จวนแม่ทัพฮูหยินเมิ่งจัดการทำแผลให้เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตนเอง โดยเฉพาะดวงตาโชคดีที่ได้รับการรักษาทันเวลา ไม่ก่อให้เกิดอันตรายอะไรมากนางพันผ้าพันแผลรอบดวงตาเฟิ่งจิ่วเหยียน ภายในช่วงเวลาอันสั้น ห้ามโดนแดดแรง ห้ามโดนน้ำไม่นาน แม่ทัพเมิ่งก็มาเคาะประตูอยู่ข้างนอก“เข้ามา” น้ำเสียงฮูหยินเมิ่งเย็นชาหลังจากแม่ทัพเมิ่งเข้ามาแล้ว มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่แวบหนึ่ง แล้วก็รีบถามภรรยา“ดวงตาเป็นอะไรหรือไม่?”ในใจฮูหยินเมิ่งยังคงหวาดผวาอยู่“เจ้ายังมีหน้าถาม?”“เตรียมการไว้พร้อมตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงยังทำให้จิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บ ครั้งนี้เป็นเพราะว่าโชคดี หากเป็นยาพิษชนิดรุนแรง มองไม่เห็นไปชั่วชีวิต จะทำยังไง!”แม่ทัพเมิ่งไม่โต้เถียงใด ๆ ก่อนหน้านี้ที่เห็นดวงตาเฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บ เขาก็เป็นกังวลอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายขึ้นมาอย่างสงบ“อาจารย์หญิงอย่าโกรธเลย“อาจารย์ทำไปก็เพื่อจับตัวไส้ศึกภายในจวน“ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายให้ข้าไปคนเดียว...”ฮูหยินเมิ่งรีบพูดขึ้นมา“ไส้ศึกคนนั้น จับตัวได้แล้วหรือยัง?”แม่ทัพเมิ่งผงกศีรษะต่อเนื่อง พร้อมพูดขึ้นมาอย่างยิ
ไส้ศึกคนนั้นออกมาจากพรรคเทียนหลงหลายปีแล้ว ปนเปื้อนไปด้วยความปรารถนาทางโลกเพื่อความอยู่รอด อยากสู้เพื่อหาทางออกให้กับตัวเองเขาอยากมีชีวิตรอด จึงยอมบอกทุกอย่างให้เฟิ่งจิ่วเหยียนรับรู้“ประมุขพรรคต้องการ...ต้องการสังหารเจ้า เพราะ เจ้าทำร้ายลูกชายคนเดียวของประมุขพรรค!”ท่าทีเฟิ่งจิ่วเหยียนฉงนใจลูกชายประมุขพรรคเทียนหลงหรือ?“เมื่อไหร่ ที่ไหน” นางถามขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชาไส้ศึกกัดฟันอดกลั้นไว้ พูดออกมาไม่กี่คำ“หมู่บ้านอวิ๋นซาน คดีฆ่าล้างตระกูล แม่ทัพน้อย...จำไม่ได้แล้วหรือ?”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนขาวซีดเล็กน้อยนั่นเป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นนางตามอาจารย์กับอาจารย์หญิงเพิ่งมาถึงชายแดนเหนือ ยังไม่ได้เข้าค่ายทหารอย่างเป็นทางการตอนที่เดินทางผ่านหมู่บ้านอวิ๋นซาน นางเห็นเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลด้วยตาตนเองผู้กระทำผิดคือเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบขวบ เหิมเกริมหยิ่งผยองวันนั้นมีงานมงคลในหมู่บ้าน เขาพาลูกน้องหลายคนมาก่อเรื่อง สั่งให้เจ้าบ่าวโขกหัวคำนับเขา เจ้าบ่าวไม่ยอม เด็กชั่วคนนั้นจึงสั่งคนของเขาฆ่าเจ้าบ่าว พร้อมข่มเหงเจ้าสาวต่อหน้าทุกคนพ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกมาห้าม ก็ถูกเด็กชั่
พ่อลูกตระกูลเจินไม่คาดคิดว่า ฝ่าบาทจะอารมณ์ดีเช่นนี้เจินเจินเงยศีรษะขึ้นมา ใบหน้างดงามสุขุม“กราบทูลฝ่าบาท ข้าฝึกเรียนทวนยาวมาตั้งแต่เด็ก”เซียวอวี้มองดูนางด้วยท่าทีเรียบเฉย สายตามองไกลออกไปราวกับมองผ่านนางไปยังอีกคนหนึ่ง“ทวนยาวฝึกยาก เจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ถือว่าหาได้ยาก”หลิวซื่อเหลียงที่อยู่ด้านข้างอึ้งตะลึงผ่านมาช่วงหนึ่งแล้ว ที่ฝ่าบาทไม่ได้คุยกับผู้ใดอย่างสงบเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการชมผู้ใดบุตรสาวตระกูลเจินคนนี้ อาจมีอนาคตสร้างสรรค์เวลาที่ผ่านมา ความตั้งใจที่เจินเจินอยากเป็นทหารนั้น ทางบ้านไม่เห็นด้วย วันนี้ได้ยินฝ่าบาทชมตนเอง ราวกับได้เจอคนเข้าใจกัน ในใจตื้นตันอย่างมาก“ฝ่าบาท ข้าคิดว่าไม่ว่าชายหรือหญิง ล้วนควรมีความทะเยอทะยานที่จะอุทิศตนเพื่อรับใช้ประเทศ วิชาการใช้ทวนของข้า หากได้เจอกับยอดฝีมือจริง ๆ ก็เป็นเพียงสอนจระเข้ว่ายน้ำ”“แต่ข้ามีความตั้งใจ”“ค่ายเป่ยต้ามีกองกำลังหญิง ข้าก็คาดหวังว่า เมืองหลวงก็สามารถก่อตั้งกองกำลังหญิง!”ดวงตาเจินเจินเปล่งประกายแวววาว มองดูจักรพรรดิหนุ่ม ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวงเจินหรูไห่ผู้เป็นพ่อร้อนใจดั่งเพลิงไหม้“ฝ่าบาท
หลังจากตรวจดูค่ายทหารเสร็จ ฮ่องเต้ก็เสด็จกลับพระราชวังขุนพลหลายคนมาพบเจินหรูไห่เป็นการส่วนตัวเพื่อแสดงความยินดี“แม่ทัพเจิน เจ้าซ่อนบุตรสาวไว้ดีเกินไปแล้ว ถ้าเข้าวังไปแต่แรกคงจะดี”“ยามนี้ยังไม่สายเกินไปหรอก! พี่เจิน บุตรสาวของท่านได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ช่างมีอนาคตเสียจริง!”เจินหรูไห่รู้สึกกระวนกระวายราวกับมีกวางกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่ในใจของเขา นี่เขากำลังจะได้เป็นพ่อตาของฮ่องเต้แล้วหรือ?เช่นนั้นวันนี้ก็นับว่าในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอย่างแท้จริง!เมื่อเจินเจินได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงรีบดึงเจินหรูไห่ไปอีกฝั่ง“ท่านพ่อ เหตุใดฮ่องเต้ถึงมาสนใจข้าได้เล่า?”เจินหรูไห่ยิ้มให้นางอย่างเมตตาและอ่อนโยน“ยามที่เจ้ากำลังเล่นทวนยาว ฮ่องเต้มองเจ้าไม่วางตา นี่ยังไม่ใช่ถูกใจเจ้าเข้าอีกหรือ? ลูกเอ๋ย เจ้าจะต้องคว้าโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้ดี ฮ่องเต้ไม่เคยเลือกรับนางสนมด้วยพระองค์เองมาก่อนเลยนะ”เจินเจินย้อนนึกถึงรูปร่างหน้าตาของฮ่องเต้ ช่างรูปงามและองอาจจริง ๆแต่แล้วนางก็รู้สึกอึดอัดและกล่าวเสียงเบา"ความฝันของข้าคือการเป็นแม่ทัพหญิง..."เจินหรูไ
เหลียนซวงที่ถูกฝ่ามือของฮ่องเต้นั้น นางรู้สึกว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของนางกำลังจะแตกสลายทว่านางไม่เสียใจที่พูดคำเหล่านั้นออกไปเมื่อนางฟังซุนหมัวมัวพูดเกี่ยวกับบุตรสาวตระกูลเจิน นางก็ตระหนักว่าประโยคนั้นเป็นเรื่องจริงที่ว่า ความจริงใจของบุรุษนั้น คงอยู่เพียงชั่วครู่นางเองก็เคยรู้สึกว่าคุณหนูจิ่วเหยียนใจร้ายเกินไป นางไม่ควรเหยียบย่ำความจริงใจของฝ่าบาททว่ายามนี้...นางกลับรู้สึกสมน้ำหน้าฝ่าบาท!หากเขาทำใจได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ เหตุใดยามนั้นเขาถึงต้องกักขังคุณหนูจิ่วเหยียนเอาไว้แบบนั้นด้วยแล้วทำไมยามนี้ถึงต้องมาที่ตำหนักหย่งเหอ ราวกับว่าไม่อาจลืมคุณหนูจิ่วเหยียนได้ลงซุนหมัวมัวตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง“ฝ่าบาท เหลียนซวงหมายถึงว่า...”“ไสหัวไป” แววตาของเซียวอวี้เย็นชาและดุร้ายราวกับคลื่นทะเลแห่งความโกรธที่กำลังพลุ่งพล่านซุนหมัวมัวไม่กล้ายุ่งกับไฟโกรธนี้จึงจากไปอย่างรวดเร็วข้าหลวงที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในตำหนักหย่งเหอก็แยกย้ายกันไป ไม่กล้าเข้าใกล้ในลานตำหนักเหลือเพียงเซียวอวี้และเหลียนซวงเขาที่ครอบครองใต้หล้า สวมเสื้อคลุมลายมังกรที่ทำให้ดูสง่างามและเย็นชา ก้าวเข้าใกล้เหลียนซว
ณ ตำหนักหย่งเหอผู้มาประกาศพระราชโองการคือหลิวซื่อเหลียง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับซินเฟยมากเพียงใดหลังจากอ่านพระราชโองการจบ หลิวซื่อเหลียงก็มองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม“เหลียนซวง ท่านอย่าคุกเข่าต่ออีกเลย รีบรับราชโองการไปเถิด“นี่เป็นพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาทเชียว! บ่าวอยู่ในวังมานานปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนได้รับตำแหน่งสนมชั้นเฟยโดยตรง สาวน้อยท่านก้าวถึงสวรรค์ในก้าวเดียว!”มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงวิ่งไปที่ตำหนักหย่งเหออยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าทรงลืมอดีตฮองเฮาไม่ลง แต่เป็นเพราะมีคนล่อลวงฝ่าบาทต่างหาก!ดวงตาของหลิวซื่อเหลียงเต็มไปด้วยความชื่นชมในวังหลวงแห่งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจมองข้ามได้จริง ๆผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าสาวใช้ที่เคยอยู่ข้างกายฮองเฮา จะสลัดร่างกลายเป็นซินเฟยในยามนี้ร่างของเหลียนซวงสั่นเทา“กงกง ข้า...ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่อาจรับราชโองการได้!”นางจะเป็นสนมของฝ่าบาทได้อย่างไร!ทันใดนั้นน้ำตาของเหลียนซวงก็ไหลพรากนางกลัวเหลือเกิน!ฝ่าบาทบ้าไปแล้วจริง ๆ!นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวซื่อเหลียงพบกับเหตุการณ์เช่นนี้“เหลียนซวง หรือว่าท่านดีใจมากเกินไปอย่างนั้นหรือ? ท่าน
หลังมื้อเช้าซุนหมัวมัวก็มาที่ตำหนักหย่งเหอเมื่อนางเห็นเหลียนซวงที่ดูเหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอ นางก็พูดประจบด้วยรอยยิ้ม“คารวะซินเฟยเพคะ!“เมื่อคืนพระสนมทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว นี่คือน้ำแกงบำรุงที่บ่าวตุ๋นให้ท่านด้วยตนเองเพคะ…”นางประเมินสาวน้อยผู้นี้ต่ำเกินไปจริง ๆมิน่าเล่า ไม่ว่านางจะพยายามโน้มน้าวอย่างไร สาวน้อยผู้นี้ก็ไม่ยอมไปจากตำหนักหย่งเหอ ไม่ยอมย้ายไปเกาะขาใหม่ ที่แท้สาวน้อยผู้นี้ก็คิดอยากเป็นผู้สูงศักดิ์เสียเอง!ยามนี้พอมองดูเหลียนซวงคนนี้ดี ๆ ก็นับว่าหน้าตาไม่เลวเลยจริง ๆ แม้จะไม่ถึงขนาดงามล่มเมือง ทว่าก็สวยสดงดงาม เป็นประเภทที่หน้าตาอ่อนโยนนุ่มนวล ทำให้บุรุษรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงชอบพอนางความคิดของซุนหมัวมัวชัดเจนจนผู้อื่นสัมผัสได้“พระสนม บ่าวเองก็เป็นคนเก่าคนแก่ บ่าว... บ่าวอยากกลับมาอยู่ที่ตำหนักหย่งเหอ ท่านเองก็ยังขาดคนที่เชื่อใจได้ ใช่หรือไม่เพคะ?”เหลียนซวงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด"ไม่จำเป็น!"เมื่อซุนหมัวมัวเห็นนางวางมาดใหญ่โตเช่นนี้ก็ไม่พอใจทันที จึงพูดเตือนสตินางอย่างเหน็บแนม“พระสนม ท่านทรงลืมเรื่องที่ผ่านมาแล้วหรือ?“ทรงรู้หรือไม่ว่าผู้อื่นมอง
สาเหตุที่เมืองเซวียนเกิดการกบฎขึ้น เป็นเพราะเหล่าทหารไม่พอใจที่ราชสำนักให้เบี้ยเลี้ยงน้อยนิด เมื่อต่อสู้เรียกร้องไปก็ไร้ผล จึงก่อกบฏขึ้นพอก่อกบฏ จวนจู้กั๋วกงก็ต้องพบกับภยันตราย ราษฎรออกมาต่อต้านเป็นจำนวนมากเมืองเซวียนนี้เป็นป้อมปราการสำคัญที่ใช้ในการควบคุมขนส่งเสบียง เป็นเส้นทางที่ทหารจำเป็นต้องผ่านกลยุทธ์สร้างความวุ่นวายที่จุดยุทธศาสตร์นี้ทำให้ทั้งราชสำนักและประชาชนตื่นตกใจฤดูใบไม้ผลิ แสงอาทิตย์สาดส่อง เดิมควรมีบรรยากาศที่ดี ทว่าที่เมืองเซวียนกลับมีหมอกควันแห่งความทุกข์ปกคลุมไปทั่วเมืองด้านนอกประตูเมือง อู๋ไป๋กำลังคุมรถม้าและดึงบังเหียนให้ม้าหยุดจากนั้นเขาก็เปิดผ้าม่านออกแล้วเสนอว่า“ท่านแม่ทัพน้อย เมืองเซวียนเกิดความไม่สงบขึ้น พวกเราคงต้องอ้อมไปแล้วขอรับ”ด้านในรถม้าบาดแผลที่ตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนหายดีแล้ว ทว่าช่วงนี้ยังไม่อาจมองแสงที่จ้าเกินไปได้นางวางม้วนหนังสือในมือลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“อ้อมไปทางทิศตะวันออก”ตามข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกับสายสืบนั่นมา กากเดนบางส่วนที่เหลืออยู่ของพรรคเทียนหลงอยู่ที่เมืองผางเดิมแผนการของนางคือลงไปทางใต้ ไล่ฆ่าจนถึงเมืองผา
เมื่อเศษละอองฝุ่นจางหายออกไปแล้วนั้น ก็พลันพบกับสตรีที่สวมใส่ผ้าคลุมหน้านางหนึ่งยืนอยู่ด้านหลังของท่านประมุข ก่อนจะใช้มีดด้ามเดียวปลิดชีพประมุขพรรคเทียนหลงเพียงแค่มองครั้งเดียว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็จำได้ในทันทีว่าสตรีผู้นี้คือคนที่ยืมมือมาช่วยเหลือนางภายในอารามเต๋าคืนนั้น ทั้งยังเรียกขานตัวเองว่า “จางเสวี่ย”“แม่นางหร่าน! เจ้ากำลังทำอะไร!” เหล่าลูกศิษย์พรรคเทียนหลงที่จดจำนางได้จากไกล ๆ นั้น พลางเอ่ยถามด้วยความโกรธแค้นประมุขพรรคที่ถูกแทงนั้น พลันหันมาคว้าคอของหร่านชิวเอาไว้เขามิเคยคิดเลยว่า ลูกศิษย์ที่รักของตนเอง จักกล้ากระทำตัวหักหลังต่อตนเองเช่นนี้ได้ประมุขพรรคที่กำลังรวบรวมกำลังภายในเมื่อครู่นั้น เขาย่อมมิมีทางรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้ทัน ผู้ที่ลงมือกับเขาในยามนี้ ถือว่าเป็นการมุ่งร้ายจะเอาชีวิตเลยทีเดียว!เขาต้องการฆ่านังคนทรยศผู้นี้!หากแต่เซียวอวี้ก้าวไวกว่าเขาไปหนึ่งก้าว พลางประทับฝ่ามือไปที่ด้านหลังประมุขพรรคในทันทีฉึก—เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นบนผ้าคลุมหน้าของหร่านชิว แววตาของนางเจือไปด้วยความอำมหิต พร้อมทั้งแทงมีดลงไปที่ทรวงอกของประมุขพรรคเทียนหลงในทันท
หลังจากที่เกิดช่องว่างที่ประตูเมืองแล้วนั้น กองทัพมนุษย์โอสถที่ได้ยินเช่นนั้น ก็ทำการเคลื่อนไหวในทันทีพวกเขาพยายามทะลวงเข้ามาเรื่อย ๆ กองทหารรักษาการณ์ที่อยู่ด้านหลังประตุเมืองนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าประจันหน้ากันเมื่อเห็นว่าฝ่าบาทกำลังตกอยุ่ในอันตรายนั้น รุ่ยอ๋องที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองจึงร้องตะโกนออกมาว่า“คุ้มกันฝ่าบาท!”เซียวอวี้จึงกระโดดหลบหนีเหล่ากองทัพมนุษย์โอสถในทันทีก่อนจะได้มาเผชิญหน้ากับประมุขพรรคเทียนหลงแบบตัวต่อตัวและยังมีเฟิ่งจิ่วเหยียนเขานึกแปลกใจเล็กน้อยที่นางกลับมาเป็นไปได้หรือไม่ว่า หลังจากที่นางช่วยเหลือต้วนไหวซวี่ได้แล้วนั้น ตนเองเกิดวางภาระหน้าที่ในฐานะท่านแม่ทัพน้อยเมิ่งไม่ลง จึงได้กลับมาช่วยกอบกู้เมืองหลวงเช่นนี้?ถึงอย่างไร ย่อมมิใช่เพราะกลับมาช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอนนอกจากมนุษย์โอสถของพรรคเทียนหลงแล้วนั้น ยังมีลูกศิษย์ของพรรคเทียนหลงอีกไม่น้อยเลยพวกเขายืนอยู่ข้างหลังของประมุขพรรค ก่อนจะเผชิญหน้ากับกองกำลังของเซียวอวี้อย่างไม่เกรงกลัวประมุขพรรคพุ่งตัวเข้าใส่เซียวอวี้พลางกล่าวว่า“ในเมื่อฮ่องเต้ทรราชไร้เมตตา เช่นนั้นพวกเราจักสถาปนาฮ่องเต้องค์
ความรู้สึกที่ถูกบีบคออยู่นั้น น่าอึดอัดยิ่งนักความรู้สึกที่หายใจไม่ออก จนทำให้ผู้คนต้องดิ้นรนตามสัญชาตญาณเอาชีวิตรอดของตัวเองทว่า เฟิงจิ่วเหยียนหาได้เป็นเช่นนั้นไม่นางชักลูกธนูออกมาจากแขนเสื้อของตนเองหากว่ากันตามจริงแล้ว ระยะห่างเพียงเท่านี้ ประมุขพรรคย่อมต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยจู่ ๆ ……ปั้ง!กำลังภายในของบุรุษตรงหน้าที่สะท้อนออกมา ทำเอาร่างของเฟิ่งจิ่วเหยียนและลูกธนูที่อยู่ในมือนั้นกระเด็นออกจากรถม้าไปในทันทีผลัก!หลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนล้มกระแทกลงบนพื้นเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น ก็พบว่าผนังรถม้ากลายเป็นรูขนาดใหญ่ พร้อมทั้งด้านในที่มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาให้ทุกคนได้เห็นคนผู้นั้นก็คือประมุขพรรคเทียนหลง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังการทำความผิดในครานี้เขาจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยความเย็นชา“ผู้ที่คิดต่อต้านข้า จักต้องตาย!”พูดจบ เขาพลันยื่นมือออกมา ก่อนที่กำลังภายในมากมายจะพุ่งเข้าหาเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเป็นปม ก่อนจะใช้ลูกเตะปรายมารเตะศพร่างหนึ่งออกไปเพื่อขวางกั้นแรงลมของกำลังภายในที่กำลังดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะก้มลงไปหยิบดา
ภายในรถม้านั้น ประมุขพรรคเทียนหลงหาได้มีท่าทีตื่นกลัวใด ๆ ไม่ กลับกันเขากับหันมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความใจดี“คุณชายซู ไม่เจอกันนานเลย สบายดีหรือไม่เล่า?”ยามที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น มือสังหารสองคนพลันมาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านหลังของเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันทีพวกเขาเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน อีกคนฝ่ายรับอีกคนฝ่ายรุก ผลัดกันโจมตีเข้ามาด้วยความดุเดือดไม่นานนัก พวกเขาก็สามารถทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนล่าถอยออกไปได้ ทั้งยังกลับมาปกป้องรถม้าได้อีกครั้งประมุขพรรคที่นั่งอยู่ในรถม้านั้น หาได้เห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ในสายตาไม่ เขากลับเป็นกังวลเรื่องการโจมตีประตูเมืองหลวงเสียมากกว่าถึงแม้ว่าการที่กองทัพหวงปั้วจักหันมาเปลี่ยนข้างไปนั้น จะไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาก็ตามทว่า พวกเขาหาได้มิมีการเตรียมตัวรับมือในเรื่องนี้ไม่ท่านประมุขพรรคจึงยกมือขึ้นมา ผู้ที่อยู่ข้างกายจึงเข้าใจได้ในทันทีพร้อมทั้งมีเสียงนกหวีดดังตามมา ก่อนจะพบว่าบนฟากฟ้ามีนกตัวใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะโบยบินพุ่งมาที่กำแพงเมืองกรงเล็บที่แหลมคมของพวกมันดุร้ายยิ่งนัก ปีกของพวกมันก็มีพละกำลังมากเช่นกันบนกำแพ
ด้านหลังประตูลับนั้น ภาพตรงหน้าที่ฉายเข้ามาในม่านตาเป็นสระยาขนาดใหญ่ด้านในสระเต็มไปด้วยสิ่งมีพิษมากมาย รวมไปถึงร่างกายพิกลพิการที่กำลังส่งกลิ่นเน่าเหม็นออกมาเมื่อเห็นสภาพตรงหน้านั้น ต่างก็สามารถจินตนาการได้ในทันทีว่าคนพวกนี้ก่อนตายจักต้องพบเจอกับการทรมานเช่นไรบ้างกำแพงโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยภาพฝาผนังมากมาย ทั้งยังมีความรายละเอียดที่เห็นเรื่องราวได้ชัดมากเสียยิ่งกว่าด้านนอกเมื่อครู่เสียอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนพบเบาะแสสำคัญจากภาพวาดในทันทีด้านบนพลันมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เรียกว่า “หนอนผีเสื้อ”หนอนผีเสื้อนั้น นับว่าเป็นโอสถวิเศษชนิดหนึ่งที่ใช้สำหรับร่างของผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว หากแต่วิญญาณยังคงสถิตอยู่ในร่างอยู่โดยส่วนมากนั้น ผู้คนเหล่านี้มักจะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป หากแต่ยังมีลมหายใจอยู่ จึงจำเป็นต้องใช้หนอนผีเสื้อเพื่อชุบชีวิตพวกเขาขึ้นมาการจะฝึกฝนเพื่อให้ได้โอสถชนิดนี้นั้น จำเป็นต้องใช้มนุษย์ที่มีชีวิตอยู่เป็นตัวทดลอง ใช้เลือดคนจริง ๆ มาผสมกับคนตายที่หมดสติไป เพื่อเป็นการถ่ายเลือดทุกเดือนสิ่งที่โหดร้ายมากที่สุดก็คือ ผู้ที่เป็นตัวทดลองยานั้น บนร่างกายจักต้องถูกกรีดออกเป็นช
ภูเขาหวู่หยางเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ต่อสู้กับราชามังกรเขียวมาหลายสิบกระบวนท่าแล้วนั้น ยังคงมิอาจเดาได้ว่าผู้ใดจักเป็นคนพ่ายหรือผู้ใดจักได้ชัยต้วนเจิ้งจึงรับหน้าที่จัดการกับลูกสมุนของราชามังกรเขียวแทนคลื่นลมภายในภูเขา พัดแรงเสียจนส่งเสียงดังไปมาเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ถือดาบด้ามยาว พลังงานจากดาบแผ่กระจายออกมา พร้อมด้วยกระบวนท่าที่อุกอาจและแข็งกร้าวราชามังกรเขียวใช้ใบไม้แปรเปลี่ยนเป็นอาวุธ ด้านหน้าพลันเกิดการรวมตัวของใบไม้ขึ้นมาเป็นค่ายกล ยามที่ราชามังกรเขียวใช้กำลังภายในควบคุมพวกมันอยู่นั้น ไม่นานนักใบไม้เหล่านั้นก็ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นมาเป็นชั้นวงกลมในทันทีทันใดนั้น ราชามังกรเขียวพลันผลักฝ่ามือทั้งสองข้างออกมา ใบไม้เหล่านั้นจึงแปรเปลี่ยนเป็นคมมีดพุ่งโจมตีใส่เฟิ่งจิ่วเหยียนในทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบยกดาบขึ้นมารับโจมตีด้วยความเร็วไว จนทำให้เกิดกระแสพลังออกมาทว่า เพียงต้านทานใบไม้ได้แค่บางส่วนเท่านั้นใบไม้อื่น ๆ ที่ทะลุผ่านม่านกำแพงออกมาได้นั้น พลันกีดบาดอาภรณ์ของเฟิ่งจิ่วเหยียนจนขาดวิ่นแม้แต่ ปอยเส้นผมของนางก็ยังถูกใบไม้ตัดจนตกลงที่ข้างเท้าของนางหากมิเพราะมีหน้ากากสีเงินปกปิดใบหน้า
กองทัพกบฏโจมตีกะทันหัน เมืองหลวงจึงตกอยู่ในความตื่นตระหนกทันทีทันใดราษฎรพากันตกใจและหวาดกลัว ทั้งก็เชื่อมั่นว่า อาณาจักรของโอรสสวรรค์ กองทัพกบฏมิอาจโจมตีเข้ามาได้ทว่า ในเวลานี้กองทัพกบฏที่อยู่นอกเมือง มีจำนวนมากกว่าที่พวกเขาคาดการณ์ไว้มากผู้นำกองทัพกบฏหวงปั้วเอะอะโวยวายอยู่ด้านล่างประตูเมือง“ฮ่องเต้ทรราชไร้ความเมตตา พวกเราทำตามบัญชาสวรรค์ ราษฎรในเมือง หากมีผู้ใดมิยอมรับฮ่องเต้โง่เขลาเช่นเดียวกัน ก็ถืออาวุธลุกขึ้นมา เพื่อร่วมกันโค่นล้มกับข้า!!”เหล่าทหารที่รักษาเมืองตะโกนด้วยความโกรธเคือง“หวงปั้ว! คนคิดคดทรยศ อย่าหาข้อแก้ตัวที่ฟังดูเหมือนสูงส่ง! เจ้าตะโกนไปเถอะ ไม่มีผู้ใดเห็นด้วยกับเจ้าหรอก! รีบยอมแพ้และกลับไป มิเช่นนั้น วันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!” หวงปั้วถอยหลัง เหล่าทหารที่รักษาเมืองเข้าใจว่าเขาหวาดกลัว ทว่ากลับเห็นบุรุษผู้หนึ่งสวมเกราะเงิน พร้อมท่วงท่าสง่างามกำลังขี่ม้าขึ้นมาด้านหน้า“ข้าคืออดีตรัชทายาทเซียวจั๋ว ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงโง่เขลา ขุนนางชั่วก็ยึดกุมอำนาจ ทั้งปรักปรำข้า และถอดถอนข้าจากตำแหน่งที่ตำหนักบูรพา ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็ทรงโง่เขลา ทำลายกฎระเบียบของข้า ส่งเส
เตาหลอมยาเผาไหม้ตลอดทั้งคืน ผู้คนในพรรคเทียนหลงนั่งล้อมวงกัน เฝ้ารอยาวิเศษนั้นออกมาจากเตาต้วนเจิ้งเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ในใจรู้สึกเย้ยหยัน วันพรุ่งนี้จะเข้าโจมตีเมืองหลวงแล้ว และยังเป็นวันที่เขานัดหมายกับเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้วันนี้เขาจะต้องลงจากเขาทว่าตรงทางแยกของตีนเขา หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าผู้นั้นขวางทางเขาอยู่“ต้วนเจิ้ง เจ้าจะไปที่ใด พวกเราตกลงกันแล้วมิใช่หรือว่า จะให้เจ้าแอบช่วยพี่ไหวซวี่?”ต้วนเจิ้งมีท่าทางที่ดูเย็นชา“หร่านชิว ตัวคน ข้าจักต้องช่วยแน่นอน นั่นเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของข้า ข้ายิ่งห่วงใยเขามากกว่าเจ้า”หร่านชิวเอ่ยด้วยเสียงต่ำ“เจ้ารู้ก็ดีแล้ว ครั้งนี้พวกเราไม่มีทางถอย”คืนพรุ่งนี้ทุกคนจะเข้าไปโจมตีเมืองหลวง ก็เป็นโอกาสดีสำหรับพวกเขาในการลงมือพี่ไหวซวี่ของนาง ในที่สุดก็จะได้เห็นแสงอาทิตย์อีกครั้งเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ในดวงตาของหร่านชิวก็มีน้ำตาอุ่น ๆ ที่แฝงไว้ด้วยความตื่นเต้นดีใจ......เพื่อช่วยเหลือต้วนไหวซวี่ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเตรียมการอย่างเต็มที่ลำพังอาวุธลับที่ซ่อนอยู่บนตัวก็มิใช่มีแค่หนึ่งหรือสองชิ้นก๊อกก๊อก!ด้านนอกมีคนเคาะประตู“ผู้ใด?”จากนั
กลางดึก ณ ภูเขาหวู่หยางตูม!ตามเสียงที่ดังสนั่น เศษหินบนภูเขาแตกกระเด็น กำแพงหินที่เดิมทีมีสภาพสมบูรณ์ก็ปรากฏมีช่องว่างท่ามกลางฝุ่นควันตลบอบอวล คนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากด้านในคนหลายคนที่อยู่ด้านนอกก็คุกเข่าลงทันที และเปล่งเสียงพร้อมกัน“น้อมรับประมุขพรรคออกจากการบำเพ็ญตน!”ท่ามกลางก้อนหินกระจัดกระจาย ประมุขพรรคเทียนหลงผู้นั้นสวมชุดคลุมสีม่วง ใบหน้าที่มีอายุราวสี่สิบปีนั้น ก็มีริ้วรอยตามวัย ดวงตาเผยให้เห็นความเมตตา ทว่าก็ดูน่าเกรงขามเช่นกันในผมสีดำก็มีผมสีเงินปะปนอยู่หลายเส้น โหนกแก้มยกสูง ริมฝีปากซีดเซียวเมื่อเห็นผู้คนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เขาก็ยกแขนขึ้น“ทุกคนลุกขึ้นเถิด”ท่ามกลางฝูงชน แม่นางหร่านที่สวมผ้าคลุมหน้าก็แอบเงยหน้าขึ้น และมองเข้าไปด้านในกำแพงหินนั้นพี่ไหวซวี่จะต้องอยู่ข้างในเป็นแน่ในเวลานี้ ผู้พิทักษ์ก้าวมาข้างหน้า“ท่านประมุขพรรค กองทัพหวงปั้วยอมสวามิภักดิ์แล้ว ขอเพียงท่านออกคำสั่ง ก็สามารถบุกไปโจมตีเมืองหลวงได้ทันที”ประมุขพรรคมองไปทางหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าผู้นั้น“อาหร่าน เจ้าคำนวณวันเวลาไว้แล้วใช่หรือไม่” แม่นางหร่านตอบอย่างนอบน้อม “ศิษย์คำนวณไ