เมื่อมาถึงชายแดนแคว้นหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนกับอู๋ไป๋หาโรงเตี๊ยมพักผ่อนระหว่างทางก่อนทั้งสองคนสวมหน้ากาก นั่งอยู่ที่ตำแหน่งใกล้ถนนคนงานโรงเตี๊ยมไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องแปลก บริการอาหารเสร็จ ก็ไปดูแลรับแขกคนอื่นวันนี้โรงเตี๊ยมนี้คึกคักมาก มีกลุ่มคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ พูดคุยกันขึ้นมา“เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อปีก่อน พวกเจ้าได้ยินกันแล้วหรือยัง?”“เรื่องอันใด?”“เจ้าไม่รู้หรือ? ปีที่แล้ว ฝ่าบาทกับฮองเฮาหย่าร้างกันแล้ว!”“อ้อ อ้อ จำได้แล้ว ตอนนั้นถือเป็นเรื่องร้อนแรงช่วงเวลาหนึ่ง!”“ข้าว่า ฮองเฮาไม่มีเหตุผล หาเรื่องไม่เป็นเรื่อง! สตรีทั่วไปล้วนยึดหลักสามคล้อยสี่คุณธรรม ในฐานะที่นางเป็นราชินีแห่งแผ่นดิน กลับตำหนิฝ่าบาทต่อหน้าสาธารณะ ‘หลิ้วเก้า’ อะไรนั่น ตัวนางเองกระทำได้ไม่ดี ฝ่าบาทลงโทษนางแล้วยังไง?”“ใช่ ๆ ข้าว่า สตรีเช่นนี้ ไม่เอาก็ช่างเถอะ! ฝ่าบาทควรที่จะปลดฮองเฮา!”“ใช่ ๆ สตรีของตระกูลเฟิ่ง ต่อไปไม่ต้องคิดที่จะได้แต่งงานอีก ก่อให้เกิดเรื่องแบบนี้ คนที่เสียเปรียบไม่ใช่ตัวนางเองหรือ หากข้ามีลูกสาวแบบนี้ คงทุบตีนางตายแน่ จะได้ไม่ทำให้ข้าอับอายขายหน้า! ”ชายอ้วนหัวโตใ
เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจเรื่องของคนอื่น ทานข้าวเสร็จแล้ว นางก็เดินทางต่อ มุ่งหน้าไปทางเหนือหลายวันผ่านไป นางกับอู๋ไป๋เดินทางผ่านใกล้ที่ว่าการปกครอง เพราะมีคนมากมาย จึงต้องลงจากม้าแล้วจูงเดินเอาหลังจากเดินเข้าไปใกล้แล้วค่อยรู้ว่า เป็นพวกคนที่มาหย่าร้าง เบียดแน่นอยู่บนถนนหน้าที่ว่าการปกครองรอบด้านยังมีพ่อค้าขายของริมถนนมามุงดู ต่อว่าตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์เหล่าสตรีที่มารอหย่าร้าง“เพ้ย! ช่างหน้าไม่อาย! กล้าก่อเรื่องหย่าร้างที่ว่าการปกครอง!”“ใช่ ๆ ! น่าอับอายขายหน้า! ข้าเป็นผู้หญิงยังอับอายแทนพวกนาง ผู้ชายเลี้ยงดูครอบครัวก็ลำบากมากพอแล้ว ยังจะมาก่อเรื่องพวกนี้!”“ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเป็นอะไร ที่มีพระราชโองการประกาศออกมาเช่นนี้ สตรีผู้ใดที่ไปทำการหย่าร้างในที่ว่าการปกครอง ทางการล้วนต้องรับเรื่อง”“ยิ่งกว่านั้น พวกเจ้าหน้าที่แต่ละแห่ง เพื่อเสร็จสิ้นการสอบสวน ล้วนทำงานอย่างหนัก! ที่ว่าการอำเภอตรงข้าม แค่เมื่อวานก็หย่าร้างไปแล้วแปดคน!”ชายขายผักคนหนึ่งพูดขึ้นมา“ล้วนเป็นเพราะฮองเฮา นำมาซึ่งการปฏิบัติตนที่ไม่ดี! สตรีขอหย่าร้าง อำนาจสามีอยู่ที่ใด!”สตรีที่อยู่ด้านข้างผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง
แคว้นหนานฉีจะมีการรวบรวมผลสถิติเปรียบเทียบในทุก ๆ สามปี เพื่อได้ทราบข้อมูลประชากรของแผ่นดิน โดยเฉพาะจำนวนการเกิด จำนวนการตาย ตลอดจนรายละเอียดของคนอายุมากถึงแปดสิบ เด็กอายุน้อยถึงหกขวบ รวมถึงส่วนสูง รูปลักษณ์หน้าตาเมื่อหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎรเข้าวังมารายงานการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หลังจากการตรวจสอบข้อมูลเป็นเวลาหลายเดือนในปีที่แล้ว แคว้นหนานฉีอาจเกิดวิกฤตการณ์ในระหว่างชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน จำนวนผู้หญิงมีน้อยกว่าผู้ชายมาก ในผู้ชายจำนวนสิบคน มีเพียงคนเดียวที่สามารถได้แต่งงานยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายบางคนที่มีเมียเยอะ มากชู้หลายเมีย ทำให้ผู้ชายมากมายไม่มีภรรยาทหารรักษาการณ์ชายแดน ส่วนใหญ่ไม่ได้แต่งงานหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผ่านไปยี่สิบปี แคว้นหนานฉีคงไม่มีทหารแล้วดังนั้น เซียวอวี้ยอมที่จะเปิดคลังแผ่นดิน ส่งเสริมกระแสการหย่าร้างในหมู่บ้านชาวบ้านขอเพียงทำให้มีผู้หญิงมากมายรอที่จะมีคู่ครอง จึงจะสามารถรักษาความสมดุลในการแต่งงานแน่นอนว่านอกจากเหตุผลอย่างเป็นทางการแล้ว เขาก็ยังมีความคิดเห็นส่วนตัวอยู่บ้างเขาเพิ่งสูญเสียฮองเฮาไป จะยอมเห็นคนอื่นรักใคร่ อยู่กัน
“เมิ่งสิงโจว? แม่ทัพน้อยเมิ่งของค่ายเป่ยต้าคนนั้นหรือ?” ฝ่ายชายขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีเขาเคยได้ยินมาก่อน แม่ทัพน้อยเมิ่งคนนั้นมีวรยุทธสูงมากสายตาหญิงสาวสวมม่านคลุมหน้าฉายแววไอสังหาร พร้อมพูดกับฝ่ายชายอีกครั้ง“หากเจ้าสามารถฆ่าเมิ่งสิงโจว ประมุขพรรคจะต้องแต่งตั้งให้เจ้าเป็นราชาอย่างแน่นอน”“เพราะเหตุใด?” ถึงแม้ฝ่ายชายจะอยากได้คุณความดี แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้บนมือหญิงสาวสวมสร้อยข้อมือมุก ในระหว่างที่เคลื่อนไหวเล็กน้อย ส่งเสียงกระดิ่งกระทบกันดังชัดไพเราะน่าฟังหญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า“เพราะ...คุณชายใหญ่”ฝ่ายชายเข้าใจขึ้นมาทันที“หรืออาการบาดเจ็บของคุณชาย เป็นเพราะเมิ่งสิงโจว?”เขารู้เพียงว่า เมื่อประมาณห้าหกปีก่อน ลูกชายเพียงคนเดียวของประมุขพรรค จู่ ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวิธีทำให้ฟื้นขึ้นมาได้คนร้ายก็ไม่อาจสืบรู้ชัดเจนมาตลอดหญิงสาวพยักศีรษะ น้ำเสียงอ่อนหวานมีเสน่ห์“ใช่ คือเมิ่งสิงโจว“นี่เป็นความลับระหว่างเจ้ากับข้า“หากเจ้าสามารถฆ่าเมิ่งสิงโจวได้ก่อนที่ประมุขพรรคจะออกมา ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีผู้ใดสามารถแย่งตำแหน่งราชามังกรดำกับเจ้า”ฝ่ายช
ยามปกติเฟิ่งจิ่วเหยียนมักจะฟันดาบและเล่นปืน ไม่มีเวลาว่างก็ปลูกดอกไม้ดอกหญ้าเซียวเหยาจวีในอดีต สิ่งที่เห็นค่อนข้างเหี่ยวเฉาแต่วันนี้นางเดินเข้ามา สิ่งที่มองเห็น คือดอกไม้สีสันสวยสดงดงามมีนกเกาะเรียงแถวอยู่บนกิ่งก้าน ร้องจ้อกแจ้กจอแจ มีชีวิตชีวาอย่างมากสาวใช้ไฉ่เยว่ยุ่งอยู่กับงานในเรือน มองเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนแรก ต่อให้นางสวมหน้ากากไว้ แต่งตัวเป็นชาย“ท่านกลับมาแล้วหรือ!” ดวงตาไฉ่เยว่เป็นประกาย รีบวางไม้กวาดในมือ ต้อนรับนางเข้าไปในบ้านเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไม่เห็นใครอื่น จึงถามขึ้นมา “เวยเฉียงล่ะ?”ไฉ่เยว่รินน้ำชาให้นางไปด้วย ตอบไปด้วยว่า“หมอเทวดาซ่งพาคุณหนู ไปเด็ดดอกไม้ข้างหลังเขาแล้วเจ้าค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“เด็ดดอกไม้?”ชายเดี่ยวหญิงโสด ไม่เป็นการเหมาะสมต่อให้นางเชื่อมั่นในความมีศีลธรรมของซ่งหลี...เพิ่งพูดเสร็จ นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากไกลจนใกล้เข้ามาเมื่อลุกขึ้นมามองดู ก็เห็นซ่งหลีกับเวยเฉียงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่มา บนศีรษะเวยเฉียงยังสวมมงกุฎดอกไม้ ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย รอยยิ้มสดใสยิ่งกว่าดอกไม้ซ่งหลีสวมเสื้อผ้าธรรมดา ในมือถือตะกร้าไ
ฮูหยินเมิ่งถูกลักพาตัวไป โจรทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับ ระบุชัดเจนว่าให้แม่ทัพน้อยเมิ่งเปิดอ่านด้วยตนเองยามที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินทางมาถึงจวนแม่ทัพ ก็เห็นอาจารย์นั่งอยู่ในห้องโถงหลักตามลำพัง สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ได้ยับยั้งอารมณ์ความรู้สึกไว้ พยายามรักษาความสงบสติไว้มากที่สุด เพื่อจะสามารถคิดหาวิธีได้อย่างรอบคอบ“อาจารย์...”“จดหมายฉบับนี้ เจ้าดูก่อน” เมิ่งฉวียื่นจดหมายให้กับนาง พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาจดหมายนั้นผ่านการเปิดดูแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบเปิดอ่าน ดูเนื้อหาข้างในอย่างชัดเจนระบุใจความสั้น ๆ ให้นางไปตามนัดลำพัง ไปยังภูเขาหวู่หยาง เพื่อเปลี่ยนตัวอาจารย์หญิงกลับมา“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ลังเลเลยเมิ่งฉวีรีบลุกขึ้นมาห้ามนางไว้“ใจเย็นหน่อย! อาจารย์หญิงของเจ้าถูกลักพาตัว ข้าเป็นห่วงยิ่งกว่าเจ้า”“แต่เจ้าไปเสียแบบนี้ ข้ากลัวว่าเจ้าก็จะตกอยู่ในมือของพวกเขา”เมิ่งฉวีผ่านศึกสู้รบมานาน ย่อมดูออกว่า นี่เป็นแผนการที่พุ่งเป้าหมายยังเฟิ่งจิ่วเหยียน ต้องการหลอกล่อให้ไปติดกับดักเฟิ่งจิ่วเหยียนกำจดหมายเป็นก้อน“อาจจะเป็นคนของพรรคเทียนหลง”เมิ่งฉวีผงกหัว“ข
บนยอดเขาลมแรงมาก พัดจนชายอาภรณ์กับเส้นผมเฟิ่งจิ่วเหยียนพลิ้วไหวนางไม่ได้พกอาวุธมาด้วย รับมือกับคนพวกนี้ หมัดมือเปล่าก็เพียงพอแล้วแต่ฮูหยินเมิ่งอยู่ในมือของอีกฝ่ายหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลิ่วเฉวียนมองดูกลุ่มคนที่ล้มกองบนพื้น ค่อยเข้าใจขึ้นมาว่า สตรีตรงหน้าผู้นี้ ทำไมถึงถูกขนานนามว่าเป็น “เทพสงคราม” ของค่ายเป่ยต้าเดิมเขาคิดว่า แม่ทัพของราชสำนัก ล้วนเป็นพวกไม่ได้เรื่อง ได้แค่สั่งให้ทหารภายใต้อำนาจไปทำศึกเวลานี้เขาค่อยเข้าใจว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างน้อยแม่ทัพน้อยเมิ่งคนนี้ มีความสามารถที่แท้จริงหลิ่วเฉวียนเห็นคนของตนเองล้มลงทีละคน ก็รีบเอาดาบเล่มใหญ่จ่อบนคอฮูหยินเมิ่ง พร้อมหันไปตะโกนใส่เฟิ่งจิ่วเหยียน“หยุดนะ! ไม่อย่างงั้นข้าจะฆ่านาง!”ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หยุดลงมือในขณะเดียวกัน ตรงหน้ามีผงยาพิษสาดมาอย่างกะทันหันดวงตาของนางปวดแสบขึ้นมาทันทีหลิ่วเฉวียนฉกฉวยโอกาสเรียกคนอื่น “ลงมือพร้อมกัน! สังหารนาง!”ทว่า ต่อให้ดวงตาบาดเจ็บ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังสามารถใช้การฟังแยกแยะตำแหน่งนางหลบเลี่ยงการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วหลิ่วเฉวียนจ้องมองดูกระบวนท่าการต่อสู้ขอ
จวนแม่ทัพฮูหยินเมิ่งจัดการทำแผลให้เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตนเอง โดยเฉพาะดวงตาโชคดีที่ได้รับการรักษาทันเวลา ไม่ก่อให้เกิดอันตรายอะไรมากนางพันผ้าพันแผลรอบดวงตาเฟิ่งจิ่วเหยียน ภายในช่วงเวลาอันสั้น ห้ามโดนแดดแรง ห้ามโดนน้ำไม่นาน แม่ทัพเมิ่งก็มาเคาะประตูอยู่ข้างนอก“เข้ามา” น้ำเสียงฮูหยินเมิ่งเย็นชาหลังจากแม่ทัพเมิ่งเข้ามาแล้ว มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่แวบหนึ่ง แล้วก็รีบถามภรรยา“ดวงตาเป็นอะไรหรือไม่?”ในใจฮูหยินเมิ่งยังคงหวาดผวาอยู่“เจ้ายังมีหน้าถาม?”“เตรียมการไว้พร้อมตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงยังทำให้จิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บ ครั้งนี้เป็นเพราะว่าโชคดี หากเป็นยาพิษชนิดรุนแรง มองไม่เห็นไปชั่วชีวิต จะทำยังไง!”แม่ทัพเมิ่งไม่โต้เถียงใด ๆ ก่อนหน้านี้ที่เห็นดวงตาเฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บ เขาก็เป็นกังวลอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายขึ้นมาอย่างสงบ“อาจารย์หญิงอย่าโกรธเลย“อาจารย์ทำไปก็เพื่อจับตัวไส้ศึกภายในจวน“ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายให้ข้าไปคนเดียว...”ฮูหยินเมิ่งรีบพูดขึ้นมา“ไส้ศึกคนนั้น จับตัวได้แล้วหรือยัง?”แม่ทัพเมิ่งผงกศีรษะต่อเนื่อง พร้อมพูดขึ้นมาอย่างยิ
หยางเหลียนซั่วมิเคยคิดเลยว่า ตนเองจะมีบุตรสาวแท้ ๆ กับเขาด้วยเขาไม่เชื่อหร่านชิวก็ไม่เชื่อเช่นกัน“ท่านแม่! ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกัน!”คนพวกนี้เพียงเพราะต้องการช่วยเหลือนาง ถึงได้เอ่ยคำโกหกเหล่านี้ออกมางั้นหรือ?เมื่อเห็นว่าหยางเหลียนซั่วยังมีเจตนาที่ต้องการจะสังหารบุตรสาวของตนเองอีกครั้ง ฮูหยินหร่านจึงเปิดเผยเรื่องราวที่แท้จริงในปีนั้นออกมาโดยมิสนสิ่งใดอีก“หยางเหลียนซั่ว! ท่านจำมิได้หรือ... ในปีนั้น ยามที่ท่านฝึกฝนวิชามารได้ไม่นาน เกิดธาตุไฟเข้าแทรก จึงจำความสิ่งใดมิชัดแจ้ง ถึงได้ ถึงได้ทำให้ข้าได้รับความอับอายเช่นนั้น!“หร่านชิวคือบุตรสาวของท่าน! เป็นบุตรสาวที่ข้าตั้งครรภ์ในคืนนั้น!”หยางเหลียนซั่วก่นด่าสาปแช่งออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“นังสารเลว! ผู้ที่ธาตุไฟเข้าแทรกคือเจ้าต่างหาก!”หร่านชิวเมื่อเห็นมารดาของตนเองสำลักออกมาเป็นเลือดไม่มีหยุดนั้น พร้อมทั้งร่างกายที่ค่อย ๆ เย็นชืดนางพยายามประคองมารดาของตนเอง “ท่านแม่ ท่านมิต้องพูดอันใดแล้ว ท่านมิควรมาที่นี่!”กำลังภายในในร่างกายของหยางเหลียนซั่วนั้นกำลังเกิดการปั่นป่วนยิ่งนัก หากแต่ถูกเขากดมันเอาไว้หยางเหลียนซั่วนึกหง
หร่านชิวที่เป็นผู้ฝึกตนวิชาดาราโรยหมื่นวิถีนั้น กำลังดูดซับกำลังภายในของหยางเหลียนซั่ว จนทำให้ทักษะของนางเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากทั้งนางและหยางเหลียนซั่วต่างก็ต่อกรกันตั้งแต่พื้นดินจนไปถึงบนภูเขา ทว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนตัวไปที่ใด ทั้งฝุ่นควันเศษหินต่างก็ปลิวว่อนตลบอบอวลไปหมดในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง กองทัพหนานฉีก็กำลังโรมรันกับกองทัพเยี่ยนรองแม่ทัพเยี่ยนที่เห็นเงาของหยางเหลียนซั่วเลือนรางนั้น ภายในใจนึกเป็นกังวลยิ่งนักมิใช่กล่าวว่าตนเองสามารถสังหารฮ่องเต้หนานฉีได้อย่างง่ายดายงั้นหรือ?เหตุใดยามนี้ถึงยังไม่ยอมจัดการเล่า?ฝั่งของเขาใกล้จะต้านไม่ไหวเต็มทีแล้ว!เมื่อพบเจอกับการซุ่มโจมตีของกองทัพหนานฉีหลายต่อหลายครั้งเช่นนี้ ยามที่พวกเขาคิดว่าสามารถจัดการได้แล้วนั้น ก็มักจะมีคนกลุ่มใหม่พุ่งเข้ามาต่ำช้ายิ่งนัก!เหล่าทหารของกองทัพเยี่ยนต่างก็หวาดผวาไปในทันทีแม่ทัพใหญ่กองทัพฉีกวนไหลอิ้งขี่ม้าบุกเข้ามา พลางร้องตะโกนออกมาว่า“กองทัพเยี่ยนจงฟัง ท่านแม่ทัพของเรากล่าวว่า ตราบใดที่พวกเจ้ายอมวางอาวุธ ถอดชุดเกราะออก และโยนหมวกเหล็กบนหัวทิ้งไปเพื่อยอมจำนนนั้น ก็จักอนุญาติให้กองทัพเยี่
“พวกเจ้ายังคิดที่จะโกหกข้าอีกหรือ! ซูฮ่วน เจ้าสมควรตาย!” หยางเหลียนซั่วไม่มีทางที่ถูกคำพูดยั่วยุของพวกเขาทำให้ไขว้เขวอีกต่อไปเขาหาได้คิดฟังสิ่งใดไม่ พลางสูบฉีดกำลังภายในของตงฟางซื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนชักดาบของตนเองออกมาในทันที ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าไป ราวกับนกนางแอ่นที่บินได้อย่างคล่องแคล่ว พลางพุ่งตรงไปที่หยางเหลียนซั่ว...หูทั้งสองข้างของหยางเหลียนซั่วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังดาบอันแหลมคมที่เข้ามาใกล้ ๆ เขาเอียงตัวไปด้านข้าง ถูกบังคับให้เก็บพลังภายในกลับตงฟางซื่อถือโอกาสหลุดพ้นออกมาและล้มลง หลังของเขากระแทกกับพื้นหินอันขรุขระไปในทันที พร้อมด้วยผมเผ้าที่กระจัดกระจายออกมาหยางเหลียนซั่วมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปโต้กลับเฟิ่งจิ่วเหยียนภายในใจของเขาที่มีจิตใจอาฆาตแค้นนั้น อยากที่จะสังหารนักฆ่าที่ปลิดชีพบุตรชายของตนเป็นอย่างยิ่ง!ทว่า หยางเหลียนซั่วหาได้โจมตีออกไปโดยตรงไม่ แต่กลับเคลื่อนที่ไปที่ข้างหลังของนางแทนพร้อมทั้งฝ่ามือที่กำลังจะกระแทกมาที่หลังของนาง“ซูฮ่วน! ระวัง!” ตงฟางซื่อร้องเตือนผัวะยามที่เฟิ่งจิ่วเหยียนหันหน้ากลับมานั้น เป็นเซียวอวี
“หยางเหลียนซั่ว ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวออกมาเสียที!”บนเนินเขา ตงฟางซื่อพร้อมทั้งเหล่าสหายในยุทธภพมากมายมารวมตัวกันจัดตั้งค่ายกลเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ได้ติดต่อกับพวกเขามาก่อนหน้านั้น การซุ่มโจมตีกานโจวในครานี้ ไม่เพียงแต่เพื่อกองทัพเยี่ยนเท่านั้น แต่ยังเพื่อจับกุมหยางเหลียนซั่วอีกด้วยถึงแม้ว่าหยางเหลียนซั่วจักสามารถระบุตำแหน่งได้จากการฟังเสียงก็ตาม แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวพอสมควรอีกทั้ง กานโจวแห่งนี้เป็นสถานที่ที่หยางเหลียนซั่วไม่คุ้นชินอีกด้วยผมเผ้าของหยางเหลียนซั่วที่มิได้มัดให้เรียบร้อยนั้น ทว่า ดวงตาทั้งสองข้างกลับถูกมัดด้วยผ้าสีดำ หูของเขาตั้งขึ้นเพื่อพยายามแยกแยะเสียงอย่างเต็มที่“เซียวอวี้! ซูฮ่วน! พวกเจ้าสองคน ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”อย่างแรก เขาต้องการหวนคืนแว่นแคว้น อย่างที่สองเขาต้องการแก้แค้นพวกมันสองคนสังหารบุตรชายของเขา แค้นในครานี้อย่างไรก็ต้องชำระ!เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่บนที่สูง พลางก้มมองดูเขาอย่างเย็นชาผู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางนั้นคือเซียวอวี้เหล่าแม่ทัพคนอื่น ๆ ก็นำกองกำลังของตนออกไปสู้รบกับกองทัพเยี่ยนที่เนินเขาด้วยกำลังพลเพียงแค่ห้าพันนายเท่านั้น
เมื่อเป่ยเยี่ยนต้องการถอยทัพนั้น หาใช่เรื่องดีสำหรับหยางเหลียนซั่วไม่เขาจึงเข้าพบฉินเซียวในทันที“ท่านแม่ทัพ นี่เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมของพวกฉีเท่านั้น…”กองทัพใหญ่ได้เคลื่อนย้ายแล้ว ฉินเซียวมิต้องการฟังเรื่องไร้สาระอันใดจากเขาอีก“หยางเหลียนซั่ว เป็นเพราะเจ้ากล่าวว่าพวกเรามีโอกาสได้ชัย ฝ่าบาทจึงส่งกองกำลังเสริมมาให้กับพวกเราแน่! พวกเราหาได้มีความคิดที่จะต้องมารบกับหนานฉีจริง ๆ ไม่! ยามนี้งามหน้ายิ่งนัก เรื่องของเจ้าก็มิอาจจัดการได้สำเร็จ ยังมาทำให้พวกเราต้องสูญเสียกองกำลังอีกครึ่งหนึ่งไปอีก!“แม่ทัพเช่นข้านึกสงสัยยิ่งนัก ว่าเจ้าร่วมมือกับเซียวอวี้เพื่อมาทำลายเป่ยเยี่ยนของข้าใช่หรือไม่!“ไสหัวไป! คิดว่าตนเองเป็นใครกัน ถึงจะมาให้พวกข้าทำงานถวายชีวิตให้กับเจ้า?”ใบหน้าของหยางเหลียนซั่วพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาไปในทันทีเพียงแค่เขาโบกมือเล็กน้อยก็คว้าเข้าที่คอของฉินเซียวฉินเซียวตกใจยิ่งนักทั้งยังเจือไปด้วยความโกรธเกรี้ยว“หยางเหลียนซั่ว...เจ้า...”ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่ากำลังภายในที่ร่างกายของเขากำลังรั่วไหลออกมาหยางเหลียนซั่วที่กำลังดูดซึมกำลังภายใน พลางเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีเคร
เมื่อปีใหม่มาเยือน กองทัพหนานฉีจึงเริ่มโจมตีกลับเป็นระลอก ๆ การโจมตีกลับในครานี้เป็นเพียงแค่การยั่วยุเท่านั้น หาใช่การสู้รบจริง ๆ ไม่ดูเหมือนจะมิเป็นอันตรายอันใด ทว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งทั้งวันทั้งคืนเข้า ก็ทำเอาทั้งกองทัพเยี่ยนตกอยู่ในความวิตกกังวลตลอดเวลาหลังจากเป็นเช่นนี้ไปนานครึ่งเดือนนั้น ตกกลางคืน พลันเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นภายในค่ายกองทัพเยี่ยน...“ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพ! ค่ายแตกขอรับ!”ค่ายแตกในที่นี่หมายถึงค่ายเกิดการจลาจลปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ทว่า นับเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อกองทัพเป็นอย่างมากฉินเซียวลุกขึ้นมาในทันที เหล่าองครักษ์จึงกรูเข้าอารักขาเขา พลางกล่าวคำรามออกมาว่า“คุ้มกันท่านแม่ทัพหนีออกไป!”การจลาจลในค่ายพลันเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดคิดเพียงแค่ทหารนายหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมาว่า “ฆ่า” พลางทำเอาทหารภายในกองทัพหันมาห้ำหั่นกันเอง กองทัพเยี่ยนในยามนี้พลันตกอยู่ในความสับสนอลหม่านไปในทันทีเหล่าทหารกองทัพเยี่ยนในยามนี้คล้ายกับแมลงวันที่ไร้หัว พวกเขารีบร้อนลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้า พลางกรีดร้องออกมาด้วยความโกลาหลวุ่นวายในส
มังกรไฟที่หนานฉีลากออกมา จะทำให้กองทัพเยี่ยนถูกโจมตีอย่างหนักก่อนหน้านี้ กองทัพเยี่ยนคิดไปเองว่า การสร้างปืนหอกไฟที่มีเฉพาะของหนานฉีขึ้นมา จะทำให้เป่ยเยี่ยนไร้คู่ต่อกร ผู้ใดจะคิดว่า หนานฉีก็แอบลักจำเช่นกัน!แม่ทัพใหญ่ของกองทัพเยี่ยน---ฉินเซียวก็มิอยากเชื่อ เขาจักต้องเห็นด้วยตาตนเอง มิเช่นนั้น ยากจะรับประกันได้ว่ากองทัพฉีมิได้หลอกลวง!หลังจากเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นฐานมังกรไฟของกองทัพฉี ก็เหมือนกับของเป่ยเยี่ยนพวกเขาทุกประการ!กองทัพฉียังส่งคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ลากมังกรไฟไปทางด้านกองทัพเยี่ยนของพวกเขา มังกรไฟของทั้งสองแคว้นเฉียดผ่านกันไป สถานการณ์ทำเอาคนพูดไม่ออกกองทัพฉียังคงโห่ร้อง“ฮ่องเต้พวกเราตรัสว่า ขอบคุณเป่ยเยี่ยนที่ส่งกระสุนมังกรไฟมาให้!”ฉินเซียวมือไม้อ่อนแรงขึ้นมาทันทีกระสุนมังกรไฟลูกนั้นมอบให้กลุ่มกบฏพรรคเทียนหลง เพื่อช่วยพวกเขาก่อความวุ่นวาย และสังหารฮ่องเต้ตอนนี้กลับมาปรากฏอยู่ที่นี่!หากหนานฉีมีมังกรไฟจริง ๆ แผนการของเขาก็คงใช้กันไม่ได้แล้วมิใช่แค่เพียงกองทัพเยี่ยน แม้แต่เหล่าทหารหนานฉีในด่านเฉาอวี๋ ในเวลานี้ต่างตะลึงงัน และประหลาดใจอย่างที่สุดแม่ทัพใหญ่ก
เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดเกราะ เซียวอวี้เห็นแล้ว ในใจรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที“เจ้าจะทำอะไร มิใช่พูดแล้วหรือว่า เรื่องสำคัญอันดับแรกของเจ้าคือการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ”เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งและใจเย็น“อาการบาดเจ็บของหม่อมฉันไม่ร้ายแรง หากอยู่ที่นี่ไปตลอด ในทางตรงกันข้ามร่างกายจะยิ่งไม่สบาย“การขับไล่กองทัพเยี่ยน เรื่องนี้ไม่ควรรอช้า ยิ่งไปกว่านั้นหยางเหลียนซั่วก็อยู่ที่กองทัพเยี่ยนด้านนั้นด้วย การจัดการพวกเขาโดยเร็วที่สุด ถึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก”เซียวอวี้ไม่เห็นด้วยเขาขวางนางไว้ แววตาดูเคร่งขรึม“เราไม่อนุญาต อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี จะได้รับบาดเจ็บไม่ได้อีก”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจริงจัง“หม่อมฉันจะดูแลตนเองให้ดี”“จิ่วเหยียน เจ้า...”เขายังคิดจะเกลี้ยกล่อมนาง ทว่าด้านนอกกลับได้ยินเสียงรายงาน“ฝ่าบาท กองทัพเยี่ยนตะโกนโวยวาย ให้เราส่งมอบตัวซูฮ่วน มิเช่นนั้นจะเปิดฉากสงคราม”ชายแดนด้านตะวันออกด้านนอกด่านเฉาอวี๋ กองทัพเยี่ยนมืดฟ้ามัวดิน ธงรบสีแดงถูกลมพัดเสียงดังพรึ่บพรั่บกองทัพทั้งสองประจันหน้ากัน แม่ทัพใหญ่ของกองทัพเยี่ยนฉินเซียวท่าทางหยิ่งทะนงเพราะด้านหลัง
เซียวอวี้โอบกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขนไว้ ไม่อยากให้นางเห็นน้ำตาที่ควบคุมไม่ได้นั้นโธ่เอ๊ย!บุรุษไม่ควรหลั่งน้ำตาง่าย ๆ แล้วเขาร่ำไห้ได้อย่างไร!ช่างอับอายขายหน้าจริง ๆ !ทว่า...รู้สึกอิ่มเอมใจในที่สุดจิ่วเหยียนก็บอกว่ารักเขาความรู้สึกของเซียวอวี้ผสมปนเปกัน เขาหอมที่แก้มนาง“เจ้าพูดอะไร? เมื่อครู่เราไม่ได้ยิน”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจริงจัง“ไม่ได้ยินหรือ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”มือสองข้างของเซียวอวี้ประคองใบหน้านางขึ้นมาทันที “ใจร้ายนัก เจ้าตั้งใจ เราก็แค่อยากได้ยินเจ้าพูดอีกครั้ง มิได้หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนดึงมือของเขาออก จากนั้น เงยคางขึ้น แตะลงไปที่ข้างริมฝีปากเขาเบา ๆ“เพคะ หม่อมฉันรักท่าน…”ในสมองของเซียวอวี้ราวกับพลุดอกไม้ไฟระเบิดขึ้น โชติช่วง สุกสกาว ไม่มีวันร่วงโรยแขนสองข้างของเขาโอบตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ ราวกับได้กินน้ำผึ้งมิปาน รู้สึกมีความสุข“จิ่วเหยียน เราดีใจจริง ๆ ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ตายก็ไม่เสียใจจริง ๆ!”ต่อมาฟังนางเล่าเรื่องราว ถึงรู้ว่าสิ่งที่นางประสบพบเจอนั้นเสี่ยงอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่หิมะถล่มใกล้เข้ามา ตามสามัญสำนึก ควรจะวิ่งไปด้านข้าง ทว่