หลังจากมหาเสนาบดีฉู่เข้าพบเสนาบดีเจียงหนิงแล้ว ก็ขอให้ถังหยางไปส่งเสนาบดีเจียงหนิงและภรรยากลับจวนพักรับรองจ่านด้วยตนเอง เขาเองก็ไม่ได้เข้าไปดูนางข้าหลวงสี่อีก พอได้ยินคําพูดของหยวนชิงหลิงเขาก็สบายใจแล้วหยวนชิงหลิงเข้าไปในห้องโถงหลักแล้วขวางเขาไว้ดวงตาของหยวนชิงหลิงยกขึ้น "มหาเสนาบดีฉู่ บางทีอาจจะไปสอบถามที่โรงน้ำชาเต๋อคังดู ข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ภายนอกมีต้นกําเนิดมาจากโรงน้ำชาเต๋อคัง"มหาเสนาบดีฉู่มองนางเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ จึงคอยเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า "อืม ขอบคุณพระชายามาก" เขาและเซียวเหยากงเดินออกไปยืนตระหง่านอยู่บนถนน เสื้อผ้าสีเขียวของเขาถูกลมพัดเส้นผมที่ขาวราวหิมะเกิดแสงส่องประกายระยิบระยับ ภายใต้แสงแดดอ่อน ๆ ยามรุ่งอรุณอากาศหนาวแล้วผู้คนที่สัญจรไปมาก็ใส่เสื้อผ้าตัวหนาเพิ่มเข้าไปเขาจูงม้าแล้วเดินช้า ๆ เซียวเหยากงเดินอยู่ข้างกายเขาอยากจะเอ่ยกับเขาสักสองสามประโยค แต่เขารู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้าเหมือนกับช่วงเวลาตอนที่พวกเขาต่อสู้ทําสงครามในทะเลทรายอย่างหนัก พวกเขาทั้งหมดล้วนไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เพราะบางทีสงครามครั้งนั้น ทุกคนต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นการต่อสู้ที่ดูย่ำแย่ จนบางทีอาจจะ
เขาคิดว่าคำสี่คำนี้แขวนอยู่เป็นเวลานาน ถึงที่สุดแล้วพวกเขาก็เข้าใจความหมายในนั้น"ใครก็ได้ เอาภาพตัวอักษรจากห้องข้ามาเปลี่ยนแทนที่ป้ายอักษรเตือนใจนี้ที" มหาเสนาบดีฉู่ออกคำสั่งช้า ๆ อย่างผ่อนคลายพ่อบ้านมาถึงก็โค้งคํานับแล้วเอ่ยถามว่า "ไม่ทราบว่านายท่าน ท่านต้องการภาพ ภาพไหนขอรับ?" มหาเสนาบดีฉู่หมุนตัวมามองพ่อบ้าน "สี่คำนั้นที่ข้าเขียนขึ้นเมื่อวันก่อน"พ่อบ้านตะลึงงัน "นี่ท่านหมายถึงคำสี่คำที่ว่า เซียว จาง ป่า ฮู้ หรือขอรับ? ...คำนั่นมันไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนะขอรับ?"เมื่อไม่นานมานี้คุณหนูรองยืนกรานจะแต่งงานกับอ๋องฉู๋จึงอดอาหารอยู่ในห้อง อีกทั้งด่าทอพระชายาฉู่ นายท่านอยู่ในห้องหนังสือจึงเขียนอักษรสี่คำว่า กำแหง อวดดี วางอำนาจบาตรใหญ่ "ไปทำตาม!" มหาเสนาบดีฉู่ออกคำสั่งเสียงเข้มแต่ไรมาเขาน่าเกรงขามจนไม่มีใครกล้าโต้แย้ง และเมื่อคำพูดนี้หลุดออกมา ถึงแม้ว่าพ่อบ้านจะมีคำถามอีกมากมายทก็ได้แต่ไปจัดการคนตระกูลฉู่ได้ยินว่าเขากลับมาแล้ว อีกทั้งบอกว่าให้คนในจวนไปรวมตัวก็รีบร้อนออกมา แม้แต่ฮูหยินเฒ่าใบ้ผู้นั้นก็ถูกประคองออกมามหาเสนาบดีนั่งอยู่บนที่นั่งหลักมองดูเหล่าภรรยา อนุ และหลานที่กำลั
อ๋องฉีถามว่า "ไม่ทราบว่าท่านปู่ได้ยินข่าวลืออะไรมา? แต่คนข้างนอกจะกล่าวอะไรก็ช่างเถอะ ปากยาวอยู่บนตัวคนอื่น ใครจะสนใจว่าผู้อื่นจะว่าอย่างไร? ตระกูลฉู่ไม่นับว่ากำแหงอวดดีวางอำนาจบาตรใหญ่"เขาคิดว่าผู้คนภายนอกบอกว่า ผู้คนตระกูลฉู่นั้นวางอำนาจบาตรใหญ่ แต่คำพูดล่านี้ก็พูดกันมาหลายปีแล้วไม่ใช่เพิ่งมาพูดกันตอนนี้ แต่เกรงว่าตอนนี้ท่านปู่คงได้ยินแล้วกระมัง?ตระกูลฉู่ ที่จริงแล้วนั้นนับว่ากำแหงจริง ๆ ภายนอกมีคนจำนวนเท่าไรที่เมื่อได้ยินว่าตระกูลฉู่ต้องตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัวมหาเสนาบดีฉู่ราวกับไม่ได้ยินที่อ๋องฉีกล่าว ยังคงมองฮูหยินใหญ่ฉู่ "ฮูหยินใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายนอกพูดอะไรกัน?"ฮูหยินใหญ่ฉู่ถูกเอ่ยเรียกแต่กลับไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเพียงแค่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า "ท่านพ่อ ลูกสะใภ้ไม่เคยสนใจข่าวลือเรื่องไร้สาระตามท้องตลาดเจ้าค่ะ""ใช่แล้ว" มหาเสนาบดีฉู่แววตาคมดุจมีดเอ่ยขึ้นเสียงเข้มว่า "แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าไม่เคยใส่ใจ เพราะหากเจ้าสนใจก็ควรรู้ว่าข่าวลือเหมือนลูกธนูอาบยาพิษที่ สามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย"ฮูหยินใหญ่ฉู่ไม่กล้ามองสบตาเขาทำเพียงก้มหน้าลง "เจ้าค่ะ!"หลายคนที่อยู่ที่นี่เข้าใจควา
ทว่าฮูหยินใหญ่ฉู่ไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เป็นอย่างมาก คิดว่าท่านพ่อคงไม่ถึงกับว่าจะช่วยนางข้าหลวงสี่นั่นต่อหน้าผู้คนมากมายจึงเอ่ยว่า "ท่านพ่อ เรื่องที่ฮูหยินรองกล่าวนั้น ลูกสะใภ้ก็เคยได้ยินมาเช่นกัน ฟางอวี่ผู้นี้สมควรตายจริง ๆ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าสบคบกับนางข้าหลวงข้างกายไท่ซ่างหวง ทำให้วังหลวงต้องเสื่อมเสีย สมควรตายจริง ๆ เจ้าค่ะ"เรื่องแบบนี้มีอะไรดีให้แก้ตัวกัน? เขาก็ตายไปหลายปีแล้วอีกอย่าง เรื่องในตอนนั้นจะยังมีใครไปสืบสวนกันทหารราชองครักษ์ผู้นั้นถูกประหารชีวิต ผู้คนมากมายต่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็คือการที่ทำให้ไท่ซ่างหวงทรงกริ้วจึงทำให้ถูกโบยจนตายคนหนึ่งถูกไท่ซ่างหวงประหารชีวิต ส่วนอีกคนเป็นข้ารับใช้แก่ที่อยู่ปรนนิบัติในวังมานานหลายปีเท่านั้น ไม่ควรจะต้องระดมคนมามากมายเช่นนี้แววตาของมหาเสนาบดีฉู่เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว แต่น้ำเสียงกลับสงบดุจแอ่งน้ำ "ฟางอวี่ อายุสิบหกปีก็ติดตามไท่ซ่างหวง หลังจากไท่ซ่างหวงขึ้นครองราชย์ เขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าราชองครักษ์ตั้งแต่ดำรงตำแหน่งก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความจงรักภักดี ครั้งหนึ่งไท่ซ่างหวงทรงเสด็จนำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง เขาก็คอยตามไปด้วย ก
นายท่านตระกูลฉู่ตัวอ่อนยวบลงทันทีเขาและภรรยารักใคร่ถนุถนอมถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขายินดีที่จะตายเพื่อภรรยาของเขาฮูหยินใหญ่ฉู่เดือดดาลเอ่ยเสียงแหลมว่า "ลูกสะใภ้ไม่เชื่อว่าไท่ซ่างหวงจะต้องการชีวิตของลูกสะใภ้ เสนาบดีพิทักษ์แคว้นก็ตายไปหลายปีแล้ว ต่อให้ข้าแต่งเรื่องขึ้น ก็ให้ข้าไปกล่าวขอโทษลูกหลานของเขาก็ได้ ไม่มีทางที่ไท่ซ่างหวงจะต้องการชีวิตข้า เป็นท่าน ท่านพ่อ เพราะท่านต้องการปกป้องนางข้าหลวงสี่ผู้นั้น เพื่อนางท่านก็ไม่เสียดายที่จะสังหารญาติพี่น้อง การเป็นใบ้ของท่านแม่ก็เป็นฝีมือของท่าน เพราะท่านต้องการปกป้องหญิงแก่ต่ำช้าผู้นั้น หญิงแก่ต่ำต้อย ท่านถึงทำเช่นนี้กับท่านแม่หรือ? นางทำงานดูแลเรื่องราวในจวน เป็นผู้หญิงที่ให้กำเนิดทายาทให้ท่าน ท่านไม่ควรทำเช่นนั้นกับนาง"ใบหน้าของหน้าถูกตบฮูหยินใหญ่ฉู่หันไปทางขวาอย่างตกตะลึง แต่กลับเห็นว่าเป็นแม่สามีที่ตีตนเองใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธจนกล้ามเนื้อบนใบหน้าของสั่นระริก และในแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จนนางเอ่ยอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียวฮูหยินใหญ่ฉู่ลูบใบหน้าด้วยน้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตา "ท่านแม่? เพราะเหตุใดกัน? ข้า
ฉู่หมิงชุ่ยลุกขึ้นยืนทันทีแล้วดึงเขาไปด้านข้างและเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ถ้าท่านไม่ช่วยเกลี้ยกล่อมก็ช่างมัน แต่ยังมาเติมน้ำมันลงในกองไฟอีก ท่านกลับกันเถอะ" อ๋องฉีมองนางเพียงรู้สึกว่าใบหน้างดงามที่ดูไม่พอใจนี้ดูไม่คุ้นเคยเป็นพิเศษ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ "ดูท่าแล้วเหมือนเจ้าเองก็จะคิดว่าที่มารดาของเจ้ากล่าวมานั้นถูกต้องรึ? ราชวงศ์สู้ตระกูลฉู่ไม่ได้จริง ๆ หรือ? แล้วทำไมเจ้าถึงจะต้องแต่งงานกับข้าด้วยเล่า? มิสู้หาสามีที่แต่งเข้าตระกูลเจ้าล่ะ บางทีสามีของเจ้าอาจจะเป็นราชบุตรเขยก็ได้!"ฉู่หมิงชุ่ยเอ่ยด้วยความโมโห "นี่ท่านกำลังสร้างปัญหาอยู่รึ? หยุดโวยวายได้แล้วดีหรือไม่?"อ๋องฉีมองคนในห้องนี้ไม่มีใครตำหนิติเตียนฉู่หมิงชุ่ยแม้แต่คำเดียว แล้วเขาก็พลันรู้สึกท้อแท้หมดกำลังใจ จากนั้นก็มองไปยังคำสี่คำเซียวจางป่าฮู้บนแผ่นกระดานที่แขวนอยู่บนประตู และเขาก็เอ่ยขึ้นว่า "ใช่แล้ว ตระกูลฉู่ต้องแบกรับคำสี่คำนี้ไว้ได้" กล่าวจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไปฉู่หมิงชุ่ยโกรธจนน้ำตาคลอเบ้า รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่งรู้สึกผิดหวังกับเขาฉู่หมิงหยางมองนางด้วยความยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น เพียงแต่ว่าในช่วง
ฮูหยินอาวุโสสูงสุดของตระกูลฉู่นั้นคือ มารดาผู้ที่แท้จริงของท่านมหาเสนาบดีฉู่ฐานะชาติกำเนิดฮูหยินอาวุโสนั้นเป็นถึงท่านหญิง และได้มาแต่งกับบิดาของมหาเสนาบดีฉู่สถานะของนางนั้นช่างสูงส่ง เป็นครอบครัวตระกูลผู้ดีที่สูงศักดิ์ เข้มงวด มิอาจนอกลู่นอกทางได้ ในเวลานั้นมหาเสนาบดีฉู่บอกว่าจะแต่งงานกับนางกำนัลคนหนึ่งเป็นภรรยาเอก นางก็ได้ออกปากคัดค้านอย่างรุนแรงนางได้ใช้พลังอำนาจทั้งหมดที่มี กระทั่งยอมเข้าวังไปเตือนนางข้าหลวงสี่ด้วยตนเองในฐานะที่นางเป็นถึงท่านหญิง นางจึงได้ติดต่อกับพระสนมในวังหลวงจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้เองพระสนมทั้งหลายจึงช่วยกันกดดันนางข้าหลวงสี่ครอบครัวของนางมิอาจยอมรับนางกำนัลคนหนึ่งเข้ามาทำให้แปดเปื้อนเป็นมลทินได้แม้ว่าภายหลังลูกชายจะแต่งงานกับลูกสาวขุนนางฝ่ายตรวจการที่ต้องโทษ นางเองก็ไม่ได้พึงพอใจเท่าไหร่นัก แต่ทว่านั้นหลังจากการต่อสู้นั้น ในท้ายที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปสุดท้าย แค่ไม่ใช่นางกำนัลก็นับว่าดีมากโขแล้วฮูหยินอาวุโสได้เข้าอารามแม่ชีไปปฏิบัติธรรมเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย นางได้ไหว้พระขอพรให้ให้ปกป้องคุ้มครองลูกหลาน และขอให้ตระกูลฉู่ยืนยาวตลอดไป ตั้งแต่ที่นา
“ท่านปู่!” ทุกคนในห้องโถงใหญ่คลานเข่าไปข้างหน้า ฉู่หมิงชุ่ยคุกเข่าลงกับพื้นและอ้อนวอน “ท่านปู่ ทำแบบนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ ท่านพ่อท่านแม่แต่งงานกันมากกว่ายี่สิบปี สามีภรรยารักใคร่ผูกพันลึกซึ้ง ท่านพ่ออาลัยอาวรณ์มิอาจหย่าร้างกับท่านแม่ได้ นี่เป็นธรรมดาของความรู้สึกมนุษย์เรา และยิ่งไปกว่านั้น ท่านแม่จำต้องหย่าด้วยหรือเจ้าคะ?”มหาเสนาบดีฉู่มองฉู่หมิงชุ่ย และกล่าวอย่างเย็นชา “หย่าก่อน หลังจากนั้นก็รับโทษตายเสีย หย่าคือความคิดของข้า ประหารคือพระบัญชาของไท่ซ่างหวง ใครกล้าฝ่าฝืนรับสั่ง มันผู้นั้นก็ไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมที่หน้าท้องพระโรงเอาเองซะ!”ฮูหยินใหญ่สั่นสะท้านไปทั้งร่าง นางลุกขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด “ได้ ได้สิ ข้าจะไปร้องเรียนขอความเป็นธรรมด้วยตัวเอง แม้ว่าข้าจะมีความผิด แต่ข้าอยากจะทูลถามไท่ซ่างหวงว่า ตัวข้านั้นผิดจนสมควรได้รับโทษถึงเพียงนี้เชียวหรือ”นายน้อยฉู่รีบเข้ามาดึงนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ท่านแม่ ท่านอย่าตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านปู่เลยนะ รีบคุกเข่าขอโทษเถอะ ท่านก็บอกไปว่าท่านสำนึกผิดแล้ว ท่านปู่จะได้ยกโทษให้ท่านนะขอรับ”ฮูหยินฉู่พูดอย่างเศร้าใจ “เจ้าปล่อยแม่เดี๋ยวนี้