หยวนชิงหลิงรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูกอาจกล่าวได้ว่าในสายตาของทุกคน นางตกระกำลำบากกลับมา ลูกสาวที่แต่งงานแล้วถูกครอบครัวของสามีรังเกียจ จนกลับบ้านแม่มาแบบนี้จะเหลืออะไรน่าดูอีกแต่ไม่คาดคิดเลยว่าฮูหยินเฒ่าจะปกป้องนางเช่นนี้ต้องตกต่ำจึงจะได้เห็นจิตใจคนนี่เป็นความจริงฮูหยินเฒ่าเห็นแค่ขอบตานางเปียกชื้น ยังคิดว่านางเจ็บปวดเศร้าใจ จึงปลอบโยนนางอีกหยวนชิงผิงเองก็กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านเองก็ฟังท่านย่าอยู่ที่จวนดูแลครรภ์ให้ดี เรื่องอื่นไม่ต้องไปสน ใครมาก่อกวนท่าน ข้าจะจัดการมันเอง”หยวนชิงหลิงยิ้มทั้งน้ำตา “ได้ ขอบคุณพวกเจ้านะ”อย่างไรก็ตาม ฮูหยินเฒ่าและหยวนชิงผิงปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยน แต่คนอื่น ๆ กลับปฏิบัติกับนางไม่ดีเลยสักนิดแน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าทำให้นางอับอายโดยตรง แต่ในครึ่งวัน ทุกคนในจวนต่างพูดว่านางถูกท่านอ๋องทอดทิ้ง และพวกเขาจะหย่ากับนางหลังจากให้กำเนิดลูกลูกสะใภ้ของฮูหยินรองหลวนซรื่อ เห็นหยวนชิงหลิงเดินผ่านทางเดินระเบียงในตอนเที่ยง และด่าออกมาอย่างเย็นชาว่า "ภรรยาที่ถูกทิ้ง!"เมื่ออาซื่อได้ยิน จึงพุ่งไปข้างหน้า และนางได้เอ่ยถามอย่างดุร้ายว่า "สงบปากเจ้าบ้าง"เดิม
อาซื่อพูดอย่างไม่สนอะไร “ชาติตระกูลอะไรไม่สำคัญหรอก ถ้าเขาเป็นคนซื่อตรงและใจดี เขารู้วรยุทธ์ และเข้าใจการก้าวไปหน้า เขาย่อมจะชนะการแข่งขันเสมอ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่มีอะไรสำเร็จเลยก็ตาม”หยวนชิงหลิงประทับใจยิ่งนัก "ข้าประหลาดใจจริงที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ อาซื่อ เจ้าพูดถูก สิ่งที่เจ้าว่ามานั้น ชาติตระกูลไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือนิสัยต่างหาก"ฐานะทางครอบครัวของอาซื่อก็ดี หากแต่งงานกับชายยากจนจริง ก็ไม่จำต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนิสัยที่ดีของคนอาซื่อยิ้มและหันไปหาหมานเอ๋อร์ "แล้วเจ้าล่ะ? สิ่งที่เจ้าอยากจะได้จากว่าที่สามีในอนาคต?"หมานเอ๋อร์ตกใจ "นี่ บ่าวไม่กล้าคิดหรอกเจ้าค่ะ"ตอนนี้นางเป็นแค่คนเร่ร่อนในเมืองหลวง จะไปกล้าคิดแบบนี้ได้อย่างไร? กินอิ่มนอนหลับมีชีวิตอยู่ดีก็นับว่าดีมากแล้ว“ทำไมไม่กล้าคิดกัน? ผู้หญิงทุกคนล้วนมีความฝันเกี่ยวกับอนาคต โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญชั่วชีวิตอย่างการแต่งงาน ตอนเจ้ายังเด็กเจ้าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลยหรือ?” อาซื่อถามหมานเอ๋อร์ยิ้มอย่างเขินอาย "ตอนเด็ก ข้าเคยคิดเรื่องนี้ ข้าแค่อยากแต่งงานกับใครสักคนที่ซื่อสัตย์และดีกับข้า
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองนาง "เสียใจไหม?"พระชายาจี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเสียใจหรือไม่ ก้าวมาถึงจุดนี้แล้ว และข้าไม่มีทางคิดเสียใจหรือไม่เสียใจอีกแล้ว ใจของคนยากแท้หยั่งถึง ข้าพยายามที่สุด แต่เมื่อเจอคนใจร้ายจะทำอย่างไรได้? ตั้งแต่แรกข้าก็รู้แล้วว่าทุกอย่างที่ข้าให้ไป อาจไม่ได้อะไรกลับคืนมา"“เพราะเจ้ารักเขาจริงงั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามพระชายาจี้ที่ได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "รัก? อาจจะใช่กระมั้ง?""ทำไมเจ้าถึงรักอ๋องจี้ล่ะ? เขามีดีอะไรตรงไหน?" หยวนชิงหลิงเอ่ยถามพระชายาจี้เอ่ยว่า "ข้ารักเขาไม่ใช่เพราะว่าเขามีดีอะไรตรงไหน แต่เพราะเขาเป็นสามีของข้า"หยวนชิงหลิงตกตะลึงจนอึ้งไป "แค่นั้นน่ะรึ?"แล้วจะเอาอะไรอีก?” พระชายาจี้มองนาง แปลกใจจริงๆ ที่ไม่เป็นการถามแบบเสียเปล่ารึ? ไม่รักสามีตัวเองแล้วใครจะรักกัน?“แล้วตอนนี้เจ้ายังรักเขาอยู่หรือเปล่า? ถึงอย่างไร เขาก็ยังเป็นสามีของเจ้าอยู่ดี” หยวนชิงหลิงถามนางตามตรรกะความคิดของตัวเองแววตาของพระชายาจี้เย็นชา "ข้าไม่คิดว่าคงเป็นเช่นนั้น"หยวนชิงหลิงถามว่า "ทำไมกัน?""เขาไม่จำเป็นต้องรักข้า แต่เ
นางข้าหลวงสี่ช่วยประคองนางนั่งลงและพูดปลอบ "พระชายาอย่ากังวลไปเลยนะเพคะ อาซื่อพูดจาเหลวไหลไร้สาระ ถูกขังไว้ในห้องมืดที่ไหนกัน? แม้ว่าชินอ๋องจะไม่ได้รับอนุญาตให้ค้างคืนในวัง แต่ก็มีเจ้าชายองค์อื่นในวัง เขาสามารถไปพักค้างคืนกับองค์ชายแปดได้สักคืนหนึ่ง หรืออาจจะไปอยู่กับไท่ซ่างหวงก็ได้นะเพคะ”จะให้หยวนชิงหลิงสงบใจได้อย่างไร? ในเมื่อเขาเคยได้รับความทุกข์ทรมานจากห้องมืดนั้นมาก่อน นี่ยังต้องทรมานอีกครั้งหรือ?นางอดโกรธต่อความโหดร้ายของตาเฒ่านั้นไม่ได้ ทำไมถึงได้ทำกับเจ้าห้าเช่นนี้? ใครอยากจะมายุ่งยากเป็นรัชทายาทกัน?อาซื่อก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอีก และมองไปทางนางข้าหลวงสี่เพื่อขอความช่วยเหลือนางข้าหลวงสี่ถอนหายใจ “เช่นนั้น ข้าจะไปรอที่ซอยจวนของตระกูลฉู่ให้เร็วหน่อย ดูว่าท่านมหาเสนาบดีจะกลับมาเมื่อไหร่”“ลำบากโมโม่แล้ว” หยวนชิงหลิงพูดด้วยความซาบซึ้งใจ“พระชายา อย่าพูดเกรงใจเช่นนี้กับข้าเลย ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ท่านควรพักผ่อนให้เพียงพอจะได้ไม่กระทบถึงครรภ์นะเพคะ” โมโม่พูดปลอบใจนางหยวนชิงหลิงพยักหน้ารัว ตัวเองกลับบ้านแม่มา แม้ว่านางจะแสร้งทำเหมือนสงบนิ่ง แต่ในใจนางร้อนร้นยิ่งน
น้ำแกงขิงที่ยกเข้ามา มหาเสนาบดีฉู่บังคับให้นางข้าหลวงสี่ดื่มลงไปก่อนเมื่อน้ำแกงขิงร้อน ๆ ตกถึงท้อง โมโม่ก็รู้สึกร้อนไปทั้งร่าง และหน้าผากก็เหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยเหลืออีกสองคำและดื่มไม่ลงแล้ว มหาเสนาบดีฉู่จึงรับมันและดื่มลงไปให้หมด “อย่าสิ้นเปลือง”นางข้าหลวงสี่มองมือผอมแห้งแต่ยังแข็งแรงของเขาวางถ้วยนั้นลงก็รีบถามทันที “พระชายาขอให้ข้ามาถาม ตอนนี้อ๋องฉู่อยู่ที่ไหน? ฝ่าบาทได้สั่งให้นำไปขังในห้องมืดรึเปล่า”มหาเสนาบดีฉู่กอดอก และเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อตัวเองด้วยความเคยชิน และกล่าวว่า “บอกให้พระชายาวางใจเถอะ ฝ่าบาทไม่ได้สั่งลงโทษอะไร แค่ไล่เขาออกจากวังเท่านั้น”“แต่ว่า” นางข้าหลวงสี่กระวนกระวายใจเหลือเกิน “เขาไม่ได้กลับจวนอ๋อง”มหาเสนาบดีฉู่วางมือเขาลงบนมือนาง “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม อดทนรอดูเหตุการณ์ไปก่อน เขาไม่ได้กลับจวน แต่ไปพระตำหนักเฉียนคุน ทำตัวขี้เกียจสังกะตายไม่ต่างจากตัวทากเลยสักนิด”“ตัวทาก?” นางข้าหลวงสี่ตกใจในแววตาของมหาเสนาบดีฉู่เจือไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าไปที่พระตำหนักเฉียนคุน เขาก็อยู่ที่นั้น”นางข้าหลวงสี่เอ่ยอย่างหมดหนทาง “เช่นนั้นทำไมถึงไม่กลับจวนเล่า? พระชาย
“ไม่ได้เรื่อง!”อวี่เหวินห่าวหดคอหาท่าที่สบายกว่าเดิม แล้วกอดน่องไท่ซ่างหวงเอาไม่ไว้ไปไหนไท่ซ่างหวงทรงกริ้ว และตรัสขึ้นว่า “เจ้าไม่เชื่อว่าข้าไม่กล้าสั่งคนมาตัดมือเจ้าจริงงั้นรึ?”อวี่เหวินห่าวลืมตาขึ้น และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่เชื่อ”ไท่ซ่างหวงออกคำสั่งอย่างจริงจัง “ทหาร เอามือทั้งคู่ของอ๋องฉู่มาให้ข้า!”ทหารที่ได้ยินก็ชักดาบเงาแวววาวขึ้น และฟันลงไปที่มือของอวี่เหวินห่าวอย่างรวดเร็ว เร็วซะจนเกือบคล้ายสายฟ้าฟาดลงมาอวี่เหวินห่าวไม่แม้แต่กระพริบตาด้วย หนำซ้ำรอดาบนั้นฟันลงมาอีกต่างหากเสียงดัง "กรึก" ดาบยาวฟันลงบนพื้นหินอ่อนจนขึ้นสะเก็ดไฟ และเศษชิ้นส่วนปลิวว่อนรวมกัน“เจ้าเป็นสุนัขตาบอดรึ...” ไท่ซ่างหวงกริ้วมาก และขยี้ตาอย่างแรง เศษหินนั้นปลิวมาเข้าตาเขา แสบจนน้ำตาไหลไปหมดทหารทิ้งดาบลงคุกเข่ารอรับโทษฉางกงกงเข้าไปเป่าเศษผงนั้นออกจากตา ไท่ซ่างหวงกริ้วซะจนตะโกนสั่งออกไป “ไปเรียกตัวฮ่องเต้มานี่!”เมื่ออวี่เหวินห่าวได้ยินเช่นนี้ ก็ปล่อยมือจากไท่ซ่างหวงทันที และตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจ รีบกระโดดปีนขึ้นไปบนคานของพระตำหนักแล้วนอนอยู่ตรงนั้นเมื่อจักรพรรดิหมิงหยวนเสด็จมาถึง อวี
เมื่อเห็นว่าเขายังยืนนิ่งอยู่ จักรพรรดิหมิงหยวนก็อดโกรธอีกครั้งไม่ได้ "ยังยืนบื้ออยู่ตรงนั้นทำไม ไสหัวไป!"อวี่เหวินห่าวเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิหมิงหยวน "ลูกอยากขออภัยโทษกับเสด็จปู่ก่อนพ่ะย่ะค่ะ"จักรพรรดิหมิงหยวนรู้ว่าเจ้าลูกบ้านี้ปีนเสาคานพระตำหนัก จึงอดสะบัดแขนเสื้อด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ คิดจะเดินออกไปแบบนี้ก็ดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป จึงกล่าวทูลลากับไท่ซ่างหวงและเดินจากไปอย่างเย็นชา“ลูกน้อมส่งเสด็จพ่อ!” อวี่เหวินห่าวกล่าวด้วยความเคารพจักรพรรดิหมิงหยวนเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอวี่เหวินห่าวที่ไม่เห็นแผ่นหลังนั้นแล้วก็คุกเข่าลงกับพื้น และพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “เสด็จปู่ ถ้าพระองค์ไม่ช่วยเหล่าหยวน แล้วใครจะช่วยเหล่าหยวนกันเล่า?”ไท่ซ่างหวงที่มีท่าทางสงบลงมาบ้างแล้ว จึงนั่งลงแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจะสั่งการตามลงไป”“พ่ะย่ะค่ะ!” แววตาอวี่เหวินห่าวเผยแสงเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก “เช่นนั้นหลานขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”ไท่ซ่างหวงตรัสว่า “ไปเถอะ”อวี่เหวินห่าวออกจากวังแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกถังหยางรออยู่ข้างนอกวัง วันนี้หลังจากนางข้าหลวงสี่กลับไปแล้ว เ
เดิมทีจิ้งโฮ่วเองก็จิตใจว้าวุ่นพออยู่แล้ว เมื่อได้ยินนางบ่นไม่หยุดก็โกรธจนตบโต๊ะขึ้นมา และตวาดเสียงดังว่า “ไม่มีหน้าแล้วจะทำไม? รักษาหัวไว้ได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”นางหวงที่เปรียบสามีดั่งท้องฟ้า ตอนนี้เห็นเขาโกรธแบบนี้ก็รีบสงบปากสงบคำ และพยายามอดกลั้นความไม่พอใจของตนเองเอาไว้จิ้งโฮ่วยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งรำคาญใจ จึงพูดอย่างเย็นชาออกมาว่า “ข้าจะไปที่นั่น”นางหวงที่ได้ยินก็เงยหน้าขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “จะไปอีกแล้ว? เมื่อคืนก็ไปที่นั่นมาแล้ว นี่ยังจะไปอีก?”“ข้าไม่อยากเห็นหน้าเหี่ยว ๆ ของเจ้า!” จิ้งโฮ่วเอามือไพล่หลังแล้วเดินออกไป พร้อมกับพูดออกมาอย่างเย็นชานางหวงรู้สึกว่าจิ้งโฮ่วพาลโกรธนางเพราะหยวนชิงหลิง จึงอดโกรธลูกสาวขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ยิ่งโกรธ ดังนั้นจึงพาแม่บ้านไปที่นั่นหยวนชิงหลิงที่ได้ข่าวจากทางนางข้าหลวงสี่ที่กลับมารายงาน ได้ยินว่าอวี่เหวินห่าวพักค้างคืนที่พระตำหนักเฉียนคุน นางก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกหมานเอ๋อร์ทำซุปก๋วยเตี๋ยว และเมื่อนางกำลังจะกินนั้นก็ได้ยินว่านางหวงมาที่นี่หยวนชิงหลิงไม่ชอบแม่ของเจ้าของร่างเดิมจริง ๆนางหวงเป็
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม