถึงก่อนหน้านั้นที่เขาเคยพูดถึงเรื่องนี้เป็นครั้งคราวและเขาไม่สนใจที่จะบีบบังคับถามต่อไป ในตอนแรกเขาอยากจะถาม แต่ภายหลังเขาก็ถามจนไม่ถาม และมาตอนนี้ก็เลี่ยงที่จะถามด้วยสมองอันชาญฉลาดของเขาจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะไม่สงสัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของนาง“เจ้าห้า ข้าไม่อยากออกไปเดินเล่น ข้าแค่อยากพูดให้ชัดเจน” หยวนชิงหลิงพูดอวี่เหวินห่าวมองนาง "สิ่งที่เจ้าพูดจะทำให้เราแยกจากกันในที่สุดงั้นหรือ?"หยวนชิงหลิงตกใจ "จะเป็นไปได้ย่างไร ทำไมท่านถึงคิดอย่างนั้น?"“ไม่จริงหรือ?”หยวนชิงหลิงพูดว่า "ไม่แน่นอน ทำไมเราถึงแยกจากกัน เจ้าคิดอะไรอยู่?"เหนื่อยจริง ๆ!อวี่เหวินห่าวมองนางและพูดอย่างช้า ๆ ว่า "อันที่จริง ถังหยางกับข้าเคยคุยกันเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของเจ้าเป็นการส่วนตัวมากกว่าหนึ่งครั้ง รวมถึงกล่องยาด้
“นี่เป็นการสิงร่างคนอื่นได้อย่างไร?”มันแตกต่างจากที่นางพูดเลยมิใช่หรือ?“ทำไมจะไม่ใช่การสิงร่างคนอื่นล่ะ? ร่างกายยืมมาจากคนอื่น แต่วิญญาณเป็นของเจ้า ไม่แปลกใจเลยที่ข้าบอกว่าเจ้าหน้าตาอัปลักษณ์ แต่ที่แท้ไม่ใช่รูปร่างหน้าตาของเจ้าเอง เรื่องของวิญญาณน่าสนใจมากทีเดียว” อวี่เหวินห่าวที่ดูเคร่งเครียดกลับรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง ไม่ใช่ปีศาจอสูรกายก็ถือว่าใช้ได้แล้ว การสิงร่างคนอื่นนั้น โชคดีที่ว่าวิญญาณต้องอยู่ในร่างกายของตัวเอง และไม่ไปไหนไม่ได้หยวนชิงหลิงอึ้งไปสักพัก รู้สึกสับสนเล็กน้อยกับตรรกะในหัวของเขา เขาพูดเหมือนว่าดีมาได้อย่างนั้นอวี่เหวินห่าวถาม "เจ้าบอกว่าเดิมทีเจ้าเป็นหมอ? หมอชาหรือหมอเหล้า? ดูเจ้าชงชาเก่ง เจ้าเป็นหมอชาหรือไม่?"มุมปากของหยวนชิงหลิงกระตุก "หมอ ไม่จำเป็นต้องเป็นหมอชาหรือหมอเหล้าสักหน่อยใช่ไหม? เท่าที่ข้ารู้ราชวงศ์ของเราก็มีหมอเป็นเจ้าหน้าที่วิชาการด้วย""แต่พวกเขาล้วนเป็นผู้ชาย เจ้า..." จู่ ๆ อวี่เหวินห่าวก็มองนางอย่างหวาดผวา และพูดอย่างตื่นตระหนกว่า "สวรรค์ เจ้าไม่ใช่ผู้ชายใช่ไหม? ข้าจะบอกว่าเจ้ารู้เรื่องดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ตั้งมากมาย และยังคุยเรื่องจุดดำ
"ดังนั้นพวกเด็ก ๆ จึงมีพลังวิญญาณมาแต่กำเนิด พลังวิญญาณนี้มาจากวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า และวิญญาณของเจ้าคือพลังงานอย่างที่เจ้าอาวาสเคยว่าไว้"จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็ประหลาดใจและตั้งใจมองเขาหยวนชิงหลิงเข้าใจว่าทำไมร่างนี้ถึงไม่ใช่ของนาง แต่มันสามารถส่งต่อไปให้พวกเด็ก ๆ ได้นางรีบพูดว่า "ข้าเข้าสิงร่างนี้ด้วยความคิดของข้า ซึ่งหมายความว่าความคิดของข้าสามารถควบคุมกล่องยาได้ และมันสามารถส่งผลต่อสมองของหยวนชิงหลิงคนเดิม หรืออีกนัยหนึ่งคือคลื่นสมองของข้าแต่เดิม และหยวนชิงหลิงคนก่อนเกิดการเชื่อมต่อกัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในสมองของร่างกายที่ข้าใช้อยู่ตอนนี้ และส่งต่อไปยังพวกเด็ก ๆ ด้วย น่าจะเป็นแบบนี้นะ"อวี่เหวินห่าวมองนางด้วยสายตาใสซื่อ "เจ้าบอกว่าใช่ แต่ข้าเองก็ไม่เข้าใจอยู่ดี แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องไร้สาระ ข้าก็ไม่รู้จัปฏิเสธได้อย่างไร"เมื่อเห็นสีหน้านิ่งสงบของเขา หยวนชิงหลิงก็ไม่ตกใจมากนัก ดังนั้นนางจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่นางก็ยังถามอย่างระมัดระวังว่า "หลังจากฟังเรื่องนี้แล้ว ท่านไม่มีอะไรจะถามแล้วใช่ไหม?""ถามรึ?" อวี่เหวินห่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ไม่มีอะไรจะถามแล้ว มีอะ
ถังหยางพบเขาข้างนอกและถามว่า "องค์ชายบอกไปหรือยัง? องค์หญิงว่าอย่างไรบ้าง?"อวี่เหวินห่าวรู้สึกหดหู่ใจ "ไม่ ต้องอยู่โรงเตี้ยม"ถังหยางร้อนรน "ทำไมท่านไม่พูดถึงมิตรภาพเก่าแก่ระหว่างท่านแม่ทัพใหญ่กับท่านก่อน? กระหม่อมไม่ได้สอนท่านไปแล้วหรือ?"อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า "ในตอนแรกนางเล่าเรื่องของนางให้ข้าฟังมากมาย ต่อมาข้าพูดถึงเรื่องนี้นางดูไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่""นางพูดว่าอะไรพ่ะย่ะค่ะ?" ถังหยางถาม“เรื่องที่พวกเราเคยคุยกันก่อนหน้านี้ เพื่อปิดปังว่านางไม่ใช่ผี นางพูดเรื่องไร้สาระมากมาย และบอกว่านางเป็นหมอและมีพลังวิญญาณ ข้าตั้งใจฟังและไม่หัวเราะเยาะนาง ใครจะไปรู้ว่านางไม่พอใจ จิตใจผู้หญิงยากแท้หยั่งถึง!”ถังหยางถอนหายใจ "แล้วเราควรทำอย่างไรดี? ปล่อยให้ท่านแม่ทัพใหญ่พักที่โรงเตี้ยมได้อย่างไร? มันคงยากที่จะมาที่นี่นะพ่ะย่ะค่ะ""อย่ากังวลไปเลย เมื่อถึงเวลาค่อยหาทาง" อวี่เหวินห่าวหรี่ตากัดฟันพูด เพื่อให้จิ้งถิงอยู่ในจวน เขาจะพยายามอย่างเต็มที่อารามชีหมิงเยว่วันนี้กู้จือเริ่มมีอาการปวดท้องตั้งแต่เช้าตรู่ และวันครบกำหนดคลอดของนางก็ไม่เร็วขนาดนี้ ดังนั้นในตอนแรกจิ้งเหอจวิ้นจู่และแม่นมฉีจ
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? นางช่วยข้าไว้"กู้จือพึมพำ "ข้าไม่เชื่อพวกเจ้า""ข้ารู้ เจ้าเชื่อได้อย่างเดียวเท่านั้น เจ้าไม่มีทางเลือกอื่น" จิ้งเหอจวิ้นจู่พูดจบนางก็เดินออกไปนางเรียกคนเข้าไปช่วยแม่นมฉี นางไม่รู้เรื่องการคลอดลูกหรอกนางนั่งอยู่ข้างนอก ฟังเสียงกรีดร้องของกู้จือของนางจากข้างใน แสงแดดส่องผ่านกิ่งไม้และใบไม้มากระทบใบหน้าของนางเป็นระยะ ๆ นางเงยหน้าขึ้น ตอนนี้แสงแดดที่ดีที่สุดของปลายเดือนเมษายนก็มาถึงแล้วไม่มีอะไรน่ายินดีไปกว่าชีวิตที่กำลังจะเกิดมาในโลกแม้ว่าเด็กคนนี้อาจจะต้องพบเจอกับโลกที่ทุกข์สุขมากมายในอนาคต แต่การได้มาอยู่บนโลกนี้สักระยะหนึ่ง ก็อาจเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ก็มีเสียงร้องของทารกดังมาจากข้างใน จู่ ๆ เสียงร้องไห้หยุดลงทันทีทันใดนั้น เป็นแม่นมฉีที่ตะโกนออกมาด้วยความหวาดผวา "เจ้ามันบ้า เจ้ามันบ้าไปแล้ว นั่นลูกสาวของเจ้านะ"จิ้งเหอจวิ้นจู่รีบเดินเข้าไป เห็นว่ากู้จือกึ่งนอนอยู่บนเตียงเปื้อนเลือด นางอุ้มทารกแรกเกิดไว้ในอ้อมแขน บีบคอของทารก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย"ข้าจะฆ่านางด้วยมือของข้าเอง ข้าจะล้างแค้นให้เจ้าเอง ปล่อ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม