นายท่านตระกูลฉู่ตัวอ่อนยวบลงทันทีเขาและภรรยารักใคร่ถนุถนอมถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขายินดีที่จะตายเพื่อภรรยาของเขาฮูหยินใหญ่ฉู่เดือดดาลเอ่ยเสียงแหลมว่า "ลูกสะใภ้ไม่เชื่อว่าไท่ซ่างหวงจะต้องการชีวิตของลูกสะใภ้ เสนาบดีพิทักษ์แคว้นก็ตายไปหลายปีแล้ว ต่อให้ข้าแต่งเรื่องขึ้น ก็ให้ข้าไปกล่าวขอโทษลูกหลานของเขาก็ได้ ไม่มีทางที่ไท่ซ่างหวงจะต้องการชีวิตข้า เป็นท่าน ท่านพ่อ เพราะท่านต้องการปกป้องนางข้าหลวงสี่ผู้นั้น เพื่อนางท่านก็ไม่เสียดายที่จะสังหารญาติพี่น้อง การเป็นใบ้ของท่านแม่ก็เป็นฝีมือของท่าน เพราะท่านต้องการปกป้องหญิงแก่ต่ำช้าผู้นั้น หญิงแก่ต่ำต้อย ท่านถึงทำเช่นนี้กับท่านแม่หรือ? นางทำงานดูแลเรื่องราวในจวน เป็นผู้หญิงที่ให้กำเนิดทายาทให้ท่าน ท่านไม่ควรทำเช่นนั้นกับนาง"ใบหน้าของหน้าถูกตบฮูหยินใหญ่ฉู่หันไปทางขวาอย่างตกตะลึง แต่กลับเห็นว่าเป็นแม่สามีที่ตีตนเองใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธจนกล้ามเนื้อบนใบหน้าของสั่นระริก และในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จนนางเอ่ยอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียวฮูหยินใหญ่ฉู่ลูบใบหน้าด้วยน้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตา "ท่านแม่? เพราะเหตุใดกัน? ข้า
ฉู่หมิงชุ่ยลุกขึ้นยืนทันทีแล้วดึงเขาไปด้านข้างและเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ถ้าท่านไม่ช่วยเกลี้ยกล่อมก็ช่างมัน แต่ยังมาเติมน้ำมันลงในกองไฟอีก ท่านกลับกันเถอะ" อ๋องฉีมองนางเพียงรู้สึกว่าใบหน้างดงามที่ดูไม่พอใจนี้ดูไม่คุ้นเคยเป็นพิเศษ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ "ดูท่าแล้วเหมือนเจ้าเองก็จะคิดว่าที่มารดาของเจ้ากล่าวมานั้นถูกต้องรึ? ราชวงศ์สู้ตระกูลฉู่ไม่ได้จริง ๆ หรือ? แล้วทำไมเจ้าถึงจะต้องแต่งงานกับข้าด้วยเล่า? มิสู้หาสามีที่แต่งเข้าตระกูลเจ้าล่ะ บางทีสามีของเจ้าอาจจะเป็นราชบุตรเขยก็ได้!"ฉู่หมิงชุ่ยเอ่ยด้วยความโมโห "นี่ท่านกำลังสร้างปัญหาอยู่รึ? หยุดโวยวายได้แล้วดีหรือไม่?"อ๋องฉีมองคนในห้องนี้ไม่มีใครตำหนิติเตียนฉู่หมิงชุ่ยแม้แต่คำเดียว แล้วเขาก็พลันรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ จากนั้นก็มองไปยังคำสี่คำเซียวจางป่าฮู้บนแผ่นกระดานที่แขวนอยู่บนประตู และเขาก็เอ่ยขึ้นว่า "ใช่แล้ว ตระกูลฉู่ต้องแบกรับคำสี่คำนี้ไว้ได้" กล่าวจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไปฉู่หมิงชุ่ยโกรธจนน้ำตาคลอเบ้า รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่งรู้สึกผิดหวังกับเขาฉู่หมิงหยางมองนางด้วยความยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น เพียงแต่ว่าในช่วง
ฮูหยินอาวุโสสูงสุดของตระกูลฉู่นั้นคือ มารดาผู้ที่แท้จริงของท่านมหาเสนาบดีฉู่ฐานะชาติกำเนิดฮูหยินอาวุโสนั้นเป็นถึงท่านหญิง และได้มาแต่งกับบิดาของมหาเสนาบดีฉู่สถานะของนางนั้นช่างสูงส่ง เป็นครอบครัวตระกูลผู้ดีที่สูงศักดิ์ เข้มงวด มิอาจนอกลู่นอกทางได้ ในเวลานั้นมหาเสนาบดีฉู่บอกว่าจะแต่งงานกับนางกำนัลคนหนึ่งเป็นภรรยาเอก นางก็ได้ออกปากคัดค้านอย่างรุนแรงนางได้ใช้พลังอำนาจทั้งหมดที่มี กระทั่งยอมเข้าวังไปเตือนนางข้าหลวงสี่ด้วยตนเองในฐานะที่นางเป็นถึงท่านหญิง นางจึงได้ติดต่อกับพระสนมในวังหลวงจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เองพระสนมทั้งหลายจึงช่วยกันกดดันนางข้าหลวงสี่ครอบครัวของนางมิอาจยอมรับนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาทำให้แปดเปื้อนเป็นมลทินได้แม้ว่าภายหลังลูกชายจะแต่งงานกับลูกสาวขุนนางฝ่ายตรวจการที่ต้องโทษ นางเองก็ไม่ได้พึงพอใจเท่าไหร่นัก แต่ทว่านั้นหลังจากการต่อสู้นั้น ในท้ายที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปสุดท้าย แค่ไม่ใช่นางกำนัลก็นับว่าดีมากโขแล้วฮูหยินอาวุโสได้เข้าอารามแม่ชีไปปฏิบัติธรรมเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย นางได้ไหว้พระขอพรให้ให้ปกป้องคุ้มครองลูกหลาน และขอให้ตระกูลฉู่ยืนยาวตลอดไป ตั้งแต่ที่นา
“ท่านปู่!” ทุกคนในห้องโถงใหญ่คลานเข่าไปข้างหน้า ฉู่หมิงชุ่ยคุกเข่าลงกับพื้นและอ้อนวอน “ท่านปู่ ทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านพ่อท่านแม่แต่งงานกันมากกว่ายี่สิบปี สามีภรรยารักใคร่ผูกพันลึกซึ้ง ท่านพ่ออาลัยอาวรณ์มิอาจหย่าร้างกับท่านแม่ได้ นี่เป็นธรรมดาของความรู้สึกมนุษย์เรา และยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่จำต้องหย่าด้วยหรือเจ้าคะ?”มหาเสนาบดีฉู่มองฉู่หมิงชุ่ย และกล่าวอย่างเย็นชา “หย่าก่อน หลังจากนั้นก็รับโทษตายเสีย หย่าคือความคิดของข้า ประหารคือพระบัญชาของไท่ซ่างหวง ใครกล้าฝ่าฝืนรับสั่ง มันผู้นั้นก็ไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่หน้าท้องพระโรงเอาเองซะ!”ฮูหยินใหญ่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางลุกขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด “ได้ ได้สิ ข้าจะไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมด้วยตัวเอง แม้ว่าข้าจะมีความผิด แต่ข้าอยากจะทูลถามไท่ซ่างหวงว่า ตัวข้านั้นผิดจนสมควรได้รับโทษถึงเพียงนี้เชียวหรือ”นายน้อยฉู่รีบเข้ามาดึงนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ท่านแม่ ท่านอย่าตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านปู่เลยนะ รีบคุกเข่าขอโทษเถอะ ท่านก็บอกไปว่าท่านสำนึกผิดแล้ว ท่านปู่จะได้ยกโทษให้ท่านนะขอรับ”ฮูหยินฉู่พูดอย่างเศร้าใจ “เจ้าปล่อยแม่เดี๋ยวนี้
มหาเสนาบดีฉู่กล่าวกับพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ประคองตัวคุณหนูรองกลับห้อง จับตาดูไว้ให้ดี”ฉู่หมิงหยางร้องไห้ และกล่าวอ้อนวอน “ไม่เอา หลานไม่กลับ หลานขอร้องท่าน ปล่อยท่านแม่ไปเถอะนะเจ้าคะ”มหาเสนาบดีฉู่มองไปที่นาง “ได้ยินมาว่า เจ้าบอกแม่ของเจ้าว่า ข้าฟังแค่นางข้าหลวงสี่คนเดียว ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ไปขอให้นางช่วยแม่ของเจ้า แค่นางข้าหลวงสี่พูดคำเดียวว่า แม่เจ้าไม่สมควรตาย ข้าก็จะไม่ฆ่านาง”ฉู่หมิงหยางตัวสั่นเทิ้มไปทั้งตัว “ไม่ ไม่มีทาง ข้าไม่ไปขอร้องนังบ่าวรับใช้นั่น ข้าไม่ไปเด็ดขาด”ฉู่หมิงชุ่ยลุกขึ้นมาทันที “ท่านปู่ ท่านพูดจริงนะเจ้าคะ? เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะไปเอง ข้าจะไปหานางข้าหลวงสี่ ก่อนที่นางข้าหลวงสี่จะมา ท่านจะฆ่าท่านแม่ไม่ได้นะเจ้าคะ”“ข้าให้เวลาเจ้าสองชั่วยาม ในสองชั่วยามนี้ ย่าทวดเจ้าก็คงมาถึงแล้ว” มหาเสนาบดีฉู่มองไปโดยรอบ และออกคำสั่งลงไป “ปิดประตูใหญ่โถงชั้นในให้สนิท ไม่อนุญาตให้ใครออกไปทั้งนั้น หากฝ่าฝืนออกไป ขับออกจากจวนฉู่ทันที ใครก็มาขออนุญาตไม่ได้ทั้งสิ้น ข้าจะนอนพักผ่อนครู่หนึ่ง”ภายใต้ใบหน้าที่หยิ่งทะนงนั้น เขาค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆเขาเหนื่อยเหลือเกินเหนื่อย
แต่ทว่าการที่นางมาเช่นนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าศักดิ์ศรีของนางต้องการพบอย่างนั้นสินะนางจึงให้อาซื่อพาแขกไปยังห้องโถงต้อนรับ และสั่งอาซื่อไม่ให้พูดอะไรกับนางก่อนทั้งสิ้นนางและหยวนหยงอี้เข้าไปกินอะไรง่าย ๆ รองท้องด้วยกันสักหน่อย พอรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง จึงได้ถามหยวนหยงอี้ว่า “เจ้าอยากไปด้วยกันหรือไม่?”“ไปสิเพคะ ข้าจะไปกับท่าน ผู้หญิงคนนั้นจัดการได้ยากนัก ชอบแสดงเสแสร้งทำเป็นน่าสงสาร เกรงว่าท่านอาจตกหลุมพรางนางได้” หยวนหยงอี้กล่าวหยวนชิงหลิงกล่าวเรียบเฉยและเย็นชาว่า “ต่อให้นางคุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าข้า ข้าก็จะไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย”เรื่องของหมานเอ๋อร์สะกิดนิสัยดั้งเดิมในโลกก่อนของนาง ตัวตนของนางเคยเป็นเช่นนั้นจริง และนางพบว่าที่แท้จริงนางไม่เหมาะกับสถานที่แห่งนี้เลยนางต้องจิตใจเข้มแข็ง และเย็นชามากพอที่จะทนต่อคมหอกคมดาบ และอุปสรรคที่ถาโถมเข้ามาฉู่หมิงชุ่ยรอคอยด้วยความกระวนกระวายใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงและหยวนหยงอี้เดินเข้ามา นางเห็นยวนหยงอี้ก็รู้สึกแปลกใจบ้างเล็กน้อย “เจ้าทำไมถึงอยู่ที่นี่?””ข้ามาเยี่ยมพี่หญิงฉู่หวางเจ้าค่ะ” หยวนหยงอี้ย่อกายทำคว
เมื่อฉู่หมิงชุ่ยเห็นนางตอบตกลงอย่างง่ายดาย ก็อดเงยหน้าขึ้นถามด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า “เจ้าน่าจะบอกว่าไม่อนุญาตให้พบนางข้าหลวงสี่? เจ้าไม่น่าจะมีจิตใจที่ดีอะไรเช่นนี้”แววตาหยวนชิงหลิงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “แม่เจ้าใกล้จะตายอยู่แล้ว เจ้ายังคิดสงสัยในท่าทีของข้าอีกอย่างนั้นหรือ?”ฉู่หมิงชุ่ยหันไปรอบ ๆ อย่างเยือกเย็น และพูดกับอาซื่ออย่างเย็นชาว่า “เจ้าไปด้านหน้านำทาง”อาซื่อแค่นหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าทำเหมือนข้าเป็นบ่าวรับใช้ ข้าไม่ใช่บ่าวรับใช้ของใคร เก็บท่าทางสูงส่งของเจ้าซะ”ฉู่หมิงชุ่ยโกรธจัด นางย่อมรู้ว่าอาซื่อคือใคร ในวันนั้นที่จวนอ๋องฉีที่มีการทะเลาะกัน อาซื่อก็อยู่ที่นั่นด้วยนางกลั้นหายใจและกล่าวว่า “รบกวนคุณหนูซื่อนำทางด้วย”อาซื่อก็ข่มใจ ซ่อนหมัดเล็ก ๆ ของนางที่อยากต่อยหน้าคนอย่างกระสับกระส่าย กลัวตัวเองจะทนไม่ไหวคุมมือไม่อยู่ ซัดหมัดเข้าสันจมูกนั่นไปสักทีอาซื่อพาฉู่หมิงชุ่ยมาถึงห้องของนางข้าหลวงสี่ ฉู่หมิงชุ่ยได้กลิ่นยาต้มก็แอบขมวดคิ้วขึ้นมา เมื่ออาซื่อพานางไปถึงข้างเตียง เห็นแม่นมฉีเฝ้านางข้าหลวงสี่ที่กำลังจะตายอยู่บนเตียงนั้น นางก็ตกใจเป็นอันมาก“นาง...เกิดอันใดข
“เจ้า...” ฉู่หมิงชุ่ยข่มใจไว้ และพูดอย่างใจเย็น “ท่านตั้งใจทำให้ยุ่งยากใช่ไหม?” “ใช่!” อ๋องฉีมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวเย็นชาของนาง ความโกรธในใจก็พวยพุ่งออกมา “ข้าทำอะไรให้เจ้าลำบากอย่างนั้นรึ? พวกเจ้าคนตระกูลฉู่ยังกลัวคนอื่นทำให้ลำบากอีกหรือ? พวกเจ้ามีเรื่องอะไรลำบากถึงต้องมาหาข้า มาเอาป้ายเข้าวังของข้า ยังไงใต้หล้านี้เป็นของตระกูลฉู่อยู่แล้ว”ฉู่หมิงชุ่ยโกรธเสียจนขอบตาแดง ปากสั่นไปหมด “ท่านจะทะเลาะกับข้าต่อหน้าคนอื่นแบบนี้เช่นนั้นหรือ?”กู้ซือกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะเดินหน้าถอยหลังอย่างไรดี ท่าทางเหล้านี้จะเป็นพิษเสียแล้วคิดดูแล้ว เขาอาจต้องรีบออกไป จึงลุกขึ้นและบอกว่ามีธุระบางอย่างต้องไปจัดการ และก็รีบวิ่งออกไปในทันทีอ๋องฉีกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคงเห็นข้าเป็นแค่คนนอก ทะเลาะกันต่อหน้าคนนอก ยังมีอะไรต้องอับอายอีก อย่างไรเสียหน้าข้าก็ไม่จำเป็นอยู่แล้ว”ฉู่หมิงชุ่ยทั้งโกรธทั้งน้อยใจ นางกำหมัดแน่นกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าไม่น่าแต่งกับท่านเลยจริง ๆ”คำนี้แทงใจดำอ๋องฉีเข้าอย่างจังเขาลุกขึ้นยืนขึ้นมาทันที แววตาเต็มไปด้วยไฟแห่งโทสะ “ในที่สุดเจ้าก็พูดออกมาจนได้ ตั้งแต่แรก เจ้าไ