หยวนชิงหลิงไม่เคยได้ยินพวกนางพี่น้องพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ยินเรื่องนี้ นางมองไปที่หยวนหยงอี้ด้วยความรู้สึกอิจฉานิดหน่อย "ต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก ที่จะละทิ้งทุกสิ่งและเดินทางไปทั่วหล้า เจ้ากล้าหาญมาก”“จริงรึ?” หยวนหยงอี้รู้สึกประหลาดใจมาก “อันที่จริงท่านย่าและคนอื่น ๆ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ข้ายืนกรานจะไปให้ได้ ด้วยคำพูดของพี่หยวน ได้เพิ่มความมั่นใจให้ข้าแล้ว”“ไปเถิด เจ้ายังเยาว์วัย ไปท่องเที่ยวเรียนรู้โลกกว้างเป็นเรื่องดี” หยวนชิงหลิงพูดสนับสนุนในตอนนั้นหยวนหยงอี้ตัดสินแน่ใจอย่างแน่วแน่ว่าจะออกไปท่องโลกกว้าง ให้สมกับที่ไอดอลของตัวเองให้กำลังใจหยวนชิงหลิงไม่รู้เลยว่า การให้กำลังใจกันเช่นนี้จะถูกอ๋องฉีด่าลับหลังไม่หยุดรถม้ามุ่งหน้าไปยังอารามชีหมิงเยว่อากาศหนาวเย็น มีคนไม่กี่คนที่ออกมาเดินบนถนน ลมพัดใบไม้ปลิวไสวไปตามถนนเส้นยาว ธงป้ายของร้านอาหารสะบัดไปตามแรงลม มีคนจากสำนักคุ้มกันขนสินค้าไป หยวนชิงหลิงเลิกม่านขึ้น และมองดูรู้สึกถึงบรรยากาศในยุทธภพเป็นอย่างมากอารามชีหมิงเยว่อยู่นอกเมือง และต้องออกไปนอกประตูเมืองในยุคที่บ้านเมืองสงบสุขและรุ่งเรือง
หยวนชิงหลิงประคองท้องคุกเข่าลงด้วยความลำบาก พบว่าการหายใจและชีพจรของนางไม่มีแล้ว นางรีบคร่อมร่างฮูหยินเฒ่า เงยหน้าขึ้นแล้วบอกหมานเอ๋อร์และอาซื่อว่า "เอาเบาะไปวางรองหนุนไหล่ของนาง เร็ว... "อาซื่อตกใจไปครู่หนึ่ง “พระชายา ไม่หายใจแล้ว”หยวนชิงหลิงพูดอย่างจริงจัง "เร็วเข้า!"อาซื่อรีบหยิบเบาะรองจากด้านข้างมารองหนุนไหล่ของฮูหยินเฒ่า จากนั้นนั่งลงข้าง ๆ อย่างหมดหนทาง ไม่รู้จะช่วยอย่างไรดีหยวนชิงหลิงกล่าวว่า "หนุนคอนาง ให้นางเงยหน้าขึ้น"อาซื่อยื่นมือออกไปประคองคอของฮูหยินเฒ่าตามที่หยวนชิงหลิงสั่ง บังคับให้นางเงยหน้าขึ้น เพื่อให้หายใจได้สะดวกหยวนชิงหลิงเริ่มทำการนวดหัวใจผายปอด ใช้ฝ่ามือทั้งสองกดลงบนหน้าอก จากนั้นทำการผายปอดมีคนอยู่ใกล้ ๆ ตะโกนว่า "อย่าทำเสียมารยาทเช่นนี้ รีบปล่อยฮูหยินเฒ่านะ"มีคนร้องไห้ตะโกน มีแม่ชีวิ่งออกมาบอกว่าขโมยหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย ที่เกิดเหตุตกอยู่ในความโกลาหล และมีเสียงดังโวกเวกโวยวายไม่หยุดถังหยางตะโกนด้วยความโกรธ "ทุกคนเงียบ ถ้าอยากให้ฮูหยินเฒ่ารอดก็หุบปากซะ อย่ารบกวนการช่วยเหลือของหมอ"ถังหยางตะโกนคำรามเสียงดัง ทุกคนก็หุบปากลงทันทีเมื่อเห็นว่าย
แม่ชีรีบสั่งให้คนเตรียมเปล เมื่อได้ยินว่าหยวน ชิงหลิงมาที่นี่เพื่อจุดธูปถวายเครื่องหอม แม่ชีชราในชุดสีเทาก้าวไปข้างหน้า และพนมมือขึ้น "นะโมอมิตาพุทธ ประสก ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่พระพุทธองค์ส่งมาแท้ ๆ โปรดรีบเข้าไปข้างในพักผ่อนก่อนเถิด"หยวนชิงหลิงเองก็อยากพักผ่อนจริง ๆ นางเหนื่อยมากเหลือเกินโม่โม่ชราคนนั้นตกใจ และรีบเดินไปถามอาซื่อว่า “แม่นาง ขอบังอาจถามเจ้าหน่อยว่าฮูหยินของพวกเจ้าคือใคร?”อาซื่อยิ้มและกล่าวว่า “ฮูหยินบอกไม่จำเป็น ดูแลฮูหยินเฒ่าของพวกท่านให้ดี ๆ เถอะนะ”โม่โม่ถอนหายใจและกล่าวว่า “ช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ ฮูหยินของเจ้าช่างมีจิตใจที่ประเสริฐยิ่งนัก!”แม่ชีชราคนนั้นที่พาหยวนชิงหลิงเข้าไปได้เอ่ยขึ้นว่า "แม่ชีเป็นเจ้าอาวาสของอารามชีหมิงเยว่ ขอบังอาจถามชื่อสกุลของสามีท่านหน่อยได้ไหม?""สามีข้าเป็นคนที่ห้า ดังนั้นเรียกข้าว่าฮูหยินห้าเถอะ" หยวนชิงหลิงไม่รู้จุดประสงค์ที่ไท่ซ่างหวงเรียกนางมาที่นี่ ดังนั้นนางจึงไม่ควรเปิดเผยฐานะของตัวเองง่าย ๆเนื่องจากถังหยางและซูยี่เป็นผู้ชาย พวกเขาเข้าไปที่พระอุโบสถใหญ่ชั้นนอกได้ แต่ไม่สามารถเข้าไปในส่วนของชั้นในได้ แต่ตอนนี้เป็
ถังหยางและซูยี่ออกไปค้นหาคนร้ายนอกอารามชีหมิงเยว่ เพื่อดูว่ามีเงื่อนงำเบาะแสอะไรทิ้งไว้หรือไม่ซูยี่ค้นหาอย่างละเอียดและพูดว่า "ขโมยคนนี้กล้าสร้างปัญหาในอารามแม่ชี ช่างบังอาจเกินไปแล้วจริง ๆ ถ้าข้าหาพบ จะจับตัวเขาไปที่จวนจิ้งเป่าเพื่อลงโทษเป็นแน่"ถังหยางพูดอย่างผ่อนคลายว่า “หาให้เจอก่อนค่อยว่ากันเถอะ”“ใต้เท้าถัง ฮูหยินเฒ่าคนนั้นคือใคร? เห็นว่าท่านปฏิบัติกับนางด้วยความเคารพเป็นอย่างมาก" ซูยี่เอ่ยถามถังหยางยิ้มและพูดว่า "นางแก่แล้ว ให้ความเคารพนางหน่อยจะเป็นอะไรไป? เคารพคนแก่ไม่ได้หรือ?"ซูยี่พยักหน้า “นั่นก็ใช่”เงียบไปสักพัก เขาพูดขึ้นมาว่า "ไม่รู้ว่าจะมาทำอะไรที่อารามชีหมิงเยว่กันแน่? ไม่มีทางที่จะเรียกให้พระชายามาไหว้พระอธิษฐานขอพรต่อพระพุทธองค์หรอก?"“มาไหว้พระอธิษฐานขอพรก็ดี!” ถังหยางพูดแฝงความนัยตอนที่มา เขาเองก็ไม่รู้จริง ๆ ว่าไท่ซ่างหวงทรงต้องการทำอะไรแต่พอพระชายาช่วยฮูหยินเฒ่าแล้ว เขาก็เข้าใจในทันทีโจรคนนั้นอาจเป็นคนที่ไท่ซ่างหวงส่งมาที่นี่ ไม่รีบกระโจนออกมา รอจนกว่าพวกเขาจะมาแล้วถึงค่อยกระโจนออกมา ทำให้ฮูหยินเฒ่าคนนั้นตกใจ แน่นอนว่าต้องวางแผนอย่างซับซ้อน และที่
นางข้าหลวงสี่รับคำสั่งไปส่งยาให้ฮูหยินเฒ่าที่นอนพักผ่อนสักครู่ และรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อเห็นโม่โม่มา นางจึงรีบสั่งให้คนไปต้อนรับนางข้าหลวงสี่ยิ้มและพูดว่า "ฮูหยินเฒ่า ท่านนอนลงพักผ่อนเถอะ ฮูหยินของพวกเราสั่งให้ข้ามามอบยาให้ หากท่านไว้ใจฮูหยินของพวกเรา ก็ให้กินยานี้ ถ้าวันหลังท่านรู้สึกเจ็บหน้าอก หรือเมื่ออาการกำเริบขึ้นมา กดใต้ลิ้นปี่ไว้สักครู่ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน"ฮูหยินเฒ่ามองไปที่นางข้าหลวงสี่ และรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ใช่หญิงรับใช้ธรรมดาทั่วไป ดังนั้นจึงถามว่า "ขอบังอาจถามหน่อย ฮูหยินของเจ้าคือพระชายาฉู่หรือไม่?"นางข้าหลวงสี่ตกใจ “นี่...ทำไมท่านถึงคิดเช่นนั้น?”ฮูหยินเฒ่าพูดว่า "พวกบ่าวบอกว่าตอนที่ออกไปข้างนอกหาทางช่วยข้า ได้ยินแม่นางคนหนึ่งเรียกฮูหยินว่าพระชายา หลังจากคิดไตร่ตรองเรื่องนี้แล้ว พระชายาคนเดียวที่รู้ทักษะทางการแพทย์ และกำลังตั้งครรภ์อยู่นั้นคือพระชายาฉู่"นางข้าหลวงสี่ยิ้ม "ฮูหยิน ไม่ต้องสนใจหรอกว่าจะเป็นใคร การได้พบกันที่ประตูวัดเช่นนี้ นับว่ามีวาสนาต่อกันแล้ว ท่านควรพักผ่อนให้เพียงพอ"เมื่อพูดจบนางก็ย่อตัวทำความเคารพและเดินจากไปทางด้านหยวนชิงหลิงที่
“เหนื่อย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ช่วงนี้เหนื่อยมากเลย และง่วงบ่อยมาก วันนี้ข้าเผลอหลับไปในรถม้าด้วย” หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบา ๆ รู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว “อย่างนั้นก็อย่าเพิ่งออกไปไหน พักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะ” อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้วเล็กน้อยรู้สึกกังวลมาก“หากไม่มีอะไรจริง ๆ ก็ไม่อยากออกไปข้างนอกแล้ว” หยวนชิงหลิงยื่นมือไปลูบท้องน้อย หลุบตามองแล้วยิ้มออกมา “ขยับแล้ว ท่านจับดูสิ”“นวดก่อน ค่อยจับก็ได้” อวี่เหวินห่าวมองหน้าท้องของนาง “ทำไมท้องโตเร็วนัก”“ใช่สิ ข้าอ้วนขึ้น” หยวนชิงหลิงถอนหายใจ “ใกล้เป็นแม่สุกรแล้ว”"เช่นนั้นก็เป็นแม่สุกรที่สวยที่สุด" อวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างประจบประแจงหยวนชิงหลิงหัวเราะและเตะเขา เขาจับข้อเท้าของนาง และจ้องมองนางแล้วพูดว่า "จริง ๆ แล้ว ตอนนี้เจ้าดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก ทั้งที่ใบหน้าเหมือนเดิม ทำไมถึงรู้สึกว่าดูดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก"“เชอะ!” หยวนชิงหลิงเหลือบไปมองเขาอย่างรวดเร็ว และเชิดหน้าขึ้นอวี่เหวินห่าวลุกขึ้น และช่วยประคองให้นางนอนลงอย่างช้า ๆ และนั่งลงข้างนาง "ข้าพูดจริง เมื่อก่อนเคยคิดว่าใบหน้าเจ้าทั้งโหดร้าย ใจดำนัก เห็นแล้วขัดตาเ
หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ท่านอ๋องพูดจาเหลวไหล เจ้าเชื่อด้วยหรือ?"นางไม่คาดหวังอยากจะได้ฝาแฝด คลอดครั้งหนึ่งได้ตั้งสองคน เหนื่อยตายเลยมันไม่ง่ายเลยที่จะโน้มน้าวใจว่าตัวเองเป็นแม่ แต่ก็ไม่อาจรับดูแลลูกสองคนพร้อมกันได้หยวนหยงอี้มองหน้าท้องของนาง และเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “พี่หยวน ข้าขอจับหน่อยได้ไหม?”อาซื่อพูดอย่างอิจฉาว่า “ข้าเองก็อยากจับด้วย”ซูยี่จุดเตาถ่านเข้ามา และรีบพูดว่า "กระหม่อมเองก็อยากจับด้วย จับอะไร...ดี?"เมื่อเจอสายตาโกรธเกรี้ยวของท่านอ๋องเพ่งเล็งมา ซูยี่รีบกลืนคำพูดสุดท้ายลงท้องไป และกลืนน้ำลายตาม เขาพูดผิดอีกแล้วหรือ?หยวนชิงหลิงยิ้มเจื่อน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นของถูกจัดแสดง แต่นางใจกว้างมาก และพูดกับหยวนหยงอี้และอาซื่อว่า "ได้สิ พวกเจ้ามานี่สิ"หยวนหยงอี้และอาซื่อรีบก้าวไปข้างหน้า นั่งยอง ๆ ข้างนาง และยื่นมือออกอย่างระมัดระวัง ค่อย ๆ วางมือลงบนหน้าท้องราวกับว่าพวกนางกำลังสัมผัสวัตถุเปราะบางล้ำค่า“ซื่อจื่อ ขอน้าจับหน่อยนะ” อาซื่อพูดด้วยความเคารพก็พ่นหายใจออกมา ดวงตานางเบิกกว้างท่าทางดูตลกมาก"พี่สาว!" ทันใดนั้นนางก็หันมองไปทางหยวนหยงอี้ จู่ ๆ ขอบตาก็ร้อ
หมอหลวงตกใจจนขนลุกซู่ทั้งร่าง เขาพูดอย่างตะกุกตะกัก "ท่านอ๋อง... ข้าได้บอกทหารองค์รักษ์แล้วว่าอาการของพระชายาไม่ดีจริง ๆ..."“ชู่ว!” อวี่เหวินห่าวกระซิบเสียงเบา “เจ้ารีบตรวจชีพจรพระชายา ดูสิว่าในท้องนางเป็นแฝดหรือไม่?”สีหน้าของหมอหลวงดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที นึกได้ว่าเขาเคยตรวจชีพจรของพระชายาในช่วงนี้ เขามักจะรู้สึกว่าชีพจรแตกต่างออกไป และก็รู้สึกสับสนไปชั่วขณะ แต่เมื่อเห็นว่าพระชายาไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ และชีพจรเองก็คงที่ เขาคิดว่าอาจเป็นผลจากการกินยาคลายกังวลเข้าไปเมื่อได้ยินอวี่เหวินห่าวพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็คิดว่ามีความเป็นไปได้เขาจับชีพจรอย่างระมัดระวัง และตรวจซ้ำอยู่หลายครั้งทุกคนกำลังรอเขาอยู่หมอหลวงเฉารู้สึกลำบากใจมาก เขาดึงมือออก และพูดอย่างจนปัญญาว่า "ท่านอ๋อง ชีพจรค่อนข้างแปลก แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเป็นฝาแฝดพ่ะย่ะค่ะ""ทำไมถึงไม่แน่ใจ?" อวี่เหวินห่าวรู้สึกกระวนกระวาย "เจ้ามาเป็นหมอหลวงได้อย่างไรกัน?"หมอหลวงเฉาเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมจากหน้าผาก มองไปที่เตาถ่าน รู้สึกว่ามันร้อนเกินหน่อยไป "ท่านอ๋อง สาเหตุเป็นเพราะพระชายากินยามากเกินไป ยาต้มจื่อจิน ยาคลายกังวล ฤท
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม