จิ้งโฮ่วพูดด้วยความโกรธ "นี่มันเรื่องของข้า ข้าไม่ได้บอกว่าจะจัดการกับมันอย่างไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเขา? หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะรับผิดชอบทั้งหมดเอง"เขาไม่ยอมไปที่หนานเจียงเพื่อใช้ชีวิตอย่างทุรกันดาน ปราศจากความเจริญรุ่งเรืองและความมั่งคั่งในเมืองหลวง ไม่ใช่ท่านโฮ่วของราชสำนัก แต่เป็นเพียงสามัญชนเหมือนคนอื่นทั่วไปเขารู้สึกโกรธเล็กน้อยกับความปากมากของหยวนชิงหลิงไม่เคยมีใครรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แต่ตอนนี้หลายคนรู้เรื่องนี้แล้ว แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะเกิดเรื่องขึ้นจริง แต่มันเป็นความผิดของนางที่มาวุ่นวายเองเองถังหยางโน้มน้าวอย่างจริงจัง "ท่านโฮ่ว ผู้หญิงเหล่านี้ไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา ฮูหยินชางทำให้ท่านหัวขาดได้เลยนะ แล้วฮูหยินคนอื่นอีกเล่า? ครอบครัวสามีของพวกนางมีหรือปล่อยท่านไปได้? ท่านรีบไป ออกไปจากที่นี่ อย่างน้อยที่สุดก็เอาชีวิตรอดได้ และรัชทายาทก็ไม่ต้องมาพลอยลำบากไปด้วย"จิ้งโฮ่วพูดอย่างไม่พอใจ "เจ้ามักพูดว่าข้าจะทำให้เขาเดือดร้อน ข้าไปทำให้เขาเดือดร้อนอย่างไร? ไม่ใช่เขาที่ไปมีเรื่องวุ่นวายกับพวกนางสักหน่อย เป็นแค่เรื่องซุบซิบเล็กน้อยมิใช่หรือ? แค่นี้ก็ทนไม่ได้แล้ว? เขาเป็
คาดไม่ถึงว่าในขณะที่กำลังจะพาจิ้งโฮ่วออกไปนั้น ฮูหยินเฒ่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย นางมีอาการเส้นเลือดในสมองแตกอย่างกะทันหัน แต่นางก็ได้รับการช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว แต่นางก็ยังพูดไม่ค่อยได้ และครึ่งร่างก็ขยับไม่ได้ เมื่อหยวนชิงหลิงได้ทราบนั้น นางรู้สึกกระวนกระวายใจมากที่ไม่สามารถกลับไปที่บ้านของนางได้ในช่วงที่อยู่เดือนเช่นนี้ นี่เป็นธรรมเนียม ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงขอให้เจ้าห้าและหมอหลวงไปเยี่ยมเมื่ออวี่เหวินห่าวและหมอหลวงมาถึง จิ้งโฮ่วและนางหวงฮูหยินของเขาก็ยืนอยู่ข้างเตียงดูแลฮูหยินเฒ่าอยู่ฮูหยินเฒ่ายังคงหลับอยู่ ใบหน้าของนางแดงก่ำ หมอหลวงบอกว่าหลังจากเกิดโรคลมนางเซื่องซึมมาก และสถานการณ์ก็ยังไม่พ้นขีดอันตราย ยังคงมีความเสี่ยงอยู่จิ้งโฮ่วถึงกับร้องไห้จนตาบวม เขาดึงอวี่เหวินห่าวออกมาและพูดว่า "ข้ารู้ว่าพวกท่านกำลังจะพาข้าไป ข้าเองก็คิดเรื่องนี้เหมือนกัน การอยู่ในเมืองหลวงมันอันตรายจริง ๆ ข้ายอมไปแล้ว แต่รออีกสองสามวัน หลังจากอาการของฮูหยินเฒ่าทรงตัวข้าจะไปเอง ไม่เช่นนั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางหลังจากที่ข้าออกไป ก็จะไม่มีใครส่งศพนางเลยแม้แต่คนเดียว”อวี่เหวินห่าวมองไปที
อวี่เหวินห่าวเห็นนางมองไปที่เสี่ยวลั่วหมี่อยู่ตลอดก็พูดว่า "อย่ารังเกียจไปเลย น่าเกลียดก็น่าเกลียดนิดหน่อย แต่เจ้าก็คลอดออกมาเอง ยอมรับเถอะนะ"หยวนชิงหลิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ "ดูอย่างไรว่าน่าเกลียด?"“ตัวเหลือง ๆ ย่น ๆ เหมือนลูกหนูตัวเล็ก ข้าคิดว่าไม่ควรเรียกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ น่าจะเรียกเสี่ยวเหล่าสู่มากกว่า” อวี่เหวินห่าวยื่นมือออกไปอุ้มเขาไว้ “อย่าอุ้มนานเกินไป แผลยังไม่หายดี”เขามองลงไปที่เสี่ยวลั่วหมี่พลันรู้สึกขี้เหร่มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่หัวใจของเขาเต้นแรงเล็กน้อยเมื่อเห็นคนตัวเล็ก ๆ ที่เงียบสงบนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา ที่มีส่วนค่อนข้างคล้ายกับตัวเอง มันรู้สึกแปลกมากและมองไปก็คล้ายกับเหล่าหยวน จึงอดที่จะก้มหน้าจูบนางไม่ได้ลูกหนูสีเหลืองตัวเล็กนี้ แล้วมันทำไมกันล่ะ?“เขาตัวเหลืองค่อนข้างผิดปกติ” หยวนชิงหลิงกล่าว"อันที่จริงตาขาวก็เป็นสีเหลือง" อวี่เหวินห่าวกังวลเล็กน้อย "มีอะไรผิดปกติหรือไม่"“แค่เฝ้าสังเกตดูก่อน ไม่ต้องกังวลไป” หยวนชิงหลิงกล่าว“หนำซ้ำยังผอมมาก หรือว่าไม่ได้กินนม” อวี่เหวินห่าวอุ้มไปไว้ที่เปล หลังจากเปรียบเทียบทั้งสามคน ก็รู้สึกว่าเสี่ยวลั่วหมี่มีอะไรบางอย่าง
หยวนชิงหลิงยิ้ม "ข้าชอบนะ"ชื่อที่ราชวงศ์ตั้งให้ต้องบอกความหมายและความนัยนางชอบชื่อทั้งสามมากการได้เป็นมนุษย์มีชีวิตที่สงบสุขและร่มเย็น และชื่อสกุลอวี่ที่สอดคล้องกันก็เหมาะกับชื่อนี้เช่นกันอวี่เหวินห่าวชอบคำว่ากตัญญูเขาเห็นชัดเจนว่าที่เหล่าหยวนให้กำเนิดพวกเขานั้นลำบากเพียงใด ดังนั้นในอนาคตลูก ๆ จะต้องกตัญญูต่อเหล่าหยวนกู้จือถูกส่งกลับไปที่อารามชีหมิงเยว่ หยวนชิงหลิงมอบยาไร้กังวลให้แก่นาง และขอให้แม่นมฉีไปที่นั่นเพื่อดูแลนางจิ้งโฮ่วไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาใด ๆ ในช่วงนี้ และทุ่มเทดูแลฮูหยินเฒ่าในจวนเพียงเท่านั้นตอนนี้ฮูหยินเฒ่าคือผู้ช่วยชีวิตของเขา นางตายไม่ได้เป็นขาด แต่นางก็อยู่อย่างสบายไม่ได้เช่นเดียวกันอนุโจวคิดว่าเขาทำเช่นนี้เพื่อแสดงละคร และเห็นเขาดูแลฮูหยินเฒ่าอย่างหนัก นางแอบพูดกับเขาว่า "ท่านโฮ่วไม่ต้องลำบากดูแล ให้คนรับใช้มาปรนนิบัตินางเถิด ฮูหยินเฒ่าไร้ประโยชน์ ใช้การไม่ได้แล้ว"หลังจากได้ยิน จิ้งโฮ่วก็โกรธเป็นอย่างมากจนตบหน้านางลงไป และพูดอย่างโกรธเคือง "เจ้าหมายความว่าอย่างไรที่ไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้ากล้าพูดเรื่องไร้สาระ ข้าจะฉีกปากเจ้าเป็นชิ้น ๆ"จิ้งโฮ่วโปรดปร
จิ้งโฮ่วที่ได้ยินก็ผิดหวังมาก เขาพูดด้วยความโกรธว่า "หยวนชิงหลิง ในสายตาของเจ้ายังมีข้าเป็นพ่ออยู่หรือไม่?"หยวนชิงหลิงไม่อยากคุยกับเขา เมื่อเห็นว่าเขาโกรธ นางจึงไม่ถามถึงท่านย่า เกรงว่าเขาจะโกรธจนจะสาปแช่งออกมาฆ่าลูกชายและขายลูกสาวเขายังทำได้ แล้วนับประสาอะไรการสาปแช่งแม่ของตัวเอง บางทีก็อาจทำได้เช่นเดียวกันนางจึงหันหลังกลับและออกไปจิ้งโฮ่วพูดใส่นางด้วยความโมโห "ถ้าเจ้าไม่บอก ข้าจะไปหาลูกเขยของข้าเอง"หยวนชิงหลิงไม่หันหน้ากลับมา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ข้าจะบอกเขาให้อยู่ห่างจากท่าน พวกเราไม่สนใจท่านอีกต่อไปแล้ว"หลังจากได้ยินเช่นนี้ จิ้งโฮ่วรู้สึกว่าเขาพยายามทุ่มเทอย่างหนักเพื่อส่งนางมาถึงจุดนี้ แต่นางไม่เชื่อฟังและยังเนรคุณอีก เขาโกรธมากจนอยากจะทุบทำลายข้าวของ แต่เพราะตัวเองไม่มีปัญญาจ่ายอะไรได้สักอย่าง จึงจำต้องกลับไปด้วยความโกรธเมื่อหยวนชิงหลิงกลับมาถึงที่ห้อง นางโกรธมากจนปวดท้องไปหมด แต่นางเป็นห่วงท่านย่าของนางจริง ๆ ดังนั้นนางจึงขอให้หมานเอ๋อร์เชิญหมอหลวงเฉาไปที่จวนจิ้งโฮ่วเพื่อดูว่าท่านย่าเป็นอย่างไรบ้างหมอหลวงเฉาที่กลับมาในตอนเย็นนั้น ได้รายงานกับหยวนชิงหลิงว่า "
หยวนชิงหลิงที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไม่ได้ "ในบรรดาผู้หญิง มีผู้หญิงไม่มากนักที่ปล่อยวางได้เท่าเจ้า"พระชายาจี้ไม่คิดอะไรและพูดว่า "สถานการณ์บังคับทั้งนั้น ใครไม่อยากมีชีวิตที่มีสามีรักใคร่ทะนุถนอมบ้าง? แต่ถ้าไม่ได้ก็อย่าฝืนไปเลย ข้าผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว ยังจะเสพสุขอะไรอีก? ตอนนี้ข้าทำเพื่อลูก ข้าทำทุกอย่างเพื่อพวกนาง ถ้าหากพวกนางสบายดี ข้าก็วางใจแล้ว”หยวนชิงหลิงที่เป็นแม่คนแล้วเห็นด้วยกับประโยคนี้"อย่างไรก็ตาม” เมื่อนึกถึงเรื่องของเสียนเฟยขึ้นมาได้บางอย่างจึงมองมาที่นางแล้วพูดว่า "รู้ไหม เสียนเฟยก่อเรื่องวุ่นวายในวัง ค่อนข้างร้ายแรงเลยทีเดียว""ก่อเรื่องอะไรขึ้นรึ?" เมื่อหยวนชิงหลิงพูดถึงเสียนเฟย นางมักจะนึกถึงคำพูดที่นางได้ยินในห้องคลอด และอดรู้สึกเหน็บหนาวในใจขึ้นมาไม่ได้พระชายาจี้กล่าวว่า "จะก่อเรื่องอะไรได้อีก โต้แย้งเรื่องตำแหน่งฐานะน่ะสิ ตอนนี้เจ้าห้าเป็นรัชทายาทแล้ว นางควรได้เป็นหวังกุ้ยเฟย แต่นางไม่พอใจที่เสด็จพ่อไม่ได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ให้นาง และไม่กล้าสร้างปัญหากับเสด็จพ่อ จึงไปร้องห่มร้องไห้กับไทเฮา เมื่อวานนี้ไทเฮาทนไม่ไหวเลยตำหนินางไป นางกำลังโกรธไทเฮา แล้วบัง
จิ้งโฮ่วลงจากรถม้ามา แล้วเดินคนเดียวบนถนนตะวันออก ท่ามกลางผู้คนพลุกพล่านไปมาทำให้เขารู้สึกเหว่ว้าและสิ้นหวังเขาพบโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมื่อเข้าไปแล้วเขาก็สั่งเหล้ามาดื่มเอง เช่นเดียวกับบรรดานักปราชญ์และนักกวีทุกยุคทุกสมัย เวลารู้สึกเจ็บแปลบในใจก็อยากจะเขียนบทกวีออกมา แต่เขาละเลยเรื่องบทกวีกับวรรณกรรมมานานมากแล้ว หลายปีมานี้มีชีวิตเหมือนสุนัขและแมลงวัน ในใจยึดติดกับหน้าที่การงาน จะมีใจที่จะเขียนบทกวีได้อย่างไรความรู้สึกหดหู่ในใจมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงเงยหน้าขึ้นและดื่มเหล้าเกือบหมดไห จนเริ่มรู้สึกเมาวิงเวียนและตาพร่ามัวขึ้นมา“เฮ้ นี่หยวนซื่อหลางไม่ใช่หรือ?” ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเย้ยหยันที่ดังขึ้นเขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ เห็นชายวัยกลางคนในชุดผ้าสีน้ำเงินเดินเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้ เมื่อเขามองเข้าไปใกล้ ๆ ก็พบว่านั่นคืออู๋ซื่อหลางเขารู้สึกผิดอยู่ครู่หนึ่ง และสีหน้าของเขาก็ตื่นตระหนกขึ้นมา เพราะฮูหยินของอู่ซื่อหลางคนนี้เคยสนิทกับเขาอู่ซื่อหลางอายุได้ห้าสิบสามปีในปีนี้ ฮูหยินคนก่อนของเขาอยู่ตอนเลื่อนตำแหน่งของเขา และหย่าขาดจากกันด้วยความหึงหวง เขาแต่งงานกับฮูหยินคนปัจจุบั
จิ้งโฮ่วยิ้มอย่างมีเลศนัย รอยยิ้มนี้เป็นนิสัย และเขาเองก็เผลอแสดงมันออกมาโดยไม่ตั้งใจหลังจากหัวเราะแล้ว เขานึกขึ้นได้ว่าเรื่องของกู้จือเป็นอ๋องอันที่เป็นคนบงการ จนเขาอดรู้สึกโกรธขึ้นมาในใจไม่ได้อย่างไรก็ตาม เมื่อเสี่ยวเอ้อร์ยกแก้วเหล้ามาวางบนโต๊ะ เขาก็ยืนขึ้นมาประสานมือความเคารพและรินเหล้าให้ "ท่านอ๋อง กระหม่อมรินเหล้าให้พ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นท่าทีที่อ่อนน้อมของเขา อ๋องอันก็พอใจมากและจิบเหล้าไปหนึ่งคำ "เหล้านี้ไม่ดี ถ้าจิ้งโฮ่วไม่รังเกียจ ไปที่จวนอ๋องอันเพื่อดื่มสักหน่อยดีหรือไม่? ""มิกล้า ๆ กระหม่อมไม่อาจรับไว้!" จิ้งโฮ่วรู้สึกปลื้มใจและพูดทันทีอ๋องอันยืนขึ้นและพูดอย่างมีความนัย "ท่านโฮ่วเชิญ!"จิ้งโฮ่วโค้งคำนับ "ท่านอ๋องเชิญ"เมื่อเขามาถึงจวนอ๋องอัน อ๋องอันสั่งให้คนยกเหล้าชั้นดีมาและแลกแก้วกันดื่ม หลังจากนั้นไม่นานจิ้งโฮ่วก็เมาไปมากแล้วเขาเองก็เป็นคนคอแข็งดื่มเก่ง เนื่องจากปีนี้มีเรื่องให้สังสรรค์เยอะ จึงต้องดื่มเก่งไปโดยปริยายแต่ในใจของเขาช่างหดหู่เหลือเกิน และเหล้าก็แรงจนเขาทนไม่ไหวจริง ๆเมื่อเห็นว่าเขาเมาพอสมควรแล้ว อ๋องอันก็วางแก้วลงและมองจิ้งโฮ่ว "ท่านโฮ่วอายุแค่ส