ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที
“สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ”
วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้
“ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ”
“เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ”
“ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ”
“ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว”
เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน
รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ
ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย
[พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่แบบนี้เหรอคะ]
หนนี้เธอใช้เพียงภาษามือ [พี่มาเจอคนคนหนึ่งน่ะ ไว้จะเล่าให้ฟังตอนกลับห้องนะ]
การสื่อสารของสองสาวอยู่ในครรลองสายตาของวสุ เขาไม่ทราบข้อมูลของพวกหล่อนมากนัก อย่างวันก่อนที่ไปทำงานตามปกติแต่สัตราดันพาไปดื่มกาแฟที่ร้านใหม่ และเพียงแค่เห็นหน้าบาริสต้าเขาก็รู้ได้ทันทีว่าท่านสส. คงคิดอะไรพิเรนทร์อีกแล้ว
ข้อมูลยิบย่อยคงมีสดายุที่รู้ เพราะหมอนั่นเป็นมือเป็นเท้าให้กับเจ้านาย หากเขาถามมันก็คงจะปริปากบอก แต่จะถามให้ได้อะไรในเมื่ออีกไม่นานเสือผู้หญิงตัวนั้นก็คงเบื่อ
ลิฟต์มาหยุดอยู่ที่ชั้นห้าสิบเก้า เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกก็เจอเข้ากับโถงเล็กๆ ที่อยู่ด้านหน้า และตรงหน้าของเธอมีประตูห้องพักเพียงห้องเดียว ซึ่งมันก็ตอกย้ำว่าสิ่งที่เธอโดยสารมาเมื่อครู่คือไพรเวทลิฟต์จริงๆ และห้องนี้ก็เป็นเพนต์เฮาส์ที่น่าจะกินพื้นที่ไปทั้งชั้น
ประตูห้องถูกเปิดโดยวสุ ก่อนเจ้าตัวจะพยักพเยิดให้คนทั้งสองเข้าไปด้านใน โดยที่อัปสราก็คว้ามือน้องสาวมากำไว้แน่นแล้วพากันเดินเข้าไปในโลกที่เศรษฐีเขาอยู่กัน พวกเธอเดินตามวสุไปเรื่อยๆ ผ่านความโอ่อ่าจนไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าประเทศนี้มีสถานที่เช่นนี้ด้วยหรือ
กระทั่งมาหยุดอยู่ยังห้องโถงขนาดใหญ่ พื้นอยู่สูงกว่าเพดานมากจนเธอและน้องสาวเงยหน้ามองอย่างลืมตัว
โลกใบนี้มีอยู่จริงด้วย ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
แต่แล้วเธอก็ต้องกลับมามองคนตรงหน้าที่นั่งอยู่บนโซฟา โดยที่วสุเบี่ยงตัวออกไปยืนรอบนอก ปล่อยให้เธอกับน้องสาวยืนมึนอยู่ต่อหน้านักการเมืองหนุ่ม
สิ่งแรกที่อัปสราและอิสรีเลือกจะทำคือการพนมมือไหว้
“สวัสดีค่ะ หนู-”
“ใครให้เธอมาที่นี่” สุ้มเสียงเข้มเจือความไม่พอใจตีแสกหน้าจนอัปสรานิ่งงัน นัยน์ตาหวานส่ายไปมากระทั่งหยุดอยู่ที่วสุ แต่อีกฝ่ายกลับทำเพียงมองเธอด้วยสีหน้าเรียบสนิทไร้อารมณ์ “ที่นี่ใช่ที่ที่เธอจะมาได้ตามใจชอบรึ ตั้งแต่เมื่อไรกันนะที่มันเป็นแบบนั้น”
“ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจทำให้รู้สึกไม่ดี” เธอเข้าใจแล้ว เพราะคุณสี่ไม่ยอมบอกเบอร์และให้เธอมาคุยกับคู่กรณีเอง เพื่อที่เจ้าตัวจะไม่ต้องร่วมสังฆกรรมกับเรื่องนี้ เขาจึงปล่อยให้เธอได้เผชิญกับมันโดยตรงและเจ้าของบ้านคงไม่รู้มาก่อนว่าเธอจะมา อย่างว่า บ้านหรูๆ แบบนี้จะให้คนอย่างเธอมาเดินเพ่นพ่านก็คงไม่ใช่เรื่องสมควร “หนูมาที่นี่เพราะอยากคุยกับคุณให้รู้เรื่อง เสร็จธุระแล้วหนูจะรีบกลับค่ะ หนูไม่ได้จะอยู่นาน”
สัตราเลิกคิ้ว “จะยืนค้ำหัวอีกนานไหม”
“ขอโทษค่ะ!”
ก่อนสาวเจ้าจะทรุดตัวลงไปนั่งบนพรมราคาแพง โดยไม่ลืมกระตุกมือน้องสาวให้ทิ้งตัวนั่งลงข้างกัน อิสรีนั้นแม้จะอยู่ในโลกที่ไร้เสียง แต่เธอก็สามารถมองเห็นได้เป็นปกติ และเห็นว่าคนที่พี่สาวมาพบนั้นน่าเกรงขามเพียงใด
ไม่รู้ว่าคุยอะไรกับพี่สาว แต่พี่เธอน่าจะประหม่ามากทีเดียว
“ขอโทษนะคะ หนูกับน้องไม่ได้มีเจตนาจะทำตัวไม่มีมารยาทจริงๆ ขอโทษค่ะ”
สัตราแค่นหัวเราะในลำคอ...หมายถึงให้นั่งด้วยกันบนโซฟาต่างหากเล่ายายเด็กบื้อ!
“ขออนุญาตเข้าเรื่องเลยนะคะ หนูจะได้ไม่อยู่รบกวนคุณนานๆ” เธอสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วผ่อนออกหวังทำสมาธิ “อย่างที่คุณทราบว่าหนูขอผ่อนจ่ายเพราะไม่มีเงินก้อนที่จะจ่ายครั้งเดียว ให้โอกาสหนูเถอะนะคะ หนูไม่หนีไปไหนแน่นอนค่ะ หนูรู้สึกผิดจริงๆ ที่ทำให้โทรศัพท์ของคุณพังและหนูพร้อมรับผิดชอบ ขอเพียงคุณเมตตาให้หนูผ่อนจ่ายแทนที่จะเก็บครั้งเดียวได้ไหมคะ”
อัปสราเม้มปากแน่น ในขณะที่สัตราก็จดจ้องไม่วางตา
สายตาของเขาแลดูดุดันทุกครั้งที่ใช้มองกัน และมันทำให้เธอวางตัวไม่ถูก มือบางกำแน่น น้ำลายถูกกลืนลงคอไปหลายอึกทว่ามิอาจคลายความหวั่นใจไปได้เลย
เพนต์เฮาส์แห่งนี้หรูหราและน่าอยู่ การตกแต่งสวยงามสมเป็นพวกคนรวย แต่เธอกลับไม่มีความชอบแม้แต่น้อย และทั้งที่เพดานสูงลิ่วแต่กลับไม่มีอากาศมากพอให้ใช้หายใจทั่วท้อง ต่างกับห้องรูหนูเดือนละสี่พันที่เธออาศัยอยู่กับน้องสาวอย่างสิ้นเชิง ที่นั่นแม้จะแคบแต่ก็หายใจได้เต็มปอด
กลีบปากบางถูกคลายออก “ได้ไหมคะ หนูสัญญาว่าจะจ่ายทุกเดือนไม่มีขาด หลังเงินเดือนออกสิ่งแรกที่หนูจะทำคือการใช้หนี้คุณ หนูขอสาบานค่ะ”
หากเขายืนยันที่จะให้เธอใช้หนี้ทีเดียวให้หมด เห็นทีว่าอัปสราจะอับจนหนทางจนต้องแตะเงินในส่วนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของตนและน้องสาวเสียแล้ว
“เธอจะใช้คืนได้เดือนละกี่บาท”
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเบิกโต สีหน้ากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง “คุณจะยอมให้หนูผ่อนแล้วเหรอคะ”
“กี่บาท”
สาวเจ้ากระแอมไอเล็กน้อย “หนูพูดด้วยความสัตย์จริง เงินเดือนของหนูคือหมื่นสองค่ะ”
ชายหนุ่มแทรกขึ้น “ที่ร้านกาแฟ?”
“ค่ะ”
“แล้วที่ไปรำไม่ได้เงินรึ”
“ได้ค่ะ ต้องได้อยู่แล้ว” นัยน์ตาหวานชำเลืองไปทางน้องสาวที่นั่งมองคุณสส. กับพี่สาวตาแป๋วเหมือนเด็กขี้สงสัย อิสรีคงอยากรู้มากแล้วว่าเธอคุยอะไรกับเขา “แต่หนูมีค่าใช้จ่ายเหมือนกัน เงินบางส่วนหนูต้องเก็บไว้ ที่ใช้จ่ายก็เงินเดือนของหนู และที่คุณถามว่าจะจ่ายได้เท่าไรก็คงไม่มากนัก ขอโทษนะคะ หนูรู้ว่าคุณคงนึกรำคาญที่หนูเอาแต่ขอโทษแค่เพราะไม่มีเงินหมื่นมาใช้ แต่เงินหนึ่งหมื่นคือเงินหนึ่งหมื่น ถึงอย่างนั้นหมื่นของคุณกับหมื่นของหนูก็ไม่เท่ากัน หมื่นของคุณอาจเป็นข้าวหนึ่งมื้อ แต่หมื่นของหนูต้องอยู่ทั้งเดือน คุณจะรู้สึกรำคาญหนูก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แต่คุณก็ยังให้โอกาส ขอบคุณนะคะ”
เธอสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
“เดือนละสองพันห้า สี่เดือน ตกลงไหมคะ”
“ได้”
อัปสรายิ้มออก “จริงเหรอคะ ขอบคุณนะคะ ขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ แล้วก็ขอโทษด้วยที่สร้างความลำบากใจให้ หนูสัญญาว่าต่อไปนี้จะมีสติในการใช้ชีวิตให้มากขึ้น ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใครอีกแล้วค่ะ”
“ทุกเดือนนับจากนี้จนกว่าจะหมดหนี้ เธอต้องเอาเงินมาให้ฉันที่นี่”
“อ่า...เป็นโอนแทนได้ไหมคะ หนูไม่อยากรบกวนคุณ”
ใช่ว่าเธอจะไม่รู้ตัวว่าตนเองไม่เหมาะกับสถานที่เช่นนี้ มานั่งนานๆ ก็กลัวจะทำพรมบ้านเขาเปื้อน
“ฉันรับเป็นเงินสด”
“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ แล้วแต่คุณสะดวกเลย”
“แล้วเดือนนี้เงินเดือนออกหรือยัง”
ใบหน้านวลส่ายไปมาสองสามที “ยังค่ะ ออกวันที่ยี่สิบห้า อีกสามวันเดี๋ยวหนูจะมาที่นี่ค่ะ”
“โอเค วันที่ยี่สิบห้าหวังว่าฉันจะได้เจอเธอที่นี่นะ”
“ค่ะ ขอบคุณที่ให้โอกาสหนูนะคะ”
สัตราผงกศีรษะส่งๆ ก่อนดึงสายตาไปวางที่ผู้ติดตามของตน “พามาก็พากลับด้วย”
“ครับนาย”
อัปสราและน้องสาวจึงลาคุณสส. ตรงนั้นเลย ก่อนเดินตามหลังวสุออกไปจากห้องสุดหรูที่มีเจ้าของห้องนั่งมองแผ่นหลังบอบบางจนลับสายตาไปในที่สุด
มุมปากกระตุกขึ้นเล็กน้อยพอให้เห็นเป็นรอยยิ้ม “อบเชย...น่ารักจังวะ”
°*• ❀ •*°
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยที่ตั้งใจหาชุดที่สุภาพกว่าวันก่อนยืนรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนมาท้องฟ้าถูกฉาบเป็นสีส้ม ทว่าตอนนี้ฟ้าทั้งผืนเริ่มที่จะถูกสีน้ำเงินเข้าแทรก วสุก็ยังไม่มาพาขึ้นไป เธอผินหน้าไปทางน้องสาว ยกมือขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าหล่อน ปากก็ขยับเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฝึกอ่าน ในอนาคตหลังจากเธอสามารถเก็บเงินเพื่อให้น้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย อิสรีจะได้รู้จักวิธีการพูด “รอนานหน่อยนะ คุณสี่บอกว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะไม่กล้าทิ้งน้องไว้ลำพังที่หอพักจึงเป็นอีกครั้งที่เธอหนีบอิสรีมาด้วย [รอได้ค่ะ] ก่อนเปลี่ยนหัวข้อดื้อๆ [คุณสี่ใจดี เลี้ยงข้าวพวกเรา] วันนั้นอัปสราไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อิสรีคงเห็นว่าวสุจ่ายตัดหน้าไปจึงสามารถเข้าใจได้แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกอะไรก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าหวาน “ถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร ตอนแรกพี่เกร็งเขามาก ตอนนี้ผ่อนคลายมานิดหนึ่งแล้ว” [ใช่ค่ะ ไม่ยิ้มแต่ก็ใจดี ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น] สีหน้าคนอายุน้อยกว่าสลดลงทันที [น่ากลัว] อัปสรายิ้มแหย “เขาก็แค่ดุแต่เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ให้หลังแค่อึดใจเดี
สัตราเลือกจะเอ่ยปากให้อัปสราและน้องสาวรีบกลับเพราะเขาเกร็งหน้าจนปวดแก้ม อยากจะยิ้มใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ยิ้มยังไม่ทันสาแก่ใจก็ตงิดขึ้นมาว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงยังไม่กลับ เมื่อเดินตามมาถึงได้เจอว่าน้องนางรำกำลังทำตัวใจดีเรี่ยราดด้วยการยื่นเทียนหอมให้กับหนึ่งในลูกน้องของตน งามทั้งกายงามทั้งใจ แต่เกินขอบเขตไปหน่อยกระมัง หนุ่มใจดียกยิ้มแห้งๆ ให้สาวสวย “ให้ผมเหรอครับ” “ค่ะ น้องสาวหนูทำเองเลย” “อ้อ” “กลิ่นหอมและผ่อนคลายมากด้วยค่ะ” หญิงสาวยังคงนำเสนอด้วยสีหน้าระรื่น ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งดวงตายังหยีจนเป็นสระอิ แจกจ่ายความน่ารักไม่ได้รู้เลยว่าไอ้แปดหน่อตรงนี้มันกำลังจะชะตาขาด ก่อนเธอจะเอียงคอมอง “หรือไม่สะดวกรับคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” แล้วทำไมแม่เจ้าประคุณต้องทำหน้าสลดจนเขารู้สึกผิดด้วย “สะดวกครับ ขอบคุณมาก” เธอยิ้มกว้างยามที่ฝ่ามือใหญ่ของวสุยื่นมารับของแทนคุณ “หวังว่าจะชอบนะคะ” ถ้าชอบล่ะก็ ครั้งต่อๆ ไปคงต้องอุดหนุนน้องสาวเธออย่างแน่นอน แล้วสองสาวก็เดินตามหลังสดายุออกไปด้านนอก โดยสารไพรเวทลิฟต์มายังลานจอดรถเหมือนครั้งที่แล้ว ก่อนเดินทางไปที่หอพักของสองพี่น้องอย่างไม่รีรอ
บทที่ 4น้องเนื้อหอม... บ่ายคล้อยของวันจันทร์ที่ลูกค้าเริ่มซาจนบาริสต้าได้มีเวลาพัก อัปสราจึงใช้เวลานั้นในการนั่งตกแต่งรูปเพื่อโปรโมทร้าน นั่นล่ะ การพักของเธอ ใน Cha House นั้นเธอทำทุกอย่างจริงๆ ถ่ายคลิปการทำเครื่องดื่มลง TikTok เอย เป็นแอดมินในทุกแพลตฟอร์มเอย ที่จริงควรได้เงินเดือนสักห้าหมื่นด้วยซ้ำถึงจะคุ้ม ส่วนคนกดเงินเดือนนั้นนั่งกระดิกเท้าไถมือถืออยู่ที่โต๊ะเยื้องๆ กับเคาน์เตอร์ “น้องเชยคะ เพื่อนพี่แนะนำร้านโอมากาเสะดีๆ มาร้านหนึ่ง พี่จองแล้วด้วย เย็นนี้เราไปด้วยกันไหม” สาวเจ้าเงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารของทางร้านเพื่อมองยังผู้พูด “คงจะอร่อยน่าดูนะคะ แต่หนูไม่สะดวกค่ะ” “ทำไมล่ะคะ หรือน้องเชยไม่ชอบ แล้วร้านนี้ก็แพงมากๆ เลยนะ พี่น่ะอยากให้เราได้กินของดีๆ” ก็เพิ่มเงินเดือนสิโว้ย เดี๋ยวหาของดีๆ กินเองแหละ ไม่ใช่ต้องมารอขอเศษบุญจากคนอื่นพรรค์นี้ อัปสราลอบกลอกตาให้นายจ้าง ก่อนปั้นยิ้ม “เกรงใจค่ะ” “ขี้เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ อะไรๆ ก็เอาแต่เกรงใจ มันจะใช้ชีวิตไม่สนุกเอานะ” เธอเพียงแค่นยิ้มแล้วดึงสายตากลับมาวางที่งานของตน ในขณะที่ชยินก็ยังพล่ามไม่หยุดว่าร้านที่ว่ามันดีอย่างนั้นดีอ
ลิ้นของอัปสราไม่สามารถรับรสของโอมากาเสะราคาแพงได้ ด้วยเอาแต่พะวงถึงเพียงเจ้าหนี้ที่ได้เจอกันโดยบังเอิญ สายตาที่ว่าดุดันในทุกครั้งที่ใช้มองกัน วันนี้มันรุนแรงกว่าที่ผ่านมาจนหล่อนไม่มีจิตใจจะดื่มด่ำกับบรรยากาศอันน่าอภิรมย์ของร้านอาหารหรู ครั้นถึงเวลากลับอัปสราก็ไม่ได้พูดคุยกับเจ้านายมากนัก แค่นั่งเงียบๆ และแชตกับน้องสาวไปพลาง กระทั่งมาถึงที่หมายจึงผินหน้าไปทางสารถี “ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” “พี่ต้องมาส่งอยู่แล้ว ว่าแต่น้องเชยชอบเดตวันนี้ไหมคะ” คนตัวเล็กทวนคำ “เดต?” “ค่ะ ก็วันนี้พวกเราไปเดตกันนิ พี่ไม่เคยพาสาวคนไหนไปกินโอมากาเสะเลยนะ ไม่เคยชอบใครอย่างน้องเชยด้วย สำหรับพี่แล้วน้องเชยพิเศษที่สุดเลย” เธอตอบด้วยการพูดอีกเรื่อง “วันที่หกมิถุนาฯ หนูลานะคะ และพี่อนุมัติแล้ว หวังว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ก่อนฉีกยิ้มให้ผู้เป็นนาย “เดินทางปลอดภัยนะคะ” อัปสรามาถึงหอพักในเวลามืดค่ำ เธอนัดกับน้องสาวตรงหน้าปากซอยแล้วเดินเข้ามาด้วยกัน ก่อนต่างจะแยกย้ายไปจัดการธุระส่วนตัวของใครของมัน โดยที่คนอายุมากกว่าเสียสละให้น้องได้อาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองก็มานั่งไล่ตอบคอมเมนต์ในทุกๆ แพลตฟอร์ม และตอบข้อความของเหล่าล
สดายุ โรจนวาณิชย์ อดีตเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประจำตัวของสส. สัตรา เจียรโณทัย โดยเข้าวงการนี้มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ด้วยวสุทำงานอยู่ก่อนแล้ว สดายุจึงเลือกที่จะก้าวตามผู้เป็นพี่และชักชวนเพื่อนสนิทอย่างเขมราฐมาทำงานด้วยกัน ทำให้ได้เจอกับหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนซี้กันเช่นไตรทศและไมยราพ รวมถึงอีกก๊วนหนึ่งที่กอปรไปด้วยลิขิต คมชาญและอนันต์ ทว่าผู้ช่วยคนนั้นปัจจุบันกลับถูกโยกย้ายมาเป็นสายลับ งานของเขามีขอบเขตที่กว้างกว่าใครเพื่อนแต่มันก็หมายถึงงานการเมืองมิใช่หรือ แล้วการมาเฝ้าสาวให้นายมันนับเป็นกิจของผู้ช่วยสส. ตรงไหนกัน เมื่อวานหลังโดนพายุพัดสดายุก็รีบเดินไปที่ห้องข้างๆ อย่างไม่รอช้า คอนโดฯ นี้มีจำนวนสี่สิบห้าชั้น ชั้นละสิบยูนิต และชั้นสี่สิบก็ถูกลูกชายสส. เซียงเหมาไปแล้วแปดยูนิตตามจำนวนคน อยู่ด้วยกันแบบอยู่ใครอยู่มัน สดายุไปที่ห้องของเขมราฐที่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องของเจ้านายมากเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาพวกเขาทั้งแปดคน เพราะเมื่อวานมีเพียงเจ้าตัวที่ไปกับนายต่อหลังคนอื่นได้เลิกงาน ถึงได้รู้ว่า ‘ไอ้หมอนั่น’ คือผู้ชายที่มาทานอาหารกับอัปสรา เพราะสารถีรออยู่ที่รถจึงได้เห็นเวลาใครแวะเวียนมาใช้บร
เช้าวันอังคารสดายุก็ยังคงเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่สายลับของตน เพียงแต่วันนี้เขาเดินเข้าไปในร้านแทนที่จะซุ่มดูอยู่ในรถ “สวัสดีค่ะคุณยี่” เจ้าของชื่อยกมุมปากทั้งสองข้าง “สวัสดีครับ วันนี้ก็ยังทำงานคนเดียวเหรอครับ” เธอหัวเราะแห้งๆ ประกอบคำพูด “พี่เจ้าของร้านน่าจะมาช่วงสายๆ นู่นเลยค่ะ” “อ้อ” ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงเพื่อรับคำ “งั้นรับเป็นอเมริกาโน่หนึ่งแก้วครับ” “เปลี่ยนเมนูเหรอคะ” “ไม่ใช่ของผมครับ ของนาย อ่าใช่ เป็นอเมริกาโน่น้ำผึ้งมะนาวนะครับ ส่วนของผมขอเหมือนเดิม” อัปสรายกยิ้มบางๆ แล้วหันมาสนใจที่จะชงกาแฟให้ลูกค้า ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยเพื่อชวนคุย “ช่วงนี้งานหนักน่าดูเลยนะคะ” “ครับ ลำพังเตรียมตัวประชุมสภาฯ ก็หนักแล้ว แต่ก่อนประชุมพอดีที่พรรคมีบวงสรวงใหญ่อีก พอประชุมสภาฯ เสร็จประชุมพรรคต่อ ก็ถ้าไม่ได้กาแฟผมคงอยู่ไม่ได้จริงๆ ล่ะงานนี้” สดายุกล่าวติดตลก แต่หัวคิ้วสวยของคนฟังกลับย่นเข้าหากัน “บวงสรวงอะไรเหรอคะ” “ของพรรคน่ะครับ อีกไม่กี่วันนี่เอง” แล้วอัปสราก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ทราบข้อมูลอย่างละเอียดจากปิยอรเลย รู้แค่ว่าเป็นพิธีบวงสรวงที่ได้ค่าตอบแทนสูงและรู้ว่าต้องทำการร่ายรำ
เช้าวันอังคารสดายุก็ยังคงเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่สายลับของตน เพียงแต่วันนี้เขาเดินเข้าไปในร้านแทนที่จะซุ่มดูอยู่ในรถ “สวัสดีค่ะคุณยี่” เจ้าของชื่อยกมุมปากทั้งสองข้าง “สวัสดีครับ วันนี้ก็ยังทำงานคนเดียวเหรอครับ” เธอหัวเราะแห้งๆ ประกอบคำพูด “พี่เจ้าของร้านน่าจะมาช่วงสายๆ นู่นเลยค่ะ” “อ้อ” ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงเพื่อรับคำ “งั้นรับเป็นอเมริกาโน่หนึ่งแก้วครับ” “เปลี่ยนเมนูเหรอคะ” “ไม่ใช่ของผมครับ ของนาย อ่าใช่ เป็นอเมริกาโน่น้ำผึ้งมะนาวนะครับ ส่วนของผมขอเหมือนเดิม” อัปสรายกยิ้มบางๆ แล้วหันมาสนใจที่จะชงกาแฟให้ลูกค้า ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยเพื่อชวนคุย “ช่วงนี้งานหนักน่าดูเลยนะคะ” “ครับ ลำพังเตรียมตัวประชุมสภาฯ ก็หนักแล้ว แต่ก่อนประชุมพอดีที่พรรคมีบวงสรวงใหญ่อีก พอประชุมสภาฯ เสร็จประชุมพรรคต่อ ก็ถ้าไม่ได้กาแฟผมคงอยู่ไม่ได้จริงๆ ล่ะงานนี้” สดายุกล่าวติดตลก แต่หัวคิ้วสวยของคนฟังกลับย่นเข้าหากัน “บวงสรวงอะไรเหรอคะ” “ของพรรคน่ะครับ อีกไม่กี่วันนี่เอง” แล้วอัปสราก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ทราบข้อมูลอย่างละเอียดจากปิยอรเลย รู้แค่ว่าเป็นพิธีบวงสรวงที่ได้ค่าตอบแทนสูงและรู้ว่าต้องทำการร่ายรำ
สดายุ โรจนวาณิชย์ อดีตเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประจำตัวของสส. สัตรา เจียรโณทัย โดยเข้าวงการนี้มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ด้วยวสุทำงานอยู่ก่อนแล้ว สดายุจึงเลือกที่จะก้าวตามผู้เป็นพี่และชักชวนเพื่อนสนิทอย่างเขมราฐมาทำงานด้วยกัน ทำให้ได้เจอกับหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนซี้กันเช่นไตรทศและไมยราพ รวมถึงอีกก๊วนหนึ่งที่กอปรไปด้วยลิขิต คมชาญและอนันต์ ทว่าผู้ช่วยคนนั้นปัจจุบันกลับถูกโยกย้ายมาเป็นสายลับ งานของเขามีขอบเขตที่กว้างกว่าใครเพื่อนแต่มันก็หมายถึงงานการเมืองมิใช่หรือ แล้วการมาเฝ้าสาวให้นายมันนับเป็นกิจของผู้ช่วยสส. ตรงไหนกัน เมื่อวานหลังโดนพายุพัดสดายุก็รีบเดินไปที่ห้องข้างๆ อย่างไม่รอช้า คอนโดฯ นี้มีจำนวนสี่สิบห้าชั้น ชั้นละสิบยูนิต และชั้นสี่สิบก็ถูกลูกชายสส. เซียงเหมาไปแล้วแปดยูนิตตามจำนวนคน อยู่ด้วยกันแบบอยู่ใครอยู่มัน สดายุไปที่ห้องของเขมราฐที่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องของเจ้านายมากเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาพวกเขาทั้งแปดคน เพราะเมื่อวานมีเพียงเจ้าตัวที่ไปกับนายต่อหลังคนอื่นได้เลิกงาน ถึงได้รู้ว่า ‘ไอ้หมอนั่น’ คือผู้ชายที่มาทานอาหารกับอัปสรา เพราะสารถีรออยู่ที่รถจึงได้เห็นเวลาใครแวะเวียนมาใช้บร
ลิ้นของอัปสราไม่สามารถรับรสของโอมากาเสะราคาแพงได้ ด้วยเอาแต่พะวงถึงเพียงเจ้าหนี้ที่ได้เจอกันโดยบังเอิญ สายตาที่ว่าดุดันในทุกครั้งที่ใช้มองกัน วันนี้มันรุนแรงกว่าที่ผ่านมาจนหล่อนไม่มีจิตใจจะดื่มด่ำกับบรรยากาศอันน่าอภิรมย์ของร้านอาหารหรู ครั้นถึงเวลากลับอัปสราก็ไม่ได้พูดคุยกับเจ้านายมากนัก แค่นั่งเงียบๆ และแชตกับน้องสาวไปพลาง กระทั่งมาถึงที่หมายจึงผินหน้าไปทางสารถี “ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” “พี่ต้องมาส่งอยู่แล้ว ว่าแต่น้องเชยชอบเดตวันนี้ไหมคะ” คนตัวเล็กทวนคำ “เดต?” “ค่ะ ก็วันนี้พวกเราไปเดตกันนิ พี่ไม่เคยพาสาวคนไหนไปกินโอมากาเสะเลยนะ ไม่เคยชอบใครอย่างน้องเชยด้วย สำหรับพี่แล้วน้องเชยพิเศษที่สุดเลย” เธอตอบด้วยการพูดอีกเรื่อง “วันที่หกมิถุนาฯ หนูลานะคะ และพี่อนุมัติแล้ว หวังว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ก่อนฉีกยิ้มให้ผู้เป็นนาย “เดินทางปลอดภัยนะคะ” อัปสรามาถึงหอพักในเวลามืดค่ำ เธอนัดกับน้องสาวตรงหน้าปากซอยแล้วเดินเข้ามาด้วยกัน ก่อนต่างจะแยกย้ายไปจัดการธุระส่วนตัวของใครของมัน โดยที่คนอายุมากกว่าเสียสละให้น้องได้อาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองก็มานั่งไล่ตอบคอมเมนต์ในทุกๆ แพลตฟอร์ม และตอบข้อความของเหล่าล
บทที่ 4น้องเนื้อหอม... บ่ายคล้อยของวันจันทร์ที่ลูกค้าเริ่มซาจนบาริสต้าได้มีเวลาพัก อัปสราจึงใช้เวลานั้นในการนั่งตกแต่งรูปเพื่อโปรโมทร้าน นั่นล่ะ การพักของเธอ ใน Cha House นั้นเธอทำทุกอย่างจริงๆ ถ่ายคลิปการทำเครื่องดื่มลง TikTok เอย เป็นแอดมินในทุกแพลตฟอร์มเอย ที่จริงควรได้เงินเดือนสักห้าหมื่นด้วยซ้ำถึงจะคุ้ม ส่วนคนกดเงินเดือนนั้นนั่งกระดิกเท้าไถมือถืออยู่ที่โต๊ะเยื้องๆ กับเคาน์เตอร์ “น้องเชยคะ เพื่อนพี่แนะนำร้านโอมากาเสะดีๆ มาร้านหนึ่ง พี่จองแล้วด้วย เย็นนี้เราไปด้วยกันไหม” สาวเจ้าเงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารของทางร้านเพื่อมองยังผู้พูด “คงจะอร่อยน่าดูนะคะ แต่หนูไม่สะดวกค่ะ” “ทำไมล่ะคะ หรือน้องเชยไม่ชอบ แล้วร้านนี้ก็แพงมากๆ เลยนะ พี่น่ะอยากให้เราได้กินของดีๆ” ก็เพิ่มเงินเดือนสิโว้ย เดี๋ยวหาของดีๆ กินเองแหละ ไม่ใช่ต้องมารอขอเศษบุญจากคนอื่นพรรค์นี้ อัปสราลอบกลอกตาให้นายจ้าง ก่อนปั้นยิ้ม “เกรงใจค่ะ” “ขี้เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ อะไรๆ ก็เอาแต่เกรงใจ มันจะใช้ชีวิตไม่สนุกเอานะ” เธอเพียงแค่นยิ้มแล้วดึงสายตากลับมาวางที่งานของตน ในขณะที่ชยินก็ยังพล่ามไม่หยุดว่าร้านที่ว่ามันดีอย่างนั้นดีอ
สัตราเลือกจะเอ่ยปากให้อัปสราและน้องสาวรีบกลับเพราะเขาเกร็งหน้าจนปวดแก้ม อยากจะยิ้มใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ยิ้มยังไม่ทันสาแก่ใจก็ตงิดขึ้นมาว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงยังไม่กลับ เมื่อเดินตามมาถึงได้เจอว่าน้องนางรำกำลังทำตัวใจดีเรี่ยราดด้วยการยื่นเทียนหอมให้กับหนึ่งในลูกน้องของตน งามทั้งกายงามทั้งใจ แต่เกินขอบเขตไปหน่อยกระมัง หนุ่มใจดียกยิ้มแห้งๆ ให้สาวสวย “ให้ผมเหรอครับ” “ค่ะ น้องสาวหนูทำเองเลย” “อ้อ” “กลิ่นหอมและผ่อนคลายมากด้วยค่ะ” หญิงสาวยังคงนำเสนอด้วยสีหน้าระรื่น ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งดวงตายังหยีจนเป็นสระอิ แจกจ่ายความน่ารักไม่ได้รู้เลยว่าไอ้แปดหน่อตรงนี้มันกำลังจะชะตาขาด ก่อนเธอจะเอียงคอมอง “หรือไม่สะดวกรับคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” แล้วทำไมแม่เจ้าประคุณต้องทำหน้าสลดจนเขารู้สึกผิดด้วย “สะดวกครับ ขอบคุณมาก” เธอยิ้มกว้างยามที่ฝ่ามือใหญ่ของวสุยื่นมารับของแทนคุณ “หวังว่าจะชอบนะคะ” ถ้าชอบล่ะก็ ครั้งต่อๆ ไปคงต้องอุดหนุนน้องสาวเธออย่างแน่นอน แล้วสองสาวก็เดินตามหลังสดายุออกไปด้านนอก โดยสารไพรเวทลิฟต์มายังลานจอดรถเหมือนครั้งที่แล้ว ก่อนเดินทางไปที่หอพักของสองพี่น้องอย่างไม่รีรอ
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยที่ตั้งใจหาชุดที่สุภาพกว่าวันก่อนยืนรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนมาท้องฟ้าถูกฉาบเป็นสีส้ม ทว่าตอนนี้ฟ้าทั้งผืนเริ่มที่จะถูกสีน้ำเงินเข้าแทรก วสุก็ยังไม่มาพาขึ้นไป เธอผินหน้าไปทางน้องสาว ยกมือขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าหล่อน ปากก็ขยับเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฝึกอ่าน ในอนาคตหลังจากเธอสามารถเก็บเงินเพื่อให้น้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย อิสรีจะได้รู้จักวิธีการพูด “รอนานหน่อยนะ คุณสี่บอกว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะไม่กล้าทิ้งน้องไว้ลำพังที่หอพักจึงเป็นอีกครั้งที่เธอหนีบอิสรีมาด้วย [รอได้ค่ะ] ก่อนเปลี่ยนหัวข้อดื้อๆ [คุณสี่ใจดี เลี้ยงข้าวพวกเรา] วันนั้นอัปสราไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อิสรีคงเห็นว่าวสุจ่ายตัดหน้าไปจึงสามารถเข้าใจได้แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกอะไรก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าหวาน “ถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร ตอนแรกพี่เกร็งเขามาก ตอนนี้ผ่อนคลายมานิดหนึ่งแล้ว” [ใช่ค่ะ ไม่ยิ้มแต่ก็ใจดี ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น] สีหน้าคนอายุน้อยกว่าสลดลงทันที [น่ากลัว] อัปสรายิ้มแหย “เขาก็แค่ดุแต่เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ให้หลังแค่อึดใจเดี
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที “สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ” วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้ “ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ” “เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ” “ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ” “ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว” เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย [พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่