“ของฉัน”
เจ้าหล่อนหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงดุดันนั้น “ค่ะ นี่นะคะ” แล้วจึงวางจานขนมไว้ตรงหน้านักการเมืองหนุ่ม ก่อนค้อมศีรษะให้แล้วค่อยเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์
ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าเครื่องดื่มทั้งเก้าจะถูกเสิร์ฟ โดยที่อัปสราต้องแบ่งเป็นการเดินถึงสามรอบ รอบแรกกับรอบที่สองผ่านไปอย่างง่ายดาย แต่รอบที่สามมีของท่านสส. อย่างแน่นอนเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เสิร์ฟแก้วของเขาเลย
เธอไม่ได้มีปัญหาเป็นการส่วนตัวอะไรกับคนใหญ่คนโตพรรค์นั้น แค่รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ถูกมอง ตอนที่เห็นผ่านตาในหน้าสื่อเขาก็ดูยิ้มแย้ม ไยทุกครั้งที่เธอได้พบเจอถึงไม่เหมือนที่คิดไว้เลย
อย่างไรก็ตาม อัปสรายังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยการยกถาดเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ เธอก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ก้มหน้าลงประมาณหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคู่คม ยิ่งระยะห่างถูกลดลงเรื่อยๆ ก็คล้ายว่ามวลอากาศในร้านมันกดต่ำจนอัปสราไม่สามารถหายใจได้ทั่วท้อง
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อเธอสะดุดปลายเท้าตัวเองจนคะมำไปข้างหน้า
เครื่องดื่มในถาดเทกระจาดราดลงบนโต๊ะไม่เหลือดีสักแก้ว ในขณะที่ตัวของหญิงสาวค้างเติ่งกลางอากาศเมื่อมีแขนแข็งแรงตวัดพาดรั้งร่างไว้ไม่ให้หน้าทิ่มพื้น คนตัวเล็กหอบหายใจรุนแรง พอดีกับที่คนอื่นๆ บนโต๊ะพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนเพื่อหนีคราบกาแฟที่อาจจะเลอะเสื้อผ้าได้
เห็นจะมีแต่เจ้าของท่อนแขนที่ช่วยคว้าตัวเธอไว้เท่านั้นที่ยังนั่งอยู่ท่าเดิม ไม่ทุกข์ไม่ร้อนใดๆ กับคราบเปื้อนตรงหน้า
อัปสรารีบตั้งสติและขยับออกมาเมื่อเป็นอิสระ ดวงตาเบิกโตด้วยความตกใจเมื่อปะทะเข้ากับโทรศัพท์มือถือที่ตั้งอยู่ตรงหน้า และมันถูกอาบไปด้วยกาแฟจนเปียกชุ่มไปทั้งเครื่อง
“ขะ...ขอโทษค่ะ!”
เจ้าของไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงแค่หยิบมันมาสะบัดน้ำออก แต่อนิจจา มันเปียกประหนึ่งกระโดดลงเล่นน้ำคลองคลายร้อนในเดือนเมษายน และเขาเปิดมันไม่ติดเสียอย่างนั้น
“คือว่า ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ” เสียงของหล่อนตะกุกตะกักจนฟังยาก “หนู...หนูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ค่ะ ไม่ได้ตั้งใจทำหกนะคะ ขอโทษค่ะ” มือไม้ของเธอสั่นเทาเพราะทราบดีว่าโทรศัพท์ที่อยู่ในมือของนักการเมืองหนุ่มนั้นมีราคาแพง เธอกลืนน้ำลายลงคอแทบไม่ได้ น้ำตาคล้ายจะคลอเบ้า “มันซ่อมได้ใช่ไหมคะ ขอโทษนะคะ หนูจะรับผิดชอบทุกอย่างค่ะ”
มือถือพัง เสื้อผ้ามอมแมม แต่สัตรากลับไม่ยักจะอารมณ์เสีย
“กาแฟพวกนี้หนูจะชงให้ใหม่ค่ะ”
แม้ว่าเธอจะแสดงความรับผิดชอบทุกอย่างแต่มันก็มินำพา ใบหน้าคร้ามคมของท่านสส. ยังคงเรียบสนิท นัยน์ตาดุดันตวัดมาทางเธอ เรือนคิ้วดกมุ่นเข้าหากัน ก่อนร่างสูงจะหยัดยืนจนเธอจำต้องถอยห่างเล็กน้อย
โทรศัพท์เจ้าปัญหาถูกส่งไปให้ชายหนุ่มที่อยู่อีกโต๊ะ “ไปจัดการซะยี่”
“ครับนาย”
“คนอื่นไปรอที่รถ เว้นสี่ อยู่นี่ก่อน”
สิ้นประโยคกัมปนาทภายในร้านก็หลงเหลือเพียงแค่เธอ เขาและคนชื่อสี่ กับโต๊ะเละๆ ที่ยังหาโอกาสทำความสะอาดไม่ได้
ความเงียบคือสิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวอยู่ภายใน Cha House มือบางกำแน่น หลุบตาลงต่ำเพื่อมองพื้นแทนการสู้หน้าคู่กรณี
“ฉันจะส่งซ่อม”
“ค่ะ”
“เงยหน้า”
เธอจำต้องทำตาม สาวเจ้าเม้มปากแน่น แต่ก็คลายมันออกในที่สุด “หนูจะรับผิดชอบทุกอย่างค่ะ หนูสัญญา”
“ได้ แต่ฉันไม่รู้ว่าเบ็ดเสร็จมันเท่าไร ไว้บิลมาแล้วจะแจ้ง”
อัปสราอยากร้องไห้แต่ก็ยังฝืนคุยธุระต่อ “มันจะประมาณเท่าไรคะ”
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ไว้จะติดต่อมาบอก”
“...ค่ะ”
“ส่วนเรื่องกาแฟไม่ต้องชงใหม่ สี่ จัดการที่เหลือด้วย”
แล้วชายหนุ่มก็ก้าวผ่านหน้าเธอออกไปจากร้านทันที โดยที่อัปสราได้แต่โค้งหัวให้พร้อมเอ่ยตามหลังว่า “ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ ค่ะ”
“คุณครับ”
เสียงนั้นเรียกให้เธอหันไปมอง และน้ำตามันก็ใกล้จะทะลักเต็มที เธอฝืนทนสุดความสามารถแม้ว่าขอบตาจะแดงก่ำ “ขอโทษนะคะ ขอโทษที่สร้างปัญหาค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอแลกคอนแทกต์กับคุณไว้หน่อยได้ไหม”
ถ้าเป็นลูกค้าคนอื่นป่านนี้เธอโดนด่าจนร้องไห้ไปแล้ว ทั้งทำเสื้อลูกค้าเลอะ กาแฟหกจนเสียของ ไหนยังทำมือถือคนอื่นพังอีก แต่ถึงท่านสส. จะไม่เอาเรื่องก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร
อยากไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำจะแย่อยู่แล้ว
คนที่การเงินไม่เคยจะคล่องมือ โทรศัพท์ยังใช้ได้แค่เครื่องไม่กี่พัน หน้าจอแตกนิดหน่อยก็ต้องทนใช้ไม่ได้เปลี่ยนเครื่องใหม่ ให้คนคนนี้ไปจ่ายค่าซ่อมมือถือเครื่องเป็นหมื่นๆ นั้นอย่างไรมันก็น่าสลดใจมิใช่หรือ แต่จะปัดความรับผิดชอบได้อย่างไรในเมื่อเธอเป็นคนผิด แค่เขาไม่เอาเรื่องก็นับว่าบุญหัวมากแล้ว
ค่ากาแฟที่เสียไปฟรีๆ ค่าซักผ้าที่เลอะคราบเครื่องดื่ม เธอไม่ต้องรับผิดชอบสักบาท
“หลังซ่อมเสร็จผมจะติดต่อมานะครับ”
ดวงหน้างามพยักขึ้นลงอย่างเชื่องช้า “คุณคะ”
“ครับ”
“มันจะประมาณกี่บาทเหรอคะ แค่คร่าวๆ ก็ได้ค่ะ”
“ตรงนี้ผมก็ไม่ชัวร์แต่น่าจะไม่มากเท่าไร ขอตัวนะครับ”
ดูจากการแต่งตัวและฐานะ ‘ไม่มากเท่าไร’ ของเขากับเธอน่าจะไม่เท่ากัน
คล้อยหลังการไปของลูกค้ากลุ่มใหญ่ อัปสราก็จัดการทำความสะอาดร้านจนสะอาดหมดจรด แล้วจึงไปนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่หลังเคาน์เตอร์ ในหัวคิดเพียงราคาที่ตนต้องจ่ายนั้นมันมีเพดานที่เท่าไร แต่จมกับความคิดได้พักหนึ่งประตูก็ถูกเปิดโดยใครบางคน
“เฝ้าร้านคนเดียวเหนื่อยไหมคะน้องเชย”
หล่อนทิ้งสายตาไปยังคนมาใหม่ พยายามปั้นหน้ายิ้มเพื่อกลบเกลื่อนทุกอย่าง “สบายมากค่ะ พี่ใหญ่เสร็จธุระแล้วเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ พี่รีบมาให้ทันก่อนมื้อเที่ยงน้องเชยจะได้กินกับข้าวอร่อยๆ” ไม่ว่าเปล่า เขายังส่งถุงอาหารมาให้อีกด้วย “จัดจานหน่อยค่ะ”
กับคนอื่นเขาพูดครับ มีแค่กับเธอเท่านั้นที่ขยันปากหวาน
อัปสรายื่นมือไปรับอาหารมาถือไว้แล้วเดินเข้าไปหลังร้าน มันจริงที่ชยินไม่เคยอยู่ในสายตาเรื่องของชู้สาว และเขายังกดค่าแรงอีกด้วยแต่ที่ไหนมันก็กดเหมือนกันหมด ทว่าชยินไม่ใช่คนเลวร้ายปานนั้น ยังมีหลายเรื่องที่เขาใจดีกับเธอ คนรอบตัวเธอก็มากที่ใจดี แต่ทำไมชีวิตเธอมันถึงอาภัพไม่เลิก
ได้สังคมดีๆ แต่โชคไม่เคยดีสักครั้ง ชีวิตต้องแลกหรือ
บาริสต้าสาวเดินออกมาพร้อมข้าวทั้งสองจาน ก่อนเลือกที่จะนั่งโต๊ะใกล้ๆ กับเคาน์เตอร์โดยที่ชยินก็ตามมานั่งฝั่งตรงกันข้าม
“น้องเชยน่ะต้องกินเยอะๆ นะคะ ตัวบางเกินไปแล้ว”
“อ้อ หนูไส้แห้งน่ะค่ะ”
“คบกับพี่สิคะ พี่จะเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างดีเลย”
เธอไส้แห้งเพราะทำงานให้เขาไม่ใช่หรือ เงินเดือนแค่หมื่นต้นๆ นั่นหักค่าหอ น้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ต ค่าเดินทาง เธอจะเหลือกินกี่บาทกันเชียว ไหนทุกๆ เดือนยังต้องเหลือเก็บสะสมไว้เป็นค่าผ่าตัดของอิสรีอีก แล้ววันนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแบบไม่น่าให้อภัย
เธอสะดุดเพราะเกร็งเขามากเกินไป ทั้งที่ปกติไม่เคยพลาดขนาดนี้มาก่อน และมันเป็นบทเรียนราคาแพงที่ไม่ได้อยากจะเรียนเลยสักนิด
อัปสราระบายยิ้มให้คำพูดเถรตรงของนายจ้าง “คบอะไรกันคะพี่ใหญ่ หนูตั้งใจจะโสดไปจนตายด้วยซ้ำ”
°*• ❀ •*°
ในที่สุดสายเรียกเข้าจากคนที่เธอไม่อยากให้ติดต่อมาก็มีชื่อโชว์หราอยู่บนหน้าจอ ใช่ว่าอัปสราอยากปัดความรับผิดชอบ ก็แค่อยากต่อเวลาให้ตัวเองอีกสักนิดเพราะตอนนี้เงินเดือนยังไม่ออกและเธอมีเงินสำหรับใช้ระหว่างรอเงินเดือนไม่มากนัก ไม่มากที่แปลว่าแทบไม่เหลือ “สวัสดีค่ะคุณสี่” (สวัสดีครับคุณอบเชย ผมโทร. มาแจ้งเรื่องค่าเสียหายนะครับ) อยากจะเป็นลม เธอสามารถล้มไปกองกับพื้นระหว่างรอเขาพูดได้หรือเปล่า “ค่ะ” ก่อนอ้อมแอ้มถามกลับไปไม่เต็มเสียง “ทั้งหมดเท่าไรคะ” (หมื่นพันครับ แต่คุณเซียงเอาแค่หนึ่งหมื่นถ้วน สะดวกโอนเลยไหมครับ) คนฟังกะพริบตาปริบๆ เธออาจจะกำลังฝันอยู่ว่าต้องโอนเงินหนึ่งหมื่นให้คู่กรณี เงินหมื่นนั่นเพิ่มอีกแค่สองพันก็เทียบเท่าเงินเดือนของเธอแล้ว ทำไมไม่ซ่อมหมื่นสองไปเลยล่ะ เธอจะได้ไม่ต้องกินข้าว “แหะๆ ราคาแรงเหมือนกันนะคะเนี่ย” ปลายสายยังคงกล่าวเสียงเรียบ ไม่มีท่าทีโอนอ่อนให้กันสักนิด (โอนเลยไหมครับ ผมจะได้บอกเลขบัญชี) “เรามาตกลงกันได้ไหมคะ” (...) “หนูจ่ายแน่ๆ ค่ะ คุณก็รู้ว่าหนูไม่หนี ที่ทำงานของหนูพวกคุณก็รู้กันหมด แต่อย่าว่างั้นงี้เลยนะคะคุณสี่ เงินเดือนหนูไม่ได้มากค่ะ ถ้าจ
ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที “สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ” วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้ “ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ” “เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ” “ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ” “ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว” เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย [พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยที่ตั้งใจหาชุดที่สุภาพกว่าวันก่อนยืนรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนมาท้องฟ้าถูกฉาบเป็นสีส้ม ทว่าตอนนี้ฟ้าทั้งผืนเริ่มที่จะถูกสีน้ำเงินเข้าแทรก วสุก็ยังไม่มาพาขึ้นไป เธอผินหน้าไปทางน้องสาว ยกมือขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าหล่อน ปากก็ขยับเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฝึกอ่าน ในอนาคตหลังจากเธอสามารถเก็บเงินเพื่อให้น้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย อิสรีจะได้รู้จักวิธีการพูด “รอนานหน่อยนะ คุณสี่บอกว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะไม่กล้าทิ้งน้องไว้ลำพังที่หอพักจึงเป็นอีกครั้งที่เธอหนีบอิสรีมาด้วย [รอได้ค่ะ] ก่อนเปลี่ยนหัวข้อดื้อๆ [คุณสี่ใจดี เลี้ยงข้าวพวกเรา] วันนั้นอัปสราไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อิสรีคงเห็นว่าวสุจ่ายตัดหน้าไปจึงสามารถเข้าใจได้แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกอะไรก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าหวาน “ถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร ตอนแรกพี่เกร็งเขามาก ตอนนี้ผ่อนคลายมานิดหนึ่งแล้ว” [ใช่ค่ะ ไม่ยิ้มแต่ก็ใจดี ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น] สีหน้าคนอายุน้อยกว่าสลดลงทันที [น่ากลัว] อัปสรายิ้มแหย “เขาก็แค่ดุแต่เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ให้หลังแค่อึดใจเดี
สัตราเลือกจะเอ่ยปากให้อัปสราและน้องสาวรีบกลับเพราะเขาเกร็งหน้าจนปวดแก้ม อยากจะยิ้มใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ยิ้มยังไม่ทันสาแก่ใจก็ตงิดขึ้นมาว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงยังไม่กลับ เมื่อเดินตามมาถึงได้เจอว่าน้องนางรำกำลังทำตัวใจดีเรี่ยราดด้วยการยื่นเทียนหอมให้กับหนึ่งในลูกน้องของตน งามทั้งกายงามทั้งใจ แต่เกินขอบเขตไปหน่อยกระมัง หนุ่มใจดียกยิ้มแห้งๆ ให้สาวสวย “ให้ผมเหรอครับ” “ค่ะ น้องสาวหนูทำเองเลย” “อ้อ” “กลิ่นหอมและผ่อนคลายมากด้วยค่ะ” หญิงสาวยังคงนำเสนอด้วยสีหน้าระรื่น ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งดวงตายังหยีจนเป็นสระอิ แจกจ่ายความน่ารักไม่ได้รู้เลยว่าไอ้แปดหน่อตรงนี้มันกำลังจะชะตาขาด ก่อนเธอจะเอียงคอมอง “หรือไม่สะดวกรับคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” แล้วทำไมแม่เจ้าประคุณต้องทำหน้าสลดจนเขารู้สึกผิดด้วย “สะดวกครับ ขอบคุณมาก” เธอยิ้มกว้างยามที่ฝ่ามือใหญ่ของวสุยื่นมารับของแทนคุณ “หวังว่าจะชอบนะคะ” ถ้าชอบล่ะก็ ครั้งต่อๆ ไปคงต้องอุดหนุนน้องสาวเธออย่างแน่นอน แล้วสองสาวก็เดินตามหลังสดายุออกไปด้านนอก โดยสารไพรเวทลิฟต์มายังลานจอดรถเหมือนครั้งที่แล้ว ก่อนเดินทางไปที่หอพักของสองพี่น้องอย่างไม่รีรอ
บทที่ 4น้องเนื้อหอม... บ่ายคล้อยของวันจันทร์ที่ลูกค้าเริ่มซาจนบาริสต้าได้มีเวลาพัก อัปสราจึงใช้เวลานั้นในการนั่งตกแต่งรูปเพื่อโปรโมทร้าน นั่นล่ะ การพักของเธอ ใน Cha House นั้นเธอทำทุกอย่างจริงๆ ถ่ายคลิปการทำเครื่องดื่มลง TikTok เอย เป็นแอดมินในทุกแพลตฟอร์มเอย ที่จริงควรได้เงินเดือนสักห้าหมื่นด้วยซ้ำถึงจะคุ้ม ส่วนคนกดเงินเดือนนั้นนั่งกระดิกเท้าไถมือถืออยู่ที่โต๊ะเยื้องๆ กับเคาน์เตอร์ “น้องเชยคะ เพื่อนพี่แนะนำร้านโอมากาเสะดีๆ มาร้านหนึ่ง พี่จองแล้วด้วย เย็นนี้เราไปด้วยกันไหม” สาวเจ้าเงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารของทางร้านเพื่อมองยังผู้พูด “คงจะอร่อยน่าดูนะคะ แต่หนูไม่สะดวกค่ะ” “ทำไมล่ะคะ หรือน้องเชยไม่ชอบ แล้วร้านนี้ก็แพงมากๆ เลยนะ พี่น่ะอยากให้เราได้กินของดีๆ” ก็เพิ่มเงินเดือนสิโว้ย เดี๋ยวหาของดีๆ กินเองแหละ ไม่ใช่ต้องมารอขอเศษบุญจากคนอื่นพรรค์นี้ อัปสราลอบกลอกตาให้นายจ้าง ก่อนปั้นยิ้ม “เกรงใจค่ะ” “ขี้เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ อะไรๆ ก็เอาแต่เกรงใจ มันจะใช้ชีวิตไม่สนุกเอานะ” เธอเพียงแค่นยิ้มแล้วดึงสายตากลับมาวางที่งานของตน ในขณะที่ชยินก็ยังพล่ามไม่หยุดว่าร้านที่ว่ามันดีอย่างนั้นดีอ
ลิ้นของอัปสราไม่สามารถรับรสของโอมากาเสะราคาแพงได้ ด้วยเอาแต่พะวงถึงเพียงเจ้าหนี้ที่ได้เจอกันโดยบังเอิญ สายตาที่ว่าดุดันในทุกครั้งที่ใช้มองกัน วันนี้มันรุนแรงกว่าที่ผ่านมาจนหล่อนไม่มีจิตใจจะดื่มด่ำกับบรรยากาศอันน่าอภิรมย์ของร้านอาหารหรู ครั้นถึงเวลากลับอัปสราก็ไม่ได้พูดคุยกับเจ้านายมากนัก แค่นั่งเงียบๆ และแชตกับน้องสาวไปพลาง กระทั่งมาถึงที่หมายจึงผินหน้าไปทางสารถี “ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” “พี่ต้องมาส่งอยู่แล้ว ว่าแต่น้องเชยชอบเดตวันนี้ไหมคะ” คนตัวเล็กทวนคำ “เดต?” “ค่ะ ก็วันนี้พวกเราไปเดตกันนิ พี่ไม่เคยพาสาวคนไหนไปกินโอมากาเสะเลยนะ ไม่เคยชอบใครอย่างน้องเชยด้วย สำหรับพี่แล้วน้องเชยพิเศษที่สุดเลย” เธอตอบด้วยการพูดอีกเรื่อง “วันที่หกมิถุนาฯ หนูลานะคะ และพี่อนุมัติแล้ว หวังว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ก่อนฉีกยิ้มให้ผู้เป็นนาย “เดินทางปลอดภัยนะคะ” อัปสรามาถึงหอพักในเวลามืดค่ำ เธอนัดกับน้องสาวตรงหน้าปากซอยแล้วเดินเข้ามาด้วยกัน ก่อนต่างจะแยกย้ายไปจัดการธุระส่วนตัวของใครของมัน โดยที่คนอายุมากกว่าเสียสละให้น้องได้อาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองก็มานั่งไล่ตอบคอมเมนต์ในทุกๆ แพลตฟอร์ม และตอบข้อความของเหล่าล
เช้าวันอังคารสดายุก็ยังคงเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่สายลับของตน เพียงแต่วันนี้เขาเดินเข้าไปในร้านแทนที่จะซุ่มดูอยู่ในรถ “สวัสดีค่ะคุณยี่” เจ้าของชื่อยกมุมปากทั้งสองข้าง “สวัสดีครับ วันนี้ก็ยังทำงานคนเดียวเหรอครับ” เธอหัวเราะแห้งๆ ประกอบคำพูด “พี่เจ้าของร้านน่าจะมาช่วงสายๆ นู่นเลยค่ะ” “อ้อ” ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงเพื่อรับคำ “งั้นรับเป็นอเมริกาโน่หนึ่งแก้วครับ” “เปลี่ยนเมนูเหรอคะ” “ไม่ใช่ของผมครับ ของนาย อ่าใช่ เป็นอเมริกาโน่น้ำผึ้งมะนาวนะครับ ส่วนของผมขอเหมือนเดิม” อัปสรายกยิ้มบางๆ แล้วหันมาสนใจที่จะชงกาแฟให้ลูกค้า ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยเพื่อชวนคุย “ช่วงนี้งานหนักน่าดูเลยนะคะ” “ครับ ลำพังเตรียมตัวประชุมสภาฯ ก็หนักแล้ว แต่ก่อนประชุมพอดีที่พรรคมีบวงสรวงใหญ่อีก พอประชุมสภาฯ เสร็จประชุมพรรคต่อ ก็ถ้าไม่ได้กาแฟผมคงอยู่ไม่ได้จริงๆ ล่ะงานนี้” สดายุกล่าวติดตลก แต่หัวคิ้วสวยของคนฟังกลับย่นเข้าหากัน “บวงสรวงอะไรเหรอคะ” “ของพรรคน่ะครับ อีกไม่กี่วันนี่เอง” แล้วอัปสราก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ทราบข้อมูลอย่างละเอียดจากปิยอรเลย รู้แค่ว่าเป็นพิธีบวงสรวงที่ได้ค่าตอบแทนสูงและรู้ว่าต้องทำการร่ายรำ
สดายุ โรจนวาณิชย์ อดีตเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประจำตัวของสส. สัตรา เจียรโณทัย โดยเข้าวงการนี้มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ด้วยวสุทำงานอยู่ก่อนแล้ว สดายุจึงเลือกที่จะก้าวตามผู้เป็นพี่และชักชวนเพื่อนสนิทอย่างเขมราฐมาทำงานด้วยกัน ทำให้ได้เจอกับหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนซี้กันเช่นไตรทศและไมยราพ รวมถึงอีกก๊วนหนึ่งที่กอปรไปด้วยลิขิต คมชาญและอนันต์ ทว่าผู้ช่วยคนนั้นปัจจุบันกลับถูกโยกย้ายมาเป็นสายลับ งานของเขามีขอบเขตที่กว้างกว่าใครเพื่อนแต่มันก็หมายถึงงานการเมืองมิใช่หรือ แล้วการมาเฝ้าสาวให้นายมันนับเป็นกิจของผู้ช่วยสส. ตรงไหนกัน เมื่อวานหลังโดนพายุพัดสดายุก็รีบเดินไปที่ห้องข้างๆ อย่างไม่รอช้า คอนโดฯ นี้มีจำนวนสี่สิบห้าชั้น ชั้นละสิบยูนิต และชั้นสี่สิบก็ถูกลูกชายสส. เซียงเหมาไปแล้วแปดยูนิตตามจำนวนคน อยู่ด้วยกันแบบอยู่ใครอยู่มัน สดายุไปที่ห้องของเขมราฐที่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องของเจ้านายมากเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาพวกเขาทั้งแปดคน เพราะเมื่อวานมีเพียงเจ้าตัวที่ไปกับนายต่อหลังคนอื่นได้เลิกงาน ถึงได้รู้ว่า ‘ไอ้หมอนั่น’ คือผู้ชายที่มาทานอาหารกับอัปสรา เพราะสารถีรออยู่ที่รถจึงได้เห็นเวลาใครแวะเวียนมาใช้บร
ลิ้นของอัปสราไม่สามารถรับรสของโอมากาเสะราคาแพงได้ ด้วยเอาแต่พะวงถึงเพียงเจ้าหนี้ที่ได้เจอกันโดยบังเอิญ สายตาที่ว่าดุดันในทุกครั้งที่ใช้มองกัน วันนี้มันรุนแรงกว่าที่ผ่านมาจนหล่อนไม่มีจิตใจจะดื่มด่ำกับบรรยากาศอันน่าอภิรมย์ของร้านอาหารหรู ครั้นถึงเวลากลับอัปสราก็ไม่ได้พูดคุยกับเจ้านายมากนัก แค่นั่งเงียบๆ และแชตกับน้องสาวไปพลาง กระทั่งมาถึงที่หมายจึงผินหน้าไปทางสารถี “ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” “พี่ต้องมาส่งอยู่แล้ว ว่าแต่น้องเชยชอบเดตวันนี้ไหมคะ” คนตัวเล็กทวนคำ “เดต?” “ค่ะ ก็วันนี้พวกเราไปเดตกันนิ พี่ไม่เคยพาสาวคนไหนไปกินโอมากาเสะเลยนะ ไม่เคยชอบใครอย่างน้องเชยด้วย สำหรับพี่แล้วน้องเชยพิเศษที่สุดเลย” เธอตอบด้วยการพูดอีกเรื่อง “วันที่หกมิถุนาฯ หนูลานะคะ และพี่อนุมัติแล้ว หวังว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ก่อนฉีกยิ้มให้ผู้เป็นนาย “เดินทางปลอดภัยนะคะ” อัปสรามาถึงหอพักในเวลามืดค่ำ เธอนัดกับน้องสาวตรงหน้าปากซอยแล้วเดินเข้ามาด้วยกัน ก่อนต่างจะแยกย้ายไปจัดการธุระส่วนตัวของใครของมัน โดยที่คนอายุมากกว่าเสียสละให้น้องได้อาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองก็มานั่งไล่ตอบคอมเมนต์ในทุกๆ แพลตฟอร์ม และตอบข้อความของเหล่าล
บทที่ 4น้องเนื้อหอม... บ่ายคล้อยของวันจันทร์ที่ลูกค้าเริ่มซาจนบาริสต้าได้มีเวลาพัก อัปสราจึงใช้เวลานั้นในการนั่งตกแต่งรูปเพื่อโปรโมทร้าน นั่นล่ะ การพักของเธอ ใน Cha House นั้นเธอทำทุกอย่างจริงๆ ถ่ายคลิปการทำเครื่องดื่มลง TikTok เอย เป็นแอดมินในทุกแพลตฟอร์มเอย ที่จริงควรได้เงินเดือนสักห้าหมื่นด้วยซ้ำถึงจะคุ้ม ส่วนคนกดเงินเดือนนั้นนั่งกระดิกเท้าไถมือถืออยู่ที่โต๊ะเยื้องๆ กับเคาน์เตอร์ “น้องเชยคะ เพื่อนพี่แนะนำร้านโอมากาเสะดีๆ มาร้านหนึ่ง พี่จองแล้วด้วย เย็นนี้เราไปด้วยกันไหม” สาวเจ้าเงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารของทางร้านเพื่อมองยังผู้พูด “คงจะอร่อยน่าดูนะคะ แต่หนูไม่สะดวกค่ะ” “ทำไมล่ะคะ หรือน้องเชยไม่ชอบ แล้วร้านนี้ก็แพงมากๆ เลยนะ พี่น่ะอยากให้เราได้กินของดีๆ” ก็เพิ่มเงินเดือนสิโว้ย เดี๋ยวหาของดีๆ กินเองแหละ ไม่ใช่ต้องมารอขอเศษบุญจากคนอื่นพรรค์นี้ อัปสราลอบกลอกตาให้นายจ้าง ก่อนปั้นยิ้ม “เกรงใจค่ะ” “ขี้เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ อะไรๆ ก็เอาแต่เกรงใจ มันจะใช้ชีวิตไม่สนุกเอานะ” เธอเพียงแค่นยิ้มแล้วดึงสายตากลับมาวางที่งานของตน ในขณะที่ชยินก็ยังพล่ามไม่หยุดว่าร้านที่ว่ามันดีอย่างนั้นดีอ
สัตราเลือกจะเอ่ยปากให้อัปสราและน้องสาวรีบกลับเพราะเขาเกร็งหน้าจนปวดแก้ม อยากจะยิ้มใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ยิ้มยังไม่ทันสาแก่ใจก็ตงิดขึ้นมาว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงยังไม่กลับ เมื่อเดินตามมาถึงได้เจอว่าน้องนางรำกำลังทำตัวใจดีเรี่ยราดด้วยการยื่นเทียนหอมให้กับหนึ่งในลูกน้องของตน งามทั้งกายงามทั้งใจ แต่เกินขอบเขตไปหน่อยกระมัง หนุ่มใจดียกยิ้มแห้งๆ ให้สาวสวย “ให้ผมเหรอครับ” “ค่ะ น้องสาวหนูทำเองเลย” “อ้อ” “กลิ่นหอมและผ่อนคลายมากด้วยค่ะ” หญิงสาวยังคงนำเสนอด้วยสีหน้าระรื่น ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งดวงตายังหยีจนเป็นสระอิ แจกจ่ายความน่ารักไม่ได้รู้เลยว่าไอ้แปดหน่อตรงนี้มันกำลังจะชะตาขาด ก่อนเธอจะเอียงคอมอง “หรือไม่สะดวกรับคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” แล้วทำไมแม่เจ้าประคุณต้องทำหน้าสลดจนเขารู้สึกผิดด้วย “สะดวกครับ ขอบคุณมาก” เธอยิ้มกว้างยามที่ฝ่ามือใหญ่ของวสุยื่นมารับของแทนคุณ “หวังว่าจะชอบนะคะ” ถ้าชอบล่ะก็ ครั้งต่อๆ ไปคงต้องอุดหนุนน้องสาวเธออย่างแน่นอน แล้วสองสาวก็เดินตามหลังสดายุออกไปด้านนอก โดยสารไพรเวทลิฟต์มายังลานจอดรถเหมือนครั้งที่แล้ว ก่อนเดินทางไปที่หอพักของสองพี่น้องอย่างไม่รีรอ
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยที่ตั้งใจหาชุดที่สุภาพกว่าวันก่อนยืนรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนมาท้องฟ้าถูกฉาบเป็นสีส้ม ทว่าตอนนี้ฟ้าทั้งผืนเริ่มที่จะถูกสีน้ำเงินเข้าแทรก วสุก็ยังไม่มาพาขึ้นไป เธอผินหน้าไปทางน้องสาว ยกมือขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าหล่อน ปากก็ขยับเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฝึกอ่าน ในอนาคตหลังจากเธอสามารถเก็บเงินเพื่อให้น้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย อิสรีจะได้รู้จักวิธีการพูด “รอนานหน่อยนะ คุณสี่บอกว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะไม่กล้าทิ้งน้องไว้ลำพังที่หอพักจึงเป็นอีกครั้งที่เธอหนีบอิสรีมาด้วย [รอได้ค่ะ] ก่อนเปลี่ยนหัวข้อดื้อๆ [คุณสี่ใจดี เลี้ยงข้าวพวกเรา] วันนั้นอัปสราไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อิสรีคงเห็นว่าวสุจ่ายตัดหน้าไปจึงสามารถเข้าใจได้แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกอะไรก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าหวาน “ถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร ตอนแรกพี่เกร็งเขามาก ตอนนี้ผ่อนคลายมานิดหนึ่งแล้ว” [ใช่ค่ะ ไม่ยิ้มแต่ก็ใจดี ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น] สีหน้าคนอายุน้อยกว่าสลดลงทันที [น่ากลัว] อัปสรายิ้มแหย “เขาก็แค่ดุแต่เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ให้หลังแค่อึดใจเดี
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที “สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ” วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้ “ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ” “เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ” “ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ” “ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว” เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย [พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่