“น้องนางรำ”
คุณผู้ช่วยนิ่งงัน คิ้วเข้มถูกเลิกขึ้นสูง ครู่หนึ่งเลยกว่าสดายุจะเค้นเสียงออกมาจากลำคอได้ “...ครับ?”
“คนที่สวยๆ”
คนอายุน้อยกว่าจนคำพูด เขาค่อนข้างคิดไม่ถึงว่า ‘ธุระด่วน’ ที่เจ้านายอุตส่าห์รบกวนเวลาพักผ่อนจะเป็นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเกมการเมือง
ท้ายที่สุดเขาก็ตอบออกไปจนได้ “แต่น้องนางรำวันนี้สวยทุกคนนะครับ”
ที่จริงแล้วเขาก็ได้เห็นนาทีที่รถอ้อยของท่านสส. คว่ำใส่สาวงามดุจนางฟ้านางสวรรค์รายนั้น ตอนที่แผนกสร้างภาพส่งรูปมาในกลุ่มยังคิดอยู่เลยว่าไม่น่าจะสนใจอะไรนัก คงเห็นคนสวยแล้วมือไม้มันไปเองตามฉบับเสือผู้หญิง
เขาทำงานกับสัตรามาหลายปีไม่เคยเห็นเจ้านายคิดอยากลงหลักปักฐานกับใคร แม้แต่ลูกคุณหนูอย่างคุณคล้ายจันทร์ บุคคลผู้ที่คุณหญิงพิมพิมานวาดหวังให้มาเป็นสะใภ้คนโตของบ้านเจียรโณทัย
ถึงกระนั้นท่านสส. ก็เที่ยวเลาจน์อยู่บ่อยครั้ง หากถูกใจก็หยุดไว้แค่ความสัมพันธ์ทางกาย ไม่เคยมีใครได้สานต่อไปเป็นคนรักของชายหนุ่ม
น้องนางรำคนนี้ก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น
“คนที่สวยที่สุดมีแค่คนเดียว”
“...”
“...”
สองสายตาคมเข้มจ้องมองกันเงียบๆ สดายุรู้ว่าตนถูกหยั่งเชิง และเขาทราบอยู่แล้วว่านางรำคนที่สวยที่สุดคือใคร เพียงแต่... “คนแรกจากด้านซ้ายมือครับ”
สัตรายกมุมปากขึ้น “คิดมาตลอดว่ามึงรู้ใจกูพอๆ กับที่กูรู้ใจตัวเอง”
“ผมมิบังอาจครับนาย”
“ก็ไม่เป็นไร ความสวยของคนเรามันไม่เท่ากันอยู่แล้ว และมาตรฐานกูอาจจะเกินเอื้อมไปบ้าง แต่คนที่อยากได้ข้อมูลคือนางรำคนสุดท้ายน่ะ”
“ผมจะรีบจัดการให้ครับ”
“กลับไปพักผ่อนได้”
หลังรับคำสดายุก็ค้อมศีรษะให้ผู้เป็นนายแล้วเดินออกจากเพนต์เฮาส์อย่างไม่รีรอ
คล้อยหลังการไปของลูกน้อง ฝ่ามือที่อุดมไปด้วยเส้นเลือดก็เอื้อมไปหยิบกลีบกุหลาบสีแดงสดมาถือไว้ พินิจมันราวกับไม่ได้เป็นเพียงกลีบดอกไม้ เพราะมันทำให้เขานึกถึงเจ้าของ
และในตอนนั้นเองที่ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางถูกแทนที่ด้วยใบหน้าจิ้มลิ้มของสาวน้อยที่เดินทอดน่องอยู่ริมถนน
ตอนแต่งหน้าและร่ายรำอยู่บนเวที เธอสวยหยาดฟ้ามาดิน ทุกท่วงท่าการขยับร่างกาย ทุกการก้าวเดินอย่างอ้อยอิ่งล้วนแล้วแต่สะกดสายตาคนมอง ความงดงามที่เจ้าหล่อนถือครองนั้นเสมือนว่าเป็นนางฟ้าจากสรวงสวรรค์ก็มิปาน ทว่าเธอคนเดียวกันนั้นที่ถอดเครื่องประดับทุกอย่างกลับเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็กๆ ในโลกกว้าง แต่นัยน์ตาแวววาวสุกใสเหมือนลูกกวางตัวน้อยไม่เปลี่ยน
คนสวยก็ว่าดีมากแล้ว คนน่ารักก็น่ามอง แต่คนที่ทั้งสวยทั้งน่ารักนั้นเหมือนได้สูตรโกงมาจากพระเจ้าเลย
ประมาณเจ็ดโมงเศษๆ อัปสราก็เดินทางออกจากห้องพักพร้อมกับน้องสาววัยสิบเก้าปีอย่างอิสรี ตัวเธอนั้นมุ่งหน้าไปยัง Cha House ซึ่งเป็นร้านกาแฟและเบเกอรี่ของชยินที่ตนทำงานอยู่ ส่วนน้องสาวแยกไปอีกทางเพื่อไปยัง Candles Club สถานที่สำหรับให้ผู้คนเข้ามาเวิร์กช็อปการทำเทียนหอม ซึ่งอิสรีมีความชอบทางด้านนี้เป็นอย่างมาก
“เดินทางปลอดภัยนะ ถึงแล้วส่งข้อความมาหาพี่ด้วย”
ริมฝีปากบางคลี่เป็นรอยยิ้ม พร้อมยกมือขึ้นมาทำท่าทางเพื่อตอบโต้กับพี่สาว เหมือนเมื่อครู่ที่พี่สาวใช้ทั้งมือและขยับปากอย่างเชื่องช้าเพื่อสื่อสารกับตน
[โอเคค่ะ]
“พี่รักอุ้มมากนะ ดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”
[รักพี่อบเชยเหมือนกันค่ะ]
พี่สาวยังคงยืนอยู่ที่เดิมแม้ว่าแผ่นหลังบอบบางของน้องจะกลืนหายไปกับผู้คนในเมืองหลวง รอยยิ้มแสนอบอุ่นเจือไปด้วยความกล้ำกลืนฝืนทนและแสนจะระทมใจ เพราะคงไม่มีใครอยากให้คนที่ตนรักไม่สามารถได้ยินเสียงหรอกกระมัง
น้องสาวของเธอนั้นพิการทางการได้ยินมาตั้งแต่แรกเกิด เฝ้าดูพฤติกรรมกันมาหลายปีปรากฏว่าอิสรีไม่มีปฏิกิริยาตอบรับทางด้านเสียง เป็นเด็กน้อยวัยสี่ขวบที่ใครเรียกก็ไม่หัน ไม่ยอมพูด แรกๆ ก็เข้าใจว่าพัฒนาการช้า จนพาไปตรวจอย่างละเอียดถึงได้รู้ว่าน้องมีความบกพร่องขั้นรุนแรง ไม่ใช่แค่หูตึงจนได้ยินไม่ชัด แต่หูหนวกจนไม่สามารถได้ยินอะไรเลยสักอย่าง
ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อทิ้งไปหรือเปล่า แต่หลังจากทราบข่าวนั้นได้ไม่กี่เดือนบิดาก็หายออกไปจากบ้านในกลางดึก และท่านไม่เคยกลับมาหาพวกเธออีกเลย จึงต้องอยู่ด้วยกันสามคนแม่ลูกในบ้านหลังเล็ก แต่เจ็ดปีให้หลังที่บิดาหนีไปแม่ก็เสียชีวิตลงด้วยโรคภัยไข้เจ็บ
อัปสราในตอนนั้นมีอายุได้เพียงสิบหกปี เป็นเพียงเด็กมัธยมปลายที่ไม่มีความสามารถมากพอจะแบกรับเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ก็ต้องผ่านไปให้ได้เพราะแม้แต่งานศพของแม่ พ่อก็ไม่มา ที่จริงน่าจะไม่ทราบข่าวคราวด้วยซ้ำ
พื้นเพเธอเป็นคนพิษณุโลก ไม่ได้อยู่ในเมือง ไม่มีความสะดวกสบายอะไรเข้าถึง โชคดีที่คุณครูนาฏศิลป์คอยให้การช่วยเหลืออยู่เสมอ และผู้ใหญ่ในหมู่บ้านก็ใจดีกับเธอคอยหยิบยื่นน้ำใจให้พี่คนโตที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูน้องสาวที่ร่ำเรียนอยู่ในสถาบันโสตศึกษา
คุณครูพยายามป้อนงานรำให้เธอไม่ขาดสาย เพราะทุกครั้งที่ออกงานมักจะได้ค่าตอบแทน หากชาวบ้านมีงานอะไรก็จะไหว้วานให้เธอไปร่วมพิธีโดยมีค่าขนมให้ รวมไปถึงงานเล็กงานน้อยในช่วงวันหยุดอัปสราก็ไม่เคยเกี่ยง
เฝ้าร้าน เลี้ยงเด็ก หรืองานอะไรก็ตามที่ชาวบ้านจ้าง เด็กสาววัยสิบหกปีล้วนแล้วแต่น้อมรับด้วยใจที่มุมานะ เพราะเธอตั้งใจไว้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ขอให้ตัวเองได้เรียนหนังสือ จึงใช้เวลาเหล่านั้นในการเก็บหอมรอมริบเพื่อเป็นทุนการศึกษาในภายภาคหน้า พอจบมัธยมก็สอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ
แม้จะเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูงแต่ก็เป็นเมืองที่สามารถหางานทำได้
อัปสราตัดสินใจย้ายเข้าเมืองหลวงโดยย้ายน้องสาวมาอยู่ด้วยกัน เธอคงมีวาสนาอยู่บ้างถึงได้เป็นที่รักของครูบาอาจารย์ ตอนจะมาครูก็ยังอาสามาส่งทั้งยังเสนอให้ยืมเงินไว้ตั้งตัวหนึ่งก้อน แม้เธอจะปฏิเสธเพราะคุณครูเองก็มีภาระที่ต้องแบกรับ ทว่าน้ำใจของท่านงามนัก และสุดท้ายเธอก็รับมา ซึ่งต้องยอมรับว่าเงินก้อนนั้นช่วยให้การเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองหลวงของเธอและอิสรีไม่ลำบากเกินควร
หล่อนเรียนควบคู่กับการทำงาน ทั้งส่งตัวเอง ส่งเสียน้องสาวแล้วยังใช้หนี้คืนครูทุกบาททุกสตางค์ โดยที่บิดาไม่เคยแยแสกันเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนั้นจะนึกถึงกันบ้างไหม จะรู้บ้างหรือเปล่าว่าโลกของเด็กผู้หญิงสองคนที่ไม่มีปีกของคนในครอบครัวคอยปกป้องมันลำบากแค่ไหน หรือจะนึกเห็นใจโลกไร้เสียงของลูกสาวตัวเองสักนิด
ไม่รู้เลยจริงๆ
ทุกวันนี้อัปสรามีจุดมุ่งหมายของชีวิตคือการเก็บเงินเพื่อผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมให้แก่อิสรี ทว่ามันมีราคาที่ค่อนข้างสูงจนแตะเจ็ดหลัก ยังไม่นับค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์ประจำปี แต่ไม่ว่าจะยากเย็นอย่างไรก็คงไม่เกินกำลังของอัปสรา
แม้แต่อิสรีเองก็ปรารถนาที่จะได้ยินเสียง ฝ่ายนั้นก็ตั้งใจทำงานเพื่อเก็บเงินเช่นกัน
โลกของอิสรีไม่เคยง่าย มีบ่อยครั้งที่ถูกรังแกแค่เพราะเป็นผู้พิการ ถึงกระนั้นจิตใจอันเข้มแข็งของน้องสาวก็ยังฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่างมาได้ จนทุกวันนี้ได้ทำงานประจำที่ Candles Club ถูกรายล้อมไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ดี ผู้คนที่นั่นก็น่ารักกับเจ้าตัว เพียงเท่านั้นอัปสราก็วางใจให้ลูกนกตัวน้อยๆ บินออกจากรังไปเผชิญโลกใบใหญ่ด้วยตนเองแล้ว
ใช้เวลาพักใหญ่พี่คนโตของวิจิตรโชติก็มาถึง Cha House ที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่เก้าโมงเช้าเป็นต้นไปและปิดให้บริการตอนห้าโมงเย็น หยุดทุกวันเสาร์ อย่างเมื่อวานที่ได้หยุดจึงไปรับงานเสริมของคณะร่ายดาหลา
การทำงานระหว่างนางรำพาร์ทไทม์กับปิยอรนั้นมักจะกำหนดวันที่ต้องแสดง หากอัปสราว่างที่จะไปได้ทางเจ้าของคณะจะทำการส่งคลิปการซ้อมมาให้เจ้าหล่อนซ้อมคนเดียว แล้วค่อยไปซ้อมอีกรอบก่อนเริ่มงาน หากไม่ใช่คนที่เจนสนามอย่างอัปสราก็คงจะถือเป็นงานหินที่ต้องแกะท่าด้วยตัวคนเดียว แต่เธอทำได้มาเสมอไม่เคยบกพร่อง
แต่ถ้าไม่ตรงกับวันหยุดและไม่สามารถลาได้ อัปสราก็จะไม่ได้ร่วมงานนั้น
ดูเผินๆ แล้วชยินเหมือนคนใจดี แต่เขามันขี้เหนียวตัวพ่อ เงินเดือนก็กดแล้วกดอีก ตำแหน่งที่ควรจะจ้างเพิ่มก็ไม่จ้าง ให้เธอควบทุกอย่างในเงินเดือนเหมือนเศษเลข แล้วเขาที่เป็นเจ้าของก็ทำงานในร้านของตัวเอง มีเงินเดือนประจำตำแหน่งให้ตัวเองอีกหมื่นห้าไม่รวมกำไร แต่หมอนั่นทำอะไรที่ไหน วันๆ เอาแต่หาเรื่องลูกค้าว่าด้วยการโชว์ภูมิเรื่องกาแฟ
ใครสั่งเมนูที่แปลกไปจากความคิดเขาล่ะก็ ตำรวจกาแฟลงทันที
หากวันไหนที่เธอขอลาเขาก็ใช่ว่าจะอนุมัติ ปวดท้องเอยอะไรเอยรีบถามหาใบรับรองแพทย์ แต่ปากก็ป้อยอเธอไม่หยุด ค้นพบว่าชยินชอบเธอนั่นแล แต่ไม่มีวันที่เขาจะเลิกเอาเท้ากดหัวให้อยู่ต่ำกว่า หากคบหากับเขาไปก็ไม่ต้องคาดเดาเลยว่าในฐานะแฟน ภรรยาหรือแม่ของลูกนั้นจะถูกกดขี่เพียงใด
อัปสราง่วนอยู่กับการเตรียมเปิดร้าน ในขณะที่เจ้าของร้านยังไม่มา ปกติแล้วชยินจะเข้างานหลังเธอเปิดร้านเสร็จ หรือบางวันเขาก็ไม่ได้มา ที่มาเพียงครู่สั้นๆ แล้วออกไปก็มี หากว่าติดนัดกับสมาคมเมล็ดกาแฟของเขาน่ะนะ ก็เป็นการรวมกลุ่มของพวกผู้ชายอีโก้สูงเสียดฟ้า ซึ่งเธอมองว่านั่นไม่น่าอภิรมย์สักนิด และเธอพอใจทุกครั้งที่ชยินไม่ได้เข้าร้าน
เขาไม่เคยช่วยให้งานสะดวก ถนัดแต่ทำให้มันสะดุด
อย่างวันนี้ที่หลังจากเปิดร้านเสร็จสรรพอีกฝ่ายก็ส่งข้อความมาบอกว่าติดธุระ คงไม่ได้เข้าร้าน
ทำงานคนเดียวมันเหนื่อย แต่เหนื่อยงานก็ไม่เท่าเหนื่อยคน วันทั้งวันของอัปสราจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรนักเมื่อไม่มีตัวเกะกะอย่างชยินอยู่ในครรลองสายตา
สัตราไม่นิ่งนอนใจกับความเคลื่อนไหวที่ผิดวิสัยของคนในพรรค ช่วงบ่ายคล้อยของวันนี้คนที่งานรัดตัวอย่างเอกภูมิสะดวกที่จะเจอกับเขา โดยที่ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และยังเป็นหัวหน้าพรรคเป็นไทยได้เอ่ยปากว่าถ้าอย่างนั้นแล้วควรจะถือโอกาสไปทานมื้อเย็นที่ร้านอาหารเหลากับเขาเสียเลย
เลขาธิการพรรคและผู้ติดตามทั้งเจ็ดเว้นสดายุจึงพากันไปยังภัตตาคารที่ว่า
นักการเมืองเลือกที่จะรับประทานอาหารในห้องวีไอพีสุดหรู แม้ว่าทั้งห้องจะมีกันแค่สองคนก็ตามที
“ที่เซียงบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับอาน่ะ” เอกภูมิเงียบไปอึดใจหนึ่ง “เรื่องของพี่จักรรึ”
“ครับ อารู้อยู่แล้วเหรอ” เรือนคิ้วสีเข้มขมวดเข้าหากัน “ทำไมครับ”
“อาเป็นหัวหน้านะเซียง ใครขยับตัวทำอะไรถ้าไม่หูตาไวก็คุมคนไม่อยู่ สนามการเมืองน่ะมันไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร อยู่ด้วยกันเพราะผลประโยชน์ทั้งนั้น ไม่คมจริงอยู่ไม่ได้หรอก มันเถื่อน” นายกส่ายหน้าให้กับสนามที่หาความจริงใจไม่ได้ “เพื่อน พี่น้องหรือพรรคพวก ไม่มีอะไรยั่งยืนทั้งนั้น จะผ่านทุกข์ผ่านร้อนมาด้วยกันมากน้อยแค่ไหน วันหนึ่งก็สามารถแทงข้างหลังเพื่อผลประโยชน์ได้ทั้งนั้น”
กะพงแดงนึ่งซีอิ๊วถูกตักเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน
“ถึงจะดูไม่ค่อยมีอุดมการณ์ แต่การเมืองมันไม่ใช่ที่ของคนดีจริงๆ นะ แค่คนที่อยู่เป็นเท่านั้นที่จะอยู่รอด ถึงได้เข้าใจสิ่งที่พี่จักรเลือกจะทำ จริงๆ แล้วอาเห็นการหักหลังผ่านตามานับครั้งไม่ถ้วน คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนหรือพอจะไว้ใจได้ไม่มีอยู่จริง แค่ยังไม่ถึงเวลาหักกันเท่านั้น มันเลยไม่มีอะไรน่าแปลกใจอีกแล้วสำหรับอา”
ริมฝีปากบิดโค้งเล็กน้อย “อาครับ” คู่สนทนาเพียงแต่เลิกคิ้วให้ ก่อนหันไปสนใจอาหารตรงหน้า “ผมว่าถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง สมัยหน้าสส. เขตของเรามีสิทธิ์สอบตกมากกว่านี้ รวมถึงปาร์ตี้ลิสต์อาจจะได้น้อยกว่าเดิม เป็นแบบนั้นผมค่อนข้างกังวลเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลน่ะครับ ลำพังในพรรคยังวุ่นวายขนาดนี้ ถ้ามีพรรคร่วมด้วยน่าจะแบ่งลงตัวยาก”
“อาก็กังวลเรื่องเดียวกับเซียงนั่นแหละ ยังไงเราก็ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดี ตรงนี้ที่ประชาชนต้องการที่สุดเพราะถ้าคนมีกินมีใช้ก็จะไม่โกรธ ความนิยมของพรรคเรามันขึ้นอยู่กับเรื่องปากท้องชาวบ้านล้วนๆ เลย”
“ครับ”
เช่นนั้นแล้วสัตราก็ไม่มีอะไรจะพูดในประเด็นนี้อีก
คนอายุมากกว่ามองคนหนุ่มที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็กแล้วระบายยิ้มให้อย่างนึกเอ็นดูเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง “แต่อาขอบใจเรามากที่รีบมาบอก เรานี่นะ ตงฉินเหมือนพี่ศรไม่มีผิดเลย” เอกภูมิพาดพิงไปถึงพิศาล หรือก็คือพ่อของสัตรา “ส่วนพี่จักรเขาก็คงมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจกับอาพอสมควร ยังไงก็คงต้องเข้าไปเจรจากันก่อน บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นแล้วชีวิตจะง่ายขึ้น จำไว้นะเซียง”
“ครับอา”
“เอ้า กินๆ มื้อนี้อาขอเป็นเจ้ามือ”
มื้ออาหารที่ภัตตาคารอาหารจีนนั้นใช้เวลาไวกว่าที่คิด ด้วยเรื่องสำคัญที่ต้องการคุยก็คุยจบตั้งแต่เริ่มทานได้ไม่กี่นาที หลังแยกย้ายกับเอกภูมิท่านสส. ก็ไม่ได้คิดที่จะไปไหนต่อ วันนี้ธิปกบินไปมาเลเซีย ณเรศกับรชตก็ไม่ได้ชวนออกไปไหน หรือถึงชวนก็มีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่สัตราจะปฏิเสธเพื่อนฝูง
ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะ ป่วยการจะออกจากบ้าน สู้นอนเอาแรงน่าจะเป็นการดีกว่า
ทว่าทันทีก้าวขาเข้าเขตเพนต์เฮาส์ สายเรียกเข้าจากใครบางคนก็เรียกความสนใจไปหมดสิ้น
“มีอะไร”
สัตรากรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ขณะปลดไทและกระดุมเม็ดบน
(นายครับ ข้อมูลทั่วไปของน้องนางรำอยู่ในมือผมแล้ว ให้ส่งไปให้เลยไหมครับ)
มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย “ให้ไว”
°*• ❀ •*°
บทที่ 2เยือนถิ่นเจ้าพ่อ... อัปสรา...อัปสราสมชื่อ นัยน์ตาคู่คมแลดูดุดันบัดนี้ผ่อนคลายหลายเท่าตัว ใบหน้าเจือไปด้วยความสบายอารมณ์ทั้งสี่ส่วนยามจดจ้องไปยังหน้าจอขนาดสิบสามนิ้วของเครื่องมือสื่อสารในมือ ที่บรรจุไปด้วยตัวอักษรเพื่อร้อยเรียงเรื่องราวของสาวสวยรายนั้น เจ้าหล่อนชื่อเล่นว่าอบเชย ซึ่งมันค่อนข้างน่ารักในความคิดของเขา ชื่อจริงอัปสรา ก็แลดูจะเหมาะสมกับความสวยหยาดฟ้ามาดินของเธอ เดิมทีเขาคิดว่าอัปสราเป็นนางรำ แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ยึดอาชีพนี้เป็นหลักแต่ทำงานประจำที่ร้านกาแฟ อาศัยอยู่กับน้องสาวที่เป็นผู้พิการทางการได้ยินแค่สองคน พื้นเพเป็นคนพิษณุโลกที่ย้ายมาอยู่เมืองกรุงตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย กำพร้าพ่อแม่ และรับงานรำเป็นชั่วครั้งชั่วคราวหากตารางงานว่างเพราะเร่งเก็บเงินรักษาอาการป่วยของน้องที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่นนั้นแล้วในวันนั้นเขาถึงได้เห็นเธอรับงานนอกอย่างการร่ายรำ ส่วนข้อมูล ‘อื่นๆ’ ไม่มี หายไปทั้งวันได้มาแค่นี้เองน่ะรึ หรือว่าจะถึงเวลาที่เขาต้องเขี่ยสดายุทิ้ง ตั้งแต่บอกว่านางรำคนอื่นสวยกว่าอัปสราแล้ว ใช้ตาตุ่มมองกระมัง มือถือถูกคว้าโดยเจ้าของ รอสายครู่เดียวเสียงของลูกน
“ของฉัน” เจ้าหล่อนหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงดุดันนั้น “ค่ะ นี่นะคะ” แล้วจึงวางจานขนมไว้ตรงหน้านักการเมืองหนุ่ม ก่อนค้อมศีรษะให้แล้วค่อยเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าเครื่องดื่มทั้งเก้าจะถูกเสิร์ฟ โดยที่อัปสราต้องแบ่งเป็นการเดินถึงสามรอบ รอบแรกกับรอบที่สองผ่านไปอย่างง่ายดาย แต่รอบที่สามมีของท่านสส. อย่างแน่นอนเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เสิร์ฟแก้วของเขาเลย เธอไม่ได้มีปัญหาเป็นการส่วนตัวอะไรกับคนใหญ่คนโตพรรค์นั้น แค่รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ถูกมอง ตอนที่เห็นผ่านตาในหน้าสื่อเขาก็ดูยิ้มแย้ม ไยทุกครั้งที่เธอได้พบเจอถึงไม่เหมือนที่คิดไว้เลย อย่างไรก็ตาม อัปสรายังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยการยกถาดเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ เธอก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ก้มหน้าลงประมาณหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคู่คม ยิ่งระยะห่างถูกลดลงเรื่อยๆ ก็คล้ายว่ามวลอากาศในร้านมันกดต่ำจนอัปสราไม่สามารถหายใจได้ทั่วท้อง แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อเธอสะดุดปลายเท้าตัวเองจนคะมำไปข้างหน้า เครื่องดื่มในถาดเทกระจาดราดลงบนโต๊ะไม่เหลือดีสักแก้ว ในขณะที่ตัวของหญิงสาวค้างเติ่งกลางอากาศเมื่อมีแขนแข็งแรงตวัดพาดรั้ง
ในที่สุดสายเรียกเข้าจากคนที่เธอไม่อยากให้ติดต่อมาก็มีชื่อโชว์หราอยู่บนหน้าจอ ใช่ว่าอัปสราอยากปัดความรับผิดชอบ ก็แค่อยากต่อเวลาให้ตัวเองอีกสักนิดเพราะตอนนี้เงินเดือนยังไม่ออกและเธอมีเงินสำหรับใช้ระหว่างรอเงินเดือนไม่มากนัก ไม่มากที่แปลว่าแทบไม่เหลือ “สวัสดีค่ะคุณสี่” (สวัสดีครับคุณอบเชย ผมโทร. มาแจ้งเรื่องค่าเสียหายนะครับ) อยากจะเป็นลม เธอสามารถล้มไปกองกับพื้นระหว่างรอเขาพูดได้หรือเปล่า “ค่ะ” ก่อนอ้อมแอ้มถามกลับไปไม่เต็มเสียง “ทั้งหมดเท่าไรคะ” (หมื่นพันครับ แต่คุณเซียงเอาแค่หนึ่งหมื่นถ้วน สะดวกโอนเลยไหมครับ) คนฟังกะพริบตาปริบๆ เธออาจจะกำลังฝันอยู่ว่าต้องโอนเงินหนึ่งหมื่นให้คู่กรณี เงินหมื่นนั่นเพิ่มอีกแค่สองพันก็เทียบเท่าเงินเดือนของเธอแล้ว ทำไมไม่ซ่อมหมื่นสองไปเลยล่ะ เธอจะได้ไม่ต้องกินข้าว “แหะๆ ราคาแรงเหมือนกันนะคะเนี่ย” ปลายสายยังคงกล่าวเสียงเรียบ ไม่มีท่าทีโอนอ่อนให้กันสักนิด (โอนเลยไหมครับ ผมจะได้บอกเลขบัญชี) “เรามาตกลงกันได้ไหมคะ” (...) “หนูจ่ายแน่ๆ ค่ะ คุณก็รู้ว่าหนูไม่หนี ที่ทำงานของหนูพวกคุณก็รู้กันหมด แต่อย่าว่างั้นงี้เลยนะคะคุณสี่ เงินเดือนหนูไม่ได้มากค่ะ ถ้าจ
ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที “สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ” วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้ “ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ” “เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ” “ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ” “ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว” เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย [พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยที่ตั้งใจหาชุดที่สุภาพกว่าวันก่อนยืนรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนมาท้องฟ้าถูกฉาบเป็นสีส้ม ทว่าตอนนี้ฟ้าทั้งผืนเริ่มที่จะถูกสีน้ำเงินเข้าแทรก วสุก็ยังไม่มาพาขึ้นไป เธอผินหน้าไปทางน้องสาว ยกมือขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าหล่อน ปากก็ขยับเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฝึกอ่าน ในอนาคตหลังจากเธอสามารถเก็บเงินเพื่อให้น้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย อิสรีจะได้รู้จักวิธีการพูด “รอนานหน่อยนะ คุณสี่บอกว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะไม่กล้าทิ้งน้องไว้ลำพังที่หอพักจึงเป็นอีกครั้งที่เธอหนีบอิสรีมาด้วย [รอได้ค่ะ] ก่อนเปลี่ยนหัวข้อดื้อๆ [คุณสี่ใจดี เลี้ยงข้าวพวกเรา] วันนั้นอัปสราไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อิสรีคงเห็นว่าวสุจ่ายตัดหน้าไปจึงสามารถเข้าใจได้แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกอะไรก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าหวาน “ถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร ตอนแรกพี่เกร็งเขามาก ตอนนี้ผ่อนคลายมานิดหนึ่งแล้ว” [ใช่ค่ะ ไม่ยิ้มแต่ก็ใจดี ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น] สีหน้าคนอายุน้อยกว่าสลดลงทันที [น่ากลัว] อัปสรายิ้มแหย “เขาก็แค่ดุแต่เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ให้หลังแค่อึดใจเดี
สัตราเลือกจะเอ่ยปากให้อัปสราและน้องสาวรีบกลับเพราะเขาเกร็งหน้าจนปวดแก้ม อยากจะยิ้มใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ยิ้มยังไม่ทันสาแก่ใจก็ตงิดขึ้นมาว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงยังไม่กลับ เมื่อเดินตามมาถึงได้เจอว่าน้องนางรำกำลังทำตัวใจดีเรี่ยราดด้วยการยื่นเทียนหอมให้กับหนึ่งในลูกน้องของตน งามทั้งกายงามทั้งใจ แต่เกินขอบเขตไปหน่อยกระมัง หนุ่มใจดียกยิ้มแห้งๆ ให้สาวสวย “ให้ผมเหรอครับ” “ค่ะ น้องสาวหนูทำเองเลย” “อ้อ” “กลิ่นหอมและผ่อนคลายมากด้วยค่ะ” หญิงสาวยังคงนำเสนอด้วยสีหน้าระรื่น ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งดวงตายังหยีจนเป็นสระอิ แจกจ่ายความน่ารักไม่ได้รู้เลยว่าไอ้แปดหน่อตรงนี้มันกำลังจะชะตาขาด ก่อนเธอจะเอียงคอมอง “หรือไม่สะดวกรับคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” แล้วทำไมแม่เจ้าประคุณต้องทำหน้าสลดจนเขารู้สึกผิดด้วย “สะดวกครับ ขอบคุณมาก” เธอยิ้มกว้างยามที่ฝ่ามือใหญ่ของวสุยื่นมารับของแทนคุณ “หวังว่าจะชอบนะคะ” ถ้าชอบล่ะก็ ครั้งต่อๆ ไปคงต้องอุดหนุนน้องสาวเธออย่างแน่นอน แล้วสองสาวก็เดินตามหลังสดายุออกไปด้านนอก โดยสารไพรเวทลิฟต์มายังลานจอดรถเหมือนครั้งที่แล้ว ก่อนเดินทางไปที่หอพักของสองพี่น้องอย่างไม่รีรอ
เช้าวันอังคารสดายุก็ยังคงเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่สายลับของตน เพียงแต่วันนี้เขาเดินเข้าไปในร้านแทนที่จะซุ่มดูอยู่ในรถ “สวัสดีค่ะคุณยี่” เจ้าของชื่อยกมุมปากทั้งสองข้าง “สวัสดีครับ วันนี้ก็ยังทำงานคนเดียวเหรอครับ” เธอหัวเราะแห้งๆ ประกอบคำพูด “พี่เจ้าของร้านน่าจะมาช่วงสายๆ นู่นเลยค่ะ” “อ้อ” ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงเพื่อรับคำ “งั้นรับเป็นอเมริกาโน่หนึ่งแก้วครับ” “เปลี่ยนเมนูเหรอคะ” “ไม่ใช่ของผมครับ ของนาย อ่าใช่ เป็นอเมริกาโน่น้ำผึ้งมะนาวนะครับ ส่วนของผมขอเหมือนเดิม” อัปสรายกยิ้มบางๆ แล้วหันมาสนใจที่จะชงกาแฟให้ลูกค้า ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยเพื่อชวนคุย “ช่วงนี้งานหนักน่าดูเลยนะคะ” “ครับ ลำพังเตรียมตัวประชุมสภาฯ ก็หนักแล้ว แต่ก่อนประชุมพอดีที่พรรคมีบวงสรวงใหญ่อีก พอประชุมสภาฯ เสร็จประชุมพรรคต่อ ก็ถ้าไม่ได้กาแฟผมคงอยู่ไม่ได้จริงๆ ล่ะงานนี้” สดายุกล่าวติดตลก แต่หัวคิ้วสวยของคนฟังกลับย่นเข้าหากัน “บวงสรวงอะไรเหรอคะ” “ของพรรคน่ะครับ อีกไม่กี่วันนี่เอง” แล้วอัปสราก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ทราบข้อมูลอย่างละเอียดจากปิยอรเลย รู้แค่ว่าเป็นพิธีบวงสรวงที่ได้ค่าตอบแทนสูงและรู้ว่าต้องทำการร่ายรำ
สดายุ โรจนวาณิชย์ อดีตเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประจำตัวของสส. สัตรา เจียรโณทัย โดยเข้าวงการนี้มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ด้วยวสุทำงานอยู่ก่อนแล้ว สดายุจึงเลือกที่จะก้าวตามผู้เป็นพี่และชักชวนเพื่อนสนิทอย่างเขมราฐมาทำงานด้วยกัน ทำให้ได้เจอกับหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนซี้กันเช่นไตรทศและไมยราพ รวมถึงอีกก๊วนหนึ่งที่กอปรไปด้วยลิขิต คมชาญและอนันต์ ทว่าผู้ช่วยคนนั้นปัจจุบันกลับถูกโยกย้ายมาเป็นสายลับ งานของเขามีขอบเขตที่กว้างกว่าใครเพื่อนแต่มันก็หมายถึงงานการเมืองมิใช่หรือ แล้วการมาเฝ้าสาวให้นายมันนับเป็นกิจของผู้ช่วยสส. ตรงไหนกัน เมื่อวานหลังโดนพายุพัดสดายุก็รีบเดินไปที่ห้องข้างๆ อย่างไม่รอช้า คอนโดฯ นี้มีจำนวนสี่สิบห้าชั้น ชั้นละสิบยูนิต และชั้นสี่สิบก็ถูกลูกชายสส. เซียงเหมาไปแล้วแปดยูนิตตามจำนวนคน อยู่ด้วยกันแบบอยู่ใครอยู่มัน สดายุไปที่ห้องของเขมราฐที่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องของเจ้านายมากเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาพวกเขาทั้งแปดคน เพราะเมื่อวานมีเพียงเจ้าตัวที่ไปกับนายต่อหลังคนอื่นได้เลิกงาน ถึงได้รู้ว่า ‘ไอ้หมอนั่น’ คือผู้ชายที่มาทานอาหารกับอัปสรา เพราะสารถีรออยู่ที่รถจึงได้เห็นเวลาใครแวะเวียนมาใช้บร
ลิ้นของอัปสราไม่สามารถรับรสของโอมากาเสะราคาแพงได้ ด้วยเอาแต่พะวงถึงเพียงเจ้าหนี้ที่ได้เจอกันโดยบังเอิญ สายตาที่ว่าดุดันในทุกครั้งที่ใช้มองกัน วันนี้มันรุนแรงกว่าที่ผ่านมาจนหล่อนไม่มีจิตใจจะดื่มด่ำกับบรรยากาศอันน่าอภิรมย์ของร้านอาหารหรู ครั้นถึงเวลากลับอัปสราก็ไม่ได้พูดคุยกับเจ้านายมากนัก แค่นั่งเงียบๆ และแชตกับน้องสาวไปพลาง กระทั่งมาถึงที่หมายจึงผินหน้าไปทางสารถี “ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” “พี่ต้องมาส่งอยู่แล้ว ว่าแต่น้องเชยชอบเดตวันนี้ไหมคะ” คนตัวเล็กทวนคำ “เดต?” “ค่ะ ก็วันนี้พวกเราไปเดตกันนิ พี่ไม่เคยพาสาวคนไหนไปกินโอมากาเสะเลยนะ ไม่เคยชอบใครอย่างน้องเชยด้วย สำหรับพี่แล้วน้องเชยพิเศษที่สุดเลย” เธอตอบด้วยการพูดอีกเรื่อง “วันที่หกมิถุนาฯ หนูลานะคะ และพี่อนุมัติแล้ว หวังว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ก่อนฉีกยิ้มให้ผู้เป็นนาย “เดินทางปลอดภัยนะคะ” อัปสรามาถึงหอพักในเวลามืดค่ำ เธอนัดกับน้องสาวตรงหน้าปากซอยแล้วเดินเข้ามาด้วยกัน ก่อนต่างจะแยกย้ายไปจัดการธุระส่วนตัวของใครของมัน โดยที่คนอายุมากกว่าเสียสละให้น้องได้อาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองก็มานั่งไล่ตอบคอมเมนต์ในทุกๆ แพลตฟอร์ม และตอบข้อความของเหล่าล
บทที่ 4น้องเนื้อหอม... บ่ายคล้อยของวันจันทร์ที่ลูกค้าเริ่มซาจนบาริสต้าได้มีเวลาพัก อัปสราจึงใช้เวลานั้นในการนั่งตกแต่งรูปเพื่อโปรโมทร้าน นั่นล่ะ การพักของเธอ ใน Cha House นั้นเธอทำทุกอย่างจริงๆ ถ่ายคลิปการทำเครื่องดื่มลง TikTok เอย เป็นแอดมินในทุกแพลตฟอร์มเอย ที่จริงควรได้เงินเดือนสักห้าหมื่นด้วยซ้ำถึงจะคุ้ม ส่วนคนกดเงินเดือนนั้นนั่งกระดิกเท้าไถมือถืออยู่ที่โต๊ะเยื้องๆ กับเคาน์เตอร์ “น้องเชยคะ เพื่อนพี่แนะนำร้านโอมากาเสะดีๆ มาร้านหนึ่ง พี่จองแล้วด้วย เย็นนี้เราไปด้วยกันไหม” สาวเจ้าเงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารของทางร้านเพื่อมองยังผู้พูด “คงจะอร่อยน่าดูนะคะ แต่หนูไม่สะดวกค่ะ” “ทำไมล่ะคะ หรือน้องเชยไม่ชอบ แล้วร้านนี้ก็แพงมากๆ เลยนะ พี่น่ะอยากให้เราได้กินของดีๆ” ก็เพิ่มเงินเดือนสิโว้ย เดี๋ยวหาของดีๆ กินเองแหละ ไม่ใช่ต้องมารอขอเศษบุญจากคนอื่นพรรค์นี้ อัปสราลอบกลอกตาให้นายจ้าง ก่อนปั้นยิ้ม “เกรงใจค่ะ” “ขี้เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ อะไรๆ ก็เอาแต่เกรงใจ มันจะใช้ชีวิตไม่สนุกเอานะ” เธอเพียงแค่นยิ้มแล้วดึงสายตากลับมาวางที่งานของตน ในขณะที่ชยินก็ยังพล่ามไม่หยุดว่าร้านที่ว่ามันดีอย่างนั้นดีอ
สัตราเลือกจะเอ่ยปากให้อัปสราและน้องสาวรีบกลับเพราะเขาเกร็งหน้าจนปวดแก้ม อยากจะยิ้มใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ยิ้มยังไม่ทันสาแก่ใจก็ตงิดขึ้นมาว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงยังไม่กลับ เมื่อเดินตามมาถึงได้เจอว่าน้องนางรำกำลังทำตัวใจดีเรี่ยราดด้วยการยื่นเทียนหอมให้กับหนึ่งในลูกน้องของตน งามทั้งกายงามทั้งใจ แต่เกินขอบเขตไปหน่อยกระมัง หนุ่มใจดียกยิ้มแห้งๆ ให้สาวสวย “ให้ผมเหรอครับ” “ค่ะ น้องสาวหนูทำเองเลย” “อ้อ” “กลิ่นหอมและผ่อนคลายมากด้วยค่ะ” หญิงสาวยังคงนำเสนอด้วยสีหน้าระรื่น ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งดวงตายังหยีจนเป็นสระอิ แจกจ่ายความน่ารักไม่ได้รู้เลยว่าไอ้แปดหน่อตรงนี้มันกำลังจะชะตาขาด ก่อนเธอจะเอียงคอมอง “หรือไม่สะดวกรับคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” แล้วทำไมแม่เจ้าประคุณต้องทำหน้าสลดจนเขารู้สึกผิดด้วย “สะดวกครับ ขอบคุณมาก” เธอยิ้มกว้างยามที่ฝ่ามือใหญ่ของวสุยื่นมารับของแทนคุณ “หวังว่าจะชอบนะคะ” ถ้าชอบล่ะก็ ครั้งต่อๆ ไปคงต้องอุดหนุนน้องสาวเธออย่างแน่นอน แล้วสองสาวก็เดินตามหลังสดายุออกไปด้านนอก โดยสารไพรเวทลิฟต์มายังลานจอดรถเหมือนครั้งที่แล้ว ก่อนเดินทางไปที่หอพักของสองพี่น้องอย่างไม่รีรอ
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยที่ตั้งใจหาชุดที่สุภาพกว่าวันก่อนยืนรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนมาท้องฟ้าถูกฉาบเป็นสีส้ม ทว่าตอนนี้ฟ้าทั้งผืนเริ่มที่จะถูกสีน้ำเงินเข้าแทรก วสุก็ยังไม่มาพาขึ้นไป เธอผินหน้าไปทางน้องสาว ยกมือขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าหล่อน ปากก็ขยับเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฝึกอ่าน ในอนาคตหลังจากเธอสามารถเก็บเงินเพื่อให้น้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย อิสรีจะได้รู้จักวิธีการพูด “รอนานหน่อยนะ คุณสี่บอกว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะไม่กล้าทิ้งน้องไว้ลำพังที่หอพักจึงเป็นอีกครั้งที่เธอหนีบอิสรีมาด้วย [รอได้ค่ะ] ก่อนเปลี่ยนหัวข้อดื้อๆ [คุณสี่ใจดี เลี้ยงข้าวพวกเรา] วันนั้นอัปสราไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อิสรีคงเห็นว่าวสุจ่ายตัดหน้าไปจึงสามารถเข้าใจได้แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกอะไรก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าหวาน “ถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร ตอนแรกพี่เกร็งเขามาก ตอนนี้ผ่อนคลายมานิดหนึ่งแล้ว” [ใช่ค่ะ ไม่ยิ้มแต่ก็ใจดี ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น] สีหน้าคนอายุน้อยกว่าสลดลงทันที [น่ากลัว] อัปสรายิ้มแหย “เขาก็แค่ดุแต่เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ให้หลังแค่อึดใจเดี
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที “สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ” วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้ “ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ” “เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ” “ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ” “ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว” เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย [พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่