แชร์

บทที่ 555

ผู้แต่ง: จูน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-29 19:42:56
ฉางกงกงรีบส่ายหน้าทันที "ไม่ ไม่พ่ะย่ะค่ะ พระชายายังสบายดี"

มหาเสนาบดีฉู่เอ่ยขึ้น "ไท่ซ่างหวงท่านสงบใจลงหน่อย โปรดฟังเหล่าฉางพูดก่อนเถอะพ่ะย่ะค่ะ"

ฉางกงกงกลับสะอึกสะอื้นจนพูดไม่ออก

เต๋อเฟยจึงเดินไปข้างหน้า และย่อกายคำนับ "ไท่ซ่างหวง เป็นจวนอ๋องฉู่ที่สั่งให้คนมาแจ้งข่าวบอกว่า นางข้าหลวงสี่ฆ่าตัวตาย จึงเรียกให้พระชายากลับไปโดยด่วนเพคะ"

มหาเสนาบดีฉู่ลุกขึ้นยืนทันที ลูกกระตาทั้งสองข้างแทบจะพุ่งออกมาจากศีรษะ ถามเสียงหลงว่า "เต๋อเฟยท่านว่าอะไรนะ? นางข้าหลวงสี่ฆ่าตัว? แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร? ทำไมต้องฆ่าตัวตาย? เกิดอะไรขึ้นกับนาง? ใช่ว่าได้รับความคับข้องใจในจวนอ๋องหรือไม่?"

เซียวเหยากงเอ่ย "ท่านฉู่ เจ้าสงบใจลงหน่อยแล้วฟังเต๋อเฟยพูดก่อน"

มหาเสนาบดีฉู่ที่เคร่งขรึมมาตลอดหลายปี กลับถูกทำลายลงในวันนี้ ใบหน้าแทบจะบ้าคลั่ง "เต๋อเฟย ท่านบอกมา ท่านรีบบอกเร็วเข้า!"

เต๋อเฟยสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเลือกประเด็นสำคัญ "ช่วงนี้ภายนอกมีข่าวลือเกี่ยวกับนางข้าหลวงสี่และมหาเสนาบดีในปีนั้นว่า นางข้าหลวงสี่ไร้ยางอาย ใช้ฐานะหัวหน้านางข้าหลวงข้างกายไท่ซ่างหวงเพื่อยั่วยวนมหาเสนาบดี แต่ถูกเสนาบดีรังเกียจจึงพยายามฆ่
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 556

    กูกูกินยาพิษไม่รู้ว่านางกินยาพิษชนิดไหนลงไป เพราะหมอหลวงยังตรวจสอบไม่พบ ในห้องก็ไม่พบสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย หลังจากที่นางดื่มเหล้าพิษลงไปลงแล้ว นางยังสามารถไปล้างแก้วจนสะอาดได้อีกถึงแม้ว่าหมอหลวงเฉาจะให้ยาแก้พิษไปแล้ว แต่หลังจากกินยาแก้พิษลงไปแล้วสองเม็ด นางข้าหลวงสี่ก็ยังคงไม่มีชีวิตชีวาขึ้นแม้แต่น้อย มีเพียงลมหายใจที่รวยริน แต่ลมหายใจของนางก็เบาบางจนทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่าในอีกชั่วพริบตาเดียวนางก็จะขาดใจหยวนชิงหลิงเดินเข้ามาเห็นทั่วทั้งร่างก็แทบจะอ่อนยวบลงทันที เธอฉวยโอกาสที่อวี่เหวินห่าวเข้ามาขวางหมอหลวงเฉา ในชั่วพริบตาหยิบกล่องยาออกมาเธอคุกเข่าลงข้างเตียงแล้วหยิบหูฟังออกมาฟังเสียงหัวใจเต้น หัวใจเต้นอ่อนมาก เธอใช้สองมือที่สั่นระริกค้นกล่องยาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบยารักษาโรคกระเพาะ ลำไส้ออกมา เธอไม่สนใจว่าเป็นพิษชนิดใดที่กินเข้าไปให้นำออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันมหาเสนาบดีฉู่ก็เข้ามาแล้วเช่นกัน เขาลังเลอยู่หน้าประตูเช่นนั้นอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงพุ่งตัวเข้ามาทันทีอวี่เหวินห่าวขวางเขาไว้ชั่วครู่ แล้วมองเขาแวบหนึ่งภายในใจอดตกใจไม่ได้ เขารู้จักมหาเสนาบดีฉู่มาหลายปี แต่ยังไ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 557

    เขาตกใจตื่นขึ้นมาราวกับวิญญาณที่ถูกแผดเผาอย่างหนักเขาก้าวไปข้างหน้าและมองใบหน้าของนางความทรงจำยังไม่ทันได้หายไปจากหัวสมอง เมื่อมองหน้านางอีกครั้งก็พลันรู้สึกว่าวันเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายสิบปีแล้วลมหายใจของนางแผ่วเบา และไม่เห็นหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงข้อมือของนางโผล่ออกมาให้เห็นมันดูผอมมาก มือนี้เขาเคยกอบกุมไว้ในฝ่ามืออย่างมั่นคงในชีวิตนี้ของเขาสิ่งที่เสียใจมากที่สุดคือการปล่อยมือจากนางเขากอบกุมมันใหม่อีกครั้ง มือของนางเย็นเฉียบเป็นอย่างมากไม่มีความอบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนอีกในใจของเขาเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ราวกับติดอยู่ในฤดูหนาวมานานหลายสิบปีมันทำให้ทั่วทั้งร่างหนาวเหน็บ เขาเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหยวนชิงหลิง "นางไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?"เขาเตรียมใจในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว แต่ใจของเขาก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวหยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นแล้วเช็ดน้ำตา เมื่อครู่หลังจากที่เธอปฐมพยาบาลฉุกเฉินต่อเนื่องกัน ก็เหนื่อยล้าอย่างมากจึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้โฮออกมา"ไม่รู้ สถานการณ์ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อทำให้พิษที่นางกินลงไปเจือจางลง แต่พิษได้เข้าไ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 558

    คำพูดเหล่านี้ในเวลาเดียวกันก็ราวกับเป็นมีดนับไม่ถ้วนที่แทงเข้าไปในหัวใจของอวี่เหวินห่าวเขาเอื้อมมือไปกอดนางไว้ ในใจเจ็บปวดเกินกว่าจะรับไหว เขาหลับตาลงแทบจะสะกดกลั้นเลือดลมและน้ำตา ไม่ให้พรั่งพรูออกมาได้"ขอโทษ ข้าขอโทษ..." เสียงของเขาความเจ็บปวดและเสียใจอย่างมากหยวนชิงหลิงเบิกตากว้างนัยน์ตาเต็มไปด้วยความเสียใจเดิมทีความเมตตาต่อศัตรูก็คือคำพูดที่โหดร้ายต่อตนเอง เป็นคำพูดที่สมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ นางเคยใจอ่อน เคยมีความเมตตา และครั้งหนึ่งเคยเป็นพระแม่มารี แต่ตอนนี้ทั้งหมดล้วนน่าขันไม่แพ้กันบ่าวรับใช้ของมหาเสนาบดีฉู่นำยามามากมายมาแล้วมหาเสนาบดีฉู่เทยาลงบนโต๊ะแล้วเลือกออกมาจากในนั้นสองสามขวด เปิดฝาแล้วเทยาออกมาทุกชนิด ทุกอย่างเขาล้วนกินก่อนหนึ่งเม็ดแล้วรอผลประมาณหนึ่งจิบถ้วยชาก่อนจะบดแล้วป้อนให้นางข้าหลวงสี่ หยวนชิงหลิงไม่ได้ห้ามเขา และหมอหลวงเองก็ไม่ได้ห้ามเขาเช่นกันภายในห้องนี้เขามีอำนาจที่จะรักษาและช่วยเหลือใด ๆ นางข้าหลวงสี่ก็ได้เขาไม่ได้เอ่ยอะไร และก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาบนใบหน้าของเขาไม่มีสีหน้าของความเศร้าโศกและความกังวล เขาเหมือนท่อนไม้ทื่อ ๆ ท่อนหนึ่ง แต่ทั้งร่างขอ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 559

    "เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เจ้าอายุมากแล้วทนไม่ได้แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ายังอ่อนเยาว์อยู่รึ?" เซียวเหยากงพยายามเกลี้ยกล่อม"ไม่ต้องรีบร้อน หาได้ยากนักที่ข้าจะสามารถมองนางเงียบ ๆ เช่นนี้ได้" เขาหันหน้าไปมองใบหน้าของนางข้าหลวงสี่แล้วยื่นมือไปเกี่ยวผมของนาง "คราวที่แล้วที่ข้าบังเอิญสัมผัสผมของนางเช่นนี้ ในตอนนั้นผมของนางยังไม่มีผมหงอก แต่ตอนนี้ล้วนขาวขึ้นไปมากแล้ว เหล่าเซียวเหยา พวกเราแก่แล้วจริง ๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่คิดว่ายังรอต่อไปได้อีก แต่ความจริงแล้วไม่มีวันนั้นอีกแล้ว ”เซียวเหยากงรู้ว่าเขาเป็นทุกข์มาทั้งชีวิต ในบรรดาพวกเขาสามคน ท่านฉู่เป็นคนที่อดทนต่อความทุกข์และเก็บไว้ในใจได้มากที่สุด ยิ่งเป็นอารมณ์ที่ด้านชาและสิ่งที่ตัดสินแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิตคนภายนอกล้วนบอกว่าท่านฉู่มีความทะเยอทะยานเขาเห็นด้วย ใช่ ท่านฉู่มีความทะเยอทะยานแต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่เคยอยู่เหนือตำแหน่งนั้นตอนที่หยวนชิงหลิงและอวี่เหวินห่าวมาถึง เมื่อเห็นผมทั้งศีรษะของมหาเสนาบดีฉู่ที่ขาวราวหิมะก็ตะลึงงันหากบอกว่าหยวนชิงหลิงเคยเคียดแค้นมหาเสนาบดีฉู่เพราะเรื่องของนางข้าหลวงสี่ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเป็นเช่นนั

  • ใต้หล้าสยบรัก   บบที่ 560

    หลังจากมหาเสนาบดีฉู่เข้าพบเสนาบดีเจียงหนิงแล้ว ก็ขอให้ถังหยางไปส่งเสนาบดีเจียงหนิงและภรรยากลับจวนพักรับรองจ่านด้วยตนเอง เขาเองก็ไม่ได้เข้าไปดูนางข้าหลวงสี่อีก พอได้ยินคําพูดของหยวนชิงหลิงเขาก็สบายใจแล้วหยวนชิงหลิงเข้าไปในห้องโถงหลักแล้วขวางเขาไว้ดวงตาของหยวนชิงหลิงยกขึ้น "มหาเสนาบดีฉู่ บางทีอาจจะไปสอบถามที่โรงน้ำชาเต๋อคังดู ข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ภายนอกมีต้นกําเนิดมาจากโรงน้ำชาเต๋อคัง"มหาเสนาบดีฉู่มองนางเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ จึงคอยเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า "อืม ขอบคุณพระชายามาก" เขาและเซียวเหยากงเดินออกไปยืนตระหง่านอยู่บนถนน เสื้อผ้าสีเขียวของเขาถูกลมพัดเส้นผมที่ขาวราวหิมะเกิดแสงส่องประกายระยิบระยับ ภายใต้แสงแดดอ่อน ๆ ยามรุ่งอรุณอากาศหนาวแล้วผู้คนที่สัญจรไปมาก็ใส่เสื้อผ้าตัวหนาเพิ่มเข้าไปเขาจูงม้าแล้วเดินช้า ๆ เซียวเหยากงเดินอยู่ข้างกายเขาอยากจะเอ่ยกับเขาสักสองสามประโยค แต่เขารู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าเหมือนกับช่วงเวลาตอนที่พวกเขาต่อสู้ทําสงครามในทะเลทรายอย่างหนัก พวกเขาทั้งหมดล้วนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพราะบางทีสงครามครั้งนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ดูย่ำแย่ จนบางทีอาจจะ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 561

    เขาคิดว่าคำสี่คำนี้แขวนอยู่เป็นเวลานาน ถึงที่สุดแล้วพวกเขาก็เข้าใจความหมายในนั้น"ใครก็ได้ เอาภาพตัวอักษรจากห้องข้ามาเปลี่ยนแทนที่ป้ายอักษรเตือนใจนี้ที" มหาเสนาบดีฉู่ออกคำสั่งช้า ๆ อย่างผ่อนคลายพ่อบ้านมาถึงก็โค้งคํานับแล้วเอ่ยถามว่า "ไม่ทราบว่านายท่าน ท่านต้องการภาพ ภาพไหนขอรับ?" มหาเสนาบดีฉู่หมุนตัวมามองพ่อบ้าน "สี่คำนั้นที่ข้าเขียนขึ้นเมื่อวันก่อน"พ่อบ้านตะลึงงัน "นี่ท่านหมายถึงคำสี่คำที่ว่า เซียว จาง ป่า ฮู้ หรือขอรับ? ...คำนั่นมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนะขอรับ?"เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูรองยืนกรานจะแต่งงานกับอ๋องฉู๋จึงอดอาหารอยู่ในห้อง อีกทั้งด่าทอพระชายาฉู่ นายท่านอยู่ในห้องหนังสือจึงเขียนอักษรสี่คำว่า กำแหง อวดดี วางอำนาจบาตรใหญ่ "ไปทำตาม!" มหาเสนาบดีฉู่ออกคำสั่งเสียงเข้มแต่ไรมาเขาน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าโต้แย้ง และเมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ถึงแม้ว่าพ่อบ้านจะมีคำถามอีกมากมายทก็ได้แต่ไปจัดการคนตระกูลฉู่ได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว อีกทั้งบอกว่าให้คนในจวนไปรวมตัวก็รีบร้อนออกมา แม้แต่ฮูหยินเฒ่าใบ้ผู้นั้นก็ถูกประคองออกมามหาเสนาบดีนั่งอยู่บนที่นั่งหลักมองดูเหล่าภรรยา อนุ และหลานที่กำลั

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 562

    อ๋องฉีถามว่า "ไม่ทราบว่าท่านปู่ได้ยินข่าวลืออะไรมา? แต่คนข้างนอกจะกล่าวอะไรก็ช่างเถอะ ปากยาวอยู่บนตัวคนอื่น ใครจะสนใจว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไร? ตระกูลฉู่ไม่นับว่ากำแหงอวดดีวางอำนาจบาตรใหญ่"เขาคิดว่าผู้คนภายนอกบอกว่า ผู้คนตระกูลฉู่นั้นวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่คำพูดล่านี้ก็พูดกันมาหลายปีแล้วไม่ใช่เพิ่งมาพูดกันตอนนี้ แต่เกรงว่าตอนนี้ท่านปู่คงได้ยินแล้วกระมัง?ตระกูลฉู่ ที่จริงแล้วนั้นนับว่ากำแหงจริง ๆ ภายนอกมีคนจำนวนเท่าไรที่เมื่อได้ยินว่าตระกูลฉู่ต้องตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวมหาเสนาบดีฉู่ราวกับไม่ได้ยินที่อ๋องฉีกล่าว ยังคงมองฮูหยินใหญ่ฉู่ "ฮูหยินใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายนอกพูดอะไรกัน?"ฮูหยินใหญ่ฉู่ถูกเอ่ยเรียกแต่กลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า "ท่านพ่อ ลูกสะใภ้ไม่เคยสนใจข่าวลือเรื่องไร้สาระตามท้องตลาดเจ้าค่ะ""ใช่แล้ว" มหาเสนาบดีฉู่แววตาคมดุจมีดเอ่ยขึ้นเสียงเข้มว่า "แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่เคยใส่ใจ เพราะหากเจ้าสนใจก็ควรรู้ว่าข่าวลือเหมือนลูกธนูอาบยาพิษที่ สามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย"ฮูหยินใหญ่ฉู่ไม่กล้ามองสบตาเขาทำเพียงก้มหน้าลง "เจ้าค่ะ!"หลายคนที่อยู่ที่นี่เข้าใจควา

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 563

    ทว่าฮูหยินใหญ่ฉู่ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เป็นอย่างมาก คิดว่าท่านพ่อคงไม่ถึงกับว่าจะช่วยนางข้าหลวงสี่นั่นต่อหน้าผู้คนมากมายจึงเอ่ยว่า "ท่านพ่อ เรื่องที่ฮูหยินรองกล่าวนั้น ลูกสะใภ้ก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ฟางอวี่ผู้นี้สมควรตายจริง ๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าสบคบกับนางข้าหลวงข้างกายไท่ซ่างหวง ทำให้วังหลวงต้องเสื่อมเสีย สมควรตายจริง ๆ เจ้าค่ะ"เรื่องแบบนี้มีอะไรดีให้แก้ตัวกัน? เขาก็ตายไปหลายปีแล้วอีกอย่าง เรื่องในตอนนั้นจะยังมีใครไปสืบสวนกันทหารราชองครักษ์ผู้นั้นถูกประหารชีวิต ผู้คนมากมายต่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คือการที่ทำให้ไท่ซ่างหวงทรงกริ้วจึงทำให้ถูกโบยจนตายคนหนึ่งถูกไท่ซ่างหวงประหารชีวิต ส่วนอีกคนเป็นข้ารับใช้แก่ที่อยู่ปรนนิบัติในวังมานานหลายปีเท่านั้น ไม่ควรจะต้องระดมคนมามากมายเช่นนี้แววตาของมหาเสนาบดีฉู่เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว แต่น้ำเสียงกลับสงบดุจแอ่งน้ำ "ฟางอวี่ อายุสิบหกปีก็ติดตามไท่ซ่างหวง หลังจากไท่ซ่างหวงขึ้นครองราชย์ เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี ครั้งหนึ่งไท่ซ่างหวงทรงเสด็จนำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง เขาก็คอยตามไปด้วย ก

บทล่าสุด

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1015

    ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1014

    อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1013

    เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1012

    พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ ​​หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1011

    มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1010

    หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1009

    ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1008

    หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1007

    เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม

DMCA.com Protection Status