บทที่ 2
เยือนถิ่นเจ้าพ่อ
.
.
.
อัปสรา...อัปสราสมชื่อ
นัยน์ตาคู่คมแลดูดุดันบัดนี้ผ่อนคลายหลายเท่าตัว ใบหน้าเจือไปด้วยความสบายอารมณ์ทั้งสี่ส่วนยามจดจ้องไปยังหน้าจอขนาดสิบสามนิ้วของเครื่องมือสื่อสารในมือ ที่บรรจุไปด้วยตัวอักษรเพื่อร้อยเรียงเรื่องราวของสาวสวยรายนั้น
เจ้าหล่อนชื่อเล่นว่าอบเชย ซึ่งมันค่อนข้างน่ารักในความคิดของเขา ชื่อจริงอัปสรา ก็แลดูจะเหมาะสมกับความสวยหยาดฟ้ามาดินของเธอ
เดิมทีเขาคิดว่าอัปสราเป็นนางรำ แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ยึดอาชีพนี้เป็นหลักแต่ทำงานประจำที่ร้านกาแฟ อาศัยอยู่กับน้องสาวที่เป็นผู้พิการทางการได้ยินแค่สองคน พื้นเพเป็นคนพิษณุโลกที่ย้ายมาอยู่เมืองกรุงตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย กำพร้าพ่อแม่ และรับงานรำเป็นชั่วครั้งชั่วคราวหากตารางงานว่างเพราะเร่งเก็บเงินรักษาอาการป่วยของน้องที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่นนั้นแล้วในวันนั้นเขาถึงได้เห็นเธอรับงานนอกอย่างการร่ายรำ
ส่วนข้อมูล ‘อื่นๆ’ ไม่มี
หายไปทั้งวันได้มาแค่นี้เองน่ะรึ หรือว่าจะถึงเวลาที่เขาต้องเขี่ยสดายุทิ้ง ตั้งแต่บอกว่านางรำคนอื่นสวยกว่าอัปสราแล้ว ใช้ตาตุ่มมองกระมัง
มือถือถูกคว้าโดยเจ้าของ รอสายครู่เดียวเสียงของลูกน้องก็ดังแทรกเข้าโสตประสาท (สวัสดีครับนาย)
“ได้มาแค่นี้?”
(ก็...) หัวคิ้วมุ่นเป็นปม สดายุค่อนข้างมั่นใจว่าข้อมูลที่ได้มานั้นมีมากทีเดียว (ข้อมูลทั่วๆ ไปนะครับ นั่นผมก็ใช้ความสามารถพิเศษในการซุ่มดู แล้วยังบากหน้าปั้นเรื่องไปถามคนในคณะถึงได้พอรู้เรื่องมาบ้าง รู้ไปถึงบ้านเกิดเมืองนอน ครอบครัว อาชีพ มันยังขาดอะไรอีกเหรอครับนาย)
“มีแฟนหรือยัง”
เป็นเวลาหลายวินาทีที่ผู้ติดตามสส. หาเสียงของตนไม่เจอ (อ้อ เรื่องนี้นี่เอง)
“ยังไง”
(ไม่ทันได้ถามครับ แต่จะรีบจัดการให้แล้วจะแจ้งให้ทราบครับนาย)
“เรื่องนี้มันสำคัญที่สุดด้วยซ้ำ ก็รู้ว่ากูไม่กินของแสลง”
ผู้หญิงที่มีแฟนแล้วถือเป็นเผือกร้อน เผลอไปจับมืออาจจะพุพองได้ แม้แต่เด็กในเลาจน์เขายังขอคนคลีนๆ ไร้เจ้าของหัวใจ ไม่อยากจะได้ชื่อว่าไปสร้างรอยร้าวให้ครอบครัวใครเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ดูเผินๆ เหมือนเขากินไม่เลือก แต่จริงๆ แล้วเลือกกินยิ่งกว่าอะไร
(ขอโทษที่พลาดครับนาย ผมจะรีบจัดการให้เดี๋ยวนี้ครับ)
ให้หลังไม่ถึงห้านาทีก็มีข้อความถูกส่งมาจากสดายุ
คุณยี่: น้องนางรำโสดครับ
วันนี้ชยินก็ยังมีธุระกับสมาคมของเจ้าตัว เป็นเหตุให้อัปสราต้องเฝ้าร้านอยู่คนเดียว แต่อาจจะไม่ทั้งวันเพราะด้านเจ้าของบอกว่าเสร็จธุระแล้วจะเข้ามาช่วย
ช่วยไม่มาน่ะดีอยู่แล้วด้วยซ้ำ
ช่วงสายของวันเบเกอรี่ก็ถูกนำมาส่ง อัปสราจึงง่วนอยู่กับการเช็กสินค้า โดยที่ข้างกายก็มีคนจากร้านเบเกอรี่ยืนขนาบไม่ห่าง
“พี่พายฝากขนมมาให้พี่เชยด้วยครับ” พนัชว่าพลางวางถุงขนมลงบนเคาน์เตอร์ “ผมตั้งไว้ตรงนี้นะ”
อัปสราเงยหน้าจากบรรดาขนมแล้วผินหน้าไปทางคู่สนทนา “เกรงใจอะพก ทำไมพี่พายฝากมาบ่อยจัง”
นับดูแล้วก็ประมาณหนึ่งเดือนที่เจ้าของร้านเบเกอรี่ที่มักจะทำขนมส่งร้านกาแฟจะฝากขนมมากับน้องชายเพื่อให้เธอ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่ยักจะมี
“ก็...” พนัชเกิดอาการหูร้อน ดีที่อัปสราก้มหน้าไปเช็กขนมต่อจึงไม่ทันได้เห็นหมาเด็กเสียอาการ มือไม้อยู่ไม่สุขจนไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน “ช่วงนี้พี่พายทำเยอะมากครับ บางส่วนขาย บางส่วนแบ่งปัน คนกันเองทั้งนั้นน่ะครับ”
“งั้นเหรอ ยังไงก็ฝากขอบคุณพี่พายด้วยนะ”
ปกติเธอไม่ค่อยได้ทานเพราะชิ้นหนึ่งมีราคาเทียบเท่าข้าวหนึ่งมื้อ หรือบางชิ้นก็มากกว่านั้น แต่เพราะพรรณนาราฝากมาให้ถึงได้มีขนมแพงๆ ทานทุกวัน
“โอเค ของครบ”
หนุ่มรุ่นน้องฉีกยิ้มแป้น “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ”
“จ้ะ เดินทางปลอดภัยน้า”
“ครับ พี่ก็อย่าลืมกินขนมนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้ครับ”
สาวเจ้าระบายยิ้มรับคำทั้งยังก้าวเดินไปยังประตูเพื่อเปิดให้อีกฝ่ายที่ต้องถือตะกร้าจะได้เดินเหินสะดวก แต่พอพนัชก้าวพ้นประตูร้านออกไปด้านนอก ก็เหมือนจะมีพายุคนตัวสูงพัดเข้ามา มือบางที่ทำหน้าที่เปิดประตูไว้ก็ค้างอยู่ท่าเดิม
นัยน์ตาคมกริบดั่งใบมีดสาดมายังใบหน้านวลสวย พาให้ลมหายใจไหลเวียนไม่ทั่วท้อง น้ำลายเหนียวๆ ถูกกลืนลงคออย่างยากลำบาก พร้อมกันนั้นก็รับรู้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจที่คร่อมจังหวะจนน่าประหลาด
จิตใต้สำนึกของบาริสต้ารู้ว่าต้องเอ่ยปากทักทายลูกค้าเช่นไร แต่ไม่รู้ทำไมคำพูดทุกอย่างถึงได้ถูกกลืนลงคอไปจนหมดแค่เพราะได้รับสายตาดุดันของผู้ชายคนนี้
กลิ่นหอมฉบับผู้ลากมากดีตีรวนอยู่ในโพรงจมูก หญิงสาวเม้มปากแน่น มือบางกำมือจับประตูจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาเล็กน้อย เจ้าหล่อนเบี่ยงตัวเพื่อหลีกทางให้กลุ่มคนมาใหม่ได้เข้ามาในร้าน กระทั่งคนสุดท้ายเดินผ่านไปถึงได้รู้สึกว่าตรงนี้มีอากาศมากพอให้หายใจทั่วท้อง
เมื่อกี้มันอะไรกันนะ สายตาของคุณสส. คนนั้นน่ะ
บานประตูถูกปิดลงพร้อมกับอัปสราที่สูดหายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา ก่อนหมุนตัวเพื่อไปประจำที่เคาน์เตอร์ ในขณะที่หางตาก็เห็นว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เดินไปนั่งยังมุมหนึ่งของร้าน โดยเลือกนั่งสองโต๊ะเพราะมีจำนวนเกือบสิบคนเห็นจะได้ จะมีก็แค่คนเดียวที่ยืนรออยู่แถวๆ เคาน์เตอร์
ริมฝีปากบางสีสวยเบนกว้างขึ้นจนก่อเกิดรอยยิ้มประหารผู้คน ที่ความหวานของมันน่าจะพอๆ กับน้ำผึ้งเดือนห้า แต่สดายุรู้ดีว่าสิ่งนี้ถือเป็น ‘ของแสลง’
“สวัสดีค่ะ รับอะไรดีคะ”
“สวัสดีครับ ขอรับเป็น...” แล้วบุคคลผู้ทำหน้าที่เบ็ดเตล็ดก็ร่ายยาวถึงเมนูของคนทั้งเก้าที่เขาจำได้ขึ้นใจ ใครชอบอะไรเขารู้หมด ไม่หวาน เข้มๆ สารพัดอย่าง เพราะนับไม่ถูกแล้วว่าเป็นคนสั่งให้ทุกคนกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง “เสิร์ฟไหมครับ ถ้าไม่เดี๋ยวผมรอ”
“เสิร์ฟค่ะ คุณลูกค้านั่งรอที่โต๊ะได้เลยค่ะ”
ที่จริงเขารู้อยู่แล้วเพราะเมื่อวานก็ซุ่มดูอยู่พักใหญ่ แค่นึกเห็นใจที่เจ้าหล่อนทำงานคนเดียว น่าจะเหนื่อย แต่สุดท้ายเขาก็กลับไปรวมกลุ่มกับพรรคพวก
ลูกค้าในร้านมีอยู่บางตา แต่หลังจากผู้ชายกลุ่มนั้นก้าวเข้ามาก็คล้ายว่ามันจะคับแน่นอยู่ในอกของบาริสต้าสาวที่จู่ๆ ก็เกิดอาการเกร็ง ไหนเล่าน้องนักศึกษาที่นั่งอยู่ก่อนหน้านี้ก็เก็บกระเป๋าพากันเดินออกไปจากร้าน ทำให้นอกจากเธอก็มีแค่กลุ่มคนมาใหม่เท่านั้น
จู่ๆ ความกดอากาศก็ต่ำจนจะหายใจไม่ออก
อัปสราก้มหน้าก้มตาและสั่งสมองให้จดจ่ออยู่แต่กับเครื่องดื่มตรงหน้า พยายามควบคุมลมหายใจให้อยู่ในจังหวะที่เป็นปกติ ไม่แผ่วและแรงจนเกินไป แม้จะรู้สึกคล้ายถูกจับจ้องอยู่ก็ตามที
ระหว่างที่สาวเจ้าง่วนอยู่กับการชงกาแฟ เงาดำก็พาดผ่านจนต้องเงยหน้าขึ้นไปมอง เป็นคนคนเดียวกับที่มาสั่งกาแฟนั่นเอง
เธอส่งยิ้มให้อย่างมีมารยาท โดยที่มือก็ไม่หยุดทำหน้าที่ของตน “รับอะไรเพิ่มหรือเปล่าคะ”
“พอดีเจ้านายของผมไม่ทานหวานแต่อยากทานขนม มีแบบหวานน้อยแนะนำไหมครับ”
“มีค่ะ สักครู่นะคะ” อัปสราวางมือจากการชงเครื่องดื่มเพื่อขยับกายไปยังตู้เบเกอรี่ แนะนำเมนูที่คาดว่าลูกค้าอาจจะต้องการ เมื่ออีกฝ่ายตอบรับเสร็จสรรพก็เดินกลับไปนั่งที่เดิม หล่อนจึงนำขนมจัดใส่จานแล้วเดินไปเสิร์ฟที่โต๊ะ
ลูกค้าคนที่สั่งนั่งอยู่โต๊ะถัดไป แต่เขาพูดว่า ‘เจ้านาย’ ซึ่งขนมที่อยู่ในมือของเธอนั้นน่าจะมีเจ้าของเป็นเจ้านายของเขา เธอค่อนข้างมีความมั่นใจว่ามันน่าจะเป็นของนักการเมือง แม้จะไม่ค่อยได้ติดตามข่าวการเมืองแต่ก็เห็นผ่านตาบ้าง หล่อนจำได้ว่าสส. ท่านนี้อยู่พรรคที่ได้จัดตั้งรัฐบาล
แต่ถึงกระนั้นก็ประหม่าที่จะเสิร์ฟให้เขาโดยตรง จึงเลือกเดินไปยังคนสั่งแทน แต่ก้าวขายังไม่ทันจะผ่านหน้าคนตัวใหญ่ สุ้มเสียงทุ้มต่ำก็ดังกังวานก้องไปทั่วโสตประสาทพาให้ขาตายจนก้าวไม่ออก
“ของฉัน”
°*• ❀ •*°
“ของฉัน” เจ้าหล่อนหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงดุดันนั้น “ค่ะ นี่นะคะ” แล้วจึงวางจานขนมไว้ตรงหน้านักการเมืองหนุ่ม ก่อนค้อมศีรษะให้แล้วค่อยเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าเครื่องดื่มทั้งเก้าจะถูกเสิร์ฟ โดยที่อัปสราต้องแบ่งเป็นการเดินถึงสามรอบ รอบแรกกับรอบที่สองผ่านไปอย่างง่ายดาย แต่รอบที่สามมีของท่านสส. อย่างแน่นอนเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เสิร์ฟแก้วของเขาเลย เธอไม่ได้มีปัญหาเป็นการส่วนตัวอะไรกับคนใหญ่คนโตพรรค์นั้น แค่รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ถูกมอง ตอนที่เห็นผ่านตาในหน้าสื่อเขาก็ดูยิ้มแย้ม ไยทุกครั้งที่เธอได้พบเจอถึงไม่เหมือนที่คิดไว้เลย อย่างไรก็ตาม อัปสรายังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยการยกถาดเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ เธอก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ก้มหน้าลงประมาณหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคู่คม ยิ่งระยะห่างถูกลดลงเรื่อยๆ ก็คล้ายว่ามวลอากาศในร้านมันกดต่ำจนอัปสราไม่สามารถหายใจได้ทั่วท้อง แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อเธอสะดุดปลายเท้าตัวเองจนคะมำไปข้างหน้า เครื่องดื่มในถาดเทกระจาดราดลงบนโต๊ะไม่เหลือดีสักแก้ว ในขณะที่ตัวของหญิงสาวค้างเติ่งกลางอากาศเมื่อมีแขนแข็งแรงตวัดพาดรั้ง
ในที่สุดสายเรียกเข้าจากคนที่เธอไม่อยากให้ติดต่อมาก็มีชื่อโชว์หราอยู่บนหน้าจอ ใช่ว่าอัปสราอยากปัดความรับผิดชอบ ก็แค่อยากต่อเวลาให้ตัวเองอีกสักนิดเพราะตอนนี้เงินเดือนยังไม่ออกและเธอมีเงินสำหรับใช้ระหว่างรอเงินเดือนไม่มากนัก ไม่มากที่แปลว่าแทบไม่เหลือ “สวัสดีค่ะคุณสี่” (สวัสดีครับคุณอบเชย ผมโทร. มาแจ้งเรื่องค่าเสียหายนะครับ) อยากจะเป็นลม เธอสามารถล้มไปกองกับพื้นระหว่างรอเขาพูดได้หรือเปล่า “ค่ะ” ก่อนอ้อมแอ้มถามกลับไปไม่เต็มเสียง “ทั้งหมดเท่าไรคะ” (หมื่นพันครับ แต่คุณเซียงเอาแค่หนึ่งหมื่นถ้วน สะดวกโอนเลยไหมครับ) คนฟังกะพริบตาปริบๆ เธออาจจะกำลังฝันอยู่ว่าต้องโอนเงินหนึ่งหมื่นให้คู่กรณี เงินหมื่นนั่นเพิ่มอีกแค่สองพันก็เทียบเท่าเงินเดือนของเธอแล้ว ทำไมไม่ซ่อมหมื่นสองไปเลยล่ะ เธอจะได้ไม่ต้องกินข้าว “แหะๆ ราคาแรงเหมือนกันนะคะเนี่ย” ปลายสายยังคงกล่าวเสียงเรียบ ไม่มีท่าทีโอนอ่อนให้กันสักนิด (โอนเลยไหมครับ ผมจะได้บอกเลขบัญชี) “เรามาตกลงกันได้ไหมคะ” (...) “หนูจ่ายแน่ๆ ค่ะ คุณก็รู้ว่าหนูไม่หนี ที่ทำงานของหนูพวกคุณก็รู้กันหมด แต่อย่าว่างั้นงี้เลยนะคะคุณสี่ เงินเดือนหนูไม่ได้มากค่ะ ถ้าจ
ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที “สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ” วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้ “ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ” “เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ” “ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ” “ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว” เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย [พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยที่ตั้งใจหาชุดที่สุภาพกว่าวันก่อนยืนรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนมาท้องฟ้าถูกฉาบเป็นสีส้ม ทว่าตอนนี้ฟ้าทั้งผืนเริ่มที่จะถูกสีน้ำเงินเข้าแทรก วสุก็ยังไม่มาพาขึ้นไป เธอผินหน้าไปทางน้องสาว ยกมือขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าหล่อน ปากก็ขยับเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฝึกอ่าน ในอนาคตหลังจากเธอสามารถเก็บเงินเพื่อให้น้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย อิสรีจะได้รู้จักวิธีการพูด “รอนานหน่อยนะ คุณสี่บอกว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะไม่กล้าทิ้งน้องไว้ลำพังที่หอพักจึงเป็นอีกครั้งที่เธอหนีบอิสรีมาด้วย [รอได้ค่ะ] ก่อนเปลี่ยนหัวข้อดื้อๆ [คุณสี่ใจดี เลี้ยงข้าวพวกเรา] วันนั้นอัปสราไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อิสรีคงเห็นว่าวสุจ่ายตัดหน้าไปจึงสามารถเข้าใจได้แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกอะไรก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าหวาน “ถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร ตอนแรกพี่เกร็งเขามาก ตอนนี้ผ่อนคลายมานิดหนึ่งแล้ว” [ใช่ค่ะ ไม่ยิ้มแต่ก็ใจดี ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น] สีหน้าคนอายุน้อยกว่าสลดลงทันที [น่ากลัว] อัปสรายิ้มแหย “เขาก็แค่ดุแต่เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ให้หลังแค่อึดใจเดี
สัตราเลือกจะเอ่ยปากให้อัปสราและน้องสาวรีบกลับเพราะเขาเกร็งหน้าจนปวดแก้ม อยากจะยิ้มใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ยิ้มยังไม่ทันสาแก่ใจก็ตงิดขึ้นมาว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงยังไม่กลับ เมื่อเดินตามมาถึงได้เจอว่าน้องนางรำกำลังทำตัวใจดีเรี่ยราดด้วยการยื่นเทียนหอมให้กับหนึ่งในลูกน้องของตน งามทั้งกายงามทั้งใจ แต่เกินขอบเขตไปหน่อยกระมัง หนุ่มใจดียกยิ้มแห้งๆ ให้สาวสวย “ให้ผมเหรอครับ” “ค่ะ น้องสาวหนูทำเองเลย” “อ้อ” “กลิ่นหอมและผ่อนคลายมากด้วยค่ะ” หญิงสาวยังคงนำเสนอด้วยสีหน้าระรื่น ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งดวงตายังหยีจนเป็นสระอิ แจกจ่ายความน่ารักไม่ได้รู้เลยว่าไอ้แปดหน่อตรงนี้มันกำลังจะชะตาขาด ก่อนเธอจะเอียงคอมอง “หรือไม่สะดวกรับคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” แล้วทำไมแม่เจ้าประคุณต้องทำหน้าสลดจนเขารู้สึกผิดด้วย “สะดวกครับ ขอบคุณมาก” เธอยิ้มกว้างยามที่ฝ่ามือใหญ่ของวสุยื่นมารับของแทนคุณ “หวังว่าจะชอบนะคะ” ถ้าชอบล่ะก็ ครั้งต่อๆ ไปคงต้องอุดหนุนน้องสาวเธออย่างแน่นอน แล้วสองสาวก็เดินตามหลังสดายุออกไปด้านนอก โดยสารไพรเวทลิฟต์มายังลานจอดรถเหมือนครั้งที่แล้ว ก่อนเดินทางไปที่หอพักของสองพี่น้องอย่างไม่รีรอ
บทที่ 4น้องเนื้อหอม... บ่ายคล้อยของวันจันทร์ที่ลูกค้าเริ่มซาจนบาริสต้าได้มีเวลาพัก อัปสราจึงใช้เวลานั้นในการนั่งตกแต่งรูปเพื่อโปรโมทร้าน นั่นล่ะ การพักของเธอ ใน Cha House นั้นเธอทำทุกอย่างจริงๆ ถ่ายคลิปการทำเครื่องดื่มลง TikTok เอย เป็นแอดมินในทุกแพลตฟอร์มเอย ที่จริงควรได้เงินเดือนสักห้าหมื่นด้วยซ้ำถึงจะคุ้ม ส่วนคนกดเงินเดือนนั้นนั่งกระดิกเท้าไถมือถืออยู่ที่โต๊ะเยื้องๆ กับเคาน์เตอร์ “น้องเชยคะ เพื่อนพี่แนะนำร้านโอมากาเสะดีๆ มาร้านหนึ่ง พี่จองแล้วด้วย เย็นนี้เราไปด้วยกันไหม” สาวเจ้าเงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารของทางร้านเพื่อมองยังผู้พูด “คงจะอร่อยน่าดูนะคะ แต่หนูไม่สะดวกค่ะ” “ทำไมล่ะคะ หรือน้องเชยไม่ชอบ แล้วร้านนี้ก็แพงมากๆ เลยนะ พี่น่ะอยากให้เราได้กินของดีๆ” ก็เพิ่มเงินเดือนสิโว้ย เดี๋ยวหาของดีๆ กินเองแหละ ไม่ใช่ต้องมารอขอเศษบุญจากคนอื่นพรรค์นี้ อัปสราลอบกลอกตาให้นายจ้าง ก่อนปั้นยิ้ม “เกรงใจค่ะ” “ขี้เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ อะไรๆ ก็เอาแต่เกรงใจ มันจะใช้ชีวิตไม่สนุกเอานะ” เธอเพียงแค่นยิ้มแล้วดึงสายตากลับมาวางที่งานของตน ในขณะที่ชยินก็ยังพล่ามไม่หยุดว่าร้านที่ว่ามันดีอย่างนั้นดีอ
เช้าวันอังคารสดายุก็ยังคงเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่สายลับของตน เพียงแต่วันนี้เขาเดินเข้าไปในร้านแทนที่จะซุ่มดูอยู่ในรถ “สวัสดีค่ะคุณยี่” เจ้าของชื่อยกมุมปากทั้งสองข้าง “สวัสดีครับ วันนี้ก็ยังทำงานคนเดียวเหรอครับ” เธอหัวเราะแห้งๆ ประกอบคำพูด “พี่เจ้าของร้านน่าจะมาช่วงสายๆ นู่นเลยค่ะ” “อ้อ” ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงเพื่อรับคำ “งั้นรับเป็นอเมริกาโน่หนึ่งแก้วครับ” “เปลี่ยนเมนูเหรอคะ” “ไม่ใช่ของผมครับ ของนาย อ่าใช่ เป็นอเมริกาโน่น้ำผึ้งมะนาวนะครับ ส่วนของผมขอเหมือนเดิม” อัปสรายกยิ้มบางๆ แล้วหันมาสนใจที่จะชงกาแฟให้ลูกค้า ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยเพื่อชวนคุย “ช่วงนี้งานหนักน่าดูเลยนะคะ” “ครับ ลำพังเตรียมตัวประชุมสภาฯ ก็หนักแล้ว แต่ก่อนประชุมพอดีที่พรรคมีบวงสรวงใหญ่อีก พอประชุมสภาฯ เสร็จประชุมพรรคต่อ ก็ถ้าไม่ได้กาแฟผมคงอยู่ไม่ได้จริงๆ ล่ะงานนี้” สดายุกล่าวติดตลก แต่หัวคิ้วสวยของคนฟังกลับย่นเข้าหากัน “บวงสรวงอะไรเหรอคะ” “ของพรรคน่ะครับ อีกไม่กี่วันนี่เอง” แล้วอัปสราก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ทราบข้อมูลอย่างละเอียดจากปิยอรเลย รู้แค่ว่าเป็นพิธีบวงสรวงที่ได้ค่าตอบแทนสูงและรู้ว่าต้องทำการร่ายรำ
สดายุ โรจนวาณิชย์ อดีตเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประจำตัวของสส. สัตรา เจียรโณทัย โดยเข้าวงการนี้มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ด้วยวสุทำงานอยู่ก่อนแล้ว สดายุจึงเลือกที่จะก้าวตามผู้เป็นพี่และชักชวนเพื่อนสนิทอย่างเขมราฐมาทำงานด้วยกัน ทำให้ได้เจอกับหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนซี้กันเช่นไตรทศและไมยราพ รวมถึงอีกก๊วนหนึ่งที่กอปรไปด้วยลิขิต คมชาญและอนันต์ ทว่าผู้ช่วยคนนั้นปัจจุบันกลับถูกโยกย้ายมาเป็นสายลับ งานของเขามีขอบเขตที่กว้างกว่าใครเพื่อนแต่มันก็หมายถึงงานการเมืองมิใช่หรือ แล้วการมาเฝ้าสาวให้นายมันนับเป็นกิจของผู้ช่วยสส. ตรงไหนกัน เมื่อวานหลังโดนพายุพัดสดายุก็รีบเดินไปที่ห้องข้างๆ อย่างไม่รอช้า คอนโดฯ นี้มีจำนวนสี่สิบห้าชั้น ชั้นละสิบยูนิต และชั้นสี่สิบก็ถูกลูกชายสส. เซียงเหมาไปแล้วแปดยูนิตตามจำนวนคน อยู่ด้วยกันแบบอยู่ใครอยู่มัน สดายุไปที่ห้องของเขมราฐที่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องของเจ้านายมากเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาพวกเขาทั้งแปดคน เพราะเมื่อวานมีเพียงเจ้าตัวที่ไปกับนายต่อหลังคนอื่นได้เลิกงาน ถึงได้รู้ว่า ‘ไอ้หมอนั่น’ คือผู้ชายที่มาทานอาหารกับอัปสรา เพราะสารถีรออยู่ที่รถจึงได้เห็นเวลาใครแวะเวียนมาใช้บร
ลิ้นของอัปสราไม่สามารถรับรสของโอมากาเสะราคาแพงได้ ด้วยเอาแต่พะวงถึงเพียงเจ้าหนี้ที่ได้เจอกันโดยบังเอิญ สายตาที่ว่าดุดันในทุกครั้งที่ใช้มองกัน วันนี้มันรุนแรงกว่าที่ผ่านมาจนหล่อนไม่มีจิตใจจะดื่มด่ำกับบรรยากาศอันน่าอภิรมย์ของร้านอาหารหรู ครั้นถึงเวลากลับอัปสราก็ไม่ได้พูดคุยกับเจ้านายมากนัก แค่นั่งเงียบๆ และแชตกับน้องสาวไปพลาง กระทั่งมาถึงที่หมายจึงผินหน้าไปทางสารถี “ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” “พี่ต้องมาส่งอยู่แล้ว ว่าแต่น้องเชยชอบเดตวันนี้ไหมคะ” คนตัวเล็กทวนคำ “เดต?” “ค่ะ ก็วันนี้พวกเราไปเดตกันนิ พี่ไม่เคยพาสาวคนไหนไปกินโอมากาเสะเลยนะ ไม่เคยชอบใครอย่างน้องเชยด้วย สำหรับพี่แล้วน้องเชยพิเศษที่สุดเลย” เธอตอบด้วยการพูดอีกเรื่อง “วันที่หกมิถุนาฯ หนูลานะคะ และพี่อนุมัติแล้ว หวังว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ก่อนฉีกยิ้มให้ผู้เป็นนาย “เดินทางปลอดภัยนะคะ” อัปสรามาถึงหอพักในเวลามืดค่ำ เธอนัดกับน้องสาวตรงหน้าปากซอยแล้วเดินเข้ามาด้วยกัน ก่อนต่างจะแยกย้ายไปจัดการธุระส่วนตัวของใครของมัน โดยที่คนอายุมากกว่าเสียสละให้น้องได้อาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองก็มานั่งไล่ตอบคอมเมนต์ในทุกๆ แพลตฟอร์ม และตอบข้อความของเหล่าล
บทที่ 4น้องเนื้อหอม... บ่ายคล้อยของวันจันทร์ที่ลูกค้าเริ่มซาจนบาริสต้าได้มีเวลาพัก อัปสราจึงใช้เวลานั้นในการนั่งตกแต่งรูปเพื่อโปรโมทร้าน นั่นล่ะ การพักของเธอ ใน Cha House นั้นเธอทำทุกอย่างจริงๆ ถ่ายคลิปการทำเครื่องดื่มลง TikTok เอย เป็นแอดมินในทุกแพลตฟอร์มเอย ที่จริงควรได้เงินเดือนสักห้าหมื่นด้วยซ้ำถึงจะคุ้ม ส่วนคนกดเงินเดือนนั้นนั่งกระดิกเท้าไถมือถืออยู่ที่โต๊ะเยื้องๆ กับเคาน์เตอร์ “น้องเชยคะ เพื่อนพี่แนะนำร้านโอมากาเสะดีๆ มาร้านหนึ่ง พี่จองแล้วด้วย เย็นนี้เราไปด้วยกันไหม” สาวเจ้าเงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารของทางร้านเพื่อมองยังผู้พูด “คงจะอร่อยน่าดูนะคะ แต่หนูไม่สะดวกค่ะ” “ทำไมล่ะคะ หรือน้องเชยไม่ชอบ แล้วร้านนี้ก็แพงมากๆ เลยนะ พี่น่ะอยากให้เราได้กินของดีๆ” ก็เพิ่มเงินเดือนสิโว้ย เดี๋ยวหาของดีๆ กินเองแหละ ไม่ใช่ต้องมารอขอเศษบุญจากคนอื่นพรรค์นี้ อัปสราลอบกลอกตาให้นายจ้าง ก่อนปั้นยิ้ม “เกรงใจค่ะ” “ขี้เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ อะไรๆ ก็เอาแต่เกรงใจ มันจะใช้ชีวิตไม่สนุกเอานะ” เธอเพียงแค่นยิ้มแล้วดึงสายตากลับมาวางที่งานของตน ในขณะที่ชยินก็ยังพล่ามไม่หยุดว่าร้านที่ว่ามันดีอย่างนั้นดีอ
สัตราเลือกจะเอ่ยปากให้อัปสราและน้องสาวรีบกลับเพราะเขาเกร็งหน้าจนปวดแก้ม อยากจะยิ้มใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ยิ้มยังไม่ทันสาแก่ใจก็ตงิดขึ้นมาว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงยังไม่กลับ เมื่อเดินตามมาถึงได้เจอว่าน้องนางรำกำลังทำตัวใจดีเรี่ยราดด้วยการยื่นเทียนหอมให้กับหนึ่งในลูกน้องของตน งามทั้งกายงามทั้งใจ แต่เกินขอบเขตไปหน่อยกระมัง หนุ่มใจดียกยิ้มแห้งๆ ให้สาวสวย “ให้ผมเหรอครับ” “ค่ะ น้องสาวหนูทำเองเลย” “อ้อ” “กลิ่นหอมและผ่อนคลายมากด้วยค่ะ” หญิงสาวยังคงนำเสนอด้วยสีหน้าระรื่น ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งดวงตายังหยีจนเป็นสระอิ แจกจ่ายความน่ารักไม่ได้รู้เลยว่าไอ้แปดหน่อตรงนี้มันกำลังจะชะตาขาด ก่อนเธอจะเอียงคอมอง “หรือไม่สะดวกรับคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” แล้วทำไมแม่เจ้าประคุณต้องทำหน้าสลดจนเขารู้สึกผิดด้วย “สะดวกครับ ขอบคุณมาก” เธอยิ้มกว้างยามที่ฝ่ามือใหญ่ของวสุยื่นมารับของแทนคุณ “หวังว่าจะชอบนะคะ” ถ้าชอบล่ะก็ ครั้งต่อๆ ไปคงต้องอุดหนุนน้องสาวเธออย่างแน่นอน แล้วสองสาวก็เดินตามหลังสดายุออกไปด้านนอก โดยสารไพรเวทลิฟต์มายังลานจอดรถเหมือนครั้งที่แล้ว ก่อนเดินทางไปที่หอพักของสองพี่น้องอย่างไม่รีรอ
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยที่ตั้งใจหาชุดที่สุภาพกว่าวันก่อนยืนรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนมาท้องฟ้าถูกฉาบเป็นสีส้ม ทว่าตอนนี้ฟ้าทั้งผืนเริ่มที่จะถูกสีน้ำเงินเข้าแทรก วสุก็ยังไม่มาพาขึ้นไป เธอผินหน้าไปทางน้องสาว ยกมือขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าหล่อน ปากก็ขยับเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฝึกอ่าน ในอนาคตหลังจากเธอสามารถเก็บเงินเพื่อให้น้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย อิสรีจะได้รู้จักวิธีการพูด “รอนานหน่อยนะ คุณสี่บอกว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะไม่กล้าทิ้งน้องไว้ลำพังที่หอพักจึงเป็นอีกครั้งที่เธอหนีบอิสรีมาด้วย [รอได้ค่ะ] ก่อนเปลี่ยนหัวข้อดื้อๆ [คุณสี่ใจดี เลี้ยงข้าวพวกเรา] วันนั้นอัปสราไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อิสรีคงเห็นว่าวสุจ่ายตัดหน้าไปจึงสามารถเข้าใจได้แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกอะไรก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าหวาน “ถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร ตอนแรกพี่เกร็งเขามาก ตอนนี้ผ่อนคลายมานิดหนึ่งแล้ว” [ใช่ค่ะ ไม่ยิ้มแต่ก็ใจดี ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น] สีหน้าคนอายุน้อยกว่าสลดลงทันที [น่ากลัว] อัปสรายิ้มแหย “เขาก็แค่ดุแต่เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ให้หลังแค่อึดใจเดี
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที “สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ” วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้ “ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ” “เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ” “ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ” “ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว” เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย [พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่