อวี่เหวินห่าวลังเลอยู่สักพักกับคำขอของไต้ซือ “ข้าฟังด้วยไม่ได้หรือ?”“ฟังข้า” ไต้ซือยิ้มแย้ม “ท่านอ๋องออกไปรอหรือไปที่ห้องโถงด้านข้างดื่มชาก่อน”อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าวันนี้ไต้ซือก็ดูแปลกขึ้นมาเขาเดินออกไปอย่างช้า ๆ เดินหนึ่งก้าวหันกลับมาสามครั้ง หยวนชิงหลิงอดหัวเราะไม่ได้ แต่ว่าไต้ซือก็ยังคงเคร่งขรึม และเมตตากรุณาห้องโถงด้านข้างปิดประตู ไต้ซือยิ้มแย้มและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง เชิญดื่มชาที่ห้องโถงด้านข้างก่อน”อวี่เหวินห่าวเดิมทีหลังจากออกไปแล้ว ก็เอาหูไปแนบกับประตู ได้ยินไต้ซือกล่าวเช่นนั้น เขาจึงเดินเสียงดังตึงตังออกไปด้วยความโมโหหยวนชิงหลิงรินน้ำชาให้ไต้ซือ และเผชิญหน้ากับไต้ซือผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่ง นางไม่กล้าเสียมารยาทละเลยเขาแม้แต่น้อย นางแสดงความเคารพนับถือ รอรับคำสั่งสอนไต้ซือมองหยวนชิงหลิง และกล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “พระชายา ท่านโปรดเก็บกล่องนี้ก่อนเถิด”หยวนชิงหลิงขานรับและเก็บกล่องนี้ลงในแขนเสื้อไต้ซือกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “สีหน้าของพระชายาเหมือนมีร่องรอยความเศร้าโศกา เกิดอันใดขึ้น เล่าให้อาตมาฟังได้หรือไม่?”หยวนชิงหลิงกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ไต้ซือ ในใจของข้าไม่ได้
ไต้ซือมองกล่องยาบนโต๊ะนั้น หลังจากนั้นก็ยิ้มให้กับหยวนชิงหลิง และกล่าวว่า “ท่านลองหลับตาลงอีกครั้ง และตั้งใจฟังอาตมาพูด”หยวนชิงหลิงหลับตาลงอีกครั้งจากก้นบึ้งของหัวใจตอนนี้ นางเชื่อถือไต้ซือท่านนี้ แม้ว่าจะรู้สึกแปลกประหลาดมากก็ตามเสียงไต้ซือดังขึ้นอย่างช้า ๆ “ที่อยู่ต่อหน้าท่าน มีผู้ป่วยอาการสาหัส นางหายใจเองไม่ได้ ม้ามแตก มีเลือดออกภายใน ชีวิตของนางตกอยู่ในอันตราย และที่สำคัญที่สุดนางตั้งครรภ์เก้าเดือน เด็กใกล้คลอดแล้ว และเป็นครรภ์แนวขวางคลอดยาก ท่านจะทำอย่างไร? สิ่งที่จำเป็นสำหรับการใช้รักษาผู้ป่วยต้องใช้อะไรบ้าง?”สมองของหยวนชิงหลิงคิดอย่างรวดเร็ว ม้ามแตก มีเลือดออกภายในและอีกทั้งเด็กใกล้คลอดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะคลอดเองได้ สิ่งสำคัญอันดับแรกลิ่มเลือด ถ่ายเลือด ผ่าเปิดช่องท้องนำเด็กออกมาแล้วค่อยเย็บซ่อมแซมม้าม เพื่อหยุดเลือดออกภายใน นี่เป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องใช้เครื่องมือผ่าตัดเป็นจำนวนมาก กล่องยาของนางมีแค่มีดผ่าตัด คีมผ่าตัด ไม่มีเครื่องช่วยหายใจ ใช่ นอกจากนั้น นางหายใจเองไม่ได้ ต้องสวมเครื่องช่วยหายใจ...ของที่ต้องการแต่ละอย่างค่อย ๆ ผุดขึ้นมาในหัวทีละอย่าง จากนั้นไต้ซือได้ก
ส่วนลึกภายในใจของหยวนชิงหลิงโต้แย้งอย่างอ่อนแรง ไม่ เจ้าเป็นลิง เจ้าจะมาเข้าใจอะไร? วิทยาศาสตร์ก็คือวิทยาศาสตร์ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันกับพุทธศาสนา"ความหมายของท่านก็คือ พระพุทธเจ้าที่ท่านเลื่อมใสศรัทธานั่นล้วนมีสมองที่พัฒนากว่าผู้อื่นจึง มีพละกำลังที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้า แต่ข้าไม่เห็นด้วย ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านในจุดนี้" หยวนชิงหลิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยไต้ซือยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "กล่องยานี่ไม่ใช่อาตมาที่เป็นผู้ควบคุม แต่เป็นพระชายา ท่านเป็นผู้ที่ควบคุมมันโดยตรง เพียงแต่ท่านไม่ได้ค้นพบศักยภาพของตนเอง ถึงกล่าวว่าเป็นท่านที่จงใจยับยั้งพลังสมองของท่านที่มอบให้ตัวเอง"หยวนชิงหลิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า "ข้าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่าน ท่านกล่าวความจริงของพระพุทธศาสนาเถอะ เช่นนี้ทุกคนจะได้สงบจิตสงบใจได้" "ท่านทำราวกับว่าอาตมานั้นกล่าววาจาเหลวไหล แต่ในสักวันหนึ่งพระชายาจะเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง" ไต้ซือกล่าวหยวนชิงหลิงลุกขึ้นยื่นอย่างรวดเร็ว สถานที่นี้ไม่อาจจะรั้งรออยู่ได้นาน เพราะยิ่งอยู่นานยิ่งทำให้คนรู้สึกแปลกประหลาดเธอยอมเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าดีกว่าที่จะเชื่อคำพ
ชั่วพริบตาเดียวที่เธอกำลังดึงประตู แล้วหันกลับไปมองก็เห็นแค่เพียงโต๊ะเก้าอี้ที่เคยล้มระเนระนาด แต่ละตัวอยู่ในตำแหน่งของมันราวกับว่าไม่เคยล้มมาก่อน"ท่านผู้อาวุโส ท่านเดินทางปลอดภัย!" ไต้ซือกล่าวด้วยสีหน้าเมตตากรุณาขณะนี้หยวนชิงหลิงหน้ากลายเป็นสีดำจนแทบจะล้มลง ในสายตาของไต้ซือ นางก็เหมือนคนหัวโบราณที่อายุสามร้อยกว่าปี การที่ถูกเรียกว่าท่านผู้อาวุโสนั้น เกินกว่าเธอจะทนได้ไม่ง่ายเลยที่จะประคองตัวเองไปที่ประตู แล้วออกเดินออกไปช้า ๆ รู้สึกว่าตัวเองหายใจได้ยากลำบาก อีกมือหนึ่งยึดจับลำคอของอวี่เหวินห่าวไว้ แล้วกัดฟันพูด "เราไปกันเถอะ!"อวี่เหวินห่าวตกใจไปชั่วขณะ แล้วรีบเข้าไปประคองนางทันที "ทำไมสีหน้าถึงดูย่ำแย่ขนาดนี้? ขับไล่สิ่งชั่วร้ายแล้วรึ? ผีออกไปแล้วหรือ?" หยวนชิงหลิงมองเขาแล้วตั่วสั่น จนเกือบจะกระอักเลือดออกมา "ท่าน...ท่านคิดว่าผีเข้าข้ารึ?"อวี่เหวินห่าวประคองนางไว้ เมื่อเห็นชัดว่านางดูเหมือนจะไม่สบายก็เริ่มร้อนรนแล้ว "เกิดอะไรขึ้น? ไต้ซือกล่าวอะไรกับเจ้า?"เสียงของไต้ซือก็ดังขึ้นทางด้านหลังของหยวนชิงหลิงทันที "อาตมาเชิญท่านอ๋องและท่านค้างที่อารามสักคืน"หยวนชิงหลิงตกใจจนห
อวี่เหวินห่าวเห็นสีหน้าของนางซีดขาวอีกครั้ง จึงเชื่อนางแล้วกุมมือของนางไว้แล้วเอ่ยว่า "ไม่ต้องกลัว ก็แค่เรื่องผีเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องจริงเจ้าพักผ่อนสักหน่อย อีกสักครู่ค่อยกินอาหารที่ตักบาตรที่อารามฮู่กั๋วอาหารตักบาตรนั้นดี ในยามปกตินั้นกินไม่ได้หายากมากเจ้าต้องกินสักหน่อย"หยวนชิงหลิงไม่ได้รู้สึกอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย จึงกินไปแค่สองสามคำก็กล่าวว่าง่วง และต้องการนอนแล้ว ให้อวี่เหวินห่าวไปพูดคุยกับไต้ซือแทนเธอไม่ได้กังวลใจแม้แต่น้อยว่าไต้ซือจะบอกเรื่องเล่าในวันนี้กับอวี่เหวินห่าว ถ้าเกิดกล่าวเรื่องนี้ออกมาอวี่เหวินห่าวจะต้องเสียสติเป็นแน่ และท่านไต้ซือจะไม่ทำแบบนั้นกับอวี่เหวินห่าวหลังจากที่อวี่เหวินห่าวออกไปแล้ว หยวนชิงหลิงก็นำกล่องยาออกมา กล่องยาในวันนี้นั้นขนาดใหญ่แตกต่างกับก่อนที่จะมาที่อารามฮู่กั๋วถึงแม้ว่าเธอจะบอกไม่ได้ว่าคิดถึงยาอะไรอยู่ในใจแล้วยานั้นจะปรากฏออกมา แต่ว่าเมื่อเธอเน้นความรู้สึกเป็นพิเศษยที่เธอต้องการก็จะปรากฏออกมากล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ท่านไต้ซือกล่าวว่ากล่องยานี้ถูกควบคุมโดยความคิดของเธอ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือจะกล่าวอีกอย่างก็คือ จิตใต้สำนึกที่แท้จริ
หยวนชิงหลิงพยักหน้า "ใช่อย่างที่เจ้าคิด แล้วถ้าเจ้าเป็นข้า เจ้าจะช่วยพระชายาจี้หรือไม่?"อาซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย "ช่วยเพคะ!"หยวนชิงหลิงประหลาดใจ "เพราะอะไร?"อาซื่อแสยะปากยิ้ม "ถ้าพระชายาจี้ตายแล้ว เยี่ยงนี้ฉู่หมิงหยางก็จะได้เป็นพระชายาเอก เมื่อเทียบกับพระชายาจี้แล้ว ข้าไม่ชอบฉู่หมิงหยางมากกว่าเพคะ""ข้าก็ไม่ชอบฉู่หมิงหยาง แต่ว่าฉู่หมิงหยางไม่เคยคุกคามชีวิตข้าโดยตรงเหมือนพระชายาจี้"ดังนั้นการเลือกนี้ควรจะเลือกตามความชอบรึ?"หลังจากนี้ ถ้าฉู่หมิงหยางได้เป็นแทนพระชายาจี้ นางก็จะทำเรื่องเช่นเดียวกับที่พระชายาจี้ทำในตอนนี้ได้ อีกทั้งนางก็จะยิ่งไม่เกรงกลัวอะไรอีก แผนการพระชายาจี้ลึกล้ำ ถึงแม้ว่าจะน่าหวาดกลัวเหมือนกับงูพิษ แต่กับฉู่หมิงหยางที่บ้าคลั่งราวกับหมาป่า แล้วถ้าหมาป่าได้กัดสักครั้ง นั่นก็หมายถึงชีวิต แต่ถ้างูพิษเรายังสามารถที่จะถอนพิษได้เพคะ"หยวนชิงหลิงพยักหน้า ความจริงเธอเคยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก่อน แม้ว่าพระชายาจี้จะไม่ได้ดีไปกว่าฉู่หมิงหยาง แต่ว่าฉู่หมิงหยางจะต้องอำมหิตกว่านี้แน่นอนบางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลของจิตสำนึกที่เธอต้องการช่วยพระชายาจี้โดยที่ไม่รู้ตัว
อวี่เหวินห่าวพยักหน้าเล็กน้อย "ไต้ซือมีความคิดและสายตาเฉียบแหลมนัก ความจริงข้าคิดว่านางมีเรื่องราวมากมายที่ปิดบังข้าอยู่""วันนี้พระชายาได้พูดคุยกับอาตมาคร่าว ๆ แล้วเล็กน้อย เป็นเพียงแค่เรื่องราวการรักษาอาการป่วยให้พระชายาจี้" ท่านไต้ซือกล่าว"ในจุดนี้พวกเรามีความคิดเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะไปรักษาอาการป่วยพระชายาจี้อย่างแน่นอน ไต้ซือ ตอนที่พี่ใหญ่อยู่กับท่านที่นี่ เขาเป็นคนแบบไหนกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าพระโพธิสัตว์ก็ไม่อาจที่จะปิดบังได้ ถ้าเป็นหมาป่าล่ะ หมาป่าจะนึกถึงผู้ที่เคยช่วยเหลือเขาหรือไม่? ไม่ เพราะผู้ที่ช่วยเขาก็จะถูกกลืนกินจนอิ่มท้อง"ท่านไต้ซือยิ้มน้อย ๆ "ท่านอ๋อง ความกังวลใจของท่านก็ไม่ถึงกับไร้เหตุผลนัก แต่ว่าการที่ไล่สุนัขให้เข้าไปจนสุดตรอก ก็จะทำให้มันต่อต้านอย่างสุดกำลัง และยิ่งไม่ต้องพูดถึงหมาป่าที่เกลียดชัง""แต่ข้าไม่ได้เป็นคนไล่ให้พวกเขาเข้าไป" อวี่เหวินห่าวเอ่ยอย่างไม่ปิดบังท่านไต้ซือเอ่ยต่อ "ถูกต้อง ไม่ใช่ท่าน แต่นางรู้ว่าพระชายามีวิธีช่วยเหลือนาง แต่พระชายากลับเฝ้ามองอย่างนิ่งดูดาย หมาป่าที่น่าเกลียดชังตัวนี้จะไม่แว้งกัดเอาบ้างหรือ?""ตามที่ท่านกล่าว ช่วยนางก็ก
วันรุ่งขึ้นเมื่ออวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงออกเดินทางก็ไม่ได้ลงเขาโดยตรง แต่ทำตามคำสั่งของไต้ซือ พวกเขาไปถึงอารามเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่อย่างเงียบสงบหลังภูเขาไม่นานก็มองเห็นว่ามีรถม้าทยอยเข้ามา รถม้าหยุดลงที่พื้นที่ราบหลังภูเขา และมีคนผู้หนึ่งลงจากรถม้าแล้วเข้าไปข้างในซูยี่ตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น "ใต้เท้าหลี่? ใต้เท้าอู๋? ท่านแม่ทัพซุน? จวิ้นอ๋องเฉา?"อวี่เหวินห่าวเห็นสีหน้าก็มืดครึ้มลงเพราะทุกคนล้วนรู้ว่าพี่ใหญ่ถูกท่านพ่อกักบริเวณให้อยู่ที่นี่ และได้มีราชโองการไม่อนุญาตให้ผู้ใดเขาเยี่ยมแต่พวกเขากลับไม่สนใจในราชโองการแล้วมาที่นี่ แน่นอนว่าไม่ใช่เป็นการเยี่ยมเยียนธรรมดาเป็นแน่ท่านอาจารย์ฮุ่ยมาส่งถึงที่นี่แล้วเอ่ย "ท่านอ๋อง ใต้เท้าเหล่านี้ล้วนมากันทุกวัน เข้ามาทางภูเขาด้านหลังเพื่อมาปรึกษาหารือกับอ๋องจี้"อวี่เหวินห่าวพยักหน้า "ข้ารู้แล้ว ขอบคุณท่านอาจารย์มากที่บอกกล่าว โปรดบอกท่านไต้ซือด้วยว่าข้าขอตัวก่อน"ท่านอาจารย์ฮุ่ยพนมมือทั้งสองขึ้น "ท่านอ๋อง พระชายาเดินทางปลอดภัย"รถม้าค่อย ๆ ลงจากภูเขา แม้ว่าจะเป็นถนนบนภูเขา แต่เนื่องจากเป็นอารามหลวงถนนจึงไม่ได้ขรุขระอวี่เหวินห่าวน