จิ้งโฮ่วพูดด้วยความโกรธ "นี่มันเรื่องของข้า ข้าไม่ได้บอกว่าจะจัดการกับมันอย่างไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเขา? หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง"เขาไม่ยอมไปที่หนานเจียงเพื่อใช้ชีวิตอย่างทุรกันดาน ปราศจากความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งในเมืองหลวง ไม่ใช่ท่านโฮ่วของราชสำนัก แต่เป็นเพียงสามัญชนเหมือนคนอื่นทั่วไปเขารู้สึกโกรธเล็กน้อยกับความปากมากของหยวนชิงหลิงไม่เคยมีใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้หลายคนรู้เรื่องนี้แล้ว แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดเรื่องขึ้นจริง แต่มันเป็นความผิดของนางที่มาวุ่นวายเองเองถังหยางโน้มน้าวอย่างจริงจัง "ท่านโฮ่ว ผู้หญิงเหล่านี้ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา ฮูหยินชางทำให้ท่านหัวขาดได้เลยนะ แล้วฮูหยินคนอื่นอีกเล่า? ครอบครัวสามีของพวกนางมีหรือปล่อยท่านไปได้? ท่านรีบไป ออกไปจากที่นี่ อย่างน้อยที่สุดก็เอาชีวิตรอดได้ และรัชทายาทก็ไม่ต้องมาพลอยลำบากไปด้วย"จิ้งโฮ่วพูดอย่างไม่พอใจ "เจ้ามักพูดว่าข้าจะทำให้เขาเดือดร้อน ข้าไปทำให้เขาเดือดร้อนอย่างไร? ไม่ใช่เขาที่ไปมีเรื่องวุ่นวายกับพวกนางสักหน่อย เป็นแค่เรื่องซุบซิบเล็กน้อยมิใช่หรือ? แค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้ว? เขาเป็
คาดไม่ถึงว่าในขณะที่กำลังจะพาจิ้งโฮ่วออกไปนั้น ฮูหยินเฒ่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย นางมีอาการเส้นเลือดในสมองแตกอย่างกะทันหัน แต่นางก็ได้รับการช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว แต่นางก็ยังพูดไม่ค่อยได้ และครึ่งร่างก็ขยับไม่ได้ เมื่อหยวนชิงหลิงได้ทราบนั้น นางรู้สึกกระวนกระวายใจมากที่ไม่สามารถกลับไปที่บ้านของนางได้ในช่วงที่อยู่เดือนเช่นนี้ นี่เป็นธรรมเนียม ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงขอให้เจ้าห้าและหมอหลวงไปเยี่ยมเมื่ออวี่เหวินห่าวและหมอหลวงมาถึง จิ้งโฮ่วและนางหวงฮูหยินของเขาก็ยืนอยู่ข้างเตียงดูแลฮูหยินเฒ่าอยู่ฮูหยินเฒ่ายังคงหลับอยู่ ใบหน้าของนางแดงก่ำ หมอหลวงบอกว่าหลังจากเกิดโรคลมนางเซื่องซึมมาก และสถานการณ์ก็ยังไม่พ้นขีดอันตราย ยังคงมีความเสี่ยงอยู่จิ้งโฮ่วถึงกับร้องไห้จนตาบวม เขาดึงอวี่เหวินห่าวออกมาและพูดว่า "ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังจะพาข้าไป ข้าเองก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน การอยู่ในเมืองหลวงมันอันตรายจริง ๆ ข้ายอมไปแล้ว แต่รออีกสองสามวัน หลังจากอาการของฮูหยินเฒ่าทรงตัวข้าจะไปเอง ไม่เช่นนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางหลังจากที่ข้าออกไป ก็จะไม่มีใครส่งศพนางเลยแม้แต่คนเดียว”อวี่เหวินห่าวมองไปที
อวี่เหวินห่าวเห็นนางมองไปที่เสี่ยวลั่วหมี่อยู่ตลอดก็พูดว่า "อย่ารังเกียจไปเลย น่าเกลียดก็น่าเกลียดนิดหน่อย แต่เจ้าก็คลอดออกมาเอง ยอมรับเถอะนะ"หยวนชิงหลิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ "ดูอย่างไรว่าน่าเกลียด?"“ตัวเหลือง ๆ ย่น ๆ เหมือนลูกหนูตัวเล็ก ข้าคิดว่าไม่ควรเรียกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ น่าจะเรียกเสี่ยวเหล่าสู่มากกว่า” อวี่เหวินห่าวยื่นมือออกไปอุ้มเขาไว้ “อย่าอุ้มนานเกินไป แผลยังไม่หายดี”เขามองลงไปที่เสี่ยวลั่วหมี่พลันรู้สึกขี้เหร่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หัวใจของเขาเต้นแรงเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตัวเล็ก ๆ ที่เงียบสงบนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา ที่มีส่วนค่อนข้างคล้ายกับตัวเอง มันรู้สึกแปลกมากและมองไปก็คล้ายกับเหล่าหยวน จึงอดที่จะก้มหน้าจูบนางไม่ได้ลูกหนูสีเหลืองตัวเล็กนี้ แล้วมันทำไมกันล่ะ?“เขาตัวเหลืองค่อนข้างผิดปกติ” หยวนชิงหลิงกล่าว"อันที่จริงตาขาวก็เป็นสีเหลือง" อวี่เหวินห่าวกังวลเล็กน้อย "มีอะไรผิดปกติหรือไม่"“แค่เฝ้าสังเกตดูก่อน ไม่ต้องกังวลไป” หยวนชิงหลิงกล่าว“หนำซ้ำยังผอมมาก หรือว่าไม่ได้กินนม” อวี่เหวินห่าวอุ้มไปไว้ที่เปล หลังจากเปรียบเทียบทั้งสามคน ก็รู้สึกว่าเสี่ยวลั่วหมี่มีอะไรบางอย่าง
หยวนชิงหลิงยิ้ม "ข้าชอบนะ"ชื่อที่ราชวงศ์ตั้งให้ต้องบอกความหมายและความนัยนางชอบชื่อทั้งสามมากการได้เป็นมนุษย์มีชีวิตที่สงบสุขและร่มเย็น และชื่อสกุลอวี่ที่สอดคล้องกันก็เหมาะกับชื่อนี้เช่นกันอวี่เหวินห่าวชอบคำว่ากตัญญูเขาเห็นชัดเจนว่าที่เหล่าหยวนให้กำเนิดพวกเขานั้นลำบากเพียงใด ดังนั้นในอนาคตลูก ๆ จะต้องกตัญญูต่อเหล่าหยวนกู้จือถูกส่งกลับไปที่อารามชีหมิงเยว่ หยวนชิงหลิงมอบยาไร้กังวลให้แก่นาง และขอให้แม่นมฉีไปที่นั่นเพื่อดูแลนางจิ้งโฮ่วไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาใด ๆ ในช่วงนี้ และทุ่มเทดูแลฮูหยินเฒ่าในจวนเพียงเท่านั้นตอนนี้ฮูหยินเฒ่าคือผู้ช่วยชีวิตของเขา นางตายไม่ได้เป็นขาด แต่นางก็อยู่อย่างสบายไม่ได้เช่นเดียวกันอนุโจวคิดว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อแสดงละคร และเห็นเขาดูแลฮูหยินเฒ่าอย่างหนัก นางแอบพูดกับเขาว่า "ท่านโฮ่วไม่ต้องลำบากดูแล ให้คนรับใช้มาปรนนิบัตินางเถิด ฮูหยินเฒ่าไร้ประโยชน์ ใช้การไม่ได้แล้ว"หลังจากได้ยิน จิ้งโฮ่วก็โกรธเป็นอย่างมากจนตบหน้านางลงไป และพูดอย่างโกรธเคือง "เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระ ข้าจะฉีกปากเจ้าเป็นชิ้น ๆ"จิ้งโฮ่วโปรดปร
จิ้งโฮ่วที่ได้ยินก็ผิดหวังมาก เขาพูดด้วยความโกรธว่า "หยวนชิงหลิง ในสายตาของเจ้ายังมีข้าเป็นพ่ออยู่หรือไม่?"หยวนชิงหลิงไม่อยากคุยกับเขา เมื่อเห็นว่าเขาโกรธ นางจึงไม่ถามถึงท่านย่า เกรงว่าเขาจะโกรธจนจะสาปแช่งออกมาฆ่าลูกชายและขายลูกสาวเขายังทำได้ แล้วนับประสาอะไรการสาปแช่งแม่ของตัวเอง บางทีก็อาจทำได้เช่นเดียวกันนางจึงหันหลังกลับและออกไปจิ้งโฮ่วพูดใส่นางด้วยความโมโห "ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าจะไปหาลูกเขยของข้าเอง"หยวนชิงหลิงไม่หันหน้ากลับมา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าจะบอกเขาให้อยู่ห่างจากท่าน พวกเราไม่สนใจท่านอีกต่อไปแล้ว"หลังจากได้ยินเช่นนี้ จิ้งโฮ่วรู้สึกว่าเขาพยายามทุ่มเทอย่างหนักเพื่อส่งนางมาถึงจุดนี้ แต่นางไม่เชื่อฟังและยังเนรคุณอีก เขาโกรธมากจนอยากจะทุบทำลายข้าวของ แต่เพราะตัวเองไม่มีปัญญาจ่ายอะไรได้สักอย่าง จึงจำต้องกลับไปด้วยความโกรธเมื่อหยวนชิงหลิงกลับมาถึงที่ห้อง นางโกรธมากจนปวดท้องไปหมด แต่นางเป็นห่วงท่านย่าของนางจริง ๆ ดังนั้นนางจึงขอให้หมานเอ๋อร์เชิญหมอหลวงเฉาไปที่จวนจิ้งโฮ่วเพื่อดูว่าท่านย่าเป็นอย่างไรบ้างหมอหลวงเฉาที่กลับมาในตอนเย็นนั้น ได้รายงานกับหยวนชิงหลิงว่า "
หยวนชิงหลิงที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไม่ได้ "ในบรรดาผู้หญิง มีผู้หญิงไม่มากนักที่ปล่อยวางได้เท่าเจ้า"พระชายาจี้ไม่คิดอะไรและพูดว่า "สถานการณ์บังคับทั้งนั้น ใครไม่อยากมีชีวิตที่มีสามีรักใคร่ทะนุถนอมบ้าง? แต่ถ้าไม่ได้ก็อย่าฝืนไปเลย ข้าผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ยังจะเสพสุขอะไรอีก? ตอนนี้ข้าทำเพื่อลูก ข้าทำทุกอย่างเพื่อพวกนาง ถ้าหากพวกนางสบายดี ข้าก็วางใจแล้ว”หยวนชิงหลิงที่เป็นแม่คนแล้วเห็นด้วยกับประโยคนี้"อย่างไรก็ตาม” เมื่อนึกถึงเรื่องของเสียนเฟยขึ้นมาได้บางอย่างจึงมองมาที่นางแล้วพูดว่า "รู้ไหม เสียนเฟยก่อเรื่องวุ่นวายในวัง ค่อนข้างร้ายแรงเลยทีเดียว""ก่อเรื่องอะไรขึ้นรึ?" เมื่อหยวนชิงหลิงพูดถึงเสียนเฟย นางมักจะนึกถึงคำพูดที่นางได้ยินในห้องคลอด และอดรู้สึกเหน็บหนาวในใจขึ้นมาไม่ได้พระชายาจี้กล่าวว่า "จะก่อเรื่องอะไรได้อีก โต้แย้งเรื่องตำแหน่งฐานะน่ะสิ ตอนนี้เจ้าห้าเป็นรัชทายาทแล้ว นางควรได้เป็นหวังกุ้ยเฟย แต่นางไม่พอใจที่เสด็จพ่อไม่ได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ให้นาง และไม่กล้าสร้างปัญหากับเสด็จพ่อ จึงไปร้องห่มร้องไห้กับไทเฮา เมื่อวานนี้ไทเฮาทนไม่ไหวเลยตำหนินางไป นางกำลังโกรธไทเฮา แล้วบัง
จิ้งโฮ่วลงจากรถม้ามา แล้วเดินคนเดียวบนถนนตะวันออก ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านไปมาทำให้เขารู้สึกเหว่ว้าและสิ้นหวังเขาพบโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วเขาก็สั่งเหล้ามาดื่มเอง เช่นเดียวกับบรรดานักปราชญ์และนักกวีทุกยุคทุกสมัย เวลารู้สึกเจ็บแปลบในใจก็อยากจะเขียนบทกวีออกมา แต่เขาละเลยเรื่องบทกวีกับวรรณกรรมมานานมากแล้ว หลายปีมานี้มีชีวิตเหมือนสุนัขและแมลงวัน ในใจยึดติดกับหน้าที่การงาน จะมีใจที่จะเขียนบทกวีได้อย่างไรความรู้สึกหดหู่ในใจมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้นและดื่มเหล้าเกือบหมดไห จนเริ่มรู้สึกเมาวิงเวียนและตาพร่ามัวขึ้นมา“เฮ้ นี่หยวนซื่อหลางไม่ใช่หรือ?” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันที่ดังขึ้นเขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เห็นชายวัยกลางคนในชุดผ้าสีน้ำเงินเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่านั่นคืออู๋ซื่อหลางเขารู้สึกผิดอยู่ครู่หนึ่ง และสีหน้าของเขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เพราะฮูหยินของอู่ซื่อหลางคนนี้เคยสนิทกับเขาอู่ซื่อหลางอายุได้ห้าสิบสามปีในปีนี้ ฮูหยินคนก่อนของเขาอยู่ตอนเลื่อนตำแหน่งของเขา และหย่าขาดจากกันด้วยความหึงหวง เขาแต่งงานกับฮูหยินคนปัจจุบั
จิ้งโฮ่วยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มนี้เป็นนิสัย และเขาเองก็เผลอแสดงมันออกมาโดยไม่ตั้งใจหลังจากหัวเราะแล้ว เขานึกขึ้นได้ว่าเรื่องของกู้จือเป็นอ๋องอันที่เป็นคนบงการ จนเขาอดรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจไม่ได้อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ยกแก้วเหล้ามาวางบนโต๊ะ เขาก็ยืนขึ้นมาประสานมือความเคารพและรินเหล้าให้ "ท่านอ๋อง กระหม่อมรินเหล้าให้พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนน้อมของเขา อ๋องอันก็พอใจมากและจิบเหล้าไปหนึ่งคำ "เหล้านี้ไม่ดี ถ้าจิ้งโฮ่วไม่รังเกียจ ไปที่จวนอ๋องอันเพื่อดื่มสักหน่อยดีหรือไม่? ""มิกล้า ๆ กระหม่อมไม่อาจรับไว้!" จิ้งโฮ่วรู้สึกปลื้มใจและพูดทันทีอ๋องอันยืนขึ้นและพูดอย่างมีความนัย "ท่านโฮ่วเชิญ!"จิ้งโฮ่วโค้งคำนับ "ท่านอ๋องเชิญ"เมื่อเขามาถึงจวนอ๋องอัน อ๋องอันสั่งให้คนยกเหล้าชั้นดีมาและแลกแก้วกันดื่ม หลังจากนั้นไม่นานจิ้งโฮ่วก็เมาไปมากแล้วเขาเองก็เป็นคนคอแข็งดื่มเก่ง เนื่องจากปีนี้มีเรื่องให้สังสรรค์เยอะ จึงต้องดื่มเก่งไปโดยปริยายแต่ในใจของเขาช่างหดหู่เหลือเกิน และเหล้าก็แรงจนเขาทนไม่ไหวจริง ๆเมื่อเห็นว่าเขาเมาพอสมควรแล้ว อ๋องอันก็วางแก้วลงและมองจิ้งโฮ่ว "ท่านโฮ่วอายุแค่ส
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม