มหาเสนาบดีฉู่ยังกล่าวอีกว่า "ใช่แล้ว ท่านอ๋อง พรุ่งนี้พระชายาไปที่อารามชีหมิงเยว่ ทางที่ดีท่านอ๋องอย่าเข้าไปวุ่นวายเลย"อวี่เหวินห่าวมองเขาด้วยความประหลาดใจ "ท่านก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?"มหาเสนาบดีฉู่ตบไหล่ของเขา เด็กคนนี้ตัวสูงเอาการ ค่อนข้างกินแรงอยู่บ้าง "ระหว่างกระหม่อมกับไท่ซ่างหวงไม่มีความลับต่อกันอยู่แล้ว เอาแบบนี้ พรุ่งนี้กระหม่อมจะไปที่คุกใต้ดิน ไปหาขุนพลหลัว หากวันข้างหน้าจะใช้เขา เขาควรมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง"อวี่เหวินห่าวที่ได้ยินเช่นนี้ จึงไม่ได้ถามว่าในวันพรุ่งนี้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น และขอตัวจากไปเขาไม่ได้ไปที่จวนจิ้งโฮ่ว แต่ตรงที่จวนอ๋องไปหารือกับถังหยางหลังเขาไปแล้ว มหาเสนาบดีฉู่เปลี่ยนเสื้อ และพกเหล้าไปด้วยสองไห ตรงไปยังที่คุกใต้ดินที่คุกใต้ดินมืดตลอดทั้งวัน พัศดีข้างในนั้นต้องทำงานวันละหกชั่วยาม แต่ขุนพลหลัวต้องทำงานเจ็ดชั่วยาม เพราะรับผิดชอบหน้าที่ทำความสะอาดในที่นี้ใคร ๆ ก็สามารถรังแกเขาได้ในตอนแรกเขายังถูกเคารพเขาในฐานะขุนพล และได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพ แต่หลังจากการเลื่อนตำแหน่งของผู้คุมมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็กลายเป็นคนที่ถูกคนอื่น
มหาเสนาบดีฉู่เห็นเขาเป็นแบบนี้ รู้สึกเศร้าใจยิ่งนักในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ นา ๆ และหันกลับไปตวาดใส่หัวหน้าผู้คุม “เจ้าบ่าวสุนัขนี่ ใครอนุญาตให้เจ้าปฏิบัติกับเขาเช่นนี้? ยังไม่รีบไปหาที่เงียบ ๆ ให้ข้ากับขุนพลหลัวนั่งอีก?”หัวหน้าผู้คุมจะไปรู้ที่ไหนว่าท่านมหาเสนาบดีจะมาเยี่ยมไอคนที่เรียกว่าขอทานถึงคุกใต้ดินกัน?เขากุลีกุจอออกไปหาห้องเล็ก ๆ ด้วยตัวเอง เช็ดถูโต๊ะเก้าอี้จนไม่เห็นฝุ่นสักเม็ด แล้วโค้งตัวเชิญเข้าห้องมหาเสนาบดีฉู่คุยกับขุนพลหลัว “ดื่มสักหน่อยไหม?”แววตาของขุนพลหลัวดูมืดมนและลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่จะเดินเข้าไปก่อนอย่างเงียบ ๆหลังจากเข้าห้องมาแล้ว เขาก็ไม่ได้นั่งลงและพูดเหมือนเดิมว่า “ข้าไม่มีหน้าพบท่าน ท่านอย่ามาเลย”มหาเสนาบดีฉู่สั่งให้คนออกไป และปิดประตูลง เขามองขุนพลหลัวและพูดขึ้นว่า “อ๋องฉู่ให้ข้ามาที่นี่”ขุนพลหลัวเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ “อ๋องฉู่?”เขากวักมือเรียก “เจ้านั่งลงก่อน เจ้าค่อย ๆ ฟังข้าพูดดี เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ”ขุนพลหลัวเห็นว่าเขาไม่ได้มาทำให้อับอาย จึงนั่งลงและกล่าวก่อนว่า “เรื่องความผิดในครั้งนั้น ข้าควรกล่าวขอโทษท่านอย่างจริงจังก่อน
หยวนชิงหลิงเองก็เห็นว่านางดูผิดแปลก เห็นนางอยากถามตั้งหลายครั้ง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา จึงเอ่ยถามว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”หยวนหยงอี้ที่ได้ยินนางถาม จึงทนไม่ไหวอีกต่อไป และพูดขึ้นว่า “พี่หญิงหวางเฟย...”หยวนชิงหลิงขัดจังหวะที่นางพูด “ทำไมเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่หยวนล่ะ เรียกพี่หญิงหวางเฟยฟังดูแปลกยิ่งนัก”ที่จริงนางไม่ชอบพูดถือยศถืออย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาพี่สาวอยู่ข้างหลังเช่นนี้“ได้สิ พี่หยวน พวกเราอีกนิดก็นามสกุลเดียวกันแล้ว” หยวนหยงอี้พูดอย่างเขินอายหยวนชิงหลิงยิ้มแล้วถามว่า “เจ้ามีเรื่องอยากจะพูดไม่ใช่หรือ?”"โอ้ ใช่แล้ว" หยวนหยงอี้รีบปรับสีหน้าและพูดว่า "คือเรื่องมันเป็นแบบนี้ ในวันนั้นอ๋องฉีเป็นลมล้มลงบนพื้น และชักกระตุกสักพัก เห็นเขาไม่สบายเป็นแบบนั้น แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ฟื้นขึ้นมาเป็นปกติ ข้าถามเขา เขาบอกว่าเขาเป็นโรคประหลาดและเขาอาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงหนึ่งปี พระชายา... พี่หยวน ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคแบบนี้หรือไม่?"หยวนชิงหลิงรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง "มีชีวิตได้อีกหนึ่งปี? ข้าไม่เคยได้ยินเจ้าห้าพูดถึงมาก่อนเลย"หยวนหยงอี้พูดอย่างเศร้าสร้อย “ท่านอ๋องเองก็คงจะไม่ท
หยวนชิงหลิงไม่เคยได้ยินพวกนางพี่น้องพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องนี้ นางมองไปที่หยวนหยงอี้ด้วยความรู้สึกอิจฉานิดหน่อย "ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ที่จะละทิ้งทุกสิ่งและเดินทางไปทั่วหล้า เจ้ากล้าหาญมาก”“จริงรึ?” หยวนหยงอี้รู้สึกประหลาดใจมาก “อันที่จริงท่านย่าและคนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ข้ายืนกรานจะไปให้ได้ ด้วยคำพูดของพี่หยวน ได้เพิ่มความมั่นใจให้ข้าแล้ว”“ไปเถิด เจ้ายังเยาว์วัย ไปท่องเที่ยวเรียนรู้โลกกว้างเป็นเรื่องดี” หยวนชิงหลิงพูดสนับสนุนในตอนนั้นหยวนหยงอี้ตัดสินแน่ใจอย่างแน่วแน่ว่าจะออกไปท่องโลกกว้าง ให้สมกับที่ไอดอลของตัวเองให้กำลังใจหยวนชิงหลิงไม่รู้เลยว่า การให้กำลังใจกันเช่นนี้จะถูกอ๋องฉีด่าลับหลังไม่หยุดรถม้ามุ่งหน้าไปยังอารามชีหมิงเยว่อากาศหนาวเย็น มีคนไม่กี่คนที่ออกมาเดินบนถนน ลมพัดใบไม้ปลิวไสวไปตามถนนเส้นยาว ธงป้ายของร้านอาหารสะบัดไปตามแรงลม มีคนจากสำนักคุ้มกันขนสินค้าไป หยวนชิงหลิงเลิกม่านขึ้น และมองดูรู้สึกถึงบรรยากาศในยุทธภพเป็นอย่างมากอารามชีหมิงเยว่อยู่นอกเมือง และต้องออกไปนอกประตูเมืองในยุคที่บ้านเมืองสงบสุขและรุ่งเรือง
หยวนชิงหลิงประคองท้องคุกเข่าลงด้วยความลำบาก พบว่าการหายใจและชีพจรของนางไม่มีแล้ว นางรีบคร่อมร่างฮูหยินเฒ่า เงยหน้าขึ้นแล้วบอกหมานเอ๋อร์และอาซื่อว่า "เอาเบาะไปวางรองหนุนไหล่ของนาง เร็ว... "อาซื่อตกใจไปครู่หนึ่ง “พระชายา ไม่หายใจแล้ว”หยวนชิงหลิงพูดอย่างจริงจัง "เร็วเข้า!"อาซื่อรีบหยิบเบาะรองจากด้านข้างมารองหนุนไหล่ของฮูหยินเฒ่า จากนั้นนั่งลงข้าง ๆ อย่างหมดหนทาง ไม่รู้จะช่วยอย่างไรดีหยวนชิงหลิงกล่าวว่า "หนุนคอนาง ให้นางเงยหน้าขึ้น"อาซื่อยื่นมือออกไปประคองคอของฮูหยินเฒ่าตามที่หยวนชิงหลิงสั่ง บังคับให้นางเงยหน้าขึ้น เพื่อให้หายใจได้สะดวกหยวนชิงหลิงเริ่มทำการนวดหัวใจผายปอด ใช้ฝ่ามือทั้งสองกดลงบนหน้าอก จากนั้นทำการผายปอดมีคนอยู่ใกล้ ๆ ตะโกนว่า "อย่าทำเสียมารยาทเช่นนี้ รีบปล่อยฮูหยินเฒ่านะ"มีคนร้องไห้ตะโกน มีแม่ชีวิ่งออกมาบอกว่าขโมยหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่เกิดเหตุตกอยู่ในความโกลาหล และมีเสียงดังโวกเวกโวยวายไม่หยุดถังหยางตะโกนด้วยความโกรธ "ทุกคนเงียบ ถ้าอยากให้ฮูหยินเฒ่ารอดก็หุบปากซะ อย่ารบกวนการช่วยเหลือของหมอ"ถังหยางตะโกนคำรามเสียงดัง ทุกคนก็หุบปากลงทันทีเมื่อเห็นว่าย
แม่ชีรีบสั่งให้คนเตรียมเปล เมื่อได้ยินว่าหยวน ชิงหลิงมาที่นี่เพื่อจุดธูปถวายเครื่องหอม แม่ชีชราในชุดสีเทาก้าวไปข้างหน้า และพนมมือขึ้น "นะโมอมิตาพุทธ ประสก ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่พระพุทธองค์ส่งมาแท้ ๆ โปรดรีบเข้าไปข้างในพักผ่อนก่อนเถิด"หยวนชิงหลิงเองก็อยากพักผ่อนจริง ๆ นางเหนื่อยมากเหลือเกินโม่โม่ชราคนนั้นตกใจ และรีบเดินไปถามอาซื่อว่า “แม่นาง ขอบังอาจถามเจ้าหน่อยว่าฮูหยินของพวกเจ้าคือใคร?”อาซื่อยิ้มและกล่าวว่า “ฮูหยินบอกไม่จำเป็น ดูแลฮูหยินเฒ่าของพวกท่านให้ดี ๆ เถอะนะ”โม่โม่ถอนหายใจและกล่าวว่า “ช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ฮูหยินของเจ้าช่างมีจิตใจที่ประเสริฐยิ่งนัก!”แม่ชีชราคนนั้นที่พาหยวนชิงหลิงเข้าไปได้เอ่ยขึ้นว่า "แม่ชีเป็นเจ้าอาวาสของอารามชีหมิงเยว่ ขอบังอาจถามชื่อสกุลของสามีท่านหน่อยได้ไหม?""สามีข้าเป็นคนที่ห้า ดังนั้นเรียกข้าว่าฮูหยินห้าเถอะ" หยวนชิงหลิงไม่รู้จุดประสงค์ที่ไท่ซ่างหวงเรียกนางมาที่นี่ ดังนั้นนางจึงไม่ควรเปิดเผยฐานะของตัวเองง่าย ๆเนื่องจากถังหยางและซูยี่เป็นผู้ชาย พวกเขาเข้าไปที่พระอุโบสถใหญ่ชั้นนอกได้ แต่ไม่สามารถเข้าไปในส่วนของชั้นในได้ แต่ตอนนี้เป็
ถังหยางและซูยี่ออกไปค้นหาคนร้ายนอกอารามชีหมิงเยว่ เพื่อดูว่ามีเงื่อนงำเบาะแสอะไรทิ้งไว้หรือไม่ซูยี่ค้นหาอย่างละเอียดและพูดว่า "ขโมยคนนี้กล้าสร้างปัญหาในอารามแม่ชี ช่างบังอาจเกินไปแล้วจริง ๆ ถ้าข้าหาพบ จะจับตัวเขาไปที่จวนจิ้งเป่าเพื่อลงโทษเป็นแน่"ถังหยางพูดอย่างผ่อนคลายว่า “หาให้เจอก่อนค่อยว่ากันเถอะ”“ใต้เท้าถัง ฮูหยินเฒ่าคนนั้นคือใคร? เห็นว่าท่านปฏิบัติกับนางด้วยความเคารพเป็นอย่างมาก" ซูยี่เอ่ยถามถังหยางยิ้มและพูดว่า "นางแก่แล้ว ให้ความเคารพนางหน่อยจะเป็นอะไรไป? เคารพคนแก่ไม่ได้หรือ?"ซูยี่พยักหน้า “นั่นก็ใช่”เงียบไปสักพัก เขาพูดขึ้นมาว่า "ไม่รู้ว่าจะมาทำอะไรที่อารามชีหมิงเยว่กันแน่? ไม่มีทางที่จะเรียกให้พระชายามาไหว้พระอธิษฐานขอพรต่อพระพุทธองค์หรอก?"“มาไหว้พระอธิษฐานขอพรก็ดี!” ถังหยางพูดแฝงความนัยตอนที่มา เขาเองก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าไท่ซ่างหวงทรงต้องการทำอะไรแต่พอพระชายาช่วยฮูหยินเฒ่าแล้ว เขาก็เข้าใจในทันทีโจรคนนั้นอาจเป็นคนที่ไท่ซ่างหวงส่งมาที่นี่ ไม่รีบกระโจนออกมา รอจนกว่าพวกเขาจะมาแล้วถึงค่อยกระโจนออกมา ทำให้ฮูหยินเฒ่าคนนั้นตกใจ แน่นอนว่าต้องวางแผนอย่างซับซ้อน และที่
นางข้าหลวงสี่รับคำสั่งไปส่งยาให้ฮูหยินเฒ่าที่นอนพักผ่อนสักครู่ และรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นโม่โม่มา นางจึงรีบสั่งให้คนไปต้อนรับนางข้าหลวงสี่ยิ้มและพูดว่า "ฮูหยินเฒ่า ท่านนอนลงพักผ่อนเถอะ ฮูหยินของพวกเราสั่งให้ข้ามามอบยาให้ หากท่านไว้ใจฮูหยินของพวกเรา ก็ให้กินยานี้ ถ้าวันหลังท่านรู้สึกเจ็บหน้าอก หรือเมื่ออาการกำเริบขึ้นมา กดใต้ลิ้นปี่ไว้สักครู่ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน"ฮูหยินเฒ่ามองไปที่นางข้าหลวงสี่ และรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ใช่หญิงรับใช้ธรรมดาทั่วไป ดังนั้นจึงถามว่า "ขอบังอาจถามหน่อย ฮูหยินของเจ้าคือพระชายาฉู่หรือไม่?"นางข้าหลวงสี่ตกใจ “นี่...ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น?”ฮูหยินเฒ่าพูดว่า "พวกบ่าวบอกว่าตอนที่ออกไปข้างนอกหาทางช่วยข้า ได้ยินแม่นางคนหนึ่งเรียกฮูหยินว่าพระชายา หลังจากคิดไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว พระชายาคนเดียวที่รู้ทักษะทางการแพทย์ และกำลังตั้งครรภ์อยู่นั้นคือพระชายาฉู่"นางข้าหลวงสี่ยิ้ม "ฮูหยิน ไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะเป็นใคร การได้พบกันที่ประตูวัดเช่นนี้ นับว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว ท่านควรพักผ่อนให้เพียงพอ"เมื่อพูดจบนางก็ย่อตัวทำความเคารพและเดินจากไปทางด้านหยวนชิงหลิงที่