จักรพรรดิหมิงหยวน กับอ๋องรุ่ยชิงที่ตั้งใจดู ตรงใจกลางของยาที่มีสีแดงอยู่ตรงกลาง ต่างจากยาอีกตัวที่มีสีเหลืองอ่อนสีดำ“พระโอสถสองเม็ดไม่เหมือนกัน? ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้?” อ๋องรุ่ยชิงถามหมอหลวงเกี่ยวกับเรื่องนี้หมอหลวงเองก็ตกใจ “นี่เป็นไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ พระโอสถนี้กลั่นมาในเตาเดียวกัน ทำไมถึงสีไม่เหมือนกันได้?”“เช่นนั้น เชิญหมอหลวงตรวจสอบหน่อย ว่าในพระโอสถพวกนี้มีพิษไหม?” หยวน ชิงหลิงกล่าวหมอหลวงยื่นมือชี้ไปที่ใจกลางสีแดงของยาเม็ดนั้น “เดิมทีไม่ได้มีสีนี้ ทำไมใจกลางถึงเป็นสีแดงไปได้?” เขาหักครึ่งยา นำยาชิ้นเล็กนั้นใส่ถ้วยและใส่น้ำ จุ่มเข็มเงินลงไป เข็มเงินเปลี่ยนเป็นสีดำพบว่าเป็นพิษร้ายแรง“ฝ่าบาท!” หมอหลวงคุกเข่ากระแทกพื้นเสียงดัง “สีนี้มันเป็นไปไม่ได้พะยะคะ มีคนสับเปลี่ยนยา สำนักหมอหลวงถวายพระโอสถทุกเม็ดล้วนไม่มีพิษ และได้ทดสอบพิษแล้วทั้งสิ้น”จักรพรรดิหมิงหยวนมองด้วยสายตาเย็นชา “ทหาร สั่งคนไปปิดล้อมสำนักหมอหลวง ตรวจค้นทุกซอกทุกมุม”ทหารองครักษ์รับคำสั่งและออกไปอ๋องรุ่ยชิงมอง หยวน ชิงหลิง “ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าพระโอสถไม่เหมือนกัน?”หยวน ชิงหลิงพูดอธิบาย “พระโอสถหายไปเม
อีกคนชื่อว่าสี่เหมย เป็นนางกำนัลรับใช้ซักล้างอีกคนที่ตำหนักของไท่ซ่างหวงและยังมีอีกหนึ่งคน รับหน้าที่ดูแลทำความสะอาดตำหนัก ชื่อเสี่ยวหลัวจื่อ ตำหนักใหญ่นี้นางเป็นคนที่ทำความสะอาดทั้งหมด ไท่ซ่างหวงไม่ชอบคนแออัด และอยู่บรรทมติดเตียงอยู่ตลอด ดังนั้น เมื่อเสี่ยวหลัวจื่อทำความสะอาดทั้งหมดก็ใช้เวลาหมดไปแล้วครึ่งวันขันทีฉางพาเสี่ยวชวนจื่อกับสี่เหมย แต่เสี่ยวหลัวจื่อกลับไม่พบแม้แต่เงา เสี่ยวชวนจื่อ กับสี่เหมย ไม่รู้เรื่องอะไรในพระตำหนักนี้ เวลาตอบคำถามจึงตอบได้อย่างลื่นไหล และทั้งคู่ไม่รู้ว่ายาเก็บไว้ที่ไหนหยวน ชิงหลิงกล่าว “เช่นนั้น เสี่ยวหลัวจื่อคือกุญแจสำคัญ เขาเป็นคนทำความสะอาดห้องบรรทม ตอนเช็ดฝุ่นต้องมีการจับต้องกล่องยาแน่ เขารู้ที่วางกล่องยาก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ต้องรีบหาตัวเขาให้พบนะเพคะ”จักรพรรดิออกคำสั่ง ให้ค้นหาทุกซอกทุกมุมของวังหลวง ตามหาตัวเสี่ยวหลัวจื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามก็พบตัวเสี่ยวหลัวจื่อแล้วแต่ทว่าพบเป็นศพร่างเย็นชืดที่ถูกทิ้งในบ่อน้ำร้างที่ตำหนักเย็นทหารองครักษ์พบศพที่ตำหนักเย็น เพราะคำสั่งของจักรพรรดิหมิงหยวน ให้ตรวจค้นทั่วทั้งวังหลวงและสืบสวนเสี่ยวชวนจื่อ ทหารเ
นางเดินย่องไปข้างหน้า ยืนตรงเตียงของไท่ซ่างหวงแค่สองวันคน ๆ นี้ผอมลง สีหน้าเหลืองซีด ริมฝีปากม่วงคล้ำ รูปคิ้วรกแต่ดูดุดันนั้น เป็นเอกลักษณ์ที่น่าเกรงขามของพระองค์ เขาเคยเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ถังเหนือผู้ทรงอำนาจที่สุดตอนนี้ เขาไม่สามารควบคุมความเป็นความตายของตนเองได้แม้แต่น้อยหยวน ชิงหลิงวางมือลงบนอกรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจเบา ๆ ลมหายใจก็ดูยุ่งเหยิง“เป็นอย่างไรบ้าง” อ๋องรุ่ยชิง คิดว่านางกำลังฟังเสียงชีพจรอยู่เลยเอ่ยถามหยวน ชิงหลิงส่ายหน้า “ยังไม่ทราบแน่ชัดเพคะ”ในแววตาของอ๋องรุ่ยชิง ปรากฏความรู้สึกผิดหวังจักรพรรดิหมิงหยวนยังรู้สึกเช่นเดิม มองทางหมอหลวงที่ทดสอบยาอยู่ด้านข้างหมอหลวงถอนหายใจอย่างโล่งอกและเดินเข้ามารายงานผล “ฝ่าบาท เป็นพิษชาดแดงผสมกับพิษดอกวิสทีเรียพะยะคะ”“พอถอนพิษได้ไหม?” อ๋องรุ่งชิงเอ่ยถาม“ไม่ยากพะยะคะ รู้แล้วว่าเป็นพิษอะไร ก็สามารถจัดพระโอสถถอนพิษให้ได้ พระโอสถรอบก่อนไม่สามารถอนพิษชาดผสมวิสทีเรียได้ เปลี่ยนใบสั่งยาก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงกล่าวหมอหลวงสามารถถอนพิษได้ หยวน ชิงหลิงก็ไม่มีเรื่องอะไรที่นี้แล้ว จักรพรรดิหมิงหยวนเลยให้นางกลับไปดูแล อว
หยวน ชิงหลิงเหนื่อยจะแย่แล้ว “ขยับไปข้างในหน่อย ให้ข้าเอนหลังนอนบ้าง”“ข้าขยับได้ที่ไหนกันล่ะ” อวี่ เหวินห่าวตอบกลับแบบอารมณ์ไม่ดี แต่พอได้เห็นสีหน้าเหนื่อยล้าของนางก็ค่อย ๆ เขยิบเข้าไปให้มีที่ว่างให้นางหยวน ชิงหลิงนอนข้าง ๆ เขา สองมือก่ายหน้าผาก พูดเสียงอู้อี้ “หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี ให้ข้าผ่านมันไปได้อย่างราบรื่นด้วย” “ถ้าไท่ซ่างหวงไม่เป็นอะไรแล้ว เจ้าก็ออกจากวังกลับจวนเถอะ” อวี่ เหวินห่าวบอกคนที่นอนอยู่ข้างๆ“กินข้าวเสร็จก่อนค่อยกลับ” หยวน ชิงหลิงพูดกับอวี่ เหวินห่าวเขาพูดอย่างเคือง ๆ “ที่จวนไม่มีข้าวให้เจ้ากินรึไง ข้าวในวังมีอะไรอร่อย?”“ฝ่าบาทให้ข้าร่วมโต๊ะเสวยกับพระองค์มื้อเย็น” หยวน ชิงหลิงตอบเขา อวี่ เหวินห่าวตกตะลึง “เสด็จพ่อให้เจ้าร่วมโต๊ะเสวยด้วย หรือว่าให้เจ้ากินเสร็จก่อนค่อยไป?”เสด็จพ่อชอบกินข้าวคนเดียว แล้วค่อยไปหาฮองเฮาที่วังหลัง ทุกครั้งล้วนแต่กินข้าวเรียบร้อยก่อนค่อยไปทั้งนั้นพอเขาโตขึ้น นอกจากงานเลี้ยงในวัง เขาก็ไม่เคยได้ร่วมโต๊ะเสวยกับเสด็จพ่ออีกเลยหยวน ชิงหลิงยังพูดด้วยเสียงอู้อี้ “ไม่รู้สิ ฝ่าบาทพูดแบบนั้น อาจจะเกรงใจเท่านั้นแหละ”อวี่ เ
พระตำหนักจงเซินที่ประทับของฮองเฮาอ๋องฉีและ ฉู่ หมิงชุ่ยเข้าวัง ไปถวายพระพรฮองเฮาก่อนฉู่ หมิงชุ่ยเข้ามาในตำหนัก พบว่าสีหน้าของฮองเฮาไม่ค่อยสู้ดี นางจึงนั่งลงด้วยความรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ฉู่ หมิงชุ่ยมาเข้าเฝ้าฮองเฮามักจะนอบน้อมเสมอ เมื่อทักทายกันเล็กน้อย ฮองเฮาก็ยังดูมีสีหน้าอึดอัดไม่มีความสุขฉู่ หมิงชุ่ยรู้ว่าฮองเฮามีเรื่องในใจ จึงยิ้มให้อ๋องฉี “ท่านอ๋อง ไม่ใช่ว่าท่านแต่งบทกลอนใหม่เสร็จว่าจะให้ท่านอ๋องลู่ฟังไม่ใช่หรือ? รีบไปเถอะ”อ๋องฉีไม่ชอบแต่งกลอน แต่อ๋องลู่ชอบ อ๋องฉีและอ๋องลู่ล้วนเกิดจากฮองเฮา เป็นพี่น้องร่วมอุทร เพื่อน้องชายที่รักของเขาผู้อาภัพ เพื่อให้เขามีความสุขจะได้หายไว ๆ จึงเริ่มเรียนการเขียนโคลงกลอนเหล่านี้ ตอนนี้เขามีกลอนใหม่ จึงอยากรีบเอาไปอวดให้อ๋องลู่ดู เมื่อได้ยินฉู่ หมิงชุ่ยพูดแบบนั้น เขาจึงยิ้มและเดินออกไปอ๋องฉีเดินออกไป ฉู่ หมิงชุ่ยให้คนรับใช้ในตำหนักออกไปให้หมดและนั่งลงข้าง ๆ ฮองเฮาและถามว่า “ท่านป้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นเพคะ?”ฮองเฮาเห็นว่าลูกออกไปแล้วจึงพูดออกมาอย่างขมขื่น “ข้ากับฝ่าบาท เป็นสามีภรรยากันมายี่สิบปี หลังจากวันอภิเษกสมรส ยังไม่เคยร่วมโต๊ะอ
เมนูแรกเป็นซุปตุ๋น ถ้วยตุ๋นขนาดเล็กที่สวยงามสองใบถูกยกมา และวางไว้ข้างหน้าจักรพรรดิหมิงหยวน และ หยวน ชิงหลิง ฝาถ้วยตุ๋นถูกนำออกไป กลิ่นหอมก็ลอยออกมาเตะเข้าไปในจมูกของ หยวน ชิงหลิง มือของเธอขยับ อยากจะกินทันที เพียงแต่เธอคิดว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้น ก่อนที่ฮ่องเต้จะเสวยอาหาร เขาจะต้องทดสอบพิษ แล้วก็ล้างมือหรือเปล่า? หญิงในวังเทซุปลงในถ้วยใบเล็กให้เธอ แล้วใส่ช้อนเงิน จักรพรรดิหมิงหยวนก็มีขันทีมู่หรูคอยรับใช้อยู่ข้าง ๆ หยวน ชิงหลิงไม่กล้าขยับ จนกระทั่งจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบช้อนเงินขึ้นมา และเริ่มกินซุป เธอจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเอื้อมมือไปหยิบช้อน เธอหิวมากจริง ๆ อาหารแสนอร่อยอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกตื่นเต้นก็ค่อย ๆ คลายลงอย่างเป็นธรรมชาติ โดยคิดว่าสักพักไม่ว่าเขาจะถามอะไร เธอเองก็ได้มีคำตอบแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัว ซุปกำลังจะเข้าปากยังไม่ได้ทันได้กิน เธอก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากข้างนอก เธอวางช้อนลงแล้วมองออกไปข้างนอก ดวงตาของขันทีมู่หรูตกตะลึงเล็กน้อย เดินออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ครู่หนึ่ง สีหน้าของขันทีมู่หรูก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเข้ามาและพูดว่า “ฝ่าบาท ฮองเฮาประชวร พระองค์หายใ
ระหว่างเสวยอาหารไม่มีคำพูดใด ๆ จนกระทั่งเมนูสุดท้าย หยวน ชิงหลิงนับ ๆ ดู ซุปตุ๋นประมาณสิบถ้วย ตอนแรกคิดว่าฮ่องเต้เป็นคนประหยัด แต่คาดไม่ถึงว่าจะฟุ่มเฟือยเช่นนี้ กินสองคนมีอาหาร 9 จาน และซุป 1 อย่าง ข้าวก็เสิร์ฟตามที่ต้องการ สุดยอดจริง ๆ ขันทีมู่หรูยื่นผ้าร้อนให้ฮ่องเต้เช็ดที่มุมพระโอษฐ์ อาหารที่เหลือถูกยกออกไป หยวน ชิงหลิงคิดว่าฮ่องเต้น่าจะไม่ถามแล้ว ฮองเฮาประชวร และเขาจะไปดูฮองเฮา เธอยืนขึ้นกล่าวว่า “ลูกไม่กล้าทำให้เสด็จพ่อเสียเวลาในการไปเยี่ยมฮองเฮาเพคะ ลูกขอตัวเพคะ” “นั่งลง!” จักรพรรดิหมิงหยวนกดมือลง กวาดใบหน้าของนางด้วยดวงตาที่จริงจัง แล้วยกมือขึ้นให้ขันทีมู่หรู และคนรับใช้ที่อยู่ในห้องโถงออกไป จักรพรรดิหมิงหยวนและ หยวน ชิงหลิงนั่งตรงข้ามกัน ระยะห่างระหว่างพวกเขาห่างกันเพียงช่วงแขนเดียว หลังจากที่ผู้คนในห้องโถงออกไป การกดขี่ก็ถาโถมเข้ามา อย่างไรก็ตาม หลังอาหารมื้อนี้ เธอก็ผ่อนคลายลงมากเช่นกัน “เจ้ากับเจ้าห้าอยู่ด้วยกันยังสบายดีอยู่นะ?” หยวน ชิงหลิงจัด ๆ สีหน้า ในที่สุดก็เข้าประเด็นหลัก ๆ เลย คำถามนี้ แม้ว่าจะเกินความคาดหมายของเธอ แต่ก็ไม่ยากที่จะตอบ แต่ก็ไม่มีอะ
ในวังจงเซิน ฉู่ หมิงชุ่ยรอเพียงหมอหลวงมาเท่านั้น หมอหลวงตรวจชีพจรของฮองเฮา พูดแค่ว่าฮองเฮามีปัญหาที่ตับ แต่ปัญหาไม่ร้ายแรง เขาจึงสั่งยาและก็กลับไป หลังจากที่หมอหลวงกลับไป ก็ได้ยินคนข้างนอกรายงาน “ฝ่าบาทเสด็จถึงแล้ว!” ฉู่ หมิงชุ่ยยืนขึ้น ตอนนี้ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ฝ่าบาทจึงเสด็จมา เกรงว่ามื้อนี้คงจะเสวยหมดแล้วใช่ไหม? จักรพรรดิหมิงหยวนก้าวเข้าไปในห้องโถง ฉู่ หมิงชุยก็รีบทำความเคารพ “ถวายบังคมเสด็จพ่อ!” จักรพรรดิหมิงหยวนเหลือบมองนาง และกล่าวว่า “พระชายาฉีอยู่ที่นี่ด้วย? มีความกตัญญูจริง ๆ” “ลูกควรทำสิ่งนี้อยู่แล้ว” ฉู่ หมิงชุ่ยยิ้มและพูดฮองเฮาฉู่พยุงตัวขึ้น แล้วพูดด้วยท่าทีคนป่วย “ฝ่าบาทเสด็จมาได้อย่างไร? หม่อมฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้วเพคะ” จักรพรรดิหมิงหยวนนั่งที่หน้าเตียง มองหน้าฮองเฮา “เจ้าไม่ใช่หรือที่สั่งให้คนไปเชิญข้ามา?” ฮองเฮาฉู่รู้สึกประหม่าเล็กน้อย และมองไปที่ ฉู่ หมิงชุ่ยฉู่ หมิงชุ่ยรีบกล่าวว่า “เสด็จพ่อ คือลูกเองที่สั่งให้คนไปเชิญพระองค์มา ลูกเห็นเสด็จแม่เป็นลมล้มลง ท่านอ๋องก็ไม่ได้อยู่ข้าง ๆ ...” จักรพรรดิหมิงหยวนกล่าวว่า “ปกติเจ้าจะมีความคิดอยู่เสมอ ทำไมวันนี้