“เรื่องแต่งงานของเจ้าถูกจัดการแล้ว? ทำไมข้าไม่รู้” หยวนชิงหลิงตกใจมาก น้องเธอเพิ่งผ่านพิธีปักปิ่นมาเอง? ทำไมรีบเตรียมการแต่งงานเร็วขนาดนี้?“เทียบเวลาตกฟากของข้าก็ถูกส่งไปแล้ว”“คือใครกัน?” หยวนชิงหลิงถามหยวนชิงผิงตอบย่างเย็นชา “ฉู่ต้าโย่ว”“ฉู่ต้าโย่วคือใครกัน?”นางข้าหลวงสี่ที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้นมาอย่างเรียบ ๆ “หลานชายของฉู่โซ่วฝู ตอนนี้อายุสามสิบกว่าแล้ว ภรรยาเสียชีวิตไปแล้วสามคน”“เจ้าเพิ่งอายุสิบห้า แต่งกับพ่อหม้ายภรรยาตายอายุสามสิบกว่า? ไร้เหตุผลสิ้นดี!” หยวนชิงหลิงได้ยินเช่นนั้นก็โมโหมาก จิ้งโฮ่วเสียสติไปแล้วรึไง ถึงทำลายลูกสาวตัวเองแบบนี้“ท่านพ่อพูดว่า เกินเอื้อมข้าแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะอายุสามสิบ แต่ก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ฮุ่ยติ่งโฮ่ว สถานะมีเกียรติสูงส่งนัก”“แล้วยังไง?” หยวนชิงหลิงถาม“ไม่แล้วไง คงทำได้แค่ฟังและทำตามคำสั่งเท่านั้น” หยวนชิงผิงยังคงเยือกเย็น นางเพิ่งอายุสิบห้า นางล้วนเห็นมามาก เรื่องการแต่งงานของนาง นางไม่มีสิทธิ์คัดค้านเลยหยวนชิงหลิงถามนางข้าหลวงสี่ “ฮุ่ยติ่งโฮ่วเป็นคนยังไง?”นางข้าหลวงสี่ตอบเธอ “พระชายาถามท่านอ๋องก็ได้เพคะ ท่านอ๋องไปออกศึกตั้งแต
พอคิดว่าต้องขอให้คนพรรค์นั้นช่วยแล้ว ในใจของหยวนชิงหลิงก็รู้สึกลังเลขึ้นมา เขาต้องไม่ช่วยเธออย่างราบรื่นแน่ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขาเต็มใจช่วย จิ้งโฮ่วเองก็อาจจะไม่ฟังเขา หยวนชิงผิงคิดง่ายไปอย่างไรก็ตาม ถ้าเขาเต็มใจช่วย เขาต้องคิดหาทางได้แน่ “เจ้ากลับห้องพักผ่อนก่อน เรื่องนี้พวกเราต้องหารือกันอีกยาว” หยวนชิงหลิงพูดเช่นนี้หยวนชิงผิงรู้สึกอึดอัดใจมากที่จริงแล้ว ในใจของนางไม่ได้คาดหวังกับหยวนชิงหลิง การที่นางมาที่จวนอ๋องก็เพียงเพราะอยากจะหลีกหนีความจริงนี้ วันนี้พี่สาวนางกลับมาจากวังหลวง นางแค่ลองถามดู เพียงแต่คำถามนี้ ในใจนางรู้สึกคาดหวังอยู่บ้างแต่พี่นางกลับตอบว่า ต้องหารือกันอีกยาว? นี่มันแค่ข้อแก้ตัวชีวิตพี่สาวนางชาตินี้ช่างโง่เง่าไร้สมอง มีแต่เรื่องหลงใหลในตัวอ๋องฉู่ เชื่อฟังท่านพ่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา นางไม่เคยคิดว่า แตงที่ฝืนเด็ดออกจากต้นย่อมไม่หวานฉันใด การฝืนแต่งงานก็ไม่มีความสุขฉันนั้น แต่งกับอ๋องฉู่แล้วได้มีความสุขไหม?ท่านพ่อเพื่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานถึงเลือกทำเช่นนี้ ซึ่งมันเสี่ยง แต่ก็แค่สละชีวิตลูกสาวตัวเองไปคนนึงเท่านั้น แต่นางไม่อยากทำแบบนี้ นี่มันคว
“ดูแล้วยังบวมอยู่เลย” หยวนชิงหลิงยิ้มเยินยอ “ไม่อยากพูดเลย ท่านอ๋องช่างโดดเด่นเหลือเกิน ถึงบวมขนาดนี้ก็ยังดูหล่อเหลา”“มีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา พูดจบแล้วก็รีบ ๆ ไปให้พ้นหน้าข้าซะ” อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่าตัวเองเหมือนมีไข้ ทั้งร่างรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง เจ้าตัวต่อนี้พิษมากนัก แต่พิษกลับทำอะไรหยวนชิงหลิงไม่ได้เลย“ไม่มีอะไร ก็แค่คิดรับใช้ท่านอ๋องยกอาหารมาให้ ข้าทำเป็ดผัดใบโหระพาเองเลยนะ และเอาสุราเฟิ่นหยางมาไหนึงด้วย ท่านอ๋องมาดื่มเป็นเพื่อนข้าสักแก้วเถอะ” หยวนชิงหลิงยื่นมือไปหาเขา“อย่ามาแตะข้า!” อวี่เหวินห่าวสะบัดมือออกและพูดอย่างเคือง ๆ “เจ้ามันเป็นผู้หญิงสารพัดพิษ”หยวนชิงหลิงพูดอย่างจริงใจ “ท่านอ๋องท่านเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง อย่าทำกับข้าเหมือนผู้หญิงคิดเล็กคิดน้อยเลย เรื่องนี้ข้าผิดเอง ข้าควรยืนสงบเสงี่ยมเชื่อฟังไม่ปกปิดไม่ตะโกน ให้ตัวต่อต่อยข้า โธ่ เห็นท่านถูกต่อยแบบนี้ ข้าเจ็บเหลือเกิน ”“เจ้ารังเกียจข้าไหม?” อวี่เหวินห่าวหันกลับมา พยายามลืมตามองท่าทางประจบสอพลอหยวนชิงหลิง “ข้าให้โอกาสพูดครั้งเดียว จะพูดไม่พูด? ไม่พูดก็ออกไปให้พ้นหน้าข้า” “ดื่มเหล้าสักคำ...” หยวนชิงหลิวมองหน้าเขา ขี้เหร
เมื่อได้ยินดังนั้น หยวนชิงหลิงจึงไม่เกรงใจนั่งลงถามเขาไปตรง ๆ “ข้าอยากจะพูดกับท่านอ๋องตามลำพัง”หยวนชิงหลิงคิดว่าการขอร้องให้คนช่วย ต้องเล่าทุกอย่างตั้งแต่ต้นทั้งหมด อีกทั้งเธอยังลำบากใจที่จะขอให้คนอื่นช่วย“ใคร?” อวี่เหวินห่าวถามโดยไม่ได้แสดงอาการรังเกียจอะไร “เสี่ยวเหยากง”อวี่เหวินห่าวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าถามถึงเขาทำไม?”“เคยได้ยินไท่ซ่างหวงพูดถึงเขาขึ้นมา ข้าแค่สงสัย?”“เรื่องของเขา ข้าไม่รู้หรอก ไม่ต้องถาม” อวี่เหวินห่าวทำหน้าเหม็นพูดกับเธอหยวนชิงหลิงรู้สึกงุนงง เสี่ยวเหยากงผู้นี้เมื่อก่อนเป็นอัครมหาไม่ใช่รึไง? ทำไมเขาถึงไม่รู้จัก?”เธอเหลือบมองอวี่เหวินห่าวจากหางตาของเธอ รู้สึกว่าเสี่ยวเหยากงผู้นี้คงมีเรื่องบาดหมางกับอวี่เหวินห่าว “งั้น ช่างเถอะ ถามต่ออีกข้อ ฮุ่ยติ่งโฮ่ว ฉู่ต้าโย่ว”อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้วอย่างจริงจัง จนรอยบวมนั้นแดงแววขึ้นมา “เขาหรือ?”“คน ๆ นี้เป็นคนยังไง?” หยวนชิงหลิงมองสีหน้าเขาแล้ว ดูท่าไม่น่าจะใช่คำตอบที่ดีแน่“สรุปได้คำเดียว ชั่วช้า!” อวี่เหวินห่าวตอบอย่างเย็นช้า หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะคิดแก้คำว่าชั่วช้าสองคำนี้ในหัว ในใจของเธอรู้สึกส
“ข้าก็เคยขัดแย้งกับเขาไม่น้อย ภายหลังมีการยื่นถวายฏีกาต่อหน้าฝ่าบาท ฝ่าบาททรงสอบสวนแต่ไม่มีเรื่องอะไร ท่านอ๋องถูกฝ่าบาทต่อว่าไปชุดนึง ว่ากล่าวหาแม่ทัพอย่างผิด ๆ” ถังหยางกล่าวหยวนชิงหลิงอึ้งไปเลย “เรื่องนี้ เขาฆ่าผู้หญิงไปมากมายขนาดนี้ เขาจัดการได้เรียบร้อยหมดเลยเหรอ?”“ยกเว้นอยู่คนนึง คือฮูหยินคนที่สาม เป็นลูกของเจ้าเมืองลู่โจว ตอนที่นางเสียพอดีตอนนั้นเจ้าเมืองลู่โจวได้เห็นลูกสาวในโลงศพ ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล สภาพน่าเวทนามากจนไม่อาจทนดูได้ นอกจากนี้ยังมีเด็กในท้องที่แท้ง เจ้าเมืองลู่โจวไม่ยอมและต้องการสืบสวนต่อ...”“สุดท้าย?” หยวนชิงหลิงที่เห็นว่าเขาหยุดพูด จึงรีบถามต่อถังหยางถอนหายใจ “สืบสวนไม่สำเร็จ เจ้าเมืองลู่โจวเป็นบ้าไปแล้ว”หยวนชิงหลิงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เธอโกรธจนผมทั้งหมดเหมือนจะชี้ตั้งขึ้นมาให้ได้ “ไม่มีคนทำอะไรเขาได้เลยเหรอ?”อวี่เหวินห่าวพูดว่า “มีคนเคยตีเขาอย่างหนักไปยกนึง”“ใครตี? ตีได้เยี่ยมไปเลย” หยวนชิงหลิงกัดฟันพูด “แล้วทำไมไม่ตีเขาให้ตายไปเลยล่ะ?”“เสี่ยวเหยากง!” อวี่เหวินห่าวพูดโดยมองหน้านาง“เสี่ยวเหยากง?” หยวนชิงหลิงตกใจ เสี่ยวเหยากงอายุมากแล้ว ยั
เธอเค้นสมองคิด อวี่เหวินห่าวมีจุดอ่อนอะไรบ้าง?มี ฉู่หมิงชุ่ย แต่ก็เหมือนการแตะย้อนเกล็ดมังกรของเขา แตะนิดเดียวผลลัพธ์ที่ได้ร้ายแรง จนไม่อยากจะคิดถึงผลลัทธ์นั้นเลย“ช่างเถอะ ข้าจะคิดหาทางอื่น ถ้าไม่ได้จริง ๆ ข้าก็จะไปขอฮุ่ยติ่งโฮ่วด้วยตัวเอง” หยวนชิงหลิงลุกออกไปด้วยความโกรธอวี่เหวินห่าวแค่นหายใจอย่างเย้ยหยัน นางจะไปขอฮุ่ยติ่งโฮ่วด้วยตัวเอง นางช่างกล้า เขาจะยกเท้าถีบให้น่ะสิไม่ว่าไม่ใช่ว่าเขาดูถูกคนอื่น แต่จิ้งโฮ่วไม่กล้าท้าทายคนตระกูลฉู่หยวนชิงหลิงนั่งลงให้เด็กรับใช้รับคำสั่ง วันรุ่งขึ้น ก็ให้ลวี่หยาไปขอพบฮุ่ยติ่งโฮ่ว แต่ทว่าฮุ่ยติ่งโฮ่วกลับไม่สนใจตอบกลับพระชายาจากบ้านฮุ่ยติ่งโฮ่ว และตอบปฏิเสธไปว่าวันสองวันนี้ฮุ่ยติ่งโฮ่วไม่อยู่ที่จวนลวี่หยาโกรธมากหลังจากกลับจากจวนฮุ่ยติ่งโฮ่ว และพูดต่อหน้าหยวนชิงหลิงว่า “ฮุ่ยติ่งโฮ่วไม่เคารพท่านเลย เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเขาอยู่ในจวน หม่อมฉันพบว่าตอนนั้นคนรับใช้กลับไปรายงานก็เห็นเขาอยู่ในโถงพอดี”“ลวี่หยา อย่าพูดมาก!” แม่นมฉีดุลวี่หยาไปทีหยวนชิงหลิงพูดอย่างเฉยชา “เขาเองก็เป็นคนมีชื่อเสียง เป็นขุนนางคนโปรดของราชสำนัก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะไม่เ
หยวนชิงหลิงยิ้มออกมา “ขอบคุณมาก ถ้าไม่เป็นเพราะคำเตือนของท่าน ข้าก็นึกไม่ถึงว่าไปหาท่านย่าก็ได้เหมือนกัน”ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นทำไมคุณนายรองไม่ชอบให้มีคนรบกวนหาท่านย่ากัน? เธอเป็นหลานสาว ไปเยี่ยมไข้ท่านย่า ไม่ใช่วิถีปกติที่เขาทำกันหรืออย่างไร?หวางซรื่อโกรธจนปวดหัว “น่าโมโห แต่ละคนล้วนไม่เอาไหน ไม่รู้อะไรบ้างเลย”หยวนชิงหลิงไม่สนใจและเดินออกไปเธอออกไปที่ประตูใหญ่ เกือนชนเข้ากับใครบางคน เธอรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยืนนิ่งพบชายหนุ่มอ่อนเยาว์รูปงามในชุดสีกรมท่า เธอโพล่งเรียกออกมา “พี่ใหญ่!”คนนี้เป็นพี่ชายคนโตของหยวนชิงหลิง หยวนหลุนเหวิน เขาเป็นบัณฑิตฝึกหัดปฏิบัติราชการประจำสำนักราชบัณฑิตหลวงเขาเคยเป็นความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล แต่เพราะพูดจาก้าวร้าวไปทำให้ตระกูลฉู่ขุ่นเคืองใจ ตอนนี้เขาเป็นแค่คนว่างงานไม่ได้ทำการทำงานอะไรในสำนักราชบัณฑิตหลวง“ทะเล่อทะล่าทำอะไรน่ะ?” หยวนหลุนเหวินถามอย่างเคร่งขรึม“ข้ามีเรื่อง ขอตัวก่อน” หยวนชิงหลิงไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไรกับคนในครอบครัวหยวน และก็ไม่อยากคิดถึงเรื่องของหยวนหลุนเหวินด้วย เสียงดุไล่หลังมา หยวนหลุนเหวินคว้าข้อมือของหยวนชิงหลิงแล้วดุเธอ “
ความสมัครสมานสามัคคีของจวนจิ้งโฮ่ว ได้ไปปลุกความความดื้อด้านในใจของหยวนชิงหลิงขึ้นมา ข้าจะนับถึงสาม ถอยไปซะ!” หยวนชิงหลิงพูดแล้วจ้องมองไปที่หลวนอย่างเย็นชาหลวนหัวเราะเบา ๆ “ถอยไปไม่ได้จริง ๆ เกรงว่าพระชายาจะเข้าไปรบกวนรบกวน การรักษาตัวของฮูหยินเฒ่า”ยังจะนับถึงสาม ช่างไร้เดียงสาเสียจริงหยวนชิงหลิงจ้องมองไปที่นาง “หนึ่ง...”หยวนชิงหลิงผลักนางจนเซ หลวนล้มลงกับพื้น “ล่วงเกินท่านแล้ว!” หยวนชิงหลิงรีบเดินออกไป“โอ๊ย พระชายาตีข้า พระชายาตีข้า” หลวนที่ล้มลงกับพื้นร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด เรียกให้บ่าวรับใช้ในเรือนมามุงดูหยวนชิงหลิงหยุดเดินแล้วนิ่งไป หันหลังกลับมาดูหลวนร้องไห้ “ไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าเป็นป้าสะใภ้เจ้า เจ้ากลับลงมือตีข้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นพระชายาจึงไม่เกรงใจ กลับมาบ้านแม่เพื่อรังแกคนเฒ่าคนแก่สินะ” หยวนชิงหลิงก้มตัวลงและยิ้มเย็นออกมา “ป้าสะใภ้ ข้าขอแนะนำให้ท่านหุบปากเสีย วันนี้คุณนายรองต่างไม่กล้าห้ามข้า แต่ถ้าท่านรีบข้าจะจัดการท่านเป็นคนแรก“เจ้า...เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?” หลวนหยุดร้องไห้ น้ำตาสักหยดก็บีบไม่ออก“เมื่อก่อนข้ากลับจวน ข้าต้องขออนุญาตท่านอ๋องซ้ำแล้
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม