นางยกมุมปากขึ้นด้วยความเพลิดเพลินเป็นอย่างมากจากสัมผัสอันใกล้ชิดแบบนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่คิดเลยว่าเขาจะสระผมให้นาง นี่ทำให้นางคาดไม่ถึงที่จริงแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เขาปรากฏกตัวในชีวิตนาง ทั้งเผด็จการ เอาแต่ใจ โหดร้ายและเย็นชานึกไม่ถึงจริง ๆ ใครจะไปคิดว่าเขาจะเป็นผู้ชายอบอุ่นเหมือนหมาโกลเด้นตัวใหญ่แบบนี้? “เล่าเรื่องพวกผู้หญิงของท่านมาเลยนะ!” หยวนชิงหลิงหลับตาพูด“ไม่มี มีแต่เอาใจตามใจเจ้าคนเดียว!” อวี่เหวินห่าวพูดอย่างยิ้ม ๆหยวนชิงหลิงพูด “ไม่เชื่อหรอก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของท่าน”อวี่เหวินห่าวหน้าแดง โชคดีที่หยวนชิงหลิงหันหลังให้เขา จึงไม่มีทางมองเห็นได้“ใครพูดว่าไม่ใช่?” เขาแก้ตัวเสียงอ่อนหยวนชิงหลิงหันกลับมามองเขา “ข้าบอกว่าไม่ ข้าแค่สงสัยเท่านั้น จะไม่หึงหวงจริง ๆ ท่านบอกมาเถอะ ครั้งแรกมันเกิดอะไรขึ้น?”อวี่เหวินห่าวหลบตาไม่สบตานาง “เจ้านะเจ้า ทำไมต้องถามอะไรแบบนี้? มีอะไรน่าถาม?”“ก็แค่สงสัยเท่านั้น ข้าอยากฟัง ท่านก็รีบบอกสิ” หยวนชิงหลิงเอามือโอบรอบคอของเขา เจือไปด้วยน้ำเสียงออดอ้อน“ไม่บอก!” อวี่เหวินห่าวจับตัวนางหันไปและสระผมให้นางต่อ หยวนชิงหลิงถอนหายใจเสียงเ
อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปจับหน้านางให้ค่อย ๆ หันมา “เจ้าโกรธใช่ไหม? ไหนบอกว่าไม่โกรธ เจ้ามันคนโกหก”หยวนชิงหลิงมองเขาอย่างอ่อนโยน “ไม่โกรธจริง ๆ ข้าบอกกว่าไม่โกรธก็คือไม่โกรธ ท่านก็รีบอาบน้ำเถอะ ข้าจะรอท่านที่ตำหนัก”นางพูดจบก็ขึ้นไปบนฝั่ง“เจ้าอาบเสร็จแล้วเหรอ?” อวี่เหวินห่าวตกใจ มองใบหน้ายิ้มแย้มองนาง ดูเหมือนไม่ได้โกรธจริง“อาบเสร็จแล้ว ท่านก็รีบอาบเถอะ ท่านยังไม่ได้สระผมเลย ข้ากลับไปรอท่านที่ตำหนักก่อน” หยวนชิงหลิงหยิบชุดคลุมมาสวมแล้วจูบเขากลางอากาศ มันมีเสน่ห์เย้ายวนจนพูดไม่ถูกเลยทีเดียวอวี่เหวินห่าวผิดหวังมากแต่ทว่ากลับห้องก็ดีเหมือนกัน“งั้นก็ได้ เจ้ากลับไปรอข้าที่ห้องก่อน ข้าจะรีบไปหา” เขาดำลงไปในน้ำ สองมือรีบขยี้หัวสระผม หยวนชิงหลิงหันออกไปแล้วหยิบเสื้อผ้าของเขาทั้งสะอาดและสกปรกออกไปด้วยออกไปที่บ่อน้ำพุผีข้างนอก นางพูดกับฉีหลัวและลวี่หยาว่า “ท่านอ๋องรับสั่งว่าคืนนี้พักที่ตำหนักเฝิงอี้ พวกเจ้าทั้งคู่ไปรับใช้ที่ตำหนักเฝิงอี้เถอะ ไม่ได้อยู่หลายวัน นำที่นอนไปทำความสะอาดเสียหน่อย ”“เพคะ พระชายา!” ฉีหลัวและลวี่หยาไม่สงสัยอะไรเกี่ยวกับท่านอ๋องแล้วเดินตามนางออกไปหยวนชิงห
แน่นอนเขาเห็นใครบางคนวิ่งราวกับบินมา วิ่งได้ไวมาก อย่างกับโดนผีร้ายตามไล่กัดหางซูยี่และถังหยางได้เพ่งมองดูดี ๆ ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกนั้นมันท่านอ๋องใช่ไหม? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?อวี่เหวินห่าวไม่มีเสื้อผ้าติดกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ในมือถือโต๊ะวางชุดชาเล็ก ๆ นั้นปิดซ่อนความน่าอับอายนั้นและรีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว ตาที่จ้องมองสองคนนั้นด้วยความโกรธ “ถ้าเรื่องคืนนี้หลุดรอดออกไปได้ ระวังลิ้นของพวกเจ้าเอาไว้ด้วย!”“ท่านอ๋อง ธรณีประตู!”สายเกินไปแล้ว ภายใต้ความโกลาหลนั้น มือที่ถือโต๊ะวางชุดชาเพื่อบดบังสายตา เมื่อขาสะดุ้ดล้มลง คนก็ล้มเสียงดังลงตามไปด้วย“สวรรค์ ซูยี่ รีบเข้าไปประคองท่านอ๋องขึ้นมา ไม่ ๆ เจ้ารีบไปหยิบเสื้อผ้ามาคลุมตัวก่อนเร็ว ไอหย๊า นางข้าหลวงมาแล้ว... นางข้าหลวงสี่ท่านหยุดยืนตรงนั้นก่อน อย่าพึ่งเข้ามา เกิดเรื่องขึ้นแล้ว...”นางข้าหลวงสี่เดิมทีนางเข้ามาเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมพระชายาถึงโกรธ ได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้น นางจึงรีบวิ่งเหมือนบินเข้าไปตำหนักเสี้ยวเยว่วุ่นวายอยู่ชั่วขณะหนึ่งอวี่เหวินห่าวห่อผ้านวม ยื่นขาออกมาให้ซูยี่นวดเหล้ายาสมุนไพร หลังของเขาเหยียดตร
อวี่เหวินห่าวพูดอย่างโกรธเคือง “คืนนี้ที่ข้าตกระกำลำบากแบบนี้ สุดท้ายคนที่ผิดคือข้างั้นรึ?”“ท่านอ๋องไม่ผิด” ถังหยางที่ได้บรรลุทักษะงี่เง่าไร้สาระนี้ถึงระดับสูงสุดแล้ว “แต่พระชายาเองก็ไม่ผิดเช่นกัน ถ้าผิดคงผิดที่ไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดอีก ยกตัวอย่างเช่น พระชายาไม่ใส่ใจผู้หญิงที่ผ่านมาของท่านอ๋องเลย ท่านอ๋องรู้สึกมีความสุขไหมพ่ะย่ะค่ะ?”อวี่เหวินห่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “คงไม่มีความสุข แต่ว่าคืนนี้คงไม่น่าเวทนาขนาดนี้”“ความยากลำบากเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว เห็นได้ชัดเลยว่าพระชายาให้ความสำคัญกับท่านอ๋องมากจริง ๆ ในใจนางมีท่านอ๋องอยู่ ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าท่านอ๋องควรไปหาพระชายาเพื่อยอมรับผิดเรื่องนี้”อวี่เหวินห่าวจ้องเขม็ง “ยอมรับผิด? เมื่อกี้เจ้าพึ่งบอกว่าข้าไม่ผิดอะไรเลย”“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวว่าถูกหรือผิดนะพ่ะย่ะค่ะ ระหว่างสามีภรรยามีแบ่งแยกถูกผิดจริง ๆ ที่ไหน? หนีไม่พ้นการปลอบง้อ รัก แล้ววันเวลาเหล่านั้นก็ผ่านพ้นไป” ถังหยางพยายามเกลี้ยกล่อมอย่างต่อเนื่อง ไม่ยอมให้เจ้านายทั้งสองทะเลาะกันเป็นปัญหารุนแรง จวนอ๋องยากที่จะมีวันคืนอันสงบสุขอวี่เหวินห่าวถูกหลอกเข้าเต็มเปา เขาคล้อยต
แต่ปัญหาก็คือ หลังจากนี้ใจเขาจะจดจ่ออยู่กับนางหรือไม่? เขาพูดออกมาคำเดียวว่า องค์ชายก็เป็นเช่นนี้ในยุคสมัยนี้ หากผู้ชายมีฐานะการเงินดีหน่อยก็สามารถมีภรรยาและนางสนมได้มากมาย ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับเขา กับนางในตอนนี้ก็ไม่แน่ว่าแท้จริงจะใช่รักหรือไม่ หากแม้ว่าคือรัก ก็คงเป็นรักที่จืดจางไปแล้ว ไม่สามารถจะเก็บความหวานชื่นไว้ในใจจนชั่วชีวิตได้ แต่มองจากปัญหาการหย่าร้างที่สูงขึ้นในปัจจุบัน ก็พอที่จะทำความเข้าใจได้อย่างน้อยในยุคปัจจุบันนี้ก็สามารถทำการหย่าได้ แต่ในสมัยนี้ หากว่าสามีเปลี่ยนใจไปแต่งกับนางสนมอื่น ผู้ที่เป็นภรรยาทำได้แค่อดทนและอยู่อย่างเงียบ ๆ ตลอดไป อีกทั้งยังต้องเป็นธุระจัดการหาสนมให้สามี ชั่วชีวิตนี้จึงต้องข้ามผ่านความเสียใจ และความน่าสงสารไปให้ได้"พระชายา เข้าบรรทมได้แล้วเพคะ" นางข้าหลวงสี่เดินผ่านมาหยวนชิงหลิงลุกขึ้นนั่ง เรียกให้นางข้าหลวงเข้ามาหา "นางข้าหลวง ข้าขอถามเจ้าที บรรดาเชื้อพระวงศ์ของพวกเราชาวราชวงศ์เป่ยถัง ยินดีรับนางสนมหรือไม่?"เอ่อ...แม้ว่าเวลานี้จะไม่ยอมรับนางสนม ต่อไปอาจจะยอมรับนางสนมก็เป็นได้ เพื่อที่จะได้มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง พระชายาไม่ต้องกังวล
พระชายาจี้เป็นวัณโรคแล้วจริง ๆหมอหลวงได้ยืนยันแล้วว่าอ๋องจี้ได้เสียเงินไปมาก เพื่อให้หมอหลวงเก็บรักษาความลับนี้ไว้ไม่ให้แพร่งพรายออกไปแต่ว่าก่อนหน้านี้ได้มีหมอทำการรักษาแล้ว คงไม่สามารถยับยั้งข่าวนี้ไว้ได้วันรุ่งขึ้นหลังจากที่พระชายาจี้ ได้ถูกหยวนชิงหลิงทำการเปิดเผยเรื่องที่เป็นวัณโรคจากจวนอ๋องหวย ก็เริ่มมีอาการไอขึ้นมาคิดว่าไอเพราะเกิดจากลมหนาว จึงได้ให้หมอจัดยาให้ แต่ยิ่งกินยากลับยิ่งไอมากขึ้นโรคนี้เป็นแบบกระทันหัน และเป็นอันตรายมากหลังจากป่วยมาแล้ว เข้าวันที่ 5 จึงเริ่มมีไข้สูง ไอไม่หยุด จึงได้เชิญหมอออกมาตรวจอีกครั้งผู้ที่เป็นวัณโรค เสมือนว่ามีลางมรณะมาครอบไว้บนศีรษะแต่ทว่านางก็ยังไม่สิ้นหวัง เพราะในเมื่อหยวนชิงหลิงสามารถรักษาอ๋องหวยให้หายได้ก็จะต้องมีหมอที่รักษานางให้หายได้เช่นกันแต่ไม่สามารถพูดได้ว่า ฝีมือการแพทย์ของหยวนชิงหลิง ไม่เป็นสองรองใครแต่ที่นางไม่รู้คือ หยวนชิงหลิงไม่ได้มีฝีมือการแพทย์ดีอะไร นางมีเพียงแต่ยาที่ใช้ในการรักษาเท่านั้นผู้ที่เป็นวัณโรคบางคนสามารถอยู่ได้หลายปี แต่ถ้าเกิดโรคขึ้นมาแบบกระทันหัน บางทีอาจจะไปเลยก็ได้แต่อาการของพระชายาจี้เป
เดิมทีจวนจิงจ้าว มีทีมงานหนึ่งชุดที่จัดการคดีให้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ทุกปัญหาพัวพันกันเป็นคอขวด ไม่รู้ว่าจะฝ่าฟันอุปสรรคไปได้อย่างไรตอนนี้มีเบาะแสแล้ว ทุกอย่างก็ง่ายต่อการจัดการอย่างไรก็ตามการไขคดีภายในระยะเวลาที่กําหนดอาจเป็นเรื่องยากเพราะว่าแม้ว่าจะมีผู้ต้องสงสัย ก็ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ และหลังจากตรวจสอบแล้วต้องหาที่อยู่เพื่อการจับกุมกล่าวอีกนัยหนึ่ง มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะจับฆาตกรได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนเพียงแต่อวี่เหวินห่าวกับคนในจวนจิงจ้าวรู้สึกโล่งใจ ตอนนี้ฆาตกรถูกจับไว้ เขาเป็นที่รู้จักในนาม ซานฮัวโร บนถนนเหอหลิ่งโจวจือ มีฉายาว่า ‘ซานฮัวโร’ เก่งเรื่องอาวุธลับ เข็มพิษ เพื่อเงินแล้วเขาทำได้ทุกอย่างตราบใดที่ฆาตกรถูกจับ แม้ว่าจะไม่ถูกจับกุมภายในเวลาที่กำหนด ทั้งฮ่องเต้และอัครมหาเสนาบดีฉู่ ก็ไม่มีคำพูดอะไรจะกล่าวอย่างไรก็ตาม ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพระเจ้าโปรดปรานอวี๋เหวินห่าวหรือไม่วันนี้ได้รับรายงานลับว่า โจวจือจะปรากฏตัวในวัดที่ถูกทำลายในเขตชานเมืองหลวงในเวลากลางคืนอวี๋เหวินห่าวไม่สนใจว่าจะเป็นข่าวจริงหรือเท็จ เขานำกำลังคนไปซุ่มโจมตีก่อน ผลปรากฏว่าเป็นข่าวจริ
อวี่เหวินห่าวบอกขั้นตอนการคลี่คลายคดีอีกครั้ง แต่ปกปิดการชันสูตรพลิกศพของหยวนชิงหลิงและผู้ที่นำความลับของโจวจือมาบอกเอาไนั้นเพราะไม่ใช่ต้องการกีดกันหยวนชิงหลิง แต่อ๋องจี้อยู่ตรงนี้ เขาไม่อยากให้อ๋องจี้รู้เรื่องว่าหยวนชิงหลิงเคยเข้ารวมกับคดีนี้ส่วนที่มีคนให้เบาะแส เขายังคงต้องตรวจสอบ ยังบอกจักรพรรดิไม่ได้ในตอนนี้อ๋องจี้ได้ยินว่าฆาตกรชื่อโจวจือ ก็มีสีหน้าเรียบเฉยจักรพรรดิหมิงหยวนชื่นชมอวี่เหวินห่าว ทว่าในใจเขากลับแค้นเคือง แต่ใบหน้าของเขายังคงต้องชื่นชมอย่างปลื้มปิตทั้งยังไม่มีใจที่จะไปฝึกคัดลายมือเป็นเพื่อนจักรพรรดิหยวนหมิง เขาออกจากวังด้วยความโกรธ ตรงไปยังห้องพระชายาจี้พระชายาจี้ เพิ่งกินยาเสร็จพอดีและกำลังนอนอยู่บนเตียง เห็นเขาเข้ามาด้วยอารมณ์โกรธ อดไม่ได้ที่จะถามว่า "ท่านอ๋อง เป็นอะไรไปเพคะ?"อ๋องจี้จ้องหน้านาง "เจ้ารู้หรือไม่ อวี๋เหวินห่าวปิดคดีได้แล้ว โจวจือถูกจับไปแล้ว?"พระชายาจี้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก รีบพยุงกายลุกขึ้นนั่ง กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า "เป็นไปได้อย่างไร!""เดิมทีข้าก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้" อ๋องจี้เดินเข้ามาใกล้ ๆ สีหน้าเย็นชา "แต่ว่าข้าได้ยินเขารา
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม