เมื่อฟังอาซื่อพูดถึงเรื่องของหมานเอ๋อร์ หยวนชิงหลิงก็หันไปมองทางอวี่เหวินห่าวหลังจากอวี่เหวินห่าวทายาให้เสร็จแล้วก็จัดแขนเสื้อลง และพล่างเอ่ยถาม “เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?”หยวนชิงหลิงจึงตอบกลับเขาไป “หมานเอ๋อร์มีบุญคุณช่วยชีวิตข้าไว้”“เจ้าอยากให้นางอยู่นี่ก็ตามสบายเถอะ” อวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างยิ้ม ๆหยวนชิงหลิงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางยกแขนกอดคอเขาไว้ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ดีมากเลย"อวี่เหวินห่าวบีบแก้มนางเล่น “เพื่อรอยยิ้มของเจ้า ต่อให้ต้องตายข้าก็ยอม”อาซือทำตัวไม่ถูก นางเอ่ยขึ้นมาเบา ๆ"ทำไมท่านอ๋องเป็นคนกะล่อนได้ขนาดนี้?"อวี่เหวินห่าวกลอกตามอง อาซือขมวดคิ้วพยายามซ่อนรอยยิ้มที่คุมไม่ได้ "จะกะล่อนหรือไม่มันไม่เกี่ยวกับเจ้าสักหน่อย ยุ่งจริง พระชายาของข้าชอบฟังเป็นอันใช้ได้แล้ว"อาซื่อจึงเดินออกไปพร้อมทิ้งท้ายหยอกล้อเล็กน้อย "รู้สึกเลี่ยนขึ้นมาเล็กน้อยเลยเจ้าค่ะ"หยวนชิงหลิงอดขำขึ้นมาไม่ได้นางมองอวี่เหวินห่าว เห็นเขาใจลอยแบบนี้ จึงเอ่ยถามเรียกสติ "ถูกอาซื่อล้อท่านไม่พอใจหรือ?"อวี่เหวินห่าวเก็บกล่องยาให้นาง และพูดลอย ๆ ว่า "ไม่สักหน่อย ใช่แล้ว สองสามวันนี้ข้าจะอยู่ที่
สำหรับพระชายาจี้ มันเป็นเรื่องอยากที่ยอมรับทัศนคติแบบนี้ของนาง "เจ้าไม่รู้หรือ อีกนิดเดียวเจ้าเกือบตายด้วยน้ำมือของนางแล้วนะ? เจ้าไม่ควรถามเรื่องนี้อย่างละเอียดหรืออย่างไรกัน? ชีวิตเป็นของเจ้าเอง และเจ้าเองก็ควรรู้ตัว และควรระมัดระวังเอาไว้"หยวนชิงหลิงก้มหน้าก้มตาฉีดยาให้นาง พลางเอ่ยไปด้วย "ข้าเชื่อเจ้าห้า เขาเป็นคนตัดสินคดีนี้ เขาต้องรู้อยู่แก่ใจดี"“เชื่อใจผู้ชายน่ะหรือ?” พระชายาจี้พูดอย่างดูถูก “ตอนนี้เขากำลังดูแลเจ้าอย่างดี แล้ววันหลังเล่า? หากพวกเจ้าทั้งคู่ตกอยู่ในอันตรายขึ้นมาเล่า? เจ้ามั่นใจได้หรือว่าเขาจะออกหน้ามาช่วยเจ้า? อย่าไร้เดียงสาให้มันมากนักเลย บนโลกใบนี้สิ่งที่ไว้ใจไม่ได้ที่สุดก็คือผู้ชาย"อวี่เหวินห่าวที่กลับเข้ามาพอดี และได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบก้าวเข้ามา "พี่สะใภ้ใหญ่ คนทำเลวทำชั่วทั้งหมดบนโลกนี้ล้วนเป็นผู้ชายหรือ?"พระชายาจี้เองก็คาดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่ที่นี่ เมื่อก่อนนางเคยแสร้งทำเป็นคนดีต่อหน้าทุกคน นางจะไม่พูดจะคำทิ่มแทงเช่นนี้ นางอยู่กับหยวนชิงหลิงมาได้สักพัก ก็เริ่มพูดจาตรงไปตรงมาจากก้นบึ้งของหัวใจนางได้ เมื่อได้ฟังสิ่งที่อวี่เหวินห่าวพูด นางก็รู้สึกประหม่าไ
“ข้าไม่โทษเขาหรอก” อวี่เหวินห่าวพูดให้หยวนชิงหลิงสบายใจ“อื้อ!” หยวนชิงหลิงเขย่งตัวขึ้นหอมเขาเป็นรางวัล “เรื่องคืนตำแหน่งของท่าน ท่านยังต้องให้เขาช่วยพูดแทนท่านต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อ ดังนั้นถ้าจำเป็นแล้วล่ะก็ ต้องพูดจาดี ๆ ให้มากหน่อยนะ”อวี่เหวินห่าวคลี่ยิ้มออกมา "เจ้านี่น้า หัดไปเรียนรู้เรื่องประจบประแจงมาตั้งแต่เมื่อไหร่?"หยวนชิงหลิงถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ข้ารั้งกายท่านไว้ได้ แต่รั้งใจท่านไม่ได้ ท่านคิดถึงสำนักผู้ตรวจการ ข้ารู้ดี การพูดจาดี ๆ มันไม่ได้ทำให้ตัวเองดูแย่หรอก คนอื่นชอบฟังกันทั้งนั้น และยังทำให้พวกเขามีความสุขได้อีกด้วย”"เจ้าคือพยาธิตัวกลมในท้องของข้าจริงเชียว รู้ใจข้ายิ่งนัก" อวี่เหวินห่าวไม่สามารถปล่อยสำนักผู้ตรวจการไปได้จริง ๆ ไม่ใช่เพราะเขาทุ่มเทมาก แต่เพราะมีคนในสำนักผู้ตรวจการที่ต้องระวังต่างหากหยวนชิงหลิงยืนอยู่ที่ประตู และมองดูเขาเดินจากไป เสื้อคลุมสีขาวของเขาแทบจะกลืนเป็นสีเดียวกับหิมะไปแล้ว นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เกล็ดหิมะค่อยลอยล่องลงมาน่ามองมาก เพียงแต่เมื่อถูกแสงแดดสาดส่องลงมา มันกลับทำให้ใจคนมองนั้นพลันเศร้าหมองอย่างบอกไม่ถูกเตาถูกจุดขึ้นในห้องหนังส
มหาเสนาบดีฉู่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกมาอีก ราวกับว่าที่เขาพูดถึงเงื่อนงำนั้นก็เป็นอันใช้ได้แล้วเขาจิบชาพุทรา และเงยหน้าขึ้นพูดกับนางข้าหลวงสี่ว่า "ดื่มแต่ชารู้สึกท้องว่าง เจ้าทำอะไรกินหน่อยได้หรือไม่?"นางข้าหลวงสี่จึงกล่าวว่า “ได้สิ ท่านคุยกับท่านอ๋องไปก่อน ข้าจะไปทำของกินมาให้”มหาเสนาบดีฉู่เอ่ยว่า “ข้าคุยจบแล้ว”เขาหยิบแก้วและกาน้ำชาเดินออกไป “ไปทำของกินเถอะ”นางข้าหลวงสี่ถึงกับนิ่งไป นี่คุยกันจบแล้วหรือ?อวี่เหวินห่าวคิดว่าเขาจะถามเกี่ยวกับฉู่หมิงชุ่ยอีกสักหน่อย แต่เขาไม่คิดเลยว่าเขาจะหยุดพูดคุยเช่นนี้ ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจไปสักหน่อยนางข้าหลวงสี่และมหาเสนาบดีฉู่ออกไปด้วยกันมหาเสนาบดีฉู่ก็กระซิบบอกนางเบา ๆ "ดูท่าท่านอ๋องของเจ้าจะโชคร้ายเอาเสียแล้ว"นางข้าหลวงสี่ตกใจมาก "โชคร้าย? เกิดอะไรขึ้นทำไมถึงโชคร้ายได้? ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจเช่นนี้"มหาเสนาบดีฉู่เอ่ยว่า "ข้าไม่ได้แหย่ให้ตกใจ มันเป็นความจริง"“ท่านรีบพูดสิ โชคร้ายอะไร” นางข้าหลวงสี่หยุดประท้วงเขาแววตาของมหาเสนาบดีฉู่ดูล้ำลึกไร้ขอบเขต และเอ่ยขึ้นมา "ห่อเกี๊ยวเป็นหรือไม่?"“เป็นสิ!”“เช่นนั้นเจ้าทำเกี๊ยวก่อน ไว้ข้ากินเ
อ๋องฉีส่ายหน้า แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ข้าแค่อยากรู้ว่า ทำไมนางถึงอยากฆ่าข้า”“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ? เพราะท่านหย่ากับนางอย่างไรเล่า” หยวนหยงอี้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นมา อ๋องฉีหันไปมองทางหยวนหยงอี้ และรู้สึกหดหู่ใจขึ้นมายิ่งนัก “หย่าร้าง”“สำหรับนางก็คือการหย่า ทำเรื่องโหดเหี้ยมไร้หัวใจแบบนี้มันก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยท่านจะได้ลืมนางลง” หยวนหยงอี้เอ่ยให้นึกถึงสิ่งนี่นางได้ทำลงไปอ๋องฉีหลุบตาลง “ข้าลืมไปนานแล้ว”หยวนหยงอี้ไม่อยากซักไซ้เขาอีก ถ้าเขาปล่อยวางเรื่องพวกนี้ได้ง่าย ๆ ก็ไม่ใช่อ๋องฉีแล้วอ๋องฉีรู้ว่าหยวนหยงอี้ไม่เชื่อเขา เขาจึงเอ่ยต่อไป “ข้าแค่ไม่เข้าใจเท่านั้น ทำไมพวกเราต้องเกลียดกันถึงขนาดต้องให้ตายจากกันไปข้างหนึ่ง นี่มันโหดร้ายเกินไป สำหรับอย่างอื่นจะโหดร้ายอย่างไรก็ได้ แต่สำหรับความรู้สึกแล้ว ข้าว่ามันไม่ควรเป็นเช่นนี้”หยวนหยงอี้พูดปลอบใจว่า “ท่านก็คิดซะว่าท่านแค่ฝันร้าย มีใครบ้างตอนเป็นเด็กจะไม่เคยเจอคนเลวสักคนสองคนกัน?”อ๋องฉีคิดว่ามันก็จริง คิดซะว่าแค่ฝันร้ายไป แต่ฝันร้ายครานี้ช่างน่ากลัวเหลือเกินตอนที่เขาวิ่งหนีไฟไหม้ออกมา หลังจากฟื้นขึ้นมาได้สติแล
พระชายาซุนมองใบหน้าซีดขาวนั้นก็ยิ่งโกรธขึ้นไปอีก “เจ้าจะกลัวอะไร? เจ้าสู้กับผู้หญิงคนนั้นแค่ครั้งหนึ่งแล้วเป็นอย่างไร? เจ้าก็รู้สึกอยากฆ่าตัวตายเลยหรือ? ความกล้าหาญของเจ้าตั้งแต่แรกเล่า? ความอยากแต่งงานกับเจ้าสามแบบจะเป็นจะตายให้ได้ ตอนนี้มันแปรเปลี่ยนไปเป็นความอ่อนแอขนาดนี้ได้อย่างไร?”พระชายาซุนพูดเสร็จก็หันมาพูดกับหยวนชิงหลิง “เจ้ามาเกลี้ยกล่อมนางหน่อย ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป คงมีสักวันนางได้ฆ่าตัวตายขึ้นมาจริง ๆ เป็นแน่ มันไม่คุ้มกันเลยสักนิด”ที่จริงรอยแผลพวกนั้น หยวนชิงหลิงก็เห็นแล้วตอนที่นางตรวจดูสุขภาพแต่พอเห็นนางรีบปิดรอบแผลพวกนี้ เห็นว่านางไม่อยากให้ใครรู้ นางจึงไม่พูดอะไรอีกตอนนี้ถูกพระชายาซุนเห็นเข้าแล้ว และพระชายาซุนก็เริ่มพูดดุนาง นางจึงรีบกล่าวว่า “พี่สะใภ้รอง ท่านอย่าได้ตื่นตระหนกไป ข้าคิดว่าพี่สะใภ้สามเองไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายเพราะกู้จือหรอก”พระชายาซุนเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่เพราะเจ้าสาม ยังจะมีใครได้อีก?”หยวนชิงหลิงก้าวไปจูงมือพระชายาเว่ยนั่งลง พระชายาซุนที่เห็นเช่นนั้นจึงค่อย ๆ นั่งลงมาด้วยแววตาพระชายาเว่ยดูหม่นหมอง ริมฝีปากคว่ำลง ขอบตาคล้ำใบหน้าซีดขาวดูไร้ช
“ทำไมถึงเจ็บได้ล่ะ? ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ท่านหมอสั่งยาให้แล้วมิใช่หรือ?” พระชายาเว่ยเอ่ยถามพระชายาซุนนั่งเอียงข้าง หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกับว่าเจ็บมากจริง ๆ “ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเจ็บอีก หลังจากพระชายาฉู่ถูกลักพาตัวไป ข้าก็เริ่มเจ็บขึ้นมาอีก บางทีคงจะกังวลจนร้อนในขึ้นมา”หยวนชิงหลิงมองหน้าที่ยับย่นของนาง “เจ็บตรงไหนรึ?”พระชายาซุนหน้าแดงแล้วแดงอีก “ก็ที่ก้น”“เส้นประสาทกระดูกก้นรึ? นั่งลงแล้วเจ็บหรือไม่? ใช่ตรงนี้ไหม?” หยวนชิงหลิงยื่นมือไปกดเส้นประสาทแถวกระดูกก้นกบ “ตรงนี้เจ็บไหม?”พระชายาซุนพยักหน้า “ไม่ใช่ แต่บางครั้งก็เจ็บขึ้นมา บางทีก็เจ็บไปทั้งตัว เจ็บจนอกบวมเลยก็มี”หยวนชิงหลิงรู้สึกแปลกใจ “เจ็บจนไปถึงอกได้อย่างไร? ตรงไหนเจ็บบ้าง? ท่านบอกข้าที”พระชายาซุนรีบหันออกไปข้างนอก แล้วส่งสายตาให้พวกสาวใช้ออกไป หลังจากนั้นก็หน้าแดงก่ำ และกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “ก็เจ็บตรงนั้น””ตรงไหนกันเล่า?” หยวนชิงหลิงแปลกใจมาก พระชายาซุนยังหน้าแดงอยู่แบบนี้? พระอาทิตย์จะขึ้นทางตะวันตกหรือไรกันพระชายาซุนพูดอย่างกระมิดกระเมี้ยน “ก็ตรงนั้น...”ทันใดนั้นหยวนชิงหลิงก็เข้าใจขึ้นมาทันที และถามอย่างข
เห็นได้ชัดเลยว่าที่จริงพระชายาเว่ยเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกมาก รอบตัวนางไม่มีคนคอยประคับประคอง แถมชีวิตเจอเรื่องราวโถมกระหน่ำเข้ามาอีก แต่ยังมีใจคิดวิเคราะห์เรื่องของอ๋องเว่ยและกู้จืออย่างมีเหตุผลนี่เป็นคนจำพวกอ่อนนอกแต่แข็งในจริง ๆหลายคนคิดว่าหากมีจิตใจเข้มแข็งจะไม่ป่วยเป็นโรคทางอารมณ์ แต่ที่จริงไม่ใช่แบบนั้นเลย โรคซึมเศร้ามีหลายสาเหตุ ในกรณีของนางที่ป่วยเป็นโรคนี้อย่างกะทันหัน แต่หลังจากที่นางป่วย นางก็ไม่ปล่อยมันลุกลาม แต่พยายามต่อสู้กับมันแต่จะเป็นโรคซึมเศร้าหรือไม่นั้นก็ต้องตรวจเพิ่มเติมดังนั้นแล้วก่อนที่นางจะกลับไป นางจึงพูดกับพระชายาเว่ยว่า "พรุ่งนี้ที่จวนข้าจะจัดงานเลี้ยงชมหิมะ หวังว่าท่านจะมาเข้าร่วมนะ"พระชายาเว่ยมองไปทางพระชายาซุน พระชายาซุนก็รีบกล่าวทันทีว่า "ข้าไปแน่นอน"พระชายาเว่ยยิ้มและพูดว่า "ตกลง ข้าจะไปอย่างแน่นอน"หลังจากที่หยวนชิงหลิงกลับไปแล้ว ก็สั่งให้คนส่งจดหมายถึงพระชายาซุน บอกนางว่าพรุ่งนี้ไม่ต้องมา นางอยากคุยกับพระชายาเว่ยเป็นการส่วนตัวพระชายาซุนเป็นคนที่รู้ความ นางจึงเขียนตอบกลับไป และบอกว่านางรู้ว่าต้องทำอย่างไรอวี่เหวินห่าวไม่อยากให้หยวนชิงห
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม