จิ้งโฮ่วดูออกว่านางคิดอย่างไรจึงถอนหายใจออกมา “อาสะใภ้รอง สมองท่านกลับไปแล้วหรือ? ในเมืองหลวงหายาก ท่านก็ไปหาที่ยากจนทุรกันดานเสียสิ? ขายลูกชายลูกสาวเยอะแยะ ให้สักสิบตำลึง อย่าว่าแต่ลูกชายเลย ลูกสะใภ้ก็ให้ท่านได้”ฮูหยินรองเฒ่าได้สติกลับมา “ใช่แล้ว ๆ ได้เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง”ช่วงนี้ฮูหยินเฒ่าเริ่มกลับเข้ามาดูแลจัดการเรื่องในจวนแล้ว นางเองก็กังวลว่าอาจจะมีสถานการณ์พลิกกลับไปอีก ตอนนี้นางจัดการเรื่องนี้ เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตคนในจวน นางจึงเป็นคนสำคัญที่สุดทางด้านหยวนชิงหลิงหลังจากจิ้งโฮ่วไปแล้ว หยวนชิงผิงถามอย่างตื่นตระหนก “พี่ใหญ่ นั้นเรื่องจริงหรือ?” หยวนชิงหลิงยิ้มและยกนิ้วจุ๊ปาก “แค่ขู่เขาให้ตกใจน่ะ” หยวนชิงผิงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไมถึงต้องขู่เขาล่ะ?”หยวนชิงหลิงยิ้มและตอบกลับว่า “แบบนี้ เขาก็ไม่มีเวลามาก่อกวนข้าแล้ว” เขาต้องต่อสู้เพื่อชีวิตของผู้คนจำนวนมากในจวนนางจูงหยวนชิงผิงและเอ่ยว่า “พวกเราไปหาท่านย่า ไปคารวะท่านย่ากันเถอะ”หยวนชิงผิงเองก็ยังอยากถามต่ออย่างละเอียด แต่ไปพบท่านย่าและค่อยคุยก็ยังไม่สาย อย่างไรเสียพี่ใหญ่ต้องอธิ
หยวนชิงหลิงรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูกอาจกล่าวได้ว่าในสายตาของทุกคน นางตกระกำลำบากกลับมา ลูกสาวที่แต่งงานแล้วถูกครอบครัวของสามีรังเกียจ จนกลับบ้านแม่มาแบบนี้จะเหลืออะไรน่าดูอีกแต่ไม่คาดคิดเลยว่าฮูหยินเฒ่าจะปกป้องนางเช่นนี้ต้องตกต่ำจึงจะได้เห็นจิตใจคนนี่เป็นความจริงฮูหยินเฒ่าเห็นแค่ขอบตานางเปียกชื้น ยังคิดว่านางเจ็บปวดเศร้าใจ จึงปลอบโยนนางอีกหยวนชิงผิงเองก็กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านเองก็ฟังท่านย่าอยู่ที่จวนดูแลครรภ์ให้ดี เรื่องอื่นไม่ต้องไปสน ใครมาก่อกวนท่าน ข้าจะจัดการมันเอง”หยวนชิงหลิงยิ้มทั้งน้ำตา “ได้ ขอบคุณพวกเจ้านะ”อย่างไรก็ตาม ฮูหยินเฒ่าและหยวนชิงผิงปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยน แต่คนอื่น ๆ กลับปฏิบัติกับนางไม่ดีเลยสักนิดแน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าทำให้นางอับอายโดยตรง แต่ในครึ่งวัน ทุกคนในจวนต่างพูดว่านางถูกท่านอ๋องทอดทิ้ง และพวกเขาจะหย่ากับนางหลังจากให้กำเนิดลูกลูกสะใภ้ของฮูหยินรองหลวนซรื่อ เห็นหยวนชิงหลิงเดินผ่านทางเดินระเบียงในตอนเที่ยง และด่าออกมาอย่างเย็นชาว่า "ภรรยาที่ถูกทิ้ง!"เมื่ออาซื่อได้ยิน จึงพุ่งไปข้างหน้า และนางได้เอ่ยถามอย่างดุร้ายว่า "สงบปากเจ้าบ้าง"เดิม
อาซื่อพูดอย่างไม่สนอะไร “ชาติตระกูลอะไรไม่สำคัญหรอก ถ้าเขาเป็นคนซื่อตรงและใจดี เขารู้วรยุทธ์ และเข้าใจการก้าวไปหน้า เขาย่อมจะชนะการแข่งขันเสมอ ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่มีอะไรสำเร็จเลยก็ตาม”หยวนชิงหลิงประทับใจยิ่งนัก "ข้าประหลาดใจจริงที่เจ้ามีความคิดเช่นนี้ อาซื่อ เจ้าพูดถูก สิ่งที่เจ้าว่ามานั้น ชาติตระกูลไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือนิสัยต่างหาก"ฐานะทางครอบครัวของอาซื่อก็ดี หากแต่งงานกับชายยากจนจริง ก็ไม่จำต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือนิสัยที่ดีของคนอาซื่อยิ้มและหันไปหาหมานเอ๋อร์ "แล้วเจ้าล่ะ? สิ่งที่เจ้าอยากจะได้จากว่าที่สามีในอนาคต?"หมานเอ๋อร์ตกใจ "นี่ บ่าวไม่กล้าคิดหรอกเจ้าค่ะ"ตอนนี้นางเป็นแค่คนเร่ร่อนในเมืองหลวง จะไปกล้าคิดแบบนี้ได้อย่างไร? กินอิ่มนอนหลับมีชีวิตอยู่ดีก็นับว่าดีมากแล้ว“ทำไมไม่กล้าคิดกัน? ผู้หญิงทุกคนล้วนมีความฝันเกี่ยวกับอนาคต โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญชั่วชีวิตอย่างการแต่งงาน ตอนเจ้ายังเด็กเจ้าไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลยหรือ?” อาซื่อถามหมานเอ๋อร์ยิ้มอย่างเขินอาย "ตอนเด็ก ข้าเคยคิดเรื่องนี้ ข้าแค่อยากแต่งงานกับใครสักคนที่ซื่อสัตย์และดีกับข้า
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองนาง "เสียใจไหม?"พระชายาจี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเสียใจหรือไม่ ก้าวมาถึงจุดนี้แล้ว และข้าไม่มีทางคิดเสียใจหรือไม่เสียใจอีกแล้ว ใจของคนยากแท้หยั่งถึง ข้าพยายามที่สุด แต่เมื่อเจอคนใจร้ายจะทำอย่างไรได้? ตั้งแต่แรกข้าก็รู้แล้วว่าทุกอย่างที่ข้าให้ไป อาจไม่ได้อะไรกลับคืนมา"“เพราะเจ้ารักเขาจริงงั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามพระชายาจี้ที่ได้ยินเช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา "รัก? อาจจะใช่กระมั้ง?""ทำไมเจ้าถึงรักอ๋องจี้ล่ะ? เขามีดีอะไรตรงไหน?" หยวนชิงหลิงเอ่ยถามพระชายาจี้เอ่ยว่า "ข้ารักเขาไม่ใช่เพราะว่าเขามีดีอะไรตรงไหน แต่เพราะเขาเป็นสามีของข้า"หยวนชิงหลิงตกตะลึงจนอึ้งไป "แค่นั้นน่ะรึ?"แล้วจะเอาอะไรอีก?” พระชายาจี้มองนาง แปลกใจจริงๆ ที่ไม่เป็นการถามแบบเสียเปล่ารึ? ไม่รักสามีตัวเองแล้วใครจะรักกัน?“แล้วตอนนี้เจ้ายังรักเขาอยู่หรือเปล่า? ถึงอย่างไร เขาก็ยังเป็นสามีของเจ้าอยู่ดี” หยวนชิงหลิงถามนางตามตรรกะความคิดของตัวเองแววตาของพระชายาจี้เย็นชา "ข้าไม่คิดว่าคงเป็นเช่นนั้น"หยวนชิงหลิงถามว่า "ทำไมกัน?""เขาไม่จำเป็นต้องรักข้า แต่เ
นางข้าหลวงสี่ช่วยประคองนางนั่งลงและพูดปลอบ "พระชายาอย่ากังวลไปเลยนะเพคะ อาซื่อพูดจาเหลวไหลไร้สาระ ถูกขังไว้ในห้องมืดที่ไหนกัน? แม้ว่าชินอ๋องจะไม่ได้รับอนุญาตให้ค้างคืนในวัง แต่ก็มีเจ้าชายองค์อื่นในวัง เขาสามารถไปพักค้างคืนกับองค์ชายแปดได้สักคืนหนึ่ง หรืออาจจะไปอยู่กับไท่ซ่างหวงก็ได้นะเพคะ”จะให้หยวนชิงหลิงสงบใจได้อย่างไร? ในเมื่อเขาเคยได้รับความทุกข์ทรมานจากห้องมืดนั้นมาก่อน นี่ยังต้องทรมานอีกครั้งหรือ?นางอดโกรธต่อความโหดร้ายของตาเฒ่านั้นไม่ได้ ทำไมถึงได้ทำกับเจ้าห้าเช่นนี้? ใครอยากจะมายุ่งยากเป็นรัชทายาทกัน?อาซื่อก็ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลอีก และมองไปทางนางข้าหลวงสี่เพื่อขอความช่วยเหลือนางข้าหลวงสี่ถอนหายใจ “เช่นนั้น ข้าจะไปรอที่ซอยจวนของตระกูลฉู่ให้เร็วหน่อย ดูว่าท่านมหาเสนาบดีจะกลับมาเมื่อไหร่”“ลำบากโมโม่แล้ว” หยวนชิงหลิงพูดด้วยความซาบซึ้งใจ“พระชายา อย่าพูดเกรงใจเช่นนี้กับข้าเลย ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ท่านควรพักผ่อนให้เพียงพอจะได้ไม่กระทบถึงครรภ์นะเพคะ” โมโม่พูดปลอบใจนางหยวนชิงหลิงพยักหน้ารัว ตัวเองกลับบ้านแม่มา แม้ว่านางจะแสร้งทำเหมือนสงบนิ่ง แต่ในใจนางร้อนร้นยิ่งน
น้ำแกงขิงที่ยกเข้ามา มหาเสนาบดีฉู่บังคับให้นางข้าหลวงสี่ดื่มลงไปก่อนเมื่อน้ำแกงขิงร้อน ๆ ตกถึงท้อง โมโม่ก็รู้สึกร้อนไปทั้งร่าง และหน้าผากก็เหงื่อซึมออกมาเล็กน้อยเหลืออีกสองคำและดื่มไม่ลงแล้ว มหาเสนาบดีฉู่จึงรับมันและดื่มลงไปให้หมด “อย่าสิ้นเปลือง”นางข้าหลวงสี่มองมือผอมแห้งแต่ยังแข็งแรงของเขาวางถ้วยนั้นลงก็รีบถามทันที “พระชายาขอให้ข้ามาถาม ตอนนี้อ๋องฉู่อยู่ที่ไหน? ฝ่าบาทได้สั่งให้นำไปขังในห้องมืดรึเปล่า”มหาเสนาบดีฉู่กอดอก และเอามือสอดเข้าไปในแขนเสื้อตัวเองด้วยความเคยชิน และกล่าวว่า “บอกให้พระชายาวางใจเถอะ ฝ่าบาทไม่ได้สั่งลงโทษอะไร แค่ไล่เขาออกจากวังเท่านั้น”“แต่ว่า” นางข้าหลวงสี่กระวนกระวายใจเหลือเกิน “เขาไม่ได้กลับจวนอ๋อง”มหาเสนาบดีฉู่วางมือเขาลงบนมือนาง “เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม อดทนรอดูเหตุการณ์ไปก่อน เขาไม่ได้กลับจวน แต่ไปพระตำหนักเฉียนคุน ทำตัวขี้เกียจสังกะตายไม่ต่างจากตัวทากเลยสักนิด”“ตัวทาก?” นางข้าหลวงสี่ตกใจในแววตาของมหาเสนาบดีฉู่เจือไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าไปที่พระตำหนักเฉียนคุน เขาก็อยู่ที่นั้น”นางข้าหลวงสี่เอ่ยอย่างหมดหนทาง “เช่นนั้นทำไมถึงไม่กลับจวนเล่า? พระชาย
“ไม่ได้เรื่อง!”อวี่เหวินห่าวหดคอหาท่าที่สบายกว่าเดิม แล้วกอดน่องไท่ซ่างหวงเอาไม่ไว้ไปไหนไท่ซ่างหวงทรงกริ้ว และตรัสขึ้นว่า “เจ้าไม่เชื่อว่าข้าไม่กล้าสั่งคนมาตัดมือเจ้าจริงงั้นรึ?”อวี่เหวินห่าวลืมตาขึ้น และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ไม่เชื่อ”ไท่ซ่างหวงออกคำสั่งอย่างจริงจัง “ทหาร เอามือทั้งคู่ของอ๋องฉู่มาให้ข้า!”ทหารที่ได้ยินก็ชักดาบเงาแวววาวขึ้น และฟันลงไปที่มือของอวี่เหวินห่าวอย่างรวดเร็ว เร็วซะจนเกือบคล้ายสายฟ้าฟาดลงมาอวี่เหวินห่าวไม่แม้แต่กระพริบตาด้วย หนำซ้ำรอดาบนั้นฟันลงมาอีกต่างหากเสียงดัง "กรึก" ดาบยาวฟันลงบนพื้นหินอ่อนจนขึ้นสะเก็ดไฟ และเศษชิ้นส่วนปลิวว่อนรวมกัน“เจ้าเป็นสุนัขตาบอดรึ...” ไท่ซ่างหวงกริ้วมาก และขยี้ตาอย่างแรง เศษหินนั้นปลิวมาเข้าตาเขา แสบจนน้ำตาไหลไปหมดทหารทิ้งดาบลงคุกเข่ารอรับโทษฉางกงกงเข้าไปเป่าเศษผงนั้นออกจากตา ไท่ซ่างหวงกริ้วซะจนตะโกนสั่งออกไป “ไปเรียกตัวฮ่องเต้มานี่!”เมื่ออวี่เหวินห่าวได้ยินเช่นนี้ ก็ปล่อยมือจากไท่ซ่างหวงทันที และตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจ รีบกระโดดปีนขึ้นไปบนคานของพระตำหนักแล้วนอนอยู่ตรงนั้นเมื่อจักรพรรดิหมิงหยวนเสด็จมาถึง อวี
เมื่อเห็นว่าเขายังยืนนิ่งอยู่ จักรพรรดิหมิงหยวนก็อดโกรธอีกครั้งไม่ได้ "ยังยืนบื้ออยู่ตรงนั้นทำไม ไสหัวไป!"อวี่เหวินห่าวเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดิหมิงหยวน "ลูกอยากขออภัยโทษกับเสด็จปู่ก่อนพ่ะย่ะค่ะ"จักรพรรดิหมิงหยวนรู้ว่าเจ้าลูกบ้านี้ปีนเสาคานพระตำหนัก จึงอดสะบัดแขนเสื้อด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ คิดจะเดินออกไปแบบนี้ก็ดูเป็นการเสียมารยาทจนเกินไป จึงกล่าวทูลลากับไท่ซ่างหวงและเดินจากไปอย่างเย็นชา“ลูกน้อมส่งเสด็จพ่อ!” อวี่เหวินห่าวกล่าวด้วยความเคารพจักรพรรดิหมิงหยวนเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอวี่เหวินห่าวที่ไม่เห็นแผ่นหลังนั้นแล้วก็คุกเข่าลงกับพื้น และพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “เสด็จปู่ ถ้าพระองค์ไม่ช่วยเหล่าหยวน แล้วใครจะช่วยเหล่าหยวนกันเล่า?”ไท่ซ่างหวงที่มีท่าทางสงบลงมาบ้างแล้ว จึงนั่งลงแล้วพูดอย่างเรียบเฉยว่า “เจ้ากลับไปก่อน เดี๋ยวข้าจะสั่งการตามลงไป”“พ่ะย่ะค่ะ!” แววตาอวี่เหวินห่าวเผยแสงเจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอก “เช่นนั้นหลานขอทูลลาพ่ะย่ะค่ะ!”ไท่ซ่างหวงตรัสว่า “ไปเถอะ”อวี่เหวินห่าวออกจากวังแล้วถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกถังหยางรออยู่ข้างนอกวัง วันนี้หลังจากนางข้าหลวงสี่กลับไปแล้ว เ