อวี่เหวินห่าวอารมณ์เสียอยู่ในห้อง กินอะไรไม่ลง วันนี้อยู่ที่สำนักตรวจการมองดูศพผู้ตายทั้งวัน ได้ยินเกี่ยวกับการรื้อคดีฆาตกรรมหมู่ แต่ก็ไม่มีเบาะแสอะไรเพิ่มเติม ในใจทั้งกังวลทั้งหงุดหงิด กลับมาเจอซูยี่ทำเรื่องเสื่อมเสียแบบนี้ จึงระงับความโกรธไม่ได้และระเบิดออกมา“ถังหยางอยู่ไหน?” หลังจากเขาอารมณ์เสียแล้วถามชีหลัวด้วยความโกรธชีหลัวตอบอย่างระมัดระวังว่า “ทูลท่านอ๋อง ใต้เท้าถังออกไปข้างนอกแล้วตั้งแต่วันนี้ตอนเย็น”เขาคิดว่าถังหยางน่าจะไปรับหยวนชิงหลิงแล้ว จึงพูดต่อไป “เจ้าไปบอกคนในจวน ให้เขาบอกใต้เท้าถัง ถ้ากลับมาแล้วให้มาที่ตำหนักเสี่ยวเยว่ทันที”“เพคะ!” ชีหลัวรีบออกไป ราวกับได้ถูกปลดปล่อยหลังจากอวี่เหวินห่าวอาบน้ำ นั่งอยู่ในห้องดื่มชามองออกไปที่ด้านนอก ถังหยางทำไมยังไม่กลับมา? ถังหยางไม่กลับมา นางก็ยังไม่ได้กลับมาเช่นกันหนึ่งก้านธูปผ่านไป ถังหยางรีบร้อนเข้ามา “ท่านอ๋อง ท่านเรียกหากระหม่อมหรือ?”“ไปไหนมา?” อวี่เหวินห่าววางแก้วชา เงยหน้ามองเขาและแกล้งทำเป็นไม่ถามว่าเขารับหยวนชิงหลิงมาแล้วหรือยังถังหยางตอบว่า “วันนี้กระหม่อมไปหาหัวหน้าหมู่บ้านมา ใช่สิ เทศกาลเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้
นางต้องปฏิบัติกับเขาถึงเพียงนี้เลยหรือ?เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้าชอบแบบนี้สินะ!”เขาหันหลังเดินออกไปด้านหลัง ได้ยินเสียงหยวนชิงหลิงทำความเคารพเขา “ทูลลาท่านอ๋อง!”อวี่เหวินห่าวโกรธเสียจนริมฝีปากสั่นไปหมด และรีบสาวเท้ายาว ๆ เดินออกไปอะไรกัน? ข้าต้องทะนุถนอมเจ้ารึ?หยวนชิงหลิงยืนอยู่ที่บันไดหิน มองแผ่นหลังของเขานางไม่ให้เขาสัมผัสตัวเอง เพราะรู้สึกว่าเขาสกปรกเห็นนางเป็นตัวอะไร? เมื่อกี้เพิ่งมีช่วงเวลาดี ๆ กับสองสาว กลับมาก็มาหานางเพื่อเยาะเย้ยนาง นางไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเขานะนางกลับห้องอย่างช้า ๆ นางข้าหลวงฉีถามเสียงเบา “พระชายา ท่านจำเป็นต้องทำกับท่านอ๋องถึงเพียงนี้เลยหรือ?”หยวนชิงหลิงมองแม่นมฉี “เมื่อครู่ข้ายังทำความเคารพไม่พอหรือ?”แม่นมฉีเงียบพูดไม่ออกพอ จนมากเกินพอด้วยซ้ำ!อวี่เหวินห่าวหายใจกระฟัดกระเฟียดกลับตำหนักเสี่ยวเยว่ รู้สึกลมหายใจติดขัดอยู่ในลำคอ ทำยังไงมันก็ไม่ดีขึ้นเมื่อวานยังดูรักใคร่ผูกพันธ์กันดี วันนี้กลับเปลี่ยนไปแบบนี้ นางคิดว่านางเป็นใครกัน?เอื้อมมือไปแตะต้องก็ไม่ได้ งั้นใครกันที่เจ้าไปทูลเสด็จย่าว่าไม่เคยได้เคียงคู่ร่วมหอ?คิดถึงตอนนางเลิ
ดวงตาของอวี่เหวินห่าวเปลี่ยนไปเป็นกลมโต กลมโตเหมือนไข่มุกดำเม็ดแวววาว “เจ้าบอกว่า...เจ้ากับหยวนชิงหลิงเห็นซูยี่พาสตรีสองนางออกไปหรือ?”“เห็นแน่นอน พวกข้าไม่ใช่คนตาบอดนะพ่ะย่ะค่ะ” กู้ซีตอบอย่างไม่พอใจอวี่เหวินห่าวร้อง อ่อ ออกมา “นี่สินะนางถึงโกรธ?”ในแววตาของเขาดูมีความสุขไม่น้อยเลยทีเดียว“ไม่ควรโกรธหรือ?” กู้ซีตั้งอกตั้งใจพูดเกลี้ยกล่อม “ไม่ใช่ว่าข้าว่าท่าน จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นต้องออกไปหาคนข้างนอกเลย ท่านมีตำแหน่งเป็นอะไร? ในจวนไม่ต้องมีอะไรแบบนี้? ถึงกับต้องทำลายชื่อเสียงตัวเองแบบนี้เลยหรือ?”อวี่เหวินห่าวทำท่าเหมือนคนได้รับการสั่งสอน “ข้ารู้แล้ว ครั้งหน้าจะไม่เกิดขึ้นอีก เจ้ากลับจวนอ๋องหวยไปก่อน คืนนี้ข้าจะไปรับนางเอง”“พ่ะย่ะค่ะ ต้องไปรับ เมื่อคืนวานตอนนางออกมา นางเหลียวซ้ายแลขวา ไม่รู้ว่าผิดหวังขนาดไหน ผลสุดท้ายหลังจากกลับถึงจวนยังเห็นสตรีสองนาง จะไม่ให้นางโกรธได้อย่างไร?”อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าตัวเองสมควรตายเสียจริงเมื่อคืนวาน จริง ๆ แล้วไปรับนางได้ ก็เขาแค่แกล้งเล่นตัวกู้ซีที่ให้คำแนะนำเสร็จก็ออกไปทันทีตอนเย็นก่อนตะวันตกดิน อวี่เหวินห่าวถึงที่จวนอ๋องหวยพอดีหยวนชิ
พูดจบเขาก็ลากข้อมือหยวนชิงหลิง “ไป ข้าจะอธิบายกับเจ้าบนรถม้า”“ปล่อยมือข้า!” หยวนชิงหลิงโกรธจนหน้าเขียว มือสกปรกของเขานี่ ต้องถูกตัดไม่ช้าก็เร็วท่ามกลางสายตาผู้คนมากมายที่จ้องมองมา หยวนชิงหลิงถูกเขาลากขึ้นรถม้าวันนี้สารถีไม่ใช่ซูยี่ หลังจากเรื่องเมื่อคืนวานนี้นั้น ซูยี่ได้เข้าสู่สภาพลาพักร้อนเป็นที่เรียบร้อย“เจ้านี่ตกลงจะให้โอกาสข้าอธิบายหน่อยได้ไหม?” อวี่เหวินห่าวจ้องมองใบหน้าแดงก่ำของนางจากการดิ้นรนขัดขืน หยวนชิงหลิงพูดว่า “ท่านปล่อยข้าก่อน มิฉะนั้นก็ไม่ต้องมาพูดกัน ข้าจะไม่ฟังคำท่านสักคำ”อวี่เหวินห่าวปล่อยนาง และถามอย่างจริงจังว่า “ในใจของเจ้า เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ?”“ไม่ใช่ว่าในใจข้าคิดว่าท่านเป็นคนเช่นนั้น ข้าเห็นเองกับตา” หยวนชิงหลิงตอบอย่างเรียบเฉย“เจ้าเห็นอะไรด้วยตาตัวเอง? เจ้าไม่ใช่เห็นซูยี่พาสตรีสองนางนั้นเดินออกไป แต่เป็นเรื่องราวก่อนหน้าที่ซูยี่พานางไปต่างหาก?”หยวนชิงหลิงหน้าขาวซีดมองเขา “ใช่ ก่อนหน้านั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น? ข้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง แต่ข้าก็ไม่ใช่คนโง่ ข้าคิดได้”“คิดว่าอะไร?” เขากระเถิบเข้าไปใกล้ ลมหายใจทั้งหมดเป่ารดลงข้างหน้า เกื
สองวันมานี้อ๋องซุนก็ไปจวนอ๋องหวย และพาพระชายาซุนไปด้วยพระชายาซุนช่างสวยสง่า แข็งแกร่งงดงาม รูปร่างก็ดีมาก ยืนอยู่ข้างอ๋องซุนแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนโฉมงามกับเจ้าชายอสูรพระชายาซุนไม่ได้มาบ่อย แต่มาทีไรก็เตรียมอาหารเสริมของฝากมามากมาย มองดูก็รู้เลยว่านางใช้ใจเตรียมมาอย่างพิถีพิถัน เพราะของฝากที่นางนำมา ล้วนเป็นอาหารเสริมตัวยาที่ช่วยเรื่องโรคปอดฉู่หมิงชุ่ยเคยมาแล้วครั้งหนึ่งพร้อมกับอ๋องฉีอวี่เหวินหลิงเฝ้าจับตาดูนางตลอดเวลา แม้แต่ตอนนางเข้าห้องเยี่ยมอ๋องหวย ก็จับตาดูนางอย่างใกล้ชิด เกรงว่านางจะก่อเรื่องฉู่หมิงชุ่ยกับหยวนชิงหลิงก็พูดจากันไม่กี่คำ แต่ก็สุภาพมีมารยาทมาก ถามไถ่อาการป่วยของอ๋องหวย ย่อตัวขอบคุณหลังจากนั้นก็เดินจากไป ทั้งสองราวกับไม่เคยเกิดเรื่องบาดหมางกันมาก่อนท่าทีของอ๋องหวยเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนที่สุดผ่านคืนวันที่หมอหลวงเคยบอกไปแล้ว แต่เขายังมีชีวิตอยู่ดีและไม่ได้ไอเป็นเลือดอีก อาการไอยังคงมีอยู่บ้างแต่ก็น้อยลงมาก เขายังไม่สามารถลงไปเดินกับพื้นได้คนที่มีความสุขที่สุดก็คือพระสนมหลู่เฟย ไม่กี่วันมานี่นางได้บูชาหยวนชิงหลิงราวกับเทพเจ้า หยวนชิงหลิงอยากกินอยากใช้อะไร
หยวนชิงหลิงมองเขา “เมื่อกี้ข้าพึ่งซาบซึ้งใจเองนะ”“จะซาบซึ้งตื้นตันก็ไม่มีประโยชน์ ข้าไม่มีเงิน” เขาถอนหายใจยาว ๆ “ทุกวันนี้ทุกเดือนข้ามีเงินแค่หนึ่งถึงสองตำลึงเงินไว้ใช้เอง”เขาลากแผ่นหลังอันหนักอึ้งของเขา และเดินจากไปอย่างช้า ๆในใจของหยวนชิงหลิงรู้สึกสับสน ทำไมข้างนอกถึงมีข่าวลือแบบนี้ได้? มองดูแล้ว นางต้องถามถังหยางไม่ก็ซูยี่ซะแล้วกู้ซีส่งนางกลับจวนอ๋องแล้ว นางก็ให้แม่นมฉีเรียกหาซูยี่มาที่นี่แม่นมฉีกล่าวว่า “ซูยี่ไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋องแล้วเพคะ”“ไม่ได้อยู่ที่จวนอ๋อง ท่านอ๋องสั่งให้เขาไปทำธุระข้างนอกหรือ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยความประหลาดใจ“ไม่ใช่เพคะ ซูยี่ก่อเรื่องสร้างความรำคาญพระทัยให้ท่านอ๋อง ท่านอ๋องทรงกริ้ว ไล่ให้เขาออกไป” แม่นมฉีตอบกลับเช่นนี้หยวนชิงหลิงรู้สึกคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก “เขาทำอะไรหรือ?”น่าเสียดายอยู่บ้าง ซูยี่เองก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์จริงใจ ถึงแม้ว่าจะดูเชื่อถือไม่ได้ก็เถอะแม่นมฉีตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าซูยี่นี่ปากไม่มีหูรูด ทำงานไม่น่าเชื่อถือ ไม่รู้ว่าไปเอาความคิดพิเรนท์ ๆ มาจากไหน เตรียมสตรีสองนางไว้ที่ห้องท่านอ๋อง ท่านอ๋องทรงกริ้ว เลยให้เขากับส
ในใจของอวี่เหวินห่าวตอนนี้รู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก และรู้สึกเจ็บปวดร่วมอยู่ด้วยเขากล่าวอย่างเฉยชาว่า “ถ้าพบคนเช่นนี้ นางคงนำพาแต่ความทรมานมาให้เจ้า ไม่มีหรอกความน่ายินดีหรือความสุขหรอก”“มีความทุกข์ก็ต้องมีความสุข”อวี่เหวินห่าวกระดกเหล้าขึ้นดื่ม เขาพบว่ากู้ซีพูดจาไม่รู้เรื่องแล้ว มิตรภาพของพวกเขามาถึงจุดจบแล้วแต่คำเตือนสุดท้าย เขาชี้ไปทางกู้ซีแล้วพูด “อย่าเป็นแบบนั้นจะดีที่สุด เจ้าจะเสียใจเอา”กู้ซีดึงมือเขาลง “เจ้านั่งลงก่อน ดื่มเป็นเพื่อนข้า เจ้าน่ะช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลย เจ้ารักฉู่หมิงชุ่ยจริง ๆ หรือ? ไม่ใช่ว่า เจ้าคิดว่านางน่ะเป็นคนหัวอ่อน ไม่ก่อปัญหาสร้างความรำคาญใจแก่เจ้า ลองคิดดูนะถ้าไม่เจอกันสักวัน ทุกอย่างอาจไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดก็ได้ เจ้าแค่คิดว่านางเหมาะสม ส่วนพระชายาของเจ้า ช่างเถอะ เจ้าถูกนางทำร้าย แน่นอนเจ้าไม่รู้สึกอะไรกับนาง”อวี่เหวินห่าวผลักเขา “เจ้ามีสติหน่อยเถอะ”พูดจบก็ลุกออกไปด้วยความรังเกียจ“ข้ามีคนที่ชอบแล้ว!” กู้ซีตะโกนใส่เขาอย่างไม่เกรงกลัวอวี่เหวินห่าวหันกลับมา นี่เป็นเรื่องใหม่ล่าสุด “ใครเหรอ?”กู้ซียกนิ้วขึ้น “หยวนชิง...”รองเท้าข้างนึงปาข้าง
ชีหลัวไล่ตามมาและพูดว่า “พระชายามาตำหนักเสี่ยวเยว่ตั้งแต่ยามซวี นางนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดหินรอท่าน สองชั่วยามไปแล้ว รอถึงเพลานี้ก็ยังไม่ได้กลับไป”อวี่เหวินห่าวที่ได้ยินเช่นนี้ รีบเดินเข้าไป “นางมีเรื่องอะไรเร่งด่วนรึเปล่า?”“ถามแล้ว ไม่ได้พูดอะไร พูดแค่ว่ารอท่านกลับมา” ชีหลัวพูดไล่ตามมาอวี่เหวินห่าวรีบวิ่งกลับไป เข้าไปในตำหนักเสี่ยวเยว่ พบหยวนชิงหลิงนั่งอยู่ที่ขั้นบันไดหินจริง ๆ ด้วย หัวพิงเสาข้าง ๆ นางได้หลับไปแล้วราตรีกาลข้างนอกฟ้ากระจ่างใส นางงอเข่า ขดตัว เห็นได้ชัดว่าหนาวอยู่บ้างได้ยินเสียงฝีเท้า นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นนางขยี้ตา สายตามองไม่ค่อยชัดแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจับเสาไว้ เหมือนยืนไม่ค่อยมั่นคง “ท่านกลับมาแล้ว?”“ทำไมเจ้าอยู่ที่นี้? มีเรื่องอะไร?” เขานึกถึงความเฉยชาของนางขึ้นมา จึงข่มความสนใจลงแล้วถาม“ข้าอยากคุยกับท่าน” ท่าทางของนางดูน่าสงสารเล็กน้อยเขาทนไม่ไหวแล้วและพูดว่า “เข้าไปคุยข้างในเถอะ”เขาเหลือบมองนาง และเดินผ่านนางไปหยวนชิงหลิงเดินตามเขาไปแล้วจามติดต่อกันสองครั้งเข้าไปข้างใน เขายังไม่ได้หันมา จู่ ๆ หยวนชิงหลิงกอดเขาจากด้านหลังเขาตกใจจนตัวแข็งทื่ออยู่คร
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม