ฉู่หมิงชุ่ยกดไหล่ของนางลง แล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำว่า "ในยามสําคัญเช่นนี้ เจ้าอย่าทําให้ท่านปู่โกรธ ข้าขอบอกเจ้า เรื่องท่านย่าเสียงไปจนพูดไม่ได้นั้น เป็นเพราะพูดผิดเพียงคำเดียว สามีภรรยากันยังเป็นเช่นนี้ เจ้าอย่าคิดว่าตัวเองพิเศษ หากทําให้ท่านปู่โกรธขึ้นมาจริง ๆ เจ้าจะได้แต่งสามีที่เป็นพวกพ่อค้า ถึงตอนนั้นเจ้าก็ทำได้เพียงแต่ร้องไห้ขึ้นเกี้ยวแต่งงาน"ฉู่หมิงหยางส่ายหน้า ใบหน้าซีดเผือด มองฉู่หมิงชุ่ยด้วยความหวาดกลัว "ข้าไม่เชื่อ ข้าไม่เชื่อ…"ฉู่หมิงชุ่ยกดเสียงลงต่ำแล้วเอ่ย "ยังจำได้หรือไม่ตอนที่ข้ากลับมาจวน แล้วบอกกับเจ้าเรื่องที่ท่านปู่ต้องการให้เจ้าแต่งเป็นพระชายารองให้อ๋องฉู่หรือไม่? เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นถึงความรอบคอบของข้าแต่ว่าทำไมข้าถึงคาดเดาความคิดของท่านปู่ไม่ได้? อ๋องฉีเป็นหลานของท่านปู่ ท่านปู่จะต้องสนับสนุนให้เขาได้เป็นรัชทายาทเป็นแน่ แต่ว่าอ๋องฉีไร้ประโยชน์เจ้าก็เห็นอยู่กับตา และท่านปู่ไม่คิดจะสนับสนุนอ๋องฉีอีก เจ้าคิดว่าท่านจะเลือกใคร?""ใคร?" ฉู่หมิงหยางเอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัว"อ๋องจี้!" ฉู่หมิงชุ่ยยิ้มเศร้า "มันน่าขำที่ข้าเดิมพันสิ่งสำคัญผิดไป คิดว่าในฐานะลูกของพระสนม เพียงแค่
เมื่ออวี่เหวินห่าวรู้ว่าวันนี้หยวนชิงหลิงโกรธฉู่หมิงหยางจนเกิดความเดือดดาลขึ้นมา ก็ทําให้โกรธจนสะเทือนฟ้าสะเทือนดินสวรรค์เถอะ ไม่ง่ายเลยที่วันนั้นหมอหลวงจะวินิจฉัยออกมาว่าทารกในครรภ์แข็งแรง มีความพัฒนาได้ดีและรอจนทารกครบสามเดือนตอนนี้ทารกในครรภ์ถูกกระทบกระเทือนอีกครั้ง เกรงว่าสามเดือนนี้จะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีก เขาโกรธจนแทบทนไม่ไหวที่จะไปจัดการคนในจวนนั้นทันที แล้วนำฉู่หมิงหยางมาลงโทษด้วยห้าม้าแยกร่างให้เป็นศพอย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปหาที่ตระกูลฉู่ ก็เห็นถังหยางก้าวเข้ามาอย่างเร่งด่วน "ท่านอ๋อง พระชายา มหาเสนาบดีฉู่พาคุณหนูรองตระกูลฉู่มาขออภัยโทษพ่ะย่ะค่ะ"อวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อหลายปีนี้ตระกูลฉู่ล่วงเกินผู้คนไม่รู้เท่าไหร่ ไม่เคยเห็นมหาเสนาบดีฉู่จะมาขอโทษ แต่วันนี้กลับพาฉู่หมิงหยางมาขอโทษ? ต้องมีจุดประสงค์ไม่ดีแอบแฝงเป็นแน่อวี่เหวินห่าวเอ่ยอย่างเย็นชา "มาก็ดี ข้าอยากเห็นจริง ๆ ว่า มหาเสนาบดีฉู่สามารถบังท้องฟ้าด้วยฝ่ามือเดียวได้จริงหรือไม่ อยู่เหนือกว่าราชสำนักหรือไม่"หยวนชิงหลิงกุมมือของเขา นางเอ่ยอย่างกังวล "ท่านอย่าหุนหันพล
ฉู่หมิงหยางสั่นเทาด้วยความโกรธ อ๋องฉู่ทำเยี่ยงนี้ตั้งใจให้นางอับอาย นางอดไม่ได้จึงเอ่ยออกไป "ท่านอ๋อง ข้าน้อยทำผิดครั้งนี้มีเหตุผล ท่านอ๋องได้โปรดพิจารณาด้วยเพคะ"มหามหาเสนาบดีฉู่กวาดสายตาเย็นชาไปมอง ฉู่หมิงหยางรู้ดีว่าทำเยี่ยงนี้ท่านปู่ต้องไม่พอใจแน่ แต่ตอนนี้นางไม่สามารถรักษาศักดิ์ศรีไว้ได้แล้ว "ท่านอ๋อง เป็นพระชายาฉู่ที่พูดจาดูหมิ่นพี่สาวข้าก่อน ข้าน้อยทนดูไม่ไหวจึงได้เอ่ยกับนางออกไปเพื่อรักษาความชอบธรรมของพี่สาวแม้ว่ามันไม่ถูกต้องก็ตาม แต่ว่ายังสามารถอภัยให้ได้"นางรู้ว่าเป็นพี่หญิงเปลี่ยนใจก่อน และไม่ต้องการแต่งให้กับอ๋องฉู่ แต่อ๋องฉู่เป็นคนโง่เขลา เขาไม่รู้จนกระทั่งตอนนี้ ก็ยังคงรักปักใจรักกับพี่หญิง ถ้าเกิดเขารู้ว่าหยวนชิงหลิงทำให้พี่หญิงขุ่นเคือง และดูถูกพี่หญิงก่อน เรื่องนี้จะเป็นใครที่ต้องทุกข์ทรมานกันแน่อวี่เหวินห่าวรู้สึกกังวลที่หาวิธีจัดการกับนางไม่ได้ และเมื่อได้ยินนางกล่าวเยี่ยงนี้ ตอนนี้อวี่เหวินห่าวสีหน้าบึ้งตึง เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา "เข้ามา เชิญนางข้างหลวงสี่มา"มหาเสนาบดีฉู่เดิมที่ตั้งใจจะดุด่าฉู่หมิงหยางแล้ว แต่เมื่อได้ยินคำพูดของอวี่เหวินห่าว เขาก็ปิดปากลงแล้วจิ
อวี่เหวินห่าวมองไปทางมหาเสนาบดีฉู่แล้วเอ่ยด้วยใจจริง "ท่านมหาเสนาบดีฉู่ระงับอารมณ์ก่อนเถิด เรื่องนี้ข้าจะไม่เอาความ"หลังจากที่เป็นแผลแตกและโดนน้ำร้อนขนาดนั้นไปแล้ว ผิวบอบบางนั้นจะต้องเป็นแผลผุพองเป็นแผลเป็นแน่ และในอีกสองปีข้างหน้าก็จะไม่มีทางหายไปแน่แล้วสำหรับหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน การลงโทษเช่นนี้แล้วนับว่าดีแล้วให้อภัยในสิ่งที่ทำได้มหาเสนาบดีฉู่พยักหน้า "ทำให้ท่านอ๋องหัวเราะเยาะแล้ว"อวี่เหวินห่าวกล่าว "ตระกูลใดไม่มีลูกหลานหน้าอายบ้าง?" เอ่ยถึงคนในตระกูลฉู่นั้นความจริงหยิ่งผยองมหาเสนาบดีฉู่หันหน้าไปทางนางข้าหลวงสี่ "พระชายาเป็นเช่นไรบ้าง?”นางข้าหลวงสี่เอ่ย "ได้รับการรักษาจากหมอหลวงแล้วเพียงแต่ช่วงนี้ยังต้องนอนพักอยู่บนเตียง แต่ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เจ้าค่ะ""อย่างนั้นก็ดี!" เขายกมือเรียกสาวใช้เข้ามา ในมือสาวใช้ถือกล่องผ้าอยู่ เขาโบกมือให้สาวใช้วางกล่องผ้าลงบนโต๊ะแล้วเอ่ย "ในนี้คือยาสำหรับหญิงสาวที่จะให้กำเนิดบุตร ข้าหลวงสี่โปรดรับไว้แทนพระชายาด้วยเถอะ"นางข้าหลวงสี่เดินเข้าไปเปิดกล่องออกจึงเห็นกล่องกระดองเต่าอยู่ด้านใน หลังเปิดออกนางรู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมไปทั่วห้อง นางขาหลวงสี่ต
ถังหยางหยิบขึ้นมาดูแล้วลองดมดู จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วกล่าว "ข้าน้อยไม่ทราบจริง ๆ ข้าน้อยเคยได้ยินเพียงชื่อยาไร้กังวล แต่กลับไม่เคยมีวาสนาได้เห็นพ่ะย่ะค่ะ"อวี่เหวินห่าวคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ย "เชิญหมอหลวงใหญ่และหมอหลวงเฉามา"หมอหลวงใหญ่และหมอหลวงเฉามาถึงพร้อมกัน เมื่อได้ฟังว่าเป็นยาเม็ดไร้กังวล จึงรีบแยกแยะด้วยความระมัดระวังทันทีหมอหลวงนำชามใส่น้ำร้อนมาใบหนึ่ง แล้วใช้มีดขูดยาลงไปเล็กน้อยผสมกับน้ำร้อน แล้วค่อยจิบช้า ๆ จากนั้นยื่นให้หมอหลวงเฉา หมอหลวงเฉารับมาก็จิบเล็กน้อยค่อย ๆ แยกแยะรสชาติของยาในปากจากนั้นทั้งสองก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า "เป็นยาไร้กังวลพ่ะย่ะค่ะ"อวี่เหวินห่าวถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางข้าหลวงสี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน"ท่านอ๋อง สามารถมอบยานี่ให้พระชายาได้ทันที" หมอหลวงกล่าวอวี่เหวินห่าวเอ่ยอย่างกระตือรือร้น "ตกลง หมอหลวงให้พระชายาเสวยยาได้"เมื่อหยวนชิงหลิงได้ยินว่าเป็นยาที่มหาเสนาบดีฉู่นำมาให้ ก็รู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง แต่ว่ามีหมอหลวง หมอหลวงเฉาและยังมีนางข้าหลวงสี่พยายามแนะนำอย่างหนัก นางจึงตกลงกินมัน อวี่เหวินห่าวรู้สึกกังวลอย่างมาก หลังจากนั
อวี่เหวินห่าวพูดอย่างเบิกบานว่า “เขียนเป็นยังไงบ้างรึ?”หยวนชิงหลิงมองมาที่เขา “พวกท่านได้เก็บจดหมายที่คุยโต้ตอบกันไว้หรือไม่?”“เก็บหมดสิ”“ขอให้ข้าดูหน่อย” หยวนชิงหลิงกล่างขออวี่เหวินห่าวเรียกถังหยางไปนำมาให้ เมื่อมองดูแล้วอีกฝ่ายเขียนจดหมายตอบกลับมา ไม่ได้เขียนดีเท่าเขา จึงคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้คิดไปเองฝ่ายเดียวทั้งคู่รักกันจากใจจริง“ท่านแม่ทัพใหญ่หวังท่านนี้ แต่งงานแล้วหรือยัง?”“แต่งแล้ว”“มีลูกแล้วหรือ?”“ยังไม่มี เพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน”หยวนชิงหลิงวางจดหมายลง “แล้วฮูหยินของเขารู้ว่าเรื่องชู้สาวของพวกท่านไหม?”อวี่เหวินห่าวเบิกตากว้าง “เจ้าพูดอะไร? พวกเราสนิทสนมกันเท่านั้น!”หยวนชิงหลิงยิ้มเล็กน้อย “พวกท่านรักกันจริงอย่างใจจริง”เมื่ออ่านจดหมายของทั้งคู่แล้ว แม่ทัพจิ้งถิงคนนี้ต้องสามารถหายาไร้กังวลมาให้ได้สักเม็ดสองเม็ด หลังจากกินยามาได้วันสองวัน หมอหลวงก็เข้ามาทำการตรวจชีพจร และบอกว่าครรภ์ของหยวนชิงหลิงทรงตัวแล้วอวี่เหวินห่าวดึงตัวหมอหลวงออกจากประตู และถามอย่างจริงจังว่า “ทรงตัวแล้วหมายความว่าอย่างไร?”หมอหลวงกระพริบตาและกล่าวว่า “ทรงตัว ก็คือทรงตัวพ่ะย่ะค่ะ?”
หยวนชิงหลิงคิดว่าความเจ็บฝังใจเหล่านี้ ส่งผลต่อการมองโลกในแง่ดีของคนมากจริง ๆการกลั่นแกล้งอวี่เหวินห่าวครั้งนั้น นางรู้สึกละอายใจเหลือเกินนางข้าหลวงสี่ได้ยินว่าพรุ่งนี้จะมีแขกมาที่นี่ ในวังเองก็ประทานเนื้อมาให้ทุกวันก็น่าจะเกินพอ จึงสั่งในคนซื้อของอย่างอื่นอีกสักเล็กน้อย ทำอาหารเพิ่มอีกสักสองสามอย่างก็ไม่เป็นการเสียมารยาทแล้ววันรุ่งขึ้นยามเช้า หยวนชิงหลิงก็แต่งตัวเรียบร้อย คาดว่าฮูหยินหยวนกับพระชายารองหยวนคงมาสักประมานตอนเที่ยง จึงเรียกให้คนเตรียมอาหารให้นางกินก่อนเช้าขนาดนี้เพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จ ได้ยินคนข้างนอกเข้ามารายงานว่า “พระชายา พระชายารองหยวนพาคนในจวนของท่านแม่ทัพใหญ่หยวนมาคารวะเจ้าค่ะ”หยวนชิงหลิงตกใจ “เช้าขนาดนี้เลยรึ? รีบเชิญไปห้องโถงด้านข้าง ข้าจะไปที่ห้องโถงด้านข้าง”ห้องโถงหลักดูเป็นทางการมากกว่า ดังนั้นเวลาอวี่เหวินห่าวต้อนรับแขกเรื่อจะใช้ห้องโถงหลัก ส่วนนางรับแขกผู้หญิงส่วนมากจะใช้ห้องโถงด้านข้างที่ดูนุ่มนวลกว่ามาก คนรับใช้พูดอย่างยากลำบากใจว่า “ห้องโถงด้านข้างเกรงว่าจะนั่งไม่พอเจ้าค่ะ”หยวนชิงหลิงตกใจกระโดดขึ้นมา “นั่งไม่พอ? มากันกี่คน?”คนรับใช้กล่าวว่า
มีฮูหยินอีกท่านลุกขึ้นยืนย่อกายคารวะต่อหยวนชิงหลิง “หม่อมฉันขอขอบพระทัยพระชายาที่ช่วยชีวิตไว้หม่อมฉันไว้เพคะ”หยวนชิงหลิงจำนางได้ ฮูหยินท่านนั้นวันที่โรงทานโจ๊กถล่มลงมา ได้รับบาดเจ็บที่มือ นางเป็นคนพันผ้าพันแผลให้นางยิ้มและกล่าวว่า “ฮูหยิน เรื่องช่วยชีวิตท่าน ข้าไม่อาจรับไว้ได้ มือของท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”“ทูลพระชายา ไม่เป็นไรเพคะ” ฮูหยินหยวนรู้สึกตื่นเต้นนางตอบเสียงดังเหมือนเด็กนักเรียนที่ตอบคำถามต่อมาก็เป็นคนอื่น ๆ ที่เข้ามาแนะนำตัวหลังจากคนกลุ่มใหญ่แนะนำตัวแล้ว หยวนชิงหลิงทำได้แค่ยิ้มและพยักหน้า ยิ้มจนหน้านางแข็งไปหมดแล้วแต่ว่านางก็จำไม่กี่คน อย่างไรก็ตามล้วนเป็นพวกกลุ่มฮูหยินหยวน กลุ่มคุณหนูหยวนซะส่วนใหญ่ มิเช่นั้นก็พวกลูกพี่ลูกน้อง ท่านป้าหรือท่านน้า หยวนชิงหลิงพบว่าพวกนางทุกคนเต็มไปด้วยพลังลมปราณ ตอนเดินก้าวย่างของพวกนางล้วนมีพลัง ดูเหมือนว่าทุกคนล้วนฝึกวิทยายุทธ์มานางอดไม่ได้ที่จะแอบหันไปถามนางข้าหลวงเฉียน “หญิงสาวตระกูลหยวนล้วนฝึกวิทยายุทธ์งั้นหรือ?”“ทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือเพคะ!” นางข้าหลวงเฉียนกระซิบเสียงเบาหยวนชิงหลิงรู้สึกนับถือยิ่งนักนางมองไปที่เด็กสาวตั
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม