กูกูกินยาพิษไม่รู้ว่านางกินยาพิษชนิดไหนลงไป เพราะหมอหลวงยังตรวจสอบไม่พบ ในห้องก็ไม่พบสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย หลังจากที่นางดื่มเหล้าพิษลงไปลงแล้ว นางยังสามารถไปล้างแก้วจนสะอาดได้อีกถึงแม้ว่าหมอหลวงเฉาจะให้ยาแก้พิษไปแล้ว แต่หลังจากกินยาแก้พิษลงไปแล้วสองเม็ด นางข้าหลวงสี่ก็ยังคงไม่มีชีวิตชีวาขึ้นแม้แต่น้อย มีเพียงลมหายใจที่รวยริน แต่ลมหายใจของนางก็เบาบางจนทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ ราวกับว่าในอีกชั่วพริบตาเดียวนางก็จะขาดใจหยวนชิงหลิงเดินเข้ามาเห็นทั่วทั้งร่างก็แทบจะอ่อนยวบลงทันที เธอฉวยโอกาสที่อวี่เหวินห่าวเข้ามาขวางหมอหลวงเฉา ในชั่วพริบตาหยิบกล่องยาออกมาเธอคุกเข่าลงข้างเตียงแล้วหยิบหูฟังออกมาฟังเสียงหัวใจเต้น หัวใจเต้นอ่อนมาก เธอใช้สองมือที่สั่นระริกค้นกล่องยาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบยารักษาโรคกระเพาะ ลำไส้ออกมา เธอไม่สนใจว่าเป็นพิษชนิดใดที่กินเข้าไปให้นำออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันมหาเสนาบดีฉู่ก็เข้ามาแล้วเช่นกัน เขาลังเลอยู่หน้าประตูเช่นนั้นอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงพุ่งตัวเข้ามาทันทีอวี่เหวินห่าวขวางเขาไว้ชั่วครู่ แล้วมองเขาแวบหนึ่งภายในใจอดตกใจไม่ได้ เขารู้จักมหาเสนาบดีฉู่มาหลายปี แต่ยังไ
เขาตกใจตื่นขึ้นมาราวกับวิญญาณที่ถูกแผดเผาอย่างหนักเขาก้าวไปข้างหน้าและมองใบหน้าของนางความทรงจำยังไม่ทันได้หายไปจากหัวสมอง เมื่อมองหน้านางอีกครั้งก็พลันรู้สึกว่าวันเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายสิบปีแล้วลมหายใจของนางแผ่วเบา และไม่เห็นหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงข้อมือของนางโผล่ออกมาให้เห็นมันดูผอมมาก มือนี้เขาเคยกอบกุมไว้ในฝ่ามืออย่างมั่นคงในชีวิตนี้ของเขาสิ่งที่เสียใจมากที่สุดคือการปล่อยมือจากนางเขากอบกุมมันใหม่อีกครั้ง มือของนางเย็นเฉียบเป็นอย่างมากไม่มีความอบอุ่นเหมือนเมื่อก่อนอีกในใจของเขาเพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ราวกับติดอยู่ในฤดูหนาวมานานหลายสิบปีมันทำให้ทั่วทั้งร่างหนาวเหน็บ เขาเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหยวนชิงหลิง "นางไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ใช่หรือไม่?"เขาเตรียมใจในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว แต่ใจของเขาก็ยังคงอดไม่ได้ที่จะสั่นไหวหยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นแล้วเช็ดน้ำตา เมื่อครู่หลังจากที่เธอปฐมพยาบาลฉุกเฉินต่อเนื่องกัน ก็เหนื่อยล้าอย่างมากจึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้โฮออกมา"ไม่รู้ สถานการณ์ยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อทำให้พิษที่นางกินลงไปเจือจางลง แต่พิษได้เข้าไ
คำพูดเหล่านี้ในเวลาเดียวกันก็ราวกับเป็นมีดนับไม่ถ้วนที่แทงเข้าไปในหัวใจของอวี่เหวินห่าวเขาเอื้อมมือไปกอดนางไว้ ในใจเจ็บปวดเกินกว่าจะรับไหว เขาหลับตาลงแทบจะสะกดกลั้นเลือดลมและน้ำตา ไม่ให้พรั่งพรูออกมาได้"ขอโทษ ข้าขอโทษ..." เสียงของเขาความเจ็บปวดและเสียใจอย่างมากหยวนชิงหลิงเบิกตากว้างนัยน์ตาเต็มไปด้วยความเสียใจเดิมทีความเมตตาต่อศัตรูก็คือคำพูดที่โหดร้ายต่อตนเอง เป็นคำพูดที่สมเหตุสมผลน่าเชื่อถือ นางเคยใจอ่อน เคยมีความเมตตา และครั้งหนึ่งเคยเป็นพระแม่มารี แต่ตอนนี้ทั้งหมดล้วนน่าขันไม่แพ้กันบ่าวรับใช้ของมหาเสนาบดีฉู่นำยามามากมายมาแล้วมหาเสนาบดีฉู่เทยาลงบนโต๊ะแล้วเลือกออกมาจากในนั้นสองสามขวด เปิดฝาแล้วเทยาออกมาทุกชนิด ทุกอย่างเขาล้วนกินก่อนหนึ่งเม็ดแล้วรอผลประมาณหนึ่งจิบถ้วยชาก่อนจะบดแล้วป้อนให้นางข้าหลวงสี่ หยวนชิงหลิงไม่ได้ห้ามเขา และหมอหลวงเองก็ไม่ได้ห้ามเขาเช่นกันภายในห้องนี้เขามีอำนาจที่จะรักษาและช่วยเหลือใด ๆ นางข้าหลวงสี่ก็ได้เขาไม่ได้เอ่ยอะไร และก็ไม่ได้ถามอะไรออกมาบนใบหน้าของเขาไม่มีสีหน้าของความเศร้าโศกและความกังวล เขาเหมือนท่อนไม้ทื่อ ๆ ท่อนหนึ่ง แต่ทั้งร่างขอ
"เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เจ้าอายุมากแล้วทนไม่ได้แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ายังอ่อนเยาว์อยู่รึ?" เซียวเหยากงพยายามเกลี้ยกล่อม"ไม่ต้องรีบร้อน หาได้ยากนักที่ข้าจะสามารถมองนางเงียบ ๆ เช่นนี้ได้" เขาหันหน้าไปมองใบหน้าของนางข้าหลวงสี่แล้วยื่นมือไปเกี่ยวผมของนาง "คราวที่แล้วที่ข้าบังเอิญสัมผัสผมของนางเช่นนี้ ในตอนนั้นผมของนางยังไม่มีผมหงอก แต่ตอนนี้ล้วนขาวขึ้นไปมากแล้ว เหล่าเซียวเหยา พวกเราแก่แล้วจริง ๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่คิดว่ายังรอต่อไปได้อีก แต่ความจริงแล้วไม่มีวันนั้นอีกแล้ว ”เซียวเหยากงรู้ว่าเขาเป็นทุกข์มาทั้งชีวิต ในบรรดาพวกเขาสามคน ท่านฉู่เป็นคนที่อดทนต่อความทุกข์และเก็บไว้ในใจได้มากที่สุด ยิ่งเป็นอารมณ์ที่ด้านชาและสิ่งที่ตัดสินแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิตคนภายนอกล้วนบอกว่าท่านฉู่มีความทะเยอทะยานเขาเห็นด้วย ใช่ ท่านฉู่มีความทะเยอทะยานแต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่เคยอยู่เหนือตำแหน่งนั้นตอนที่หยวนชิงหลิงและอวี่เหวินห่าวมาถึง เมื่อเห็นผมทั้งศีรษะของมหาเสนาบดีฉู่ที่ขาวราวหิมะก็ตะลึงงันหากบอกว่าหยวนชิงหลิงเคยเคียดแค้นมหาเสนาบดีฉู่เพราะเรื่องของนางข้าหลวงสี่ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเป็นเช่นนั
หลังจากมหาเสนาบดีฉู่เข้าพบเสนาบดีเจียงหนิงแล้ว ก็ขอให้ถังหยางไปส่งเสนาบดีเจียงหนิงและภรรยากลับจวนพักรับรองจ่านด้วยตนเอง เขาเองก็ไม่ได้เข้าไปดูนางข้าหลวงสี่อีก พอได้ยินคําพูดของหยวนชิงหลิงเขาก็สบายใจแล้วหยวนชิงหลิงเข้าไปในห้องโถงหลักแล้วขวางเขาไว้ดวงตาของหยวนชิงหลิงยกขึ้น "มหาเสนาบดีฉู่ บางทีอาจจะไปสอบถามที่โรงน้ำชาเต๋อคังดู ข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ภายนอกมีต้นกําเนิดมาจากโรงน้ำชาเต๋อคัง"มหาเสนาบดีฉู่มองนางเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ จึงคอยเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า "อืม ขอบคุณพระชายามาก" เขาและเซียวเหยากงเดินออกไปยืนตระหง่านอยู่บนถนน เสื้อผ้าสีเขียวของเขาถูกลมพัดเส้นผมที่ขาวราวหิมะเกิดแสงส่องประกายระยิบระยับ ภายใต้แสงแดดอ่อน ๆ ยามรุ่งอรุณอากาศหนาวแล้วผู้คนที่สัญจรไปมาก็ใส่เสื้อผ้าตัวหนาเพิ่มเข้าไปเขาจูงม้าแล้วเดินช้า ๆ เซียวเหยากงเดินอยู่ข้างกายเขาอยากจะเอ่ยกับเขาสักสองสามประโยค แต่เขารู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าเหมือนกับช่วงเวลาตอนที่พวกเขาต่อสู้ทําสงครามในทะเลทรายอย่างหนัก พวกเขาทั้งหมดล้วนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพราะบางทีสงครามครั้งนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ดูย่ำแย่ จนบางทีอาจจะ
เขาคิดว่าคำสี่คำนี้แขวนอยู่เป็นเวลานาน ถึงที่สุดแล้วพวกเขาก็เข้าใจความหมายในนั้น"ใครก็ได้ เอาภาพตัวอักษรจากห้องข้ามาเปลี่ยนแทนที่ป้ายอักษรเตือนใจนี้ที" มหาเสนาบดีฉู่ออกคำสั่งช้า ๆ อย่างผ่อนคลายพ่อบ้านมาถึงก็โค้งคํานับแล้วเอ่ยถามว่า "ไม่ทราบว่านายท่าน ท่านต้องการภาพ ภาพไหนขอรับ?" มหาเสนาบดีฉู่หมุนตัวมามองพ่อบ้าน "สี่คำนั้นที่ข้าเขียนขึ้นเมื่อวันก่อน"พ่อบ้านตะลึงงัน "นี่ท่านหมายถึงคำสี่คำที่ว่า เซียว จาง ป่า ฮู้ หรือขอรับ? ...คำนั่นมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนะขอรับ?"เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูรองยืนกรานจะแต่งงานกับอ๋องฉู๋จึงอดอาหารอยู่ในห้อง อีกทั้งด่าทอพระชายาฉู่ นายท่านอยู่ในห้องหนังสือจึงเขียนอักษรสี่คำว่า กำแหง อวดดี วางอำนาจบาตรใหญ่ "ไปทำตาม!" มหาเสนาบดีฉู่ออกคำสั่งเสียงเข้มแต่ไรมาเขาน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าโต้แย้ง และเมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ถึงแม้ว่าพ่อบ้านจะมีคำถามอีกมากมายทก็ได้แต่ไปจัดการคนตระกูลฉู่ได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว อีกทั้งบอกว่าให้คนในจวนไปรวมตัวก็รีบร้อนออกมา แม้แต่ฮูหยินเฒ่าใบ้ผู้นั้นก็ถูกประคองออกมามหาเสนาบดีนั่งอยู่บนที่นั่งหลักมองดูเหล่าภรรยา อนุ และหลานที่กำลั
อ๋องฉีถามว่า "ไม่ทราบว่าท่านปู่ได้ยินข่าวลืออะไรมา? แต่คนข้างนอกจะกล่าวอะไรก็ช่างเถอะ ปากยาวอยู่บนตัวคนอื่น ใครจะสนใจว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไร? ตระกูลฉู่ไม่นับว่ากำแหงอวดดีวางอำนาจบาตรใหญ่"เขาคิดว่าผู้คนภายนอกบอกว่า ผู้คนตระกูลฉู่นั้นวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่คำพูดล่านี้ก็พูดกันมาหลายปีแล้วไม่ใช่เพิ่งมาพูดกันตอนนี้ แต่เกรงว่าตอนนี้ท่านปู่คงได้ยินแล้วกระมัง?ตระกูลฉู่ ที่จริงแล้วนั้นนับว่ากำแหงจริง ๆ ภายนอกมีคนจำนวนเท่าไรที่เมื่อได้ยินว่าตระกูลฉู่ต้องตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวมหาเสนาบดีฉู่ราวกับไม่ได้ยินที่อ๋องฉีกล่าว ยังคงมองฮูหยินใหญ่ฉู่ "ฮูหยินใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายนอกพูดอะไรกัน?"ฮูหยินใหญ่ฉู่ถูกเอ่ยเรียกแต่กลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า "ท่านพ่อ ลูกสะใภ้ไม่เคยสนใจข่าวลือเรื่องไร้สาระตามท้องตลาดเจ้าค่ะ""ใช่แล้ว" มหาเสนาบดีฉู่แววตาคมดุจมีดเอ่ยขึ้นเสียงเข้มว่า "แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่เคยใส่ใจ เพราะหากเจ้าสนใจก็ควรรู้ว่าข่าวลือเหมือนลูกธนูอาบยาพิษที่ สามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย"ฮูหยินใหญ่ฉู่ไม่กล้ามองสบตาเขาทำเพียงก้มหน้าลง "เจ้าค่ะ!"หลายคนที่อยู่ที่นี่เข้าใจควา
ทว่าฮูหยินใหญ่ฉู่ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เป็นอย่างมาก คิดว่าท่านพ่อคงไม่ถึงกับว่าจะช่วยนางข้าหลวงสี่นั่นต่อหน้าผู้คนมากมายจึงเอ่ยว่า "ท่านพ่อ เรื่องที่ฮูหยินรองกล่าวนั้น ลูกสะใภ้ก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ฟางอวี่ผู้นี้สมควรตายจริง ๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าสบคบกับนางข้าหลวงข้างกายไท่ซ่างหวง ทำให้วังหลวงต้องเสื่อมเสีย สมควรตายจริง ๆ เจ้าค่ะ"เรื่องแบบนี้มีอะไรดีให้แก้ตัวกัน? เขาก็ตายไปหลายปีแล้วอีกอย่าง เรื่องในตอนนั้นจะยังมีใครไปสืบสวนกันทหารราชองครักษ์ผู้นั้นถูกประหารชีวิต ผู้คนมากมายต่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คือการที่ทำให้ไท่ซ่างหวงทรงกริ้วจึงทำให้ถูกโบยจนตายคนหนึ่งถูกไท่ซ่างหวงประหารชีวิต ส่วนอีกคนเป็นข้ารับใช้แก่ที่อยู่ปรนนิบัติในวังมานานหลายปีเท่านั้น ไม่ควรจะต้องระดมคนมามากมายเช่นนี้แววตาของมหาเสนาบดีฉู่เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว แต่น้ำเสียงกลับสงบดุจแอ่งน้ำ "ฟางอวี่ อายุสิบหกปีก็ติดตามไท่ซ่างหวง หลังจากไท่ซ่างหวงขึ้นครองราชย์ เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี ครั้งหนึ่งไท่ซ่างหวงทรงเสด็จนำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง เขาก็คอยตามไปด้วย ก