เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับความนิยมในหมู่สาว ๆ มากนัก ทำเอานางดื่มสุราไปมากมายหลายจอกแล้วยามที่แม่นางน้อยผู้หนึ่งยื่นสุรามาให้นั้น ตงฟางซื่อก็รีบมารับไปแทนเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันที“แม่นางทุกท่าน ถึงแม้ว่ารองผู้นำพันธมิตรซูของพวกเราจักดีมากเท่าใด ทว่า ภายในพันธมิตรอู่หลินของพวกเรายังมีคนอีกมากที่ยังมิได้ตกแต่งออกไปนะ!”พร้อมทั้งเสียงหัวเราะจากฝูงชนที่ดังตามมา“ไม่ได้! ท่านผู้นำก็ยังมิแต่งงานเลย! แม่นางทุกท่านยังมิรีบส่งจอกสุราให้กับท่านผู้นำพันธมิตรอีกหรือ?”สิ่งที่ยากที่สุดคือการรับน้ำใจจากสาวงามนั่นเองตงฟางซื่อจึงยอมลงโทษตนเองด้วยการยกจอกสุราขึ้นดื่มไปสองสามจอกก่อนหลังจากนั้นเขาก็นั่งอยู่ข้าง ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียน พลางเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มว่า“วันพรุ่งนี้เจ้ายังต้องออกเดินทางต่อ รีบเข้าไปพักผ่อนเสียเถอะ ตรงนี้หาได้เป็นอันใดไม่”เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้สนใจอันใดนานแล้วเหมือนกันที่นางมิได้ผ่อนคลายแบบนี้หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่เป็นเสมือนกับสวนดอกท้อที่พันธมิตรอู่หลินคอยปกป้องดูแลอยู่เมื่อนางมาเยือนที่แห่งนี้ ราวกับว่าทั่วร่างที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารฆ่าฟันถูกชำระล้างออกไปในขณะเดียวกัน พ
การรักใครสักคนจริง ๆ นั้น ริมฝีปากของนาง มือของนาง ท่าทางการร่ำสุราของนาง ท่าทีเหม่อลอยของนาง คำพูดที่นางมักจะเอ่ยออกมานั้น... เขาล้วนแต่คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างยิ่งฮองเฮาของเขา แม่ทัพน้อยของเขา เขามั่นใจว่าต้องเป็นนางอย่างแน่นอนภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมา เซียวอวี้แย้มยิ้มออกมาด้วยความขมขื่นนางหลอกลวงเขาได้เจ็บแสบยิ่งนักนางมิได้เป็นเพียงท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ฟาดฟันศัตรูในสนามรบเท่านั้น ยังเป็นซูฮ่วนจอมยุทธพันธมิตรอู่หลินแห่งยุทธภพอีกป้ายทองไว้ชีวิตนั้น แต่แรกจนถึงตอนนี้ล้วนแต่เป็นการขอไว้เพื่อตัวนางเองมิแปลกใจเลยที่นางจะไม่ชอบอยู่ในวังหลวงสิ่งที่นางเคยพบเห็นนั้น มิได้มีเพียงดินแดนอันกว้างใหญ่ของชายแดนเหนือ ทั้งยังมียุทธภพที่กว้างใหญ่อีกนางที่มีอายุเพียงสิบสามก็โลดแล่นอยู่ภายในยุทธภพแล้ววังหลวงของเขา เล็กเกินไปสำหรับนางเสมือนกับปลาในแม่น้ำและทะเล หากนำพวกมันมาเลี้ยงเอาไว้ในอ่างเล็ก ๆ ไม่นานก็ย่อมตายไปด้วยความหดหู่ เมื่อได้มาเห็นนางร้องเพลงและเต้นรำกับผู้คนในหมู่บ้านเสิ่นเจียอู่คืนนี้แล้วนั้น เขาถึงได้รู้ว่านางชอบวันเวลาแบบไหนกันแน่ คนที่เขาเพียรคิดถึงคะนึงหาอยู่
เนื่องจากทางด้านหน้ามีการพังทลายของภูเขา ทำให้มิอาจเดินทางผ่านไปได้ทางราชสำนักจึงส่งคนมาทำความสะอาดเศษดินเศษไม้ที่ล่วงหล่นลงมากลุ่มคณะของเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงได้แต่ต้องเลือกสถานที่ค้างแรมแถวนี้องค์หญิงน้อยที่มีจิตใจที่กว้างใหญ่ ยามนี้แย้มยิ้มออกมาเต็มหน้า พลางเอ่ยเรียกออกมาว่า “ท่านพี่ฮ่องเต้”“ท่านพี่ฮ่องเต้ ต้องกางกระโจมหรือไม่? คืนนี้ข้าจักได้นอนกับพี่ชายใหญ่!”ถึงแม้ว่าเซียวอวี้จะยอมตกลง หากแต่เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้เห็นด้วยไม่ข้าง ๆ มีลำธารอยู่ใกล้ ๆ องค์หญิงน้อยที่อยากกินปลานั้น เซียวอวี้จึงสั่งให้เฉินจี๋ไปจับมันมาเฉินจี๋มีฝีมือไม่เบาเลย ไม่นานเขาก็สามารถจับปลาตัวใหญ่ได้เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงก่อไฟขึ้นมาด้วยความเชี่ยวชาญ ใช้กิ่งไม้ขึ้นมาต่อกันเพื่อให้สามารถย่างปลาได้ง่าย ๆเซียวอวี้นั่งอยู่บนก้อนหินอยู่ไม่ไกลนั้น มองดูนางอย่างเงียบ ๆองค์หญิงน้อยนั่งอยู่ด้านข้างเขา ก่อนจะใช้สองมือเท้าคางเอาไว้ พลางเอ่ยชื่นชมออกมาว่า“พี่ชายใหญ่ใจดียิ่งนัก หากว่ามาเป็นเสด็จพี่สะใภ้ของข้าได้คงจะดีไม่น้อย!”เซียวอวี้รู้ดีว่า เรื่องนี้มิอาจเป็นไปได้นางมิเคยมีเขาอยู่ภายในใจ อีกทั้ง นางยังมิช
เซียวอวี้พลางเดินไปข้างหน้าด้วยใบหน้าอึมครึม ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดมากมายราวกับว่าไม่ว่าเขาจักทำเช่นไร สตรีผู้นั้นหาได้พอใจไม่ปลาย่างของต้วนไหวซวี่อร่อยกว่าของเขางั้นหรือ นางถึงได้ไม่ยอมลืมเช่นนี้?ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนมาจากด้านหลังว่า“ฝ่าบาท”ฝีเท้าของเซียวอวี้พลันชะงักไปในทันที ก่อนหันหลังเอ่ยกับผู้ที่ตามมาด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก“มีเรื่องใด?”“พี่ชายฮ่องเต้ พี่ชายใหญ่มาที่นี่เพื่อต้องการมาขอโทษท่านนะ”เมื่อเขาหันกายกลับมานั้น พลันเห็นว่าองค์หญิงตัวน้อยก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน นางยืนอยู่ข้างกายเฟิงจิ่วเหยียน พร้อมทั้งในมือที่ถือปลาย่างเอาไว้ ก่อนจะเคี้ยวมันด้วยปากที่เปรอะเปื้อนไปด้วยสีดำนางเขย่าแขนเฟิ่งจิ่วเหยียนไปมา “ใช่หรือไม่? พี่ชายใหญ่? ท่านรู้ว่าท่านพี่ฮ่องเต้ย่างปลาด้วยความยากลำบาก การที่ท่านไม่กินนั้น ย่อมทำให้เขาไม่สบายใจใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าลง“ใช่”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเป็นปมเล็กน้อย ก่อนที่คิ้วจะคลายตัวราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น“เราหาได้เป็นอันใดไม่ เพียงแค่เรายังไม่หิวเท่านั้น”องค์หญิงน้อยพลางก้าวไปข้างหน้าเพื่อกระตุกแขนเสื้
ตกเย็น เซียวอวี้และคณะได้เข้าพักในโรงเตี๊ยม โดยที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเฝ้าอยู่บนหลังคาห้องขององค์หญิงน้อย สายลมราตรีพัดผ่านร่างกายของนางจนหนาวสะท้าน ที่เอวของนางห้อยขวดสุรา เพื่อใช้อุ่นร่างกายได้ทุกเมื่อ ในตำแหน่งที่นางมิอาจมองเห็นนั้น——เซียวอวี้สวมชุดคลุมผ้าสีดำ ยืนอยู่ในลานกว้างด้านหลัง พลางจ้องมองนางโดยไม่ไหวติง “ฝ่าบาท จดหมายลับจากรุ่ยอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เฉินจี๋เพิ่งจะเดินเข้ามา และได้เห็นฉากนี้พอดี เขามองไปที่ฮ่องเต้ ก่อนจะหันไปมองดูเงามืดที่อยู่บนหลังคาอีกครั้ง พลันเกิดความงุนงงชั่วขณะหนึ่ง ฝ่าบาทดูใส่พระทัยซูฮ่วนมากเกินไปหรือไม่? ทันใดนั้นก็จำได้ คำพูดของตงฟางซื่อเมื่อเมามายในราตรีนั้น ซูฮ่วนชอบบุรุษ... เฉินจี๋รีบสะบัดศีรษะแรง ๆ ไม่ เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าซูฮ่วนจะมีรสนิยมชื่นชมบุรุษ ทว่าฝ่าบาทไม่ใช่! ฝ่าบาททรงโปรดปรานสตรีอย่างแท้จริง! พวกเขาจึงมิอาจบ่มเพาะความรู้สึกต่อกันได้! เซียวอวี้รับจดหมายลับนั้นมา โดยที่เขาไม่รู้เลยว่า เฉินจี๋ที่ดูซื่อ ๆ แท้จริงในหัวใจกำลังสับสนอลหม่านอย่างหนัก ในจดหมายลับจากรุ่ยอ๋อง ได้กล่าวถึง “พรรคเ
นัยน์ตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนแวววับด้วยความเด็ดขาด นางเอ่ยกับคนชุดคลุมสีขาวเหล่านั้น “กฎเกณฑ์ของยุทธภพ อย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ไปสู้กันที่อื่น” อีกฝ่ายก็ปฏิบัติตามกฎเช่นกัน ผู้นำของคนชุดคลุมสีขาวพยักหน้า “ตกลง”…… เวลาใกล้รุ่งสาง ในป่าที่อยู่ห่างจากที่พักแรมประมาณสิบลี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และใช้กระบี่ในมืออีกข้างยันพื้น พร้อมหายใจหอบถี่ ลมพัดผ้าผูกผมของนาง ทำให้นางดูผอมเพรียว และเย็นชา ศพในชุดคลุมสีขาวสิบกว่าร่างนอนเกลื่อนไปทั่วทั้งบริเวณ ชุดคลุมสีขาวของพวกเขาอาบด้วยโลหิต และยังย้อมป่าไม้เขียวให้กลายเป็นสีแดงอีกด้วย ตอนนี้ เหลือเพียงผู้นำของคนชุดคลุมสีขาวเท่านั้น เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ยืนหลังพิงต้นไม้ และใช้มือกุมบาดแผลเลือดออกที่เอว ขณะที่หน้ากากบนใบหน้าของเขาแตกหัก จนเผยให้เห็นใบหน้าแก่ชรา ซูฮ่วนที่อยู่ตรงหน้านั้น ไม่ต่างจากสัตว์ประหลาด! สัตว์ประหลาดที่ไม่มีผู้ใดโค่นล้มได้! เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนขึ้นพร้อมกระบี่ในมือ ดวงตาเย็นชา ไร้ซึ่งระลอกคลื่น ทันใดนั้น นางก็ฟันกระบี่ลงไปที่คนชุดคลุมสีขาว
ทางการได้รับรายงานลับว่า พบศพของชายชุดคลุมสีขาวสิบกว่าคนในป่า เดิมพรรคเทียนหลงต้องการสละส่วนน้อยรักษาส่วนมาก ทว่าคาดไม่ถึง การลอบสังหารที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ กลับบุ่มบ่ามไปชนเข้ากับฮ่องเต้ จนทำให้ผลที่ออกมาไปในทางกลับกัน คนชุดคลุมสีขาวเหล่านั้นคือใคร และเกี่ยวข้องกับพรรคเทียนหลงหรือไม่ เซียวอวี้ต้องการตามสืบอย่างมุ่งมั่น สองวันต่อมา อาการขององค์หญิงน้อยดีขึ้น และทั้งคณะจึงออกเดินทางอีกครั้ง เฟิ่งจิ่วเหยียนคอยลอบคุ้มครองเขา ไม่เคยละเลย การเดินทางหลังจากนั้นราบรื่นมาก และใช้เวลาเพียงสามวัน พวกเขาก็มาถึงเมืองหลวง ส่งกันพันลี้ยังต้องแยกจากกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีภาระหน้าที่ของตนเอง หลังจากเข้าเมืองแล้ว ก็ปรากฏตัวขึ้นและกล่าวคำอำลาต่อพวกเขา นางมอบสมุดเล่มเล็กที่เขียนเองในทุก ๆ วัน ให้แก่องค์หญิงน้อย “องค์หญิง การฝึกซ้อมวิชาหมัดมวยทุกวัน จะสามารถทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้” องค์หญิงน้อยอาลัยอาวรณ์ไม่อยากจากนางไป “พี่ชายใหญ่ ท่านอยู่ที่เมืองหลวงอีกสักสองสามวันไม่ได้หรือ? ท่านรู้จักพระราชวังหรือไม่? ที่นั่นกว้างใหญ่นัก และมีทุกสิ่งอยู่ที่นั่น หาก
ดวงตาของนางอ่อนโยน ทว่าแฝงไว้ด้วยความผิดปกติทางจิต ณ ตำหนักหย่งเหอ เหล่าข้าหลวงรู้สึกยินดีปรีดา “ทันทีที่ฝ่าบาทเสด็จกลับวัง ก็เสด็จมาหาซินเฟยเป็นอันดับแรก!” ในเวลานี้ ภายในตำหนัก เหลียนซวงหวาดกลัวการเผชิญกับพระพักตร์ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก นางได้มองดูเขานำเสื้อผ้าที่คุณหนูจิ่วเหยียนเคยสวมใส่ และเครื่องประดับที่เคยใช้ทั้งหมด โยนเข้าใส่ไปในหีบใบใหญ่ นี่แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการจะตัดใจโดยสิ้นเชิง! ทว่าทำเช่นนี้ จะไม่เป็นการหลอกตนเองจริง ๆ หรือ? เขาควรจะปลดซินเฟยผู้นี้เสีย และไม่ย่างกรายมายังตำหนักหย่งเหออีกถึงจะถูก ความรักก็เหมือนกระดูกอักเสบเป็นหนอง ยากที่จะตัดให้ขาด เซียวอวี้กลับต้องการจะใช้กำลังตัดมันทิ้ง ทว่า ในระหว่างที่กำลังโยนทิ้ง เขาพลันได้พบสมุดเล่มหนึ่งอยู่ในช่องลับข้างโต๊ะ ด้านข้างนั้นมีปิ่นหงส์วางอยู่——เป็นสิ่งที่เขามอบให้ ครั้นเปิดสมุดเล่มนั้นออกดู ใบหน้าของเขาพลันแข็งทื่อ ทุกถ้อยคำในนั้นล้วนเป็นเรื่องของเขา ที่เขียนโดยเฟิ่งจิ่วเหยียน ครั้งหนึ่งเขาเคยขอให้นางไปอยู่กับเขาที่ห้องทรงพระอักษรเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม
คนเหล่านี้คงเป็นองครักษ์ที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์จัดให้มาปกป้องตนเองกระมังมิน่าเล่า อีกฝ่ายถึงกล้ามิพาคนมาคอยอารักขาตนเอง ยามที่พบหน้ากันครั้งแรกผู้ที่ขึ้นเป็นจักรพรรดิของแว่นแคว้นได้ หาได้มีผู้ใดเป็นคนโง่เง่าไม่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์พลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะเข้าไปเล่นกับดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง“อาการป่วยของเรานั้น ยามที่ยังวัยสาวอยู่ได้ทิ้งอาการป่วยเหล่านี้เอาไว้ หลายปีที่ผ่านมา อาการกับค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ“โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ อาการป่วยกลับทรุดหนักเสียจนมิอาจลุกขึ้นมาสะสางราชกิจบ้านเมืองได้ อัครมหาเสนาบดีจึงใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมพรรคพวกของตนเองขึ้นมา เมื่อเรารู้สึกตัวอีกที นางก็มีอำนาจมากมายเสียแล้ว”ท่านประมุขพลันหันหน้ากลับมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีสงบนิ่งแม้ว่าภูเขาไท่ซานจะถล่มลงมาตรงหน้าก็ตาม พลางยกยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า“ผู้ที่ทรยศเรา สมควรตาย”เฟิ่งจิ่วเหยียนพลางเอ่ยถามด้วยท่าทีใจเย็นว่า: “รวมไปถึงน้องสาวแท้ ๆ ของท่านด้วยหรือไม่?”นิ้วมือของประมุขแคว้นซีหนี่ว์พลันสั่นเทาเล็กน้อยนางมิได้ตอบคำถามของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่า กลับเอ่ยเปลี่ยนเรื่องอื่นแทน“แค
เนื่องจากความประมาทเลินเล่อที่ภูเขาหิมะเทียนฉือ หยิ่นลิ่วจึงตั้งใจชดใช้ความผิดของตน ทั้งยังเพื่อลบล้างความอับอายในหน้าที่ของตนเองอีกด้วย ทำให้ในยามนี้เขาตั้งใจทำตามคำสั่งของฮองเฮายิ่งนักเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติไปภายในจวนอัครมหาเสนาบดีนั้น ทุก ๆ วันได้นอนหลับเพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นในที่สุด หยิ่นลิ่วก็พบกับเหตุการณ์ที่ผิดปกติไปในทันที“นายท่านขอรับ เมื่อคืนวานนี้ น้องสาวฝาแฝดของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้ลอบเข้ามาทางประตูด้านหลังของจวนอัครมหาเสนาบดี ทั้งยังพูดคุยกันลับ ๆ อยู่นานสองนาน ข้าน้อยมิอาจเข้าไปใกล้ ๆ ได้ ทว่า พอจะฟังออกคร่าว ๆ ว่า พวกนางกำลังพยายามคิดที่จะกำจัดประมุขแคว้นซีหนี่ว์....”กองทัพอินทรีเหินสองสามคนที่อยู่ในห้องนั้นต่างพากันลอบสบตากันนี่มันลอบพระชนม์!เกรงว่าแคว้นซีหนี่ว์เองก็กำลังจะเกิดความวุ่นวาย!หัวหน้ากองทัพอินทรีเหินพลันลุกขึ้นยืน ก่อนจะโค้งกายคำนับต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน“กระหม่อมคิดว่า การเมืองภายในแคว้นซีหนี่ว์กำลังจักเกิดความระส่ำระส่าย แม้แต่ตัวประมุขแคว้นซีหนี่ว์เองก็ยากที่จะรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้ พวกเขาย่อมมิอาจตอบรับอันใดพวกเราได้เช่นก
หลังออกจากพระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เฟิ่งจิ่วเหยียนยังมิกลับไปที่โรงพักแรมในทันทีคนเก่งกาจเพียงใดก็มิอาจสู้คนท้องถิ่นได้เพื่อป้องกันมิให้อัครมหาเสนาบดีแคว้นซีหนี่ว์ประพฤติชั่วช้า จักต้องเพิ่มความระมัดระวัง และรอบคอบไว้ดีที่สุดดังนั้น นางจึงเดินจากหอคณิกาไปที่หอหนานเฟิง แล้วค่อยวกกลับมาที่หอคณิกาอีกครั้ง ประการแรกเพื่อหาโอกาสปลอมตัวอีกครั้งเพื่อออกไปได้ง่าย ประการที่สองก็เพื่อสืบหาข่าวอย่างไรเสีย สถานที่เริงรมย์เช่นนี้ ข่าวสารจะรับรู้ได้ไวที่สุดภายในหอคณิกาเฟิ่งจิ่วเหยียนเรียกนางคณิกาที่ขายศิลปะมิขายเรือนร่างผู้หนึ่งมา เพราะรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มิต้องการปรนเปรอลูกค้า จึงจ่ายเงินจ้างนางแบบเหมาครึ่งเดือน เมื่ออยู่ในห้องนางก็แค่เล่นดนตรีและขับร้อง เพื่อเป็นการบังหน้าให้กับนางดังนั้นจึงได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายเพียงแต่รู้สึกเสียดายเงินก้อนนั้นนางคณิกาผู้นี้ตกคืนละสามตำลึงเงิน แพงกว่าค่าโรงพักแรมที่นางพักอยู่ตั้งมากโขนางใช้เงินก้อนนี้ ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกปวดใจยังดีที่นางคณิกาผู้นี้เชื่อฟัง และมีเรื่องพูดคุย“...คุณชาย ท่านอาจจะยังมิรู้ว่า ประมุขแคว้นของเราเคยได้รับบา
เฟิ่งจิ่วเหยียนท่าทางดูเหมือนจะหมดหนทาง“เรียนใต้เท้า ทักษะการแพทย์ของข้าน้อยด้อยฝีมือ”ซู่ยวนได้ยินเช่นนั้น น้ำตาพลันร่วงไหลลงมาทันที แสดงออกถึงความรักและความห่วงใยที่แท้จริงนัก“เจ้าก็ไม่มีหนทางเลยหรือ...”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนมืดมน “ข้าน้อยขอลาก่อน”เดิมคิดว่าเมื่อพบกับซู่ยวน จะไม่พบปัญหาอื่นใดอีกผลสุดท้าย ขณะที่ใกล้จะถึงประตูวัง ก็พบกับสตรีผู้หนึ่งในชุดเครื่องแบบขุนนางข้าหลวงเตือนว่า“ผู้นั้นคือใต้เท้าจ้าวอัครมหาเสนาบดี เจ้าก็ควรแสดงความเคารพด้วยเช่นกัน”อัครมหาเสนาบดีจ้าวหรู่หลานหยุดฝีก้าว และมองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างวิเคราะห์“เจ้าก็คือหมอที่หยิบประกาศเสนอตัวผู้นั้นใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มหัวลง “ขอรับ”จ้าวหรู่หลานยื่นมือออกมาทันที และเชยคางนางขึ้นในแคว้นซีหนี่ว์ สตรีทำเรื่องเช่นนี้กับบุรุษ ไม่ถือว่าเสียมารยาทจ้าวหรู่หลานอายุน้อยกว่าประมุขแคว้น และผอมกว่าเล็กน้อยดวงตาหางตาชี้ชันคู่หนึ่ง เต็มไปด้วยความพินิจพิเคราะห์คนที่ได้เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี หาใช่จะเป็นผู้ที่หลอกลวงได้ง่าย ๆ ไม่นางถามด้วยเสียงดุดัน“เหตุใดมิทันไรก็รีบออกจากวังแล้ว?”เฟิ่งจิ่วเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเคลื่อนลงมา มองดูคมกระบี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงแม้จะถูกเปิดโปงสถานะ แต่นางยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ในชุดบรรทมสีเหลือง พระชันษาราวสี่สิบกว่า พระเกศาสยายคลุมบ่า พระพักตร์มีริ้วรอย ทว่า กาลเวลามิอาจเอาชนะหญิงงามได้ ทั้งตัวนางยังคงมีความสง่าผ่าเผย มั่นคงราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่แคว้นซีหนี่ว์มีประมุขแคว้นเช่นนี้ มิน่าแปลกใจที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองสำรวจเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชา“ให้ฮองเฮาเยี่ยงเจ้ามาที่แคว้นซีหนี่ว์ ฮ่องเต้ฉีทรงตัดพระทัยได้จริงหรือ เหตุใด มิกลัวว่าเราจะฆ่าเจ้า?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิเสแสร้งแกล้งทำอีก พร้อมกับยอมรับตามตรง“คารวะประมุขแคว้น”“ครั้งนี้มาเยือนแคว้นท่าน คือมาในฐานะราชทูต หาใช่มาในฐานะฮองเฮาแห่งหนานฉี และยิ่งมิใช่ในฐานะแม่ทัพน้อยเมิ่งอะไรนั่น“ที่ปลอมตัวมาพบท่าน เป็นเพราะสถานการณ์กำลังวุ่นวาย หากมีสิ่งใดรบกวนพระทัย หวังว่าท่านจะให้อภัย“ทว่า ตัวหม่อมฉัน และแม้แต่ทั้งหนานฉี ก็ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินต่อท่าน”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงถือกระบี่จ่ออยู่ที่นาง พร้อมกับ
ช่วงกลางเดือนแปด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะเดินทางมาถึงแคว้นซีหนี่ว์อย่างราบรื่นแคว้นซีหนี่ว์นั้นผู้นำล้วนเป็นสตรี และที่พบเห็นตามถนนหนทาง ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสตรีทหารรักษาเมืองที่ลาดตระเวน ก็เป็นสตรีทั้งหมดเช่นกันแคว้นซีหนี่ว์ในอดีต บุรุษก็เคยเป็นผู้นำสูงสุดทว่าจากสงครามหายนะครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษทั้งหมดตายในสนามรบ เหล่าสตรีทำได้เพียงต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนานวันเข้า ถึงแม้ภายหลังบุรุษจะเพิ่มขึ้น ทว่า เหล่าสตรีได้สัมผัสกับรสชาติของการมีอำนาจ จึงไม่เต็มใจจะวางมืออีกแล้วเพื่อปฏิบัติตามแนวทางแห่งสตรีของราชวงศ์ ประมุขแคว้นแต่ละคน จึงส่งต่อบัลลังก์ให้บุตรสาวมิส่งให้บุตรชายคนที่เข้ามาเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ก็เป็นสตรีที่ครองตำแหน่งมากกว่าบุรุษก็เป็นขุนนางได้ ทว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งมิอาจครอบครองอำนาจที่แท้จริงได้เหล่าสตรีของแคว้นซีหนี่ว์เชื่อว่า มีเพียงผู้นำเป็นสตรี ถึงจะรับประกันได้ว่าอำนาจของสตรีจะไม่หลุดมือไปหากเปลี่ยนเป็นบุรุษ จักต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ดังนั้น ต่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มีโอรส บัลลังก์ก็จะไม่มีทางส่งต่อให้องค์ชาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่าง “เห็นอกเห็นใจ”“ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจ...”นางพูดไปได้ครึ่งทาง ถานไถเหยี่ยนก็เทยาออกมา และกลืนมันลงไปเสี้ยววินาทีนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับตาค้างเพื่อทำลายหนานฉี ถานไถเหยี่ยนสามารถเสียสละถึงเพียงนี้เชียวหรือ......หลังอาหาร ขณะทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจนใจ“ฝ่าบาทกังวลพระทัยว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับบุตรของข้า ทรงต้องการให้ข้าพักผ่อนดูแลครรภ์ สถาบันทางการทหารข้าก็มิได้ไปอีกแล้ว หากเจ้ามีปัญหาอันใด ให้ทูลรายงานกับฮ่องเต้ได้โดยตรง”ถานไถเหยี่ยนเอ่ยออกมาตามตรง“หนานฉีมีแม่ทัพที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงอยู่มากมาย ข้ามิใช่ราษฎรของหนานฉี ถึงแม้จะมียุทธวิธีดี ๆ ทูลเสนอ ฝ่าบาทก็อาจมิทรงเชื่อ“สิ่งที่ข้าทำเพื่อหนานฉีได้ ก็คือค้นหาเส้นทางลับของ ‘ใยแมงมุม’ ทั้งหมดให้ครบ เพราะมันจะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ในขณะทำสงครามได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นด้วยกับความคิดของเขา“ข้าจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาท ให้เขายอมตกลงให้เจ้าร่วมสืบหา ‘ใยแมงมุม’”หลังจากนั้น ถานไถเหยี่ยนก็มองตามจนนางขึ้นรถม้าไม่นาน เขาก็จากไปเช่นกันรอจนเขากลับม
ภายในห้องไม่มีคนอื่น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงมิลังเล และบีบนวดหน้าท้องของเซียวอวี้เซียวอวี้ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที สูดลมหายใจเข้า และกลั้นเอาไว้ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนดูเหมือนจะค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบ นางพลันยกคิ้วขึ้น เหลือบตามองไปที่เซียวอวี้“ท่านยุ่งถึงเพียงนี้ ยังมีเวลาฝึกฝนพละกำลัง?”เซียวอวี้กลั้นลมหายใจนั้นมิอยู่แล้ว จึงคว้ามือของนางที่วางอยู่บนหน้าท้องของเขาขึ้นมา วางลงที่ริมฝีปากและจูบไปสองครั้ง“แผนการแต่ละวันต้องเริ่มทำตอนรุ่งสาง อีกอย่าง ศัตรูต่างแคว้นก็จดจ้องตาเป็นมัน เรายิ่งต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อเตรียมพร้อมกับการนำทัพออกศึก ดังนั้น ช่วงหลายวันมานี้จึงขยันฝึกฝนมากขึ้น“เป็นอย่างไร? ฮองเฮาพอใจหรือไม่?”เขาตั้งตารอคอยคำตอบของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงความเห็นใดนางเข้าไปใกล้หูเขา น้ำเสียงแผ่วเบา ลมหายใจราวกับขนนก พัดผ่านใบหูของเขา ใจที่สงบนิ่งของเขากระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นนับพันเขาเพียงแค่ฟังนางเอ่ยอย่างช้า ๆ“คืนนี้ จะเปิดประตูรอท่านพี่...”เซียวอวี้ถูกปลุกเร้า ตอนนี้คิดจะ “ประหัตประหาร” นางในที่นี้ทันทีฝ่ามือใหญ่ของเขาทาบลงที่หลังเอวของนาง แล้วออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเป็นราชทูตยังแคว้นซีหนี่ว์ ก่อนหน้าที่จะไป นางมิลืมที่จะเตรียมการทุกอย่างในหนานฉีทางนี้ให้เรียบร้อย“ฝ่าบาท ถานไถเหยี่ยนมีคำพูดหนึ่งที่เอ่ยไว้ไม่ผิด ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปสำรวจที่ช่องทางลับ และถูกซุ่มโจมตีด้วยดินปืน แน่นอนว่าจักต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้า“แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันที่แอบลงมือ จุดประสงค์นั้นคือเพื่อทำลาย ‘ใยแมงมุม’ และยังตัดขาดเบาะแสของมนุษย์โอสถด้วย หรือไม่ก็ อาจจะต้องการชีวิตของหม่อมฉัน ทั้งหมดจึงควรสืบให้กระจ่าง”เซียวอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ“คนที่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ช่องทางลับ ล้วนเป็นองครักษ์คู่ใจของเรา พวกเขาแต่ละคนผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ไม่มีทางทรยศต่อเราเด็ดขาด ทว่า ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน หากพัวพันกับความปลอดภัยของเจ้า เราจักสืบสวนอย่างละเอียด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขา และเอ่ยอย่างจริงจัง“คนที่หม่อมฉันสงสัยมิใช่พวกเขา“ท่านมิจำเป็นต้องเสียเวลาไปสืบสวนพวกเขา เพื่อมิให้พวกเขารู้สึกเสียกำลังใจ“สิ่งที่หม่อมฉันสงสัยคือ มีคนแอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่“คนผู้นี้อาจจะแอบซุ่มอยู