นางรำคนสุดท้ายนามว่าอัปสรายกมือขึ้นแนบอกหลังได้รับค่าจ้างที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการแสดงของวันนี้
“ขอบคุณพี่ปอยมากนะคะคิดถึงหนูแล้วให้โอกาสได้มาที่นี่”
“ให้โอกาสอะไรกันล่ะ เรานั่นแหละที่ให้โอกาสพี่” ก่อนผู้ก่อตั้งคณะร่ายดาหลาอย่างปิยอรจะถอนหายใจพรืดใหญ่ “ถ้าวันไหนสะดวกอีกก็มาช่วยพี่หน่อยนะ”
“ค่ะ”
แล้วน้องนางรำก็เดินทางกลับห้องพักหลังเปลี่ยนชุดและร่ำลาเพื่อนพี่น้องคนอื่นๆ เสร็จเป็นที่เรียบร้อย
อัปสราไม่ได้เป็นนางรำประจำของคณะ ในยุคสมัยที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ศิลปะหลายแขนงก็ถูกลดบทบาทของตัวเองลง แม้จะมีอยู่แต่ก็ใช่ว่าเฟื่องฟู หากไม่ใช่เพราะใจรักและมีอันจะกินคงไม่สามารถยึดเป็นอาชีพหลักได้ อย่างที่เธอก็มิอาจทำได้
สาวเจ้าเป็นนางรำของทางโรงเรียนตั้งแต่สมัยประถม ด้วยรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่นแม้ไม่ได้ใคร่ที่จะเป็นก็ถูกคุณครูจับไปทำกิจกรรม เมื่อจำเป็นต้องอยู่กับสิ่งนั้นเธอก็ผูกพัน ตั้งแต่เล็กจนโตอัปสราร่ายรำไปนับครั้งไม่ถ้วน
แต่คนที่โดดเด่นในรั้วโรงเรียน พอจบมาทำงานก็เป็นคนจืดจางคนหนึ่งเท่านั้น
จะว่าเช่นนั้นก็คงไม่ถูกนัก อย่างน้อยมันก็ไม่ได้จางจนไร้ตัวตนสำหรับใครบางคนที่เพียรส่งข้อความมาวอแวกันตั้งแต่ช่วงสายอย่างเจ้าของร้านกาแฟหน้าเลือดที่กดค่าแรงของเธอไว้เดือนละหนึ่งหมื่นสองพันบาทถ้วน แต่ให้ทำสารพัดสิ่งทั้งบาริสต้า กราฟิกดีไซน์ แคชเชียร์ รวมถึงทำความสะอาดร้าน ถ้าคนถามว่าทำงานอะไรคงต้องตอบว่าทำตามเจ้านายจะสั่ง เป็นให้เจ้านายทุกอย่างแล้วในค่าจ้างหมื่นสอง
ชาติไหนจะรวยหนอ แต่ก็ดีกว่าจับอาชีพนางรำที่ไม่รู้ว่าแต่ละเดือนจะมีเข้ามากี่งาน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายมีทุกเดือนไม่เคยเว้น
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มหลุบต่ำลงมองหน้าจอโทรศัพท์ในมือบาง ข้อความจากชยินถูกส่งมาหาอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเธอก็ตอบไปตามมารยาทและเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น
Chayin: น้องเชยรำเสร็จหรือยังคะ ให้พี่ใหญ่ไปรับไหม
Cinnamon: หนูกลับเองได้ค่ะ ขอบคุณพี่ใหญ่มากแต่ไม่รบกวนดีกว่า เกรงใจ
Chayin: เกรงใจทำไมคะ ถ้าเป็นเรื่องของน้องเชยพี่ใหญ่คนนี้เต็มใจเสมอค่ะ
ถ้าจะให้ดี เต็มใจที่จะให้เงินเดือนเธอมากกว่านี้ด้วยได้หรือไม่
อัปสราไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เลือกจะปิดมือถือแล้วหย่อนมันลงกระเป๋าสะพายราคาหลักร้อย แต่แล้วระหว่างที่สาวเจ้าเดินทอดน่องอยู่ริมถนนเพื่อไปขึ้นรถโดยสาร หางตาก็เห็นขบวนรถหรูขับผ่านไป เธอมองตามจนรถทั้งสามลับไปจากครรลองสายตา แล้วจึงดึงกลับมาที่เดิม
รถประจำตำแหน่งของเธอหาใช่รถคันเล็กๆ พรรค์นั้นหรอก ต้องรถคันใหญ่ๆ มีคนขับให้นั่งต่างหากถึงจะเหมาะสม ไหนยังมีเพื่อนร่วมทางอีกหลายชีวิตเพื่อคลายเหงา
นั่นล่ะ ชีวิตแม่ดอกหญ้าในป่าปูนนามว่าอัปสรา วิจิตรโชติ
.
.
.
Fairyland Exclusive Club มีทางเข้าทั้งหมดสองทาง หนึ่งเป็นทางเข้าด้านหน้าที่ลูกค้าทั่วไปนิยมใช้ ส่วนทางที่สองค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวสำหรับลูกค้าวีไอพี
สัตราเป็นหนึ่งในลูกค้าที่ใช้ทางเข้าที่สอง
ซึ่งทางนี้จะสามารถขับรถมาจอดที่ทางเข้าอาคารในชั้นใต้ดินได้เลย เมื่อล้อรถหยุดหมุนประตูก็ถูกเปิดออกโดยพนักงานของทางเลาจน์ ขายาวตวัดออกไปยืนบนพื้นก่อนก้าวเข้าไปด้านใน เข้าไปอยู่ในลิฟต์แล้วทะยานสู่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นแหล่งกบดานของเขากับกลุ่มเพื่อน
ประตูห้องสูทสำหรับสี่ท่านถูกเปิดออกพร้อมการปรากฏตัวของนักการเมืองหนุ่ม ภายในกอปรไปด้วยห้องนอนสี่ห้องและห้องโถงสำหรับทำกิจกรรมร่วมกันไม่ว่าจะปาร์ตี้สังสรรค์หรือพูดคุย นัยน์ตาคมตกกระทบที่ร่างของเพื่อนสนิททั้งสามที่มาถึงก่อนหน้านี้ โดยที่ข้างกายก็มีสาวสวยคอยให้บริการ บ้างก็นั่งตัก แล้วแต่ใครจะสะดวก
เขาแค่นหัวเราะขณะมองไปยังธิปกที่ราตรีมาเยือนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็เริ่มจะนัวหญิงอย่างกับพวกของขาด
แกล้งเปรยขึ้นกับลมฟ้าอากาศ “ห้องอยู่ใกล้แค่เอื้อม มีอารยะธรรมหน่อยก็ดีมั้งคุณชายทิศ”
“โผล่หัวมาได้สักที” รชตเป็นฝ่ายเอ่ยทัก ก่อนหันไปทางคนที่ถูกค่อนขอด “มันรอมึงจนเข้าห้องไปแล้วรอบหนึ่ง”
“ก็ไม่ได้ช้าขนาดนั้น มันรีบเอง”
มุมปากของณเรศแง้มขึ้นเล็กน้อย “คนอย่างมึงมันไม่มีความผิดจริงๆ”
สัตราไหวไหล่แล้วเดินไปนั่งลงยังที่ประจำ น้องหมาน้องแมวที่กลายพันธุ์เป็นน้องโคนมก็รีบเข้ามาบริการชงเหล้าเพื่อเอาอกเอาใจ แต่เขารู้ เขาแค่มาผ่อนคลาย พวกเธอก็แค่ทำงาน ณ ที่แห่งนี้มีได้ทุกอย่างยกเว้นความรู้สึกดีๆ ที่ไม่ควรเกิดขึ้น และเขาไม่เคยมีสิ่งนั้นกับพวกหล่อน
“พรุ่งนี้มีบิน คงรีบกลับ”
ธิปกที่ถูกกระทบกระเทียบรีบเอ่ยบอกหลังดึงหน้าออกมาจากนมวัวได้สำเร็จ แล้วจึงยกแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันขึ้นมากระดกเข้าปากรวดเดียว
ท่านสส. เพียงแต่รับฟัง ไม่ได้โต้ตอบอะไร พร้อมกันนั้นมือเรียวของแม่วัวสาวก็เริ่มเลื้อยมาที่ต้นแขนแกร่ง “คุณเซียงล่ะคะ รีบกลับหรือเปล่า”
“คงไม่”
“ก็อยู่สนุกกับเจด้าได้น่ะสิคะ”
มุมปากหยักยกขึ้นคล้ายยิ้ม ก่อนจะมีเสียงของหนึ่งในเพื่อนสนิทดังขึ้น “จำได้ว่าสส. เขตพรรคมึงสอบตกเยอะกว่าที่คาดการณ์ไว้...ใช่ไหม”
เป็นณเรศที่เอ่ยขึ้น นักการเมืองจึงพยักหน้ารับ
ช่วงหาเสียงทางพรรคถูกโจมตีสารพัดอย่างจนเป็นเหตุให้คะแนนความนิยมถดถอยลงไปจนน่าใจหาย แม้จะชนะการเลือกตั้งในสมัยนี้ สมัยหน้าก็ใช่ว่าหนทางจะราบรื่น พื้นที่ที่เคยเป็นฐานเสียงของพรรคมานับสิบยี่สิบปีก็ถูกตีแตก หากไม่มีผลงานมากู้หน้าเห็นทีความฝันที่จะได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในสมัยต่อไปของเขาอาจจะเป็นจริงไม่ได้
สัตราคว้าแก้วเหล้ามากระดก สำทับไปตามใจคิด “ไทยเจริญกำลังเติบโต พื้นที่ที่เป็นไทยเคยครองอยู่ก็ถูกคนของมันสอยร่วงไปซะเยอะ” แก้วเหล้าถูกโคลงเล็กน้อย “สงสัยว่าบารมีกูจะไม่ถึงเก้าอี้รมต.”
“ไม่อยากปลอบใจ แต่ก็น่าห่วง”
“รู้ เร่งสร้างผลงานอยู่เหมือนกัน”
“สมัยหน้าถ้าพรรคมึงไม่ชนะ หวานปากไอ้พงศ์พัฒน์น่าดู” ณเรศหมายถึงหัวหน้าพรรคไทยเจริญ ซึ่งเป็นพรรคที่ค่อยๆ กลืนกินหัวเมืองได้อย่างแนบเนียน จากพรรคขนาดเล็กกลายเป็นพรรคขนาดกลาง ที่สมัยหน้าคงจะทะยานมาเป็นพรรคขนาดใหญ่ ส่วนพรรคขนาดใหญ่อย่างเป็นไทยที่เพื่อนสนิทเขาสังกัดอยู่นั้น น่ากังวลว่าสมัยหน้าจะทยอยสูญพันธุ์เพราะโดนโจมตีทุกวี่วัน “คนที่อยู่ในสนามนี้มานานก็น่าจะมีบ้างที่อ่านเกมออก”
“ไม่ได้ยาก”
“นั่นสินะ ผู้ใหญ่บางคนในพรรคมึงถึงได้แอบไปเจอไอ้พงศ์พัฒน์ถึงเขาใหญ่”
คนฟังนิ่งไปชั่วอึดใจ พยายามคิดทบทวนถึงสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพรรค “พ้นประชุมสภาจะมีประชุมใหญ่ที่พรรค แว่วๆ มาว่าอาภูมิแกจะรีแบรนด์ บอร์ดบริหารน่าจะเปลี่ยนมือทั้งชุดเพราะอาเขาอยากได้คนรุ่นใหม่มาสู้กับไทยเจริญ”
มือบางของสาวสวยข้างตัวยังคงทำหน้าที่ลูบไล้ไปทั่วกายแกร่ง เพียงแต่ชายหนุ่มไม่มีใจจะใฝ่ฝันถึงเรื่องใต้สะดือ ทั้งที่ปกติแล้วก็ยอมรับว่าสำส่อนตัวพ่อ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ปรามอะไร ปล่อยให้เธอทำตามใจปรารถนา
สส. กล่าวต่อ “พวกอาวุโสคงจะไม่พอใจ ที่จริงพวกนั้นไม่พอใจตั้งแต่ลำดับปาร์ตี้ลิสต์กูขึ้นมาเด่นเกินหน้าเกินตาแล้ว แต่อาๆ บางคนก็ดี ที่ไม่ดีก็มาก และถ้าให้กูเดาว่าคนที่ไปหาพงศ์พัฒน์คือใครก็น่าจะอาจักร”
“ทำไมรู้”
เสียงถอนลมหายใจดังมาเฮือกใหญ่ เรียกสายตาทุกคู่ให้หันไปมองที่รชตเป็นตาเดียว “เชิญคุณเซียงกับคุณไนคุยสาระกันให้เต็มที่นะครับ กูรึก็อุตส่าห์ชวนมาผ่อนคลาย สาวๆ อยู่ตรงหน้ามึงจะยังสนใจงานกันอยู่นั่น”
“อะไรมึงแชมป์ ไม่อยากฟังก็เข้าห้องไป”
“ครับพ่อเซียง งั้นกูปลีกวิเวกไปขึ้นสวรรค์กับน้องโคนมคนสวยก่อนแล้วกัน”
ว่าจบรชตก็พาเด็กของตนเดินแยกเข้าไปในห้องนอน ก่อนธิปกจะเอ่ยขึ้นบ้าง “กูกลับละ เดี๋ยวตื่นไม่ไหวคุณนายแม่กินหัวอีก” เพราะต้องบินไปคุมงานการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่มาเลเซีย เขาจึงไม่อยากเสียงานเสียการไปกับการร่ำสุราและนารี แล้วยกเด็กของตนให้ไปดูแลเพื่อนอีกสองหน่อที่นั่งคุยเป็นจริงเป็นจัง
คล้อยหลังการไปของธิปก บทสนทนาระหว่างสัตรากับหนุ่มไอทีอย่างณเรศก็ดำเนินต่อ
“ก็ลูกชายอาจักรแกสอบตก แต่ก่อนหน้าจะลงเลือกตั้งอาเขาขอให้มันมาเป็นปาร์ตี้ลิสต์ แต่ทางพรรคก็ไม่ยอม จะให้มันลงเขตให้ได้ พอแพ้ก็คงจะผูกใจเจ็บ นี่มีข่าวจะรีแบรนด์อีกก็คงคิดจะย้ายไปซบพรรคอื่นที่ดูทรงแล้วน่าจะเติบโตได้ดีกว่าแหละมั้ง”
“ถ้าจะย้ายจริงก็ต้องคุยกันแต่เนิ่นนี่แหละ สมัยหน้าถ้าพรรคมึงยังได้จัดตั้งรัฐบาล เขาก็อยู่ต่อ ถ้าพรรคมึงแพ้เขาก็มีที่ไป ก็ระวังอย่าให้ข้อมูลพรรคมึงหลุดไปถึงหูฝั่งนั้นได้ แม่งเป็นฝ่ายค้านด้วย”
“อืม ขอบใจมากเรื่องข่าว ไว้กูจะคุยกับอาภูมิ”
หัวคิ้วของสัตราขมวดเข้าหากันแม้ว่าจะมีสาวสวยช่วยโลมเล้าข้างกายถึงสองคน แต่สมองของนักการเมืองกลับคิดถึงเพียงเรื่องที่เพิ่งได้รับทราบจากเพื่อนสนิท เขาหรือก็ระแคะระคายมาพักใหญ่เพราะหมู่นี้จักรวาลมีท่าทีแปลกตาไปหลายอย่าง ผิดใจกับคนในพรรคก็บ่อย คงเพราะเรื่องนี้กระมัง
“แล้ววันนี้ไปไหนมา”
เขาดึงสายตาไปมองผู้พูด “ศูนย์สิริกิติ์ฯ”
คนฟังพยักหน้ารับ “เห็นรูปผ่านๆ เลยถาม”
ท่านสส. ครางรับในลำคอ “อืม” ก่อนเอ่ย “เปิดงานเซรามิกที่เคยบอก ว่างๆ ไปเดินได้ อุดหนุนผู้ประกอบการในประเทศสักหน่อย แต่คุ้มราคาเพราะสวยจริง”
ทว่าเขากลับสะดุดอะไรบางอย่างยามเอ่ยถึงคำว่า ‘สวย’ เพราะนอกจากสินค้าหลากหลายแบรนด์ที่ผุดขึ้นในหัว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งใจจะนึกถึงผุดขึ้นมาด้วย
“แล้ววันนี้ไปไหนมา” เขาดึงสายตาไปมองผู้พูด “ศูนย์สิริกิติ์ฯ” คนฟังพยักหน้ารับ “เห็นรูปผ่านๆ เลยถาม” ท่านสส. ครางรับในลำคอ “อืม” ก่อนเอ่ย “เปิดงานเซรามิกที่เคยบอก ว่างๆ ไปเดินได้ อุดหนุนผู้ประกอบการในประเทศสักหน่อย แต่คุ้มราคาเพราะสวยจริง” ทว่าเขากลับสะดุดอะไรบางอย่างยามเอ่ยถึงคำว่า ‘สวย’ เพราะนอกจากสินค้าหลากหลายแบรนด์ที่ผุดขึ้นในหัว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งใจจะนึกถึงผุดขึ้นมาด้วย “โอเค เดี๋ยวค่อยพาคุณนายไปเดิน” สิ้นประโยคพ่อหนุ่มไอทีก็ยันกายลุกขึ้นยืนพร้อมโอบเอวบอบบางของสาวสวยข้างกายให้ลุกตามตน “รีแลกซ์ครับคุณสส. ส่วนผมขอไปก่อนแล้วกัน” เขาแค่ยกยิ้มให้เพื่อนสนิท พยักพเยิดใบหน้าเป็นการสื่อสารจนคนทั้งสองหายเข้าไปในห้องนอน ทว่าเขาก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้คิดจะย้ายกายไปไหน ปล่อยให้หัวสมองคิดไปเรื่อยเปื่อย เอนตัวพิงหลังอย่างผ่อนคลาย แก้วเหล้าในมือถูกโคลงเบาๆ ตามอารมณ์ “คุณเซียงขา อยากเข้าห้องหรือยังคะ เจด้าคิดถึงคุณมากเลย” “ให้โอลีฟเข้าด้วยคนได้ไหมคะ” ปกติแล้วเธอเป็นเด็กของธิปก แต่ในบรรดาหนุ่มๆ ทั้งสี่นั้นต้องยอมรับว่าคุณสส. เซียงน่าเซี๊ยะที่สุด ถึงได้อิจฉาคนวาสนาดีอย่างน
“น้องนางรำ” คุณผู้ช่วยนิ่งงัน คิ้วเข้มถูกเลิกขึ้นสูง ครู่หนึ่งเลยกว่าสดายุจะเค้นเสียงออกมาจากลำคอได้ “...ครับ?” “คนที่สวยๆ” คนอายุน้อยกว่าจนคำพูด เขาค่อนข้างคิดไม่ถึงว่า ‘ธุระด่วน’ ที่เจ้านายอุตส่าห์รบกวนเวลาพักผ่อนจะเป็นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเกมการเมือง ท้ายที่สุดเขาก็ตอบออกไปจนได้ “แต่น้องนางรำวันนี้สวยทุกคนนะครับ” ที่จริงแล้วเขาก็ได้เห็นนาทีที่รถอ้อยของท่านสส. คว่ำใส่สาวงามดุจนางฟ้านางสวรรค์รายนั้น ตอนที่แผนกสร้างภาพส่งรูปมาในกลุ่มยังคิดอยู่เลยว่าไม่น่าจะสนใจอะไรนัก คงเห็นคนสวยแล้วมือไม้มันไปเองตามฉบับเสือผู้หญิง เขาทำงานกับสัตรามาหลายปีไม่เคยเห็นเจ้านายคิดอยากลงหลักปักฐานกับใคร แม้แต่ลูกคุณหนูอย่างคุณคล้ายจันทร์ บุคคลผู้ที่คุณหญิงพิมพิมานวาดหวังให้มาเป็นสะใภ้คนโตของบ้านเจียรโณทัย ถึงกระนั้นท่านสส. ก็เที่ยวเลาจน์อยู่บ่อยครั้ง หากถูกใจก็หยุดไว้แค่ความสัมพันธ์ทางกาย ไม่เคยมีใครได้สานต่อไปเป็นคนรักของชายหนุ่ม น้องนางรำคนนี้ก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น “คนที่สวยที่สุดมีแค่คนเดียว” “...” “...” สองสายตาคมเข้มจ้องมองกันเงียบๆ สดายุรู้ว่าตนถูกหยั่งเชิง และเขาทราบอยู่แล้วว่านางรำคนท
บทที่ 2เยือนถิ่นเจ้าพ่อ... อัปสรา...อัปสราสมชื่อ นัยน์ตาคู่คมแลดูดุดันบัดนี้ผ่อนคลายหลายเท่าตัว ใบหน้าเจือไปด้วยความสบายอารมณ์ทั้งสี่ส่วนยามจดจ้องไปยังหน้าจอขนาดสิบสามนิ้วของเครื่องมือสื่อสารในมือ ที่บรรจุไปด้วยตัวอักษรเพื่อร้อยเรียงเรื่องราวของสาวสวยรายนั้น เจ้าหล่อนชื่อเล่นว่าอบเชย ซึ่งมันค่อนข้างน่ารักในความคิดของเขา ชื่อจริงอัปสรา ก็แลดูจะเหมาะสมกับความสวยหยาดฟ้ามาดินของเธอ เดิมทีเขาคิดว่าอัปสราเป็นนางรำ แท้จริงแล้วเธอไม่ได้ยึดอาชีพนี้เป็นหลักแต่ทำงานประจำที่ร้านกาแฟ อาศัยอยู่กับน้องสาวที่เป็นผู้พิการทางการได้ยินแค่สองคน พื้นเพเป็นคนพิษณุโลกที่ย้ายมาอยู่เมืองกรุงตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัย กำพร้าพ่อแม่ และรับงานรำเป็นชั่วครั้งชั่วคราวหากตารางงานว่างเพราะเร่งเก็บเงินรักษาอาการป่วยของน้องที่มีค่าใช้จ่ายสูง เช่นนั้นแล้วในวันนั้นเขาถึงได้เห็นเธอรับงานนอกอย่างการร่ายรำ ส่วนข้อมูล ‘อื่นๆ’ ไม่มี หายไปทั้งวันได้มาแค่นี้เองน่ะรึ หรือว่าจะถึงเวลาที่เขาต้องเขี่ยสดายุทิ้ง ตั้งแต่บอกว่านางรำคนอื่นสวยกว่าอัปสราแล้ว ใช้ตาตุ่มมองกระมัง มือถือถูกคว้าโดยเจ้าของ รอสายครู่เดียวเสียงของลูกน
“ของฉัน” เจ้าหล่อนหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับเจ้าของเสียงดุดันนั้น “ค่ะ นี่นะคะ” แล้วจึงวางจานขนมไว้ตรงหน้านักการเมืองหนุ่ม ก่อนค้อมศีรษะให้แล้วค่อยเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ ใช้เวลาพักหนึ่งกว่าเครื่องดื่มทั้งเก้าจะถูกเสิร์ฟ โดยที่อัปสราต้องแบ่งเป็นการเดินถึงสามรอบ รอบแรกกับรอบที่สองผ่านไปอย่างง่ายดาย แต่รอบที่สามมีของท่านสส. อย่างแน่นอนเพราะก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เสิร์ฟแก้วของเขาเลย เธอไม่ได้มีปัญหาเป็นการส่วนตัวอะไรกับคนใหญ่คนโตพรรค์นั้น แค่รู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ถูกมอง ตอนที่เห็นผ่านตาในหน้าสื่อเขาก็ดูยิ้มแย้ม ไยทุกครั้งที่เธอได้พบเจอถึงไม่เหมือนที่คิดไว้เลย อย่างไรก็ตาม อัปสรายังคงปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยการยกถาดเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ เธอก้าวเดินอย่างระมัดระวัง ก้มหน้าลงประมาณหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาคู่คม ยิ่งระยะห่างถูกลดลงเรื่อยๆ ก็คล้ายว่ามวลอากาศในร้านมันกดต่ำจนอัปสราไม่สามารถหายใจได้ทั่วท้อง แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อเธอสะดุดปลายเท้าตัวเองจนคะมำไปข้างหน้า เครื่องดื่มในถาดเทกระจาดราดลงบนโต๊ะไม่เหลือดีสักแก้ว ในขณะที่ตัวของหญิงสาวค้างเติ่งกลางอากาศเมื่อมีแขนแข็งแรงตวัดพาดรั้ง
ในที่สุดสายเรียกเข้าจากคนที่เธอไม่อยากให้ติดต่อมาก็มีชื่อโชว์หราอยู่บนหน้าจอ ใช่ว่าอัปสราอยากปัดความรับผิดชอบ ก็แค่อยากต่อเวลาให้ตัวเองอีกสักนิดเพราะตอนนี้เงินเดือนยังไม่ออกและเธอมีเงินสำหรับใช้ระหว่างรอเงินเดือนไม่มากนัก ไม่มากที่แปลว่าแทบไม่เหลือ “สวัสดีค่ะคุณสี่” (สวัสดีครับคุณอบเชย ผมโทร. มาแจ้งเรื่องค่าเสียหายนะครับ) อยากจะเป็นลม เธอสามารถล้มไปกองกับพื้นระหว่างรอเขาพูดได้หรือเปล่า “ค่ะ” ก่อนอ้อมแอ้มถามกลับไปไม่เต็มเสียง “ทั้งหมดเท่าไรคะ” (หมื่นพันครับ แต่คุณเซียงเอาแค่หนึ่งหมื่นถ้วน สะดวกโอนเลยไหมครับ) คนฟังกะพริบตาปริบๆ เธออาจจะกำลังฝันอยู่ว่าต้องโอนเงินหนึ่งหมื่นให้คู่กรณี เงินหมื่นนั่นเพิ่มอีกแค่สองพันก็เทียบเท่าเงินเดือนของเธอแล้ว ทำไมไม่ซ่อมหมื่นสองไปเลยล่ะ เธอจะได้ไม่ต้องกินข้าว “แหะๆ ราคาแรงเหมือนกันนะคะเนี่ย” ปลายสายยังคงกล่าวเสียงเรียบ ไม่มีท่าทีโอนอ่อนให้กันสักนิด (โอนเลยไหมครับ ผมจะได้บอกเลขบัญชี) “เรามาตกลงกันได้ไหมคะ” (...) “หนูจ่ายแน่ๆ ค่ะ คุณก็รู้ว่าหนูไม่หนี ที่ทำงานของหนูพวกคุณก็รู้กันหมด แต่อย่าว่างั้นงี้เลยนะคะคุณสี่ เงินเดือนหนูไม่ได้มากค่ะ ถ้าจ
ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที “สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ” วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้ “ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ” “เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ” “ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ” “ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว” เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย [พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
เช้าวันอังคารสดายุก็ยังคงเดินทางมาปฏิบัติหน้าที่สายลับของตน เพียงแต่วันนี้เขาเดินเข้าไปในร้านแทนที่จะซุ่มดูอยู่ในรถ “สวัสดีค่ะคุณยี่” เจ้าของชื่อยกมุมปากทั้งสองข้าง “สวัสดีครับ วันนี้ก็ยังทำงานคนเดียวเหรอครับ” เธอหัวเราะแห้งๆ ประกอบคำพูด “พี่เจ้าของร้านน่าจะมาช่วงสายๆ นู่นเลยค่ะ” “อ้อ” ใบหน้าคมคายพยักขึ้นลงเพื่อรับคำ “งั้นรับเป็นอเมริกาโน่หนึ่งแก้วครับ” “เปลี่ยนเมนูเหรอคะ” “ไม่ใช่ของผมครับ ของนาย อ่าใช่ เป็นอเมริกาโน่น้ำผึ้งมะนาวนะครับ ส่วนของผมขอเหมือนเดิม” อัปสรายกยิ้มบางๆ แล้วหันมาสนใจที่จะชงกาแฟให้ลูกค้า ริมฝีปากบางเผยอออกเล็กน้อยเพื่อชวนคุย “ช่วงนี้งานหนักน่าดูเลยนะคะ” “ครับ ลำพังเตรียมตัวประชุมสภาฯ ก็หนักแล้ว แต่ก่อนประชุมพอดีที่พรรคมีบวงสรวงใหญ่อีก พอประชุมสภาฯ เสร็จประชุมพรรคต่อ ก็ถ้าไม่ได้กาแฟผมคงอยู่ไม่ได้จริงๆ ล่ะงานนี้” สดายุกล่าวติดตลก แต่หัวคิ้วสวยของคนฟังกลับย่นเข้าหากัน “บวงสรวงอะไรเหรอคะ” “ของพรรคน่ะครับ อีกไม่กี่วันนี่เอง” แล้วอัปสราก็นึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ทราบข้อมูลอย่างละเอียดจากปิยอรเลย รู้แค่ว่าเป็นพิธีบวงสรวงที่ได้ค่าตอบแทนสูงและรู้ว่าต้องทำการร่ายรำ
สดายุ โรจนวาณิชย์ อดีตเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประจำตัวของสส. สัตรา เจียรโณทัย โดยเข้าวงการนี้มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ๆ ด้วยวสุทำงานอยู่ก่อนแล้ว สดายุจึงเลือกที่จะก้าวตามผู้เป็นพี่และชักชวนเพื่อนสนิทอย่างเขมราฐมาทำงานด้วยกัน ทำให้ได้เจอกับหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นเพื่อนซี้กันเช่นไตรทศและไมยราพ รวมถึงอีกก๊วนหนึ่งที่กอปรไปด้วยลิขิต คมชาญและอนันต์ ทว่าผู้ช่วยคนนั้นปัจจุบันกลับถูกโยกย้ายมาเป็นสายลับ งานของเขามีขอบเขตที่กว้างกว่าใครเพื่อนแต่มันก็หมายถึงงานการเมืองมิใช่หรือ แล้วการมาเฝ้าสาวให้นายมันนับเป็นกิจของผู้ช่วยสส. ตรงไหนกัน เมื่อวานหลังโดนพายุพัดสดายุก็รีบเดินไปที่ห้องข้างๆ อย่างไม่รอช้า คอนโดฯ นี้มีจำนวนสี่สิบห้าชั้น ชั้นละสิบยูนิต และชั้นสี่สิบก็ถูกลูกชายสส. เซียงเหมาไปแล้วแปดยูนิตตามจำนวนคน อยู่ด้วยกันแบบอยู่ใครอยู่มัน สดายุไปที่ห้องของเขมราฐที่น่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องของเจ้านายมากเป็นอันดับต้นๆ ในบรรดาพวกเขาทั้งแปดคน เพราะเมื่อวานมีเพียงเจ้าตัวที่ไปกับนายต่อหลังคนอื่นได้เลิกงาน ถึงได้รู้ว่า ‘ไอ้หมอนั่น’ คือผู้ชายที่มาทานอาหารกับอัปสรา เพราะสารถีรออยู่ที่รถจึงได้เห็นเวลาใครแวะเวียนมาใช้บร
ลิ้นของอัปสราไม่สามารถรับรสของโอมากาเสะราคาแพงได้ ด้วยเอาแต่พะวงถึงเพียงเจ้าหนี้ที่ได้เจอกันโดยบังเอิญ สายตาที่ว่าดุดันในทุกครั้งที่ใช้มองกัน วันนี้มันรุนแรงกว่าที่ผ่านมาจนหล่อนไม่มีจิตใจจะดื่มด่ำกับบรรยากาศอันน่าอภิรมย์ของร้านอาหารหรู ครั้นถึงเวลากลับอัปสราก็ไม่ได้พูดคุยกับเจ้านายมากนัก แค่นั่งเงียบๆ และแชตกับน้องสาวไปพลาง กระทั่งมาถึงที่หมายจึงผินหน้าไปทางสารถี “ขอบคุณที่มาส่งค่ะ” “พี่ต้องมาส่งอยู่แล้ว ว่าแต่น้องเชยชอบเดตวันนี้ไหมคะ” คนตัวเล็กทวนคำ “เดต?” “ค่ะ ก็วันนี้พวกเราไปเดตกันนิ พี่ไม่เคยพาสาวคนไหนไปกินโอมากาเสะเลยนะ ไม่เคยชอบใครอย่างน้องเชยด้วย สำหรับพี่แล้วน้องเชยพิเศษที่สุดเลย” เธอตอบด้วยการพูดอีกเรื่อง “วันที่หกมิถุนาฯ หนูลานะคะ และพี่อนุมัติแล้ว หวังว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” ก่อนฉีกยิ้มให้ผู้เป็นนาย “เดินทางปลอดภัยนะคะ” อัปสรามาถึงหอพักในเวลามืดค่ำ เธอนัดกับน้องสาวตรงหน้าปากซอยแล้วเดินเข้ามาด้วยกัน ก่อนต่างจะแยกย้ายไปจัดการธุระส่วนตัวของใครของมัน โดยที่คนอายุมากกว่าเสียสละให้น้องได้อาบน้ำก่อน ส่วนตัวเองก็มานั่งไล่ตอบคอมเมนต์ในทุกๆ แพลตฟอร์ม และตอบข้อความของเหล่าล
บทที่ 4น้องเนื้อหอม... บ่ายคล้อยของวันจันทร์ที่ลูกค้าเริ่มซาจนบาริสต้าได้มีเวลาพัก อัปสราจึงใช้เวลานั้นในการนั่งตกแต่งรูปเพื่อโปรโมทร้าน นั่นล่ะ การพักของเธอ ใน Cha House นั้นเธอทำทุกอย่างจริงๆ ถ่ายคลิปการทำเครื่องดื่มลง TikTok เอย เป็นแอดมินในทุกแพลตฟอร์มเอย ที่จริงควรได้เงินเดือนสักห้าหมื่นด้วยซ้ำถึงจะคุ้ม ส่วนคนกดเงินเดือนนั้นนั่งกระดิกเท้าไถมือถืออยู่ที่โต๊ะเยื้องๆ กับเคาน์เตอร์ “น้องเชยคะ เพื่อนพี่แนะนำร้านโอมากาเสะดีๆ มาร้านหนึ่ง พี่จองแล้วด้วย เย็นนี้เราไปด้วยกันไหม” สาวเจ้าเงยหน้าจากเครื่องมือสื่อสารของทางร้านเพื่อมองยังผู้พูด “คงจะอร่อยน่าดูนะคะ แต่หนูไม่สะดวกค่ะ” “ทำไมล่ะคะ หรือน้องเชยไม่ชอบ แล้วร้านนี้ก็แพงมากๆ เลยนะ พี่น่ะอยากให้เราได้กินของดีๆ” ก็เพิ่มเงินเดือนสิโว้ย เดี๋ยวหาของดีๆ กินเองแหละ ไม่ใช่ต้องมารอขอเศษบุญจากคนอื่นพรรค์นี้ อัปสราลอบกลอกตาให้นายจ้าง ก่อนปั้นยิ้ม “เกรงใจค่ะ” “ขี้เกรงใจเกินไปแล้วค่ะ อะไรๆ ก็เอาแต่เกรงใจ มันจะใช้ชีวิตไม่สนุกเอานะ” เธอเพียงแค่นยิ้มแล้วดึงสายตากลับมาวางที่งานของตน ในขณะที่ชยินก็ยังพล่ามไม่หยุดว่าร้านที่ว่ามันดีอย่างนั้นดีอ
สัตราเลือกจะเอ่ยปากให้อัปสราและน้องสาวรีบกลับเพราะเขาเกร็งหน้าจนปวดแก้ม อยากจะยิ้มใจจะขาดแต่ก็ทำไม่ได้ แต่ยิ้มยังไม่ทันสาแก่ใจก็ตงิดขึ้นมาว่าเหตุใดเจ้าหล่อนจึงยังไม่กลับ เมื่อเดินตามมาถึงได้เจอว่าน้องนางรำกำลังทำตัวใจดีเรี่ยราดด้วยการยื่นเทียนหอมให้กับหนึ่งในลูกน้องของตน งามทั้งกายงามทั้งใจ แต่เกินขอบเขตไปหน่อยกระมัง หนุ่มใจดียกยิ้มแห้งๆ ให้สาวสวย “ให้ผมเหรอครับ” “ค่ะ น้องสาวหนูทำเองเลย” “อ้อ” “กลิ่นหอมและผ่อนคลายมากด้วยค่ะ” หญิงสาวยังคงนำเสนอด้วยสีหน้าระรื่น ฉีกยิ้มจนเห็นลักยิ้มทั้งดวงตายังหยีจนเป็นสระอิ แจกจ่ายความน่ารักไม่ได้รู้เลยว่าไอ้แปดหน่อตรงนี้มันกำลังจะชะตาขาด ก่อนเธอจะเอียงคอมอง “หรือไม่สะดวกรับคะ ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไรก็ได้ค่ะ” แล้วทำไมแม่เจ้าประคุณต้องทำหน้าสลดจนเขารู้สึกผิดด้วย “สะดวกครับ ขอบคุณมาก” เธอยิ้มกว้างยามที่ฝ่ามือใหญ่ของวสุยื่นมารับของแทนคุณ “หวังว่าจะชอบนะคะ” ถ้าชอบล่ะก็ ครั้งต่อๆ ไปคงต้องอุดหนุนน้องสาวเธออย่างแน่นอน แล้วสองสาวก็เดินตามหลังสดายุออกไปด้านนอก โดยสารไพรเวทลิฟต์มายังลานจอดรถเหมือนครั้งที่แล้ว ก่อนเดินทางไปที่หอพักของสองพี่น้องอย่างไม่รีรอ
หญิงสาวในชุดเรียบร้อยที่ตั้งใจหาชุดที่สุภาพกว่าวันก่อนยืนรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ตอนมาท้องฟ้าถูกฉาบเป็นสีส้ม ทว่าตอนนี้ฟ้าทั้งผืนเริ่มที่จะถูกสีน้ำเงินเข้าแทรก วสุก็ยังไม่มาพาขึ้นไป เธอผินหน้าไปทางน้องสาว ยกมือขึ้นมาเพื่อสื่อสารกับเจ้าหล่อน ปากก็ขยับเป็นคำพูดให้อีกฝ่ายฝึกอ่าน ในอนาคตหลังจากเธอสามารถเก็บเงินเพื่อให้น้องเข้ารับการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อย อิสรีจะได้รู้จักวิธีการพูด “รอนานหน่อยนะ คุณสี่บอกว่าตอนนี้พวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่” เพราะไม่กล้าทิ้งน้องไว้ลำพังที่หอพักจึงเป็นอีกครั้งที่เธอหนีบอิสรีมาด้วย [รอได้ค่ะ] ก่อนเปลี่ยนหัวข้อดื้อๆ [คุณสี่ใจดี เลี้ยงข้าวพวกเรา] วันนั้นอัปสราไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น แต่อิสรีคงเห็นว่าวสุจ่ายตัดหน้าไปจึงสามารถเข้าใจได้แม้ว่าเธอจะไม่ได้บอกอะไรก็ตาม รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนกรอบหน้าหวาน “ถึงจะไม่ค่อยยิ้มแต่ก็ไม่ได้ใจร้ายอะไร ตอนแรกพี่เกร็งเขามาก ตอนนี้ผ่อนคลายมานิดหนึ่งแล้ว” [ใช่ค่ะ ไม่ยิ้มแต่ก็ใจดี ไม่เหมือนผู้ชายคนนั้น] สีหน้าคนอายุน้อยกว่าสลดลงทันที [น่ากลัว] อัปสรายิ้มแหย “เขาก็แค่ดุแต่เขาไม่ทำอะไรเราหรอก ไม่ต้องกลัวนะ” ให้หลังแค่อึดใจเดี
เย็นวันที่ยี่สิบห้าของเดือนพฤษภาคม สัตราถูก ‘ผู้ใหญ่’ เรียกตัวเข้าพบอย่างเร่งด่วน และเป็นบุคคลที่ยากจะปฏิเสธได้ สุดท้ายนักการเมืองหนุ่มก็ต้องระเห็จจากเพนต์เฮาส์มาซบบ้านเจียรโณทัย ที่บัดนี้มีสมาชิกครบทุกคนตั้งแต่ประมุขของบ้านอย่างท่านพิศาลและคุณหญิงพิมพิมาน คนหลังคือผู้ใหญ่ที่เรียกพบเขา ไหนยังมียูทูบเบอร์สายเที่ยวอย่างสีตรา เจียรโณทัย น้องชายคนรองของครอบครัวนั้นค่อนข้างรักอิสระ ชอบการท่องเที่ยว เป็นบุคคลที่ไม่มีความสามารถมากพอที่จะขังตัวเองอยู่ในห้องทำงานได้ จึงทำอารยะขัดขืนจนทุกคนในบ้านต้องยอมให้แก่ลูกดื้อของเจ้าตัวและปล่อยให้ได้ออกไปโลดแล่นตามใจต้องการ โดยที่สีตราก็ดูจะมีความสุขกับสิ่งที่ได้ทำ ท่องเที่ยวไปตามประเทศต่างๆ ทำคลิปออกมาให้คนได้ดู กลายเป็นผู้มีอิทธิพลในโซเชียลมีเดียของไทยคนหนึ่ง และดีที่มันมีรายได้จากสิ่งที่รัก ซ้ำยังไม่สร้างเรื่องน่าปวดหัว ทุกคนจึงปล่อยให้มันได้ใช้ชีวิตที่เลือกเองกับมือ ข้างกันนั้นเป็นสุตรา เจียรโณทัย น้องสาวคนเล็กวัยสามสิบเอ็ดที่แสนจะเอาถ่าน เธอขึ้นแท่นเป็นผู้บริหารแทนพี่ชายทั้งสองที่คนหนึ่งเอาดีด้านการเมือง อีกคนช่างหัวมัน ในสายตาของพี่คนโต ยายซอค่
บทที่ 3รัญจวนจนได้ใจ... วสุเดินนำสองสาวมายังลานจอดรถส่วนตัวซึ่งสงวนให้เพียงเจ้าของเพนต์เฮาส์หนึ่งเดียวของโครงการอย่างสัตรา โดยที่ในนั้นมีรถจอดอยู่นับสิบคันซึ่งเป็นสมบัติส่วนตัวของนักการเมืองหนุ่ม ที่ล้วนแล้วแต่ผ่านการแจงบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ นอกจากหน้าตา ผลงาน ตำแหน่ง สิ่งหนึ่งที่ทำให้สัตราเป็นขวัญใจชาวบ้านก็อาจจะเพราะหลังเปิดบัญชีทรัพย์สินของเหล่านักการเมือง สำนักข่าวมักจะลิสต์รายชื่อคนที่มีทรัพย์สินจำนวนมหาศาลไปทำสกู๊ปเด็ด ซึ่งสัตรานั้นติดโผสองสมัยซ้อนด้วยมีทรัพย์สินหลักพันล้าน โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างเพนต์เฮาส์ราคาสี่ร้อยกว่าล้าน ยานพาหนะอีกเกือบร้อยล้าน เงินฝาก เงินลงทุน ไหนยังไม่มีหนี้สิน เจ้านายของวสุเป็นเศรษฐีอายุน้อยที่มาลงเล่นการเมืองเพื่อสร้างบารมีให้ตน ไม่ก็เพราะพ่อสั่งลุย จะอย่างไรก็ตาม สัตราคือคนรวยติดท็อปประเทศ และแน่นอนว่าหากผู้ชายคนนี้ทำเงินหนึ่งหมื่นไปจนถึงหนึ่งแสนหล่นหายก็อาจจะไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ หรือถึงรู้ก็สามารถเพิกเฉยได้ แต่เพราะมีนัยบางอย่าง เศรษฐีนิสัยเสียถึงได้กลั่นแกล้งเด็กสาวผู้อาภัพเพียงเพราะเงินหลักห
ไม่นานนักชายร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า เธอและน้องสาวรีบพนมมือแนบอกเพื่อทำความเคารพคนมาใหม่ทันที “สวัสดีค่ะคุณสี่ หนูขอพาน้องสาวมาด้วยคงไม่ว่ากันนะคะ ไม่อย่างนั้นน้องต้องอยู่ที่ห้องคนเดียวค่ะ” วสุหันไปผงกศีรษะให้เด็กสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ ที่ผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา ก่อนผินมาทางเธอแล้วพาตรงไปยังลิฟต์ ซึ่งมันค่อนข้างแปลกตา และด้วยความใคร่รู้เธอก็ถามออกไปจนได้ “ที่นี่ปลอดภัยถึงขั้นขึ้นลิฟต์ก็ต้องใช้คีย์การ์ดเหรอคะ” “เฉพาะไพรเวทลิฟต์ครับ” “ไพรเวทลิฟต์?” พูดพลางมองไปรอบๆ แล้วค่อยดึงสายตาไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนเดียวในนี้ “หมายถึงใช้แบบส่วนตัวน่ะเหรอคะ” “ครับ สำหรับเพนต์เฮาส์ของนายห้องเดียว” เธอยิ้มแหยให้กับข้อมูลใหม่ ก็ถ้าเป็นคนรวยขนาดซื้อเพนต์เฮาส์ที่มีไพรเวทลิฟต์แบบนี้ได้ จะมาเค้นเอาเงินหมื่นในทีเดียวจากคนจนๆ แบบเธอไปทำไมกัน รวยแต่ใจจืดใจดำชะมัดเลย ไม่ใช่เพราะพวกเอ็งที่เป็นรัฐบาลไม่ปรับค่าแรงขั้นต่ำหรือ เธอถึงได้จนชนิดไม่ได้ผุดได้เกิดแบบนี้น่ะ ระหว่างทะยานไปยังชั้นสูงสุดของตึก ชายเสื้อของอัปสราถูกกระตุกโดยคนข้างกาย [พี่อบเชยมีธุระอะไรกับที่