หมอหลวงเฉาพูดด้วยรอยยิ้ม "นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับญาติของของฮูหยินเฒ่าจริง ๆ เหตุใดถึงได้มีโชคดีเช่นนี้ ไม่ทราบว่าหมอคนไหนมีฝีมือพอที่จะตรวจพบว่าเป็นเด็กสามคนได้?"ฮูหยินเฒ่ากล่าวว่า "เป็นหมอทั่วไป ไม่แน่ใจนัก แต่ก็มีความเป็นไปได้อยู่ นางจึงรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา"หมอหลวงเฉากล่าวว่า “เช่นนั้นจำต้องกระวนกระวาย ท้องแรกใช่ไหม?”“ใช่ ท้องแรก” ฮูหยินเฒ่ากล่าวหมอเฉากล่าวว่า "ท้องแรกต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ด้านโภชนาการก็ต้องได้รับการดูแล ต้องออกไปเดินออกกำลังกายอย่างพอเหมาะพอควร แต่อย่าหักโหมเกินไป ต้องพอดิบพอดี หลังจากหกหรือเจ็ดเดือน ถ้าตัวหนัก น่าจะเดินไม่ไหว ต้องนอนพักผ่อน และคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะอาจมีโอกาสคลอดก่อนกำหนดได้มาก ถ้ากรณีนี้ควรมีหมอประจำอยู่ที่จวน ตั้งแต่ช่วงประมาณแปดเดือน ต่อไปจำเป็นต้องเตรียมเงินไว้ให้มาก เตรียมยาเร่งคลอดและโสมเอาไว้ เมื่อคลอดลูกสามคนแล้ว ตัวแม่จะไม่มีแรง ต้องกินน้ำแกงโสมเพื่อฟื้นเรี่ยวแรงก่อนจึงจะคลอดต่อไปได้ คลอกคนแรกยังพอได้ แต่พอคนที่สอง และสามเกิดอาจมีปัญหาได้ หากทารกอยู่ในนั้นนานเกินไป อาจจะหยุดหายใจได้ง่าย ดัง
เมื่อเห็นว่าเขาเป็นลมจริง ๆ ฮูหยินเฒ่าจึงขอให้หญิงรับใช้ซุนไปหยิกเขา ช่วงนี้คนเป็นลมบ่อยจริงเมื่อหมอหลวงฟื้นขึ้นมา ตัวชาไปครึ่งหนึ่ง เขาหันหน้าที่เกือบจะร้องอยู่มะรอมมะร่อมองไปทางฮูหยินเฒ่า “ใครตรวจชีพจรว่าได้แฝดสามกัน? ใครมีความสามารถขนาดนั้น?”“พระชายาเอง”หมอหลวงค่อย ๆ ลุกปีนขึ้นมา “ไม่ได้การ เรื่องนี้ต้องไปกราบทูลฝ่าบาท”ฮูหยินเฒ่ายิ้มแย้ม “หมอหลวง ท่านตรวจชีพจรได้ว่าอย่างไร?”หมอหลวงตกใจ “นั้นก็...”“ถ้าหากพระชายาวินิจฉัยผิดไป? ไม่ใช่แฝดสาม? ไม่ใช่ว่าท่านอาจจะได้รับโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงหรอกหรือ?” ฮูหยินเฒ่าเตือนสติ“นั้นก็...”ฮูหยินเฒ่าเอ่ยอีกครั้ง “ตอนนี้ยังวินิจฉัยไม่ได้ว่าเป็นแฝดสามหรือไม่ ฝ่าบาททรงไม่โทษท่านอยู่แล้ว ท้ายที่สุด ใครจะคิดว่าพระชายาจะได้รับโชควาสนาเช่นนี้? เป็นเรื่องน่าประหลาดใจ และน่ายินดีจริงเชียว ที่สามารถให้กำเนิดบุตรชายสามคนในคราวเดียว ”หมอหลวงเฉาสติหลุดลอยไปแล้ว จึงไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้ เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง และมองฮูหยินเฒ่าด้วยสายตาจริงจัง “แล้วตามความคิดของท่านเล่า?”ฮูหยินเฒ่าพูดอย่างเด็ดเดี่ยว "ย่อมต้องให้เก็บเป็นความลับก่อน รอให้ท่านสา
ตั้งแต่อวี่เหวินห่าวส่งทหารในจวนไปประจำที่จวนจิ้งโฮ่ว ตอนนี้จวนจิ้งโฮ่วเกือบจะกลายเป็นเรือนย่อยของจวนอ๋องฉู่แล้ว ใครก็ตามที่เข้าหรือออกจะต้องถูกทหารตรวจสอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครัว และพ่อค้านายหน้า สิ่งที่พวกเขาซื้อเข้ามา ทหารจะทำการตรวจสอบอย่างละเอียด ถ้ามีกลิ่น สีเนื้อ หรือสีผักที่ผิดปกติ ให้ทิ้งไปทันทีพ่อค้านายหน้าแทบอกแตกตาย แต่จะทำอย่างไรได้? เรื่องนี้ฮูหยินเฒ่าก็เห็นด้วย อีกทั้งฮูหยินเฒ่า และหญิงรับใช้ซุนยังจับตาดูในครัวอย่างใกล้ชิดไม่เพียงเท่านั้น บรรยากาศในจวนยังเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจอยู่ตลอดเวลาในวันที่สามหลังจากที่ท่านโฮ่วกลับไป "ร่วมงานศพ" ทั้งเจ้านายและคนรับใช้ต่างก็คิดถึงเขาพี่ชายของหยวนชิงหลิง อย่างหลุนเหวินที่กลับมาเร็วในหลายวันนี้ เขานำหนังสือหลายเล่มกลับมามอบให้หยวนชิงหลิง บอกว่าหนังสือเหล่านี้ยืมมาจากผู้อาวุโสเหลิ่งจิ้งเหยียน แห่งโรงเรียนหลวงกั๋วจื่อเจียนใต้เท้าเหลิ่งบอกว่า ถ้าอยากอบรมบ่มนิสัยของหลาน ในภายภาคหน้าให้อ่านหนังสือให้มาก โตแล้วจะได้จะสอบได้ตำแหน่งบัณทิตได้” หยวนหลุนเหวินกล่าวอย่างเคร่งขรึม และตรงไปตรงมาหยวนชิงหลิงดีใจเป็นอย่างมาก ที่จริง
คำนี้ดังก้องอยู่ในหูของนางมาสองวันแล้ว นางอยากถามเขาเหลือเกินว่าหมายความว่าอย่างไร แต่ก็ยังหาโอกาสไม่ได้ และไม่รู้จะถามอย่างไรดี“เป็นอะไรไปรึ?” อวี่เหวินห่าวเห็นว่าจู่ ๆ นางก็เหม่อลอยจึงเอ่ยถามหยวนชิงหลิงลังเลอยู่สักครู่หนึ่ง โอกาสมาแล้วแต่พูดถามไม่ออก ทำได้แค่ยิ้มออกมา "ไม่เป็นไร แค่ท่านพูดถึงหมอหลวงขึ้นมาพอดี นึกถึงสีหน้าร้อนรนกระวนกระวายของเขาแล้ว อดขำขึ้นมาไม่ได้น่ะ”“เจ้าขำรึ? เขาแทบร้องไห้ออกมาแล้ว” อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงพูดอย่างจริงจังว่า “ที่จริงพวกท่านไม่ต้องตื่นตระหนกเช่นนั้นเลย ยิ่งทำให้ข้ากังวลใจมากกว่าเดิม ท้องแฝดสาม ที่จริงก็ไม่มีอะไร ดูแลระมัดระวังให้ดีก็ได้แล้ว”อวี่เหวินห่าวเห็นนางพูดอย่างผ่อนคลาย แต่นั่นไม่ใช่คำปลอบโยนหรอกหรือ?แค่ไม่ควรเพิ่มแรงกดดันให้นางมากจนเกินไปเขาแสร้งทำเป็นถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เจ้าไม่กังวล ข้าก็ไม่กังวลแล้ว”หมอหลวงบอกว่าช่วงนี้ควรออกไปเดินออกกำลังกายให้มากหน่อย ดังนั้นอวี่เหวินห่าวจึงจูงมือนางออกไปเดินข้างนอกอากาศหนาวเย็น อวี่เหวินห่าวก็โอบนางไว้แน่น เหมือนนกเพนกวินซื่อบื้อเดินต้วมเตี้ยมจ
น่าเสียดายที่ก่อนที่นางจะมาถึง อวี่เหวินห่าวได้หันหลังเดินกลับไปพร้อมกับหยวนชิงหลิงแล้วนางหวงหยุดอยู่กับที่ด้วยความผิดหวังไม่เห็นนางเดินมารึ? นางทำตัวให้เด่นสะดุดตา ใส่เสื้อสีสดใสเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมองไม่เห็น? ช่างตาบอดซะจริงนางหวงมองแผ่นหลังของพวกเขาอย่างขุ่นเคืองใจ ไม่รู้จะไปที่อื่นหรือไล่ตามไปดีอีกด้านหนึ่งทั้งคู่เดินไป หยวนชิงหลิงไม่หันกลับไปมอง แค่กระซิบถามออกมาเบา ๆ ว่า “ยังตามมาอยู่ไหม? ไม่ได้ตามมาแล้วใช่หรือไม่?”“ไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า คงไม่ได้ตามมาแล้ว” อวี่เหวินห่าวลดเสียงพูดลงอีกหยวนชิงหลิงอืมอยู่ในลำคอ และกล่าวว่า “ช่วงนี้การได้ยินของข้าแย่ลงมาก คลอดลูกหนึ่งครั้งโง่ลงสามปีจริง ๆ”อวี่เหวินห่าวพูดอย่างอบอุ่น "โง่สักหน่อยก็ดี เจ้าก็ควรจะโง่อีกสักหน่อย ฉลาดเกินไปรับมือยาก"“ท่านจะจัดการอะไรข้า?” หยวนชิงหลิงมองไปทางเขาอย่างเฉยชาอวี่เหวินห่าวรีบพูดว่า "ไม่กล้า ๆ มันก็แค่ลมปาก เจ้าท้องอยู่อย่าโกรธนักเลย"“เออ ใช่แล้ว เรื่องของเจ้าเมืองจิ้งเป่ยไปถึงไหนแล้ว” จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอวี่เหวินห่าวกล่าวว่า “ได้ยินว่าน่าจะมาถึงวันมะรืน ข้าเองก็ไม่
พระชายาซุนพูดด้วยความโกรธ "เจ้าบอกทีว่าทำไมนางถึงได้โง่ได้ขนาดนี้? เฮ้อ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าสามเลอะเลือนถึงขนาดที่เขาไม่สนใจว่านางจะเป็นหรือตาย เมื่อคืนนี้กู้จืออะไรนั่น ไม่รู้ทำไมถึงล้มกระเทือนถึงครรภ์ เจ้าสามไปเฝ้ากู้จือที่โน่นอยู่ตลอดเวลา ไม่ยอมไปเจอ ให้อีกคนทนเจ็บอยู่เพียงลำพัง"เจ็บทั้งขา เจ็บทั้งใจ ไปพร้อมกันยิ่งไปกว่านั้น พวกหมอไม่มียาแก้ปวดอะไรเป็นพิเศษ ยาจีนให้ผลช้ากว่ายาแก้ปวดเล็กน้อย ซึ่งมันทรมานสำหรับคนที่ขาหักพระชายาซุนมองนาง และพูดขอร้องว่า "เจ้าพอรู้วิธีบรรเทาความเจ็บปวดหรือไม่? เจ้าไปพบนางหน่อยเถอะนะ"หยวนชิงหลิงพยักหน้า “ได้ ข้าจะไปกับท่าน”พระชายาจี้เหลือบมองหยวนชิงหลิง "ทำไมเจ้าถึงมีปัญหามากมายนัก? นี่เป็นเรื่องระหว่างสามีภรรยา"หยวนชิงหลิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ "ข้าไม่ได้เข้าไปถามไถ่เกี่ยวกับสามีภรรยาของพวกเขา แค่อยากดูอาการบาดเจ็บที่ขาของนาง และบรรเทาความเจ็บปวดให้เท่านั้น"พระชายาจี้บ่นพึมพำ "ตอนข้าขอให้เจ้ารักษาข้า ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก คงจะดีกว่าที่เจ้าจะเริ่มไปส่งที่ประตู"หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "พระชายาเว่ยไม่เคยทำร้ายข้า"พระชายาจี้หงุดหงิดพูด
ขาได้พันแผลและดามเอาไว้ กระดูกหัก ที่เจ็บเพราะกระดูกหักนี่เองมือของนางก็ได้รับบาดเจ็บ นางบอกว่าตอนที่โดดลงมาเอามือกุมหัวไว้โดยไม่รู้ตัว แต่เพราะตกลงมากระแทกอย่างแรง หน้าผากเองจึงได้รับบาดเจ็บด้วยหยวนชิงหลิงฉีดยาแก้ปวดให้นาง และสั่งยาอีกสองสามตัวให้นางกิน ระหว่างฉีดยานั้น นางเห็นว่ายาที่นางให้ไว้อยู่ใต้หมอน นางไม่ได้กินยาพระชายาเว่ยสังเกตเห็นว่านางเห็นมันแล้ว จึงช้อนตามอง และพูดอย่างเคอะเขินว่า "นี่มัน... หลังจากนั้น ข้ากินยาระงับประสาทที่หมอหลวงสั่งให้ ข้าจึงไม่ได้กินยาที่เจ้าให้ เพราะกลัวว่าจะยาจะตีกัน "หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ไม่เป็นไร ท่านเก็บมันไว้เถอะ"หลังจากฉีดยาแก้ปวดได้ไม่นาน พระชายาเว่ยก็พูดด้วยความประหลาดใจว่า "ไม่เจ็บมากแล้วจริงด้วย"เมื่อครู่นางดื้อต่อต้านการฉีดยาเล้กน้อย นางไม่ชอบการฝังเข็มโดยเฉพาะเข็มอันใหญ่มีน้ำข้างในด้วยพระชายาซุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางหัวเราะ และต่อว่าขึ้นมาว่า "ดูเจ้าสิ เจ้ายังไม่เชื่อข้าเลย"นางหัวเราะและต่อว่า ทันใดนั้นขอบตาของนางก็แดงก่ำ “เจ้าเป็นอะไรไปกันแน่? กรีดข้อมือยังไม่สาแก่ใจ เช่นนั้นเจ้าจึงกระโดดลงมาจากตึกรึ? เจ้ากำลัง
“เจ้าเองก็คิดว่ามีคนผลักด้วยหรือ?” เมื่อเห็นว่านางเงียบ พระชายาซุนจึงเอ่ยถามด้วยความตกใจหยวนชิงหลิงพยักหน้าเล็กน้อย "อืม ข้าเห็นด้วยกับที่พระชายาจี้ว่ามา ข้าไปดูห้องใต้หลังคาได้ไหม?"“ได้สิ แต่พระชายาฉู่ต้องระวังนะ" ใบหน้าของพระชายาเว่ยซีดลง นางเรียกสาวใช้ให้เข้ามา และพาหยวนชิงหลิงไปที่ตึกเถียนเพื่อดูพระชายาทั้งสามไปกันหมด หมานเอ่อร์ และอาซื่อก็ย่อมตามไปด้วยตึกเถียนไม่ได้สูงมากนัก มองดูแล้วอยู่ที่ประมาณสองฟุตสูงกว่า ประมาณตึกหนึ่งชั้นด้านล่างของตึกเถียนมีขนาดเทียบเท่ากับศาลา ด้านเหนือและใต้ล้อมรอบด้วยกำแพง และมีการสร้างเสาขนาดใหญ่สองเสาที่ด้านตะวันออกและตะวันตก เพื่อใช้ค้ำยันรองรับชั้นสองบันไดจากด้านในขึ้นชั้นบนมีม่านบังไว้ ไม้ที่ใช้ทำบันไดแข็งและทนทานมาก ตอนเดินไม่มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดแม้แต่น้อยขึ้นไปที่ชั้นสอง ที่เรียกว่าห้องใต้หลังคา เพราะมีห้องอยู่ในนั้น มองโครงสร้างอาคารแบบทันสมัย ระเบียงถูกสร้างขึ้นนอกห้องใต้หลังคา สามารถนั่งบนระเบียงและชมทิวทัศน์ด้านนอกได้ราวบันไดเตี้ยมาก สูงประมาณแปดเซนติเมตร ซึ่งค่อนข้างอันตรายหยวนชิงหลิงเพียงแค่มองไปข้างนอก จากนั้นกลับไปที่ห้อ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม