"เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ เจ้าอายุมากแล้วทนไม่ได้แล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ายังอ่อนเยาว์อยู่รึ?" เซียวเหยากงพยายามเกลี้ยกล่อม"ไม่ต้องรีบร้อน หาได้ยากนักที่ข้าจะสามารถมองนางเงียบ ๆ เช่นนี้ได้" เขาหันหน้าไปมองใบหน้าของนางข้าหลวงสี่แล้วยื่นมือไปเกี่ยวผมของนาง "คราวที่แล้วที่ข้าบังเอิญสัมผัสผมของนางเช่นนี้ ในตอนนั้นผมของนางยังไม่มีผมหงอก แต่ตอนนี้ล้วนขาวขึ้นไปมากแล้ว เหล่าเซียวเหยา พวกเราแก่แล้วจริง ๆ หลายสิ่งหลายอย่างที่คิดว่ายังรอต่อไปได้อีก แต่ความจริงแล้วไม่มีวันนั้นอีกแล้ว ”เซียวเหยากงรู้ว่าเขาเป็นทุกข์มาทั้งชีวิต ในบรรดาพวกเขาสามคน ท่านฉู่เป็นคนที่อดทนต่อความทุกข์และเก็บไว้ในใจได้มากที่สุด ยิ่งเป็นอารมณ์ที่ด้านชาและสิ่งที่ตัดสินแล้วก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิตคนภายนอกล้วนบอกว่าท่านฉู่มีความทะเยอทะยานเขาเห็นด้วย ใช่ ท่านฉู่มีความทะเยอทะยานแต่ความทะเยอทะยานของเขาไม่เคยอยู่เหนือตำแหน่งนั้นตอนที่หยวนชิงหลิงและอวี่เหวินห่าวมาถึง เมื่อเห็นผมทั้งศีรษะของมหาเสนาบดีฉู่ที่ขาวราวหิมะก็ตะลึงงันหากบอกว่าหยวนชิงหลิงเคยเคียดแค้นมหาเสนาบดีฉู่เพราะเรื่องของนางข้าหลวงสี่ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีเป็นเช่นนั
หลังจากมหาเสนาบดีฉู่เข้าพบเสนาบดีเจียงหนิงแล้ว ก็ขอให้ถังหยางไปส่งเสนาบดีเจียงหนิงและภรรยากลับจวนพักรับรองจ่านด้วยตนเอง เขาเองก็ไม่ได้เข้าไปดูนางข้าหลวงสี่อีก พอได้ยินคําพูดของหยวนชิงหลิงเขาก็สบายใจแล้วหยวนชิงหลิงเข้าไปในห้องโถงหลักแล้วขวางเขาไว้ดวงตาของหยวนชิงหลิงยกขึ้น "มหาเสนาบดีฉู่ บางทีอาจจะไปสอบถามที่โรงน้ำชาเต๋อคังดู ข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ภายนอกมีต้นกําเนิดมาจากโรงน้ำชาเต๋อคัง"มหาเสนาบดีฉู่มองนางเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ จึงคอยเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า "อืม ขอบคุณพระชายามาก" เขาและเซียวเหยากงเดินออกไปยืนตระหง่านอยู่บนถนน เสื้อผ้าสีเขียวของเขาถูกลมพัดเส้นผมที่ขาวราวหิมะเกิดแสงส่องประกายระยิบระยับ ภายใต้แสงแดดอ่อน ๆ ยามรุ่งอรุณอากาศหนาวแล้วผู้คนที่สัญจรไปมาก็ใส่เสื้อผ้าตัวหนาเพิ่มเข้าไปเขาจูงม้าแล้วเดินช้า ๆ เซียวเหยากงเดินอยู่ข้างกายเขาอยากจะเอ่ยกับเขาสักสองสามประโยค แต่เขารู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าเหมือนกับช่วงเวลาตอนที่พวกเขาต่อสู้ทําสงครามในทะเลทรายอย่างหนัก พวกเขาทั้งหมดล้วนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพราะบางทีสงครามครั้งนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ดูย่ำแย่ จนบางทีอาจจะ
เขาคิดว่าคำสี่คำนี้แขวนอยู่เป็นเวลานาน ถึงที่สุดแล้วพวกเขาก็เข้าใจความหมายในนั้น"ใครก็ได้ เอาภาพตัวอักษรจากห้องข้ามาเปลี่ยนแทนที่ป้ายอักษรเตือนใจนี้ที" มหาเสนาบดีฉู่ออกคำสั่งช้า ๆ อย่างผ่อนคลายพ่อบ้านมาถึงก็โค้งคํานับแล้วเอ่ยถามว่า "ไม่ทราบว่านายท่าน ท่านต้องการภาพ ภาพไหนขอรับ?" มหาเสนาบดีฉู่หมุนตัวมามองพ่อบ้าน "สี่คำนั้นที่ข้าเขียนขึ้นเมื่อวันก่อน"พ่อบ้านตะลึงงัน "นี่ท่านหมายถึงคำสี่คำที่ว่า เซียว จาง ป่า ฮู้ หรือขอรับ? ...คำนั่นมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนะขอรับ?"เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูรองยืนกรานจะแต่งงานกับอ๋องฉู๋จึงอดอาหารอยู่ในห้อง อีกทั้งด่าทอพระชายาฉู่ นายท่านอยู่ในห้องหนังสือจึงเขียนอักษรสี่คำว่า กำแหง อวดดี วางอำนาจบาตรใหญ่ "ไปทำตาม!" มหาเสนาบดีฉู่ออกคำสั่งเสียงเข้มแต่ไรมาเขาน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าโต้แย้ง และเมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ถึงแม้ว่าพ่อบ้านจะมีคำถามอีกมากมายทก็ได้แต่ไปจัดการคนตระกูลฉู่ได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว อีกทั้งบอกว่าให้คนในจวนไปรวมตัวก็รีบร้อนออกมา แม้แต่ฮูหยินเฒ่าใบ้ผู้นั้นก็ถูกประคองออกมามหาเสนาบดีนั่งอยู่บนที่นั่งหลักมองดูเหล่าภรรยา อนุ และหลานที่กำลั
อ๋องฉีถามว่า "ไม่ทราบว่าท่านปู่ได้ยินข่าวลืออะไรมา? แต่คนข้างนอกจะกล่าวอะไรก็ช่างเถอะ ปากยาวอยู่บนตัวคนอื่น ใครจะสนใจว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไร? ตระกูลฉู่ไม่นับว่ากำแหงอวดดีวางอำนาจบาตรใหญ่"เขาคิดว่าผู้คนภายนอกบอกว่า ผู้คนตระกูลฉู่นั้นวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่คำพูดล่านี้ก็พูดกันมาหลายปีแล้วไม่ใช่เพิ่งมาพูดกันตอนนี้ แต่เกรงว่าตอนนี้ท่านปู่คงได้ยินแล้วกระมัง?ตระกูลฉู่ ที่จริงแล้วนั้นนับว่ากำแหงจริง ๆ ภายนอกมีคนจำนวนเท่าไรที่เมื่อได้ยินว่าตระกูลฉู่ต้องตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวมหาเสนาบดีฉู่ราวกับไม่ได้ยินที่อ๋องฉีกล่าว ยังคงมองฮูหยินใหญ่ฉู่ "ฮูหยินใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายนอกพูดอะไรกัน?"ฮูหยินใหญ่ฉู่ถูกเอ่ยเรียกแต่กลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า "ท่านพ่อ ลูกสะใภ้ไม่เคยสนใจข่าวลือเรื่องไร้สาระตามท้องตลาดเจ้าค่ะ""ใช่แล้ว" มหาเสนาบดีฉู่แววตาคมดุจมีดเอ่ยขึ้นเสียงเข้มว่า "แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่เคยใส่ใจ เพราะหากเจ้าสนใจก็ควรรู้ว่าข่าวลือเหมือนลูกธนูอาบยาพิษที่ สามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย"ฮูหยินใหญ่ฉู่ไม่กล้ามองสบตาเขาทำเพียงก้มหน้าลง "เจ้าค่ะ!"หลายคนที่อยู่ที่นี่เข้าใจควา
ทว่าฮูหยินใหญ่ฉู่ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เป็นอย่างมาก คิดว่าท่านพ่อคงไม่ถึงกับว่าจะช่วยนางข้าหลวงสี่นั่นต่อหน้าผู้คนมากมายจึงเอ่ยว่า "ท่านพ่อ เรื่องที่ฮูหยินรองกล่าวนั้น ลูกสะใภ้ก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ฟางอวี่ผู้นี้สมควรตายจริง ๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าสบคบกับนางข้าหลวงข้างกายไท่ซ่างหวง ทำให้วังหลวงต้องเสื่อมเสีย สมควรตายจริง ๆ เจ้าค่ะ"เรื่องแบบนี้มีอะไรดีให้แก้ตัวกัน? เขาก็ตายไปหลายปีแล้วอีกอย่าง เรื่องในตอนนั้นจะยังมีใครไปสืบสวนกันทหารราชองครักษ์ผู้นั้นถูกประหารชีวิต ผู้คนมากมายต่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คือการที่ทำให้ไท่ซ่างหวงทรงกริ้วจึงทำให้ถูกโบยจนตายคนหนึ่งถูกไท่ซ่างหวงประหารชีวิต ส่วนอีกคนเป็นข้ารับใช้แก่ที่อยู่ปรนนิบัติในวังมานานหลายปีเท่านั้น ไม่ควรจะต้องระดมคนมามากมายเช่นนี้แววตาของมหาเสนาบดีฉู่เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว แต่น้ำเสียงกลับสงบดุจแอ่งน้ำ "ฟางอวี่ อายุสิบหกปีก็ติดตามไท่ซ่างหวง หลังจากไท่ซ่างหวงขึ้นครองราชย์ เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี ครั้งหนึ่งไท่ซ่างหวงทรงเสด็จนำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง เขาก็คอยตามไปด้วย ก
นายท่านตระกูลฉู่ตัวอ่อนยวบลงทันทีเขาและภรรยารักใคร่ถนุถนอมถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขายินดีที่จะตายเพื่อภรรยาของเขาฮูหยินใหญ่ฉู่เดือดดาลเอ่ยเสียงแหลมว่า "ลูกสะใภ้ไม่เชื่อว่าไท่ซ่างหวงจะต้องการชีวิตของลูกสะใภ้ เสนาบดีพิทักษ์แคว้นก็ตายไปหลายปีแล้ว ต่อให้ข้าแต่งเรื่องขึ้น ก็ให้ข้าไปกล่าวขอโทษลูกหลานของเขาก็ได้ ไม่มีทางที่ไท่ซ่างหวงจะต้องการชีวิตข้า เป็นท่าน ท่านพ่อ เพราะท่านต้องการปกป้องนางข้าหลวงสี่ผู้นั้น เพื่อนางท่านก็ไม่เสียดายที่จะสังหารญาติพี่น้อง การเป็นใบ้ของท่านแม่ก็เป็นฝีมือของท่าน เพราะท่านต้องการปกป้องหญิงแก่ต่ำช้าผู้นั้น หญิงแก่ต่ำต้อย ท่านถึงทำเช่นนี้กับท่านแม่หรือ? นางทำงานดูแลเรื่องราวในจวน เป็นผู้หญิงที่ให้กำเนิดทายาทให้ท่าน ท่านไม่ควรทำเช่นนั้นกับนาง"ใบหน้าของหน้าถูกตบฮูหยินใหญ่ฉู่หันไปทางขวาอย่างตกตะลึง แต่กลับเห็นว่าเป็นแม่สามีที่ตีตนเองใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธจนกล้ามเนื้อบนใบหน้าของสั่นระริก และในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จนนางเอ่ยอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียวฮูหยินใหญ่ฉู่ลูบใบหน้าด้วยน้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตา "ท่านแม่? เพราะเหตุใดกัน? ข้า
ฉู่หมิงชุ่ยลุกขึ้นยืนทันทีแล้วดึงเขาไปด้านข้างและเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ถ้าท่านไม่ช่วยเกลี้ยกล่อมก็ช่างมัน แต่ยังมาเติมน้ำมันลงในกองไฟอีก ท่านกลับกันเถอะ" อ๋องฉีมองนางเพียงรู้สึกว่าใบหน้างดงามที่ดูไม่พอใจนี้ดูไม่คุ้นเคยเป็นพิเศษ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ "ดูท่าแล้วเหมือนเจ้าเองก็จะคิดว่าที่มารดาของเจ้ากล่าวมานั้นถูกต้องรึ? ราชวงศ์สู้ตระกูลฉู่ไม่ได้จริง ๆ หรือ? แล้วทำไมเจ้าถึงจะต้องแต่งงานกับข้าด้วยเล่า? มิสู้หาสามีที่แต่งเข้าตระกูลเจ้าล่ะ บางทีสามีของเจ้าอาจจะเป็นราชบุตรเขยก็ได้!"ฉู่หมิงชุ่ยเอ่ยด้วยความโมโห "นี่ท่านกำลังสร้างปัญหาอยู่รึ? หยุดโวยวายได้แล้วดีหรือไม่?"อ๋องฉีมองคนในห้องนี้ไม่มีใครตำหนิติเตียนฉู่หมิงชุ่ยแม้แต่คำเดียว แล้วเขาก็พลันรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ จากนั้นก็มองไปยังคำสี่คำเซียวจางป่าฮู้บนแผ่นกระดานที่แขวนอยู่บนประตู และเขาก็เอ่ยขึ้นว่า "ใช่แล้ว ตระกูลฉู่ต้องแบกรับคำสี่คำนี้ไว้ได้" กล่าวจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไปฉู่หมิงชุ่ยโกรธจนน้ำตาคลอเบ้า รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่งรู้สึกผิดหวังกับเขาฉู่หมิงหยางมองนางด้วยความยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น เพียงแต่ว่าในช่วง
ฮูหยินอาวุโสสูงสุดของตระกูลฉู่นั้นคือ มารดาผู้ที่แท้จริงของท่านมหาเสนาบดีฉู่ฐานะชาติกำเนิดฮูหยินอาวุโสนั้นเป็นถึงท่านหญิง และได้มาแต่งกับบิดาของมหาเสนาบดีฉู่สถานะของนางนั้นช่างสูงส่ง เป็นครอบครัวตระกูลผู้ดีที่สูงศักดิ์ เข้มงวด มิอาจนอกลู่นอกทางได้ ในเวลานั้นมหาเสนาบดีฉู่บอกว่าจะแต่งงานกับนางกำนัลคนหนึ่งเป็นภรรยาเอก นางก็ได้ออกปากคัดค้านอย่างรุนแรงนางได้ใช้พลังอำนาจทั้งหมดที่มี กระทั่งยอมเข้าวังไปเตือนนางข้าหลวงสี่ด้วยตนเองในฐานะที่นางเป็นถึงท่านหญิง นางจึงได้ติดต่อกับพระสนมในวังหลวงจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เองพระสนมทั้งหลายจึงช่วยกันกดดันนางข้าหลวงสี่ครอบครัวของนางมิอาจยอมรับนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาทำให้แปดเปื้อนเป็นมลทินได้แม้ว่าภายหลังลูกชายจะแต่งงานกับลูกสาวขุนนางฝ่ายตรวจการที่ต้องโทษ นางเองก็ไม่ได้พึงพอใจเท่าไหร่นัก แต่ทว่านั้นหลังจากการต่อสู้นั้น ในท้ายที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปสุดท้าย แค่ไม่ใช่นางกำนัลก็นับว่าดีมากโขแล้วฮูหยินอาวุโสได้เข้าอารามแม่ชีไปปฏิบัติธรรมเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย นางได้ไหว้พระขอพรให้ให้ปกป้องคุ้มครองลูกหลาน และขอให้ตระกูลฉู่ยืนยาวตลอดไป ตั้งแต่ที่นา
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม