อีกด้าน ทางด้านนางข้าหลวงสี่ได้ยินคนมารายงานว่ามหาเสนาบดีฉู่ได้มาถึงแล้ว จึงได้เตรียมน้ำชาด้วยตนเอง และยังสั่งให้หูหมิงบอกห้องครัวเตรียมอาหารอีกสองอย่างเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ตอนเขามาก็ไม่เคยกินข้าวที่นี่มหาเสนาบดีฉู่มาถึงแล้วก็นั่งดื่มชากับนางอยู่ครู่หนึ่ง อาหารก็ยกมาเสิร์ฟพอดีมหาเสนาบดีฉู่มาที่นี่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้อยู่กินอาหารที่นี่หูหมิงที่เข้ามารับใช้ เขาก็ได้ตบรางวัลให้หูหมิงเป็นเงินก้องหนึ่ง หูหมิงตกใจซะจนไม่กล้ายื่นมือออกมารับนางข้าหลวงสี่หัวเราะเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ยังไม่ขอบคุณท่านใต้เท้าอีก?”หูหมิงรีบกล่าวขอบคุณ มหาเสนาบดีฉู่มองเขาออกไปแล้วก็นั่งยืดตัวตรงกินข้าวกับผู้หญิงที่ชอบครั้งแรก ต้องให้รางวัลให้มาก นี่มันเป็นหน้าตาของผู้ชาย ต้องให้ความสำคัญเสียหน่อยนางข้าหลวงสี่ยิ้ม และกล่าวว่า “อาหารพวกนี้ข้าไม่ได้ลงมือทำ ถ้ารู้ว่าท่านจะมาแล้วล่ะก็ ข้าคงเข้าครัวทำอาหารให้ท่านด้วยตัวเองสักสองอย่าง”“วันหลังยังมีโอกาสอีกมากนัก” มหาเสนาบดีฉู่มองนาง แม้ยิ้มไม่เก่งเหมือนในอดีต แต่แววตานั้นอ่อนโยนขึ้นมาก“ได้สิ!” นางข้าหลวงสี่ยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นมากินข้าวเถอ
มหาเสนาบดีฉู่จึงกล่าวว่า “ข้าติดหนี้บุญคุณจวนอ๋องฉู่ถึงสองครั้ง ถ้าเรื่องนี้ข้าสามารถเป็นกำลังช่วยเหลือได้ ข้าก็ยินดี”นางข้าหลวงสี่ถอนหายใจออกมา และเอ่ยถาม “ท่านติดหนี้บุญคุณจวนอ๋องฉู่เรื่องอันใดถึงสองครั้ง ? ”มหาเสนาบดีฉู่กินข้าว และพูดอย่างคลุมเครือว่า “พระชายาฉู่ช่วยเจ้าไว้ตั้งสองครั้งมิใช่หรือ?”นางข้าหลวงสี่นิ่งอึ้งมองตรงไปยังเขา น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าไปหมด นางยกมือเช็ดน้ำตา และพูดกลบเกลื่อน “กินข้าวกันเถอะ”มหาเสนาบดีฉู่ลอบมองนาง และไม่รู้ว่าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าจากไหนมามอบให้นาง “เอาไว้เช็ดน้ำตาเถิด วันหลังอย่าได้ร้องไห้ง่ายดายเช่นนี้ เจ็บตาเสียเปล่า ต้องดูแลตัวเองให้ดี แม้แต่เส้นผมเส้นเดียวก็ไม่อาจละเลยได้ ชีวิตนี้ไม่รู้จะเหลืออีกนานเท่าไหร่แล้ว”นางรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตา “ผ้าเช็ดหน้าจากไหนกัน? ตาเฒ่าอย่างท่านทำไมถึงพกผ้าเช็ดหน้าปักลายงดงามเช่นนี้ได้?”“ข้าเอารองเท้าหัวเสือมามอบให้พระชายา และใช้ผ้านี่ห่อรองเท้าหัวเสือไว้” มหาเสนาบดีฉู่ตอบนางนางข้าหลวงสี่อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้ “ท่านสั่งคนทำรองเท้าหัวเสือ? ท่านเพิ่งเคยมอบของขวัญให้พระชายาเป็นครั้งแรก”“ก็ต้องพกมาให้บ้าง คนเร
สถานการณ์ทางด้านจวนอ๋องฉีนั้นช่างเงียบสงบหยวนหยงอี้อยู่กับอ๋องฉี เดิมทีอยู่เพื่อปกป้องเขา ไม่ให้ฉู่หมิงชุ่ยมาก่อเรื่องสร้างความรำคาญแต่ฉู่หมิงชุ่ยกลับเงียบสงบอย่างน่าประหลาดใจวันนั้นมหาเสนาบดีฉู่ได้สั่งคนมาส่งจดหมายฉบับหนึ่ง หลังจากฉู่หมิงชุ่ยอ่านมันแล้วก็ออกจากบ้านไปในทันที ตกดึกนางเพิ่งจะกลับมาหลังจากกลับมาแล้ว ก็ตรงเข้าไปหาอ๋องฉีหยวนหยงอี้ระแวดระวังเป็นอย่างมาก จึงห้ามไม่ให้นางเข้าไปฉู่หมิงชุ่ยเหลือบมองหยวนหยงอี้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าวางใจได้ ข้าไม่ได้ต้องการจะทำร้ายเขา มีเจ้าอยู่ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้หรอก ข้าแค่อยากกล่าวลากับเขาสักคำ”“อำลา?” หยวนหยงอี้ตกใจจนผงะไปในแววตาของฉู่หมิงชุ่ยมีความโศกเศร้าเจือปนอยู่เล็กน้อย นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ และกล่าวว่า “ใช่แล้ว ท่านปู่สั่งให้คนมามอบจดหมายให้ข้า ยอมรับการตกลงเรื่องหย่า รอเรื่องนี้จัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะไป เพียงแต่ ข้าทำร้ายเขา สุดท้ายก็เป็นข้ามิใช่หรือ ข้ามาเพื่อขอโทษเขา จะได้ไม่ติดค้างผู้ใดอีกในภายภาคหน้า”หยวนหยงอี้เชื่ออย่างสุดใจว่าคน ๆ หนึ่งไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไปได้โดยไร้เหตุผล แต่ว่านางพูดเช่นนี้ และต
สีหน้าของฉู่หมิงชุ่ยเคลิบเคลิ้มราวกับตกอยู่ในความฝัน “ตั้งแต่ข้าอายุสิบเอ็ด ข้ามีความฝันว่าจะแต่งงานกับคนผู้หนึ่ง และเจ้าสาวก็คือข้า เจ้าบ่าวก็คือเขา หยวนชิงหลิงบอกว่านางตอนอายุสิบสามก็ตกหลุมรักเขา แต่ข้ารักเขาก่อนนางมาตั้งนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านเป็นโอรสของฝ่าบาท ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดของเสด็จแม่ท่าน ข้าคงไม่ยอมปล่อยเขาไป เขาไม่เคยบอกท่านสินะ? เมื่อหลายวันก่อนข้าไปหาเขาที่โรงเตี้ยมเยวี่ยเต๋อ ข้าคุยกับเขาอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ข้าเพิ่งรู้ว่าในใจของเขายังมีข้าอยู่ เขาหวังว่าข้าจะหย่ากับท่าน เขาจะแต่งข้าเป็นชายารอง เฮ้อ เดิมทีข้าควรได้เป็นพระชายาของเขาแท้ ๆ”นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ และก้มหน้าลง หางตานางเห็นใบหน้าซีดขาวของเขาอย่างชัดเจนหยวนหยงอี้คว้ามือนาง ฉุดนางลุกขึ้น และกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “พอได้แล้ว เจ้าหุบปาก และออกไปได้แล้ว”ฉู่หมิงชุ่ยมองหยวนหยงอี้ และกระซิบกับนางว่า "ชายารองหยวน เรื่องนี้เขาควรรู้เอาไว้ อย่างไรเสีย เจ้าเองก็รู้ว่า ข้ากับพี่ห้าพบกันเป็นการส่วนตัว ที่จริงเจ้าเองก็ควรบอกเขาด้วย”ทันใดนั้นอ๋องฉีก็เงยหน้าขึ้นมองหยวนหยงอี้ “เจ้ารู้ด้วยหรอกหรือ?”หยวนหยงอี้รีบเ
หยวนหยงอี้ที่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งรู้สึกดีใจ และเป็นกังวลในเวลาเดียวกันที่น่ากังวลนั่นเป็นเพราะการที่อ๋องฉู่และฉู่หมิงชุ่ยพบกันนั้นจริง และไม่ได้บอกอ๋องฉีให้รับรู้แต่ที่น่าดีใจก็คือ อ๋องฉู่ถูกหลอกให้มาพบนาง เมื่อรู้ว่าถูกหลอกถึงได้โกรธมากเช่นนี้หากกลับไปบอกอ๋องฉีเพียงแค่นี้ อ๋องฉีจะไม่คิดเคลือบแคลงใจขึ้นมาหรอกหรือ?หยวนหยงอี้ที่คิดไตร่ตรองดูแล้ว แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้นั้น เลยตรงไปหาหยวนชิงหลิงหยวนชิงหลิงโกรธจนท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด นางเบิกตากว้าง ในแววตานางเต็มไปด้วยไฟโทสะ “จะไปอยู่แล้วยังมาทำให้พี่น้องบาดหมางกันอีก ช่างเป็นตัวปัญหาจริง ๆ”หยวนหยงอี้เองก็โกรธมาก และพูดว่า “ถ้าไม่ใช่ว่านางจะไปแล้วล่ะก็ ข้าคงลงมือไปนานแล้ว แค่อยากหลีกเลี่ยงเรื่องที่อาจคาดไม่ถึงที่จะเกิดขึ้นได้ หากทำร้ายนาง นางก็คงก่อนเรื่องวุ่นวาย และไม่ยอมจากไปเป็นแน่”หยวนชิงหลิงมองนาง และกล่าวต่อไปว่า “ผู้หญิงคนนี้เปี่ยมไปด้วยความชั่วร้าย เจ้าทำร้ายนาง ไม่รู้ว่านางจะเล่นสกปรกอะไรกับเจ้าอีก”นึกถึงเรื่องในวังหลวง คนชั่วช้าอย่างนางที่เข้าไปทูลฟ้องก่อนแล้วนั้น ผู้หญิงคนนี้ปากว่าตาขยิบ เล่ห์เหลี่ยมมารยาของนางช่างย
นางยื่นมืออกไปลูบคันฉ่องนั้น และฉีกยิ้มกว้างออกมาราวกับต้องมนต์สะกดหลังจากหยวนหยงอี้กลับมาแล้ว ก็เอาเรื่องที่ได้ยินไปบอกอ๋องฉีตามตรงหลังจากที่อ๋องฉีได้ฟังแล้ว ก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไรอีกหยวนหยงอี้จึงดึงเก้าอี้แถวนั้นมานั่ง แล้วกล่าวว่า “มาคุยกัน?”อ๋องฉีเงยหน้าขึ้น “คุยเรื่องอะไรรึ?"หยวนหยงอี้มองตรงไปที่เขา “ท่านยังสนใจเรื่องนี้อยู่หรือ?”“แล้วไม่ควรสนหรอกหรือ?” อ๋องฉีเอ่ยถามกลับหยวนหยงอี้จึงเอ่ยขึ้น “ท่านแค่สนว่าเขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับท่าน แต่ว่าจากที่ข้าไปตรวจสอบที่โรงเตี้ยมเยวี่ยเต๋อ อ๋องฉู่โมโหมากที่พบว่าตัวเองถูกฉู่หมิงชุ่ยหลอกให้ไปพบที่โรงเตี้ยมเยวี่ยเต๋อ เขาไม่บอกท่านเรื่องนี้ คงได้คิดไตร่ตรองถึงความรู้สึกของท่าน มันคงลำบากใจที่จะมาบอกท่านว่า พระชายาของท่านให้เขาไปพบเป็นการส่วนตัว? แบบนี้ไม่ต่างอะไรจากการตบหน้าท่านเลยมิใช่หรือไร?”อ๋องฉีเงยหน้าขึ้นมองนาง “ข้าดีกับเจ้าไหม?”หยวนหยงอี้ตกใจ นี่นอกเรื่องไปไหนกัน?“ดีไหม?” อ๋องฉีเอ่ยย้ำถามหยวนหยงอี้ที่รู้สึกว่าอารมณ์ในตอนนี้ของเขาไม่ค่อยมั่นคงนัก ดังนั้นจึงนึกคำดี ๆ และเอ่ยตอบไปว่า “ก็ไม่เลวเท่าไหร่”อ๋องฉีส่ายหน้า
อ๋องฉีมองไปที่นาง “คืนนี้เจ้าไปเชิญพี่ห้ามาที่นี่”“จะทำอะไรรึ?” หยวนหยงอี้เอ่ยถามอ๋องฉีพูดว่า "แทนที่จะให้นางนำหน้าเรา ถ้าหากพวกเราลองนำหน้านางดูก่อนสักก้าวหนึ่ง ดูสิว่านางจะทำอะไรกันแน่”ถึงหยวนหยงอี้จะเป็นคนที่มุทะลุอยู่บ้าง แต่นางก็เป็นคนที่คิดการได้ละเอียดรอบคอบ แค่ได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็เข้าใจแล้ว “ท่านจะทำสิ่งที่นางต้องการ โดยเผชิญหน้ากับอ๋องฉู่ หลังจากนั้นก็ดูว่านางต้องการทำอะไรสินะ ? ”อ๋องฉีมองนางอย่างชื่นชมยกย่อง “เจ้านี่ฉลาดจริง ๆ แต่ว่าเดาถูกแค่ครึ่งเดียว ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่านางจะทำอะไรต่อ แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ข้าออกไปประจันหน้ากับพี่ห้าเป็นไปดั่งใจนางแล้ว ก็เป็นอันบรรลุเป้าหมายของนางแล้ว คงไม่ทำเรื่องยืดเยื้อการหย่าร้างนี้อีก ข้าคิดจะรีบตัดปัญหาน่ารำคาญนี่ซะ นางอยู่ที่นี่นานขึ้นหนึ่งวัน ข้ามักคิดว่านางจะก่อเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมาอีก”หยวนหยงอี้หัวเราะออกมา “หรือว่าบางที ท่านกลัวว่าตัวเองจะใจอ่อน?”อ๋องฉีดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัว และพูดอย่างเฉยชาว่า "อืม ก็กลัวอยู่”หยวนหยงอี้พยักหน้า "เช่นนั้นก็ดี ข้าจะไปด้วยตัวเอง ไปพูดกับพี่หญิงฉู่หวางให้เข้าใจสถานการณ์ก่อน”“เจ้าไป
คนที่อยู่ตรงนั้นคือหยวนหยงอี้ นางไมไว้ใจฉู่หมิงชุ่ย นางคิดเสมอว่าคนผู้นี้นิสัยชั่วร้าย ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรออกมาอีกคำพูดของฉู่หมิงชุ่ยที่ดังเข้ามาในโสตประสาทอย่างแจ่มชัดแววตาของนางเย็นเยือกขึ้นในทันที พร้อมแรงกระตุ้นที่คิดจะสังหารฉู่หมิงชุ่ยไปซะวันรุ่งขึ้น นางไปจวนอ๋องฉู่ และนำคำพูดนั้นไปบอกเล่าให้อาซื่อฟัง และกล่าวว่า “ช่วงนี้พระชายาออกไปข้างนอก ทางที่ดีเจ้าควรอยู่ข้างกายนาง อย่าได้ลดการระมัดระวังโดยเด็ดขาด”อาซื่อกัดฟันแน่นด้วยความโกรธ “นี่นางยังคิดจะฆ่าพระชายาอีกรึ? ทำไมนางไม่ตาย ๆ ไปซะ? นางยังมีหน้ามีชีวิตอยู่อีกหรือไร?” หยวนหยงอี้จึงกล่าวต่อไป “คนบางคนถ้าไม่ตาย ก็จะกลายเป็นหายนะในที่สุด เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว อย่าให้นางมีช่องว่างฉวยโอกาสมาทำร้ายพระชายาได้”อาซื่อเอ่ยถามนาง “จะไม่บอกพระชายาหรือ?”หยวนหยงอี้คิดอยู่พักหนึ่ง “บอกท่านอ๋องเถอะ อย่าได้บอกพระชายาเลย ทำให้นางตกใจเสียเปล่า”อาซื่อจึงตอบกลับ “ใช่ ทำพระชายาตกใจไม่ได้ ช่วงนี้อารมณ์นางไม่ค่อยดีนัก”หยวนหยงอี้เป็นห่วงพี่หญิงฉู่หวาง “เรื่องราวในจวนอ๋องฉีช่วงนี้ จวนอ๋องฉู่ต้องพลอยมาเดือดร้อนกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม