ณ ตำหนักหย่งเหอผู้มาประกาศพระราชโองการคือหลิวซื่อเหลียง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับซินเฟยมากเพียงใดหลังจากอ่านพระราชโองการจบ หลิวซื่อเหลียงก็มองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม“เหลียนซวง ท่านอย่าคุกเข่าต่ออีกเลย รีบรับราชโองการไปเถิด“นี่เป็นพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาทเชียว! บ่าวอยู่ในวังมานานปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนได้รับตำแหน่งสนมชั้นเฟยโดยตรง สาวน้อยท่านก้าวถึงสวรรค์ในก้าวเดียว!”มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงวิ่งไปที่ตำหนักหย่งเหออยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าทรงลืมอดีตฮองเฮาไม่ลง แต่เป็นเพราะมีคนล่อลวงฝ่าบาทต่างหาก!ดวงตาของหลิวซื่อเหลียงเต็มไปด้วยความชื่นชมในวังหลวงแห่งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจมองข้ามได้จริง ๆผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าสาวใช้ที่เคยอยู่ข้างกายฮองเฮา จะสลัดร่างกลายเป็นซินเฟยในยามนี้ร่างของเหลียนซวงสั่นเทา“กงกง ข้า...ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่อาจรับราชโองการได้!”นางจะเป็นสนมของฝ่าบาทได้อย่างไร!ทันใดนั้นน้ำตาของเหลียนซวงก็ไหลพรากนางกลัวเหลือเกิน!ฝ่าบาทบ้าไปแล้วจริง ๆ!นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวซื่อเหลียงพบกับเหตุการณ์เช่นนี้“เหลียนซวง หรือว่าท่านดีใจมากเกินไปอย่างนั้นหรือ? ท่าน
หลังมื้อเช้าซุนหมัวมัวก็มาที่ตำหนักหย่งเหอเมื่อนางเห็นเหลียนซวงที่ดูเหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอ นางก็พูดประจบด้วยรอยยิ้ม“คารวะซินเฟยเพคะ!“เมื่อคืนพระสนมทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว นี่คือน้ำแกงบำรุงที่บ่าวตุ๋นให้ท่านด้วยตนเองเพคะ…”นางประเมินสาวน้อยผู้นี้ต่ำเกินไปจริง ๆมิน่าเล่า ไม่ว่านางจะพยายามโน้มน้าวอย่างไร สาวน้อยผู้นี้ก็ไม่ยอมไปจากตำหนักหย่งเหอ ไม่ยอมย้ายไปเกาะขาใหม่ ที่แท้สาวน้อยผู้นี้ก็คิดอยากเป็นผู้สูงศักดิ์เสียเอง!ยามนี้พอมองดูเหลียนซวงคนนี้ดี ๆ ก็นับว่าหน้าตาไม่เลวเลยจริง ๆ แม้จะไม่ถึงขนาดงามล่มเมือง ทว่าก็สวยสดงดงาม เป็นประเภทที่หน้าตาอ่อนโยนนุ่มนวล ทำให้บุรุษรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงชอบพอนางความคิดของซุนหมัวมัวชัดเจนจนผู้อื่นสัมผัสได้“พระสนม บ่าวเองก็เป็นคนเก่าคนแก่ บ่าว... บ่าวอยากกลับมาอยู่ที่ตำหนักหย่งเหอ ท่านเองก็ยังขาดคนที่เชื่อใจได้ ใช่หรือไม่เพคะ?”เหลียนซวงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด"ไม่จำเป็น!"เมื่อซุนหมัวมัวเห็นนางวางมาดใหญ่โตเช่นนี้ก็ไม่พอใจทันที จึงพูดเตือนสตินางอย่างเหน็บแนม“พระสนม ท่านทรงลืมเรื่องที่ผ่านมาแล้วหรือ?“ทรงรู้หรือไม่ว่าผู้อื่นมอง
สาเหตุที่เมืองเซวียนเกิดการกบฎขึ้น เป็นเพราะเหล่าทหารไม่พอใจที่ราชสำนักให้เบี้ยเลี้ยงน้อยนิด เมื่อต่อสู้เรียกร้องไปก็ไร้ผล จึงก่อกบฏขึ้นพอก่อกบฏ จวนจู้กั๋วกงก็ต้องพบกับภยันตราย ราษฎรออกมาต่อต้านเป็นจำนวนมากเมืองเซวียนนี้เป็นป้อมปราการสำคัญที่ใช้ในการควบคุมขนส่งเสบียง เป็นเส้นทางที่ทหารจำเป็นต้องผ่านกลยุทธ์สร้างความวุ่นวายที่จุดยุทธศาสตร์นี้ทำให้ทั้งราชสำนักและประชาชนตื่นตกใจฤดูใบไม้ผลิ แสงอาทิตย์สาดส่อง เดิมควรมีบรรยากาศที่ดี ทว่าที่เมืองเซวียนกลับมีหมอกควันแห่งความทุกข์ปกคลุมไปทั่วเมืองด้านนอกประตูเมือง อู๋ไป๋กำลังคุมรถม้าและดึงบังเหียนให้ม้าหยุดจากนั้นเขาก็เปิดผ้าม่านออกแล้วเสนอว่า“ท่านแม่ทัพน้อย เมืองเซวียนเกิดความไม่สงบขึ้น พวกเราคงต้องอ้อมไปแล้วขอรับ”ด้านในรถม้าบาดแผลที่ตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนหายดีแล้ว ทว่าช่วงนี้ยังไม่อาจมองแสงที่จ้าเกินไปได้นางวางม้วนหนังสือในมือลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“อ้อมไปทางทิศตะวันออก”ตามข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกับสายสืบนั่นมา กากเดนบางส่วนที่เหลืออยู่ของพรรคเทียนหลงอยู่ที่เมืองผางเดิมแผนการของนางคือลงไปทางใต้ ไล่ฆ่าจนถึงเมืองผา
เมื่อออกมาจากเมืองเสี่ยวหลิน ก็มุ่งไปทางทิศใต้นั่นก็คือเมืองตงซิ่นพันธมิตรอู่หลินอยู่ในหมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ภายในเมืองตงซิ่นดูเผิน ๆ อาจจะเหมือนหมู่บ้านทั่วไป แต่เป็นสถานที่ตั้งสำนักใหญ่ของพันธมิตรอู่หลิน ในนั้นมียอดฝีมือแห่งยุทธภพมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว หน้าทางเข้าหมู่บ้านมีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ บนนั้นสลักชื่อไว้หลายคนบุรุษสองพาสาวน้อยมาด้วยหนึ่งคน ทั้งยังใส่หน้ากาก จึงทำให้คนระแวงอย่างเลี่ยงไม่ได้คนเฝ้าหมู่บ้านเข้ามาขวางทางทั้งสามคน เอ่ยถามว่า“มาจากไหน ไปแห่งหนใด”อู๋ไป๋ตัดสินได้อย่างมีประสบการณ์ สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือตอบรับสัญญาณลับ ดังนั้น เขาจึงหันไปมองแม่ทัพน้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว คารวะตามขนบชาวยุทธภพอย่างเคร่งครัดต่อมานางก็กล่าวด้วยพลังเต็มเปี่ยม“มาจากปรโลก หวนคืนสู่ปรโลก! มิตรภาพแน่นแฟ้นร่วมมีเกียรติร่วมเสื่อมเสีย จับมือสร้างตำนานแห่งยุทธภพ! คารวะ! ผู้นำพันธมิตรทรงอำนาจ!”“พรืด——”อู๋ไป๋หลุดขำอย่างอดไม่ได้สัญญาณลับนี้…ฟังดูเชยอย่างยิ่ง!คนอย่างแม่ทัพน้อย ทนรับได้อย่างไรกันนะ?หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดจบ สีหน้าก็แข็งทื่อเล็กน้อยต
เห็นเพียง บุรุษสวมใส่เสื้อแขนสั้นเนื้อหยาบสีเข้ม ร่างกายเปื้อนไปด้วยดินโคลน มือหนึ่งจับไก่ มือหนึ่งคล้องตะกร้าผลไม้ไม่รู้ชื่อ ใบหน้าดำคล้ำ ประดับรอยยิ้มดีใจเปี่ยมล้น“เพิ่งหว่านเมล็ดพันธุ์เสร็จน่ะ เจอสภาพอากาศเหมาะพอดี” ตงฟางซื่อหน้าตาหล่อเหลา ภายนอกดูเหมือนพวกบัณฑิตหน้าดำ ไม่มีพิษภัยอะไรขณะที่อู๋ไป๋กำลังจะลุกขึ้น เตรียมทำความเคารพ ทันใดนั้นพลันรู้สึกได้ถึงไอสังหารบางอย่างชั่วขณะที่เหลือบเห็นซูฮ่วนท่ามกลางฝูงคน ดวงตาของตงฟางซื่อพลันทอประกายคมกริบ แล้วโยนไก่ในมือออกไปเป็นอันดับแรกผลปรากฏว่าไก่ตัวนั้นกางปีกบินพุ่งเข้าไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียน ราวกับรู้จักเจ้าของ“ตุบ ๆ ๆ!”ในเวลาเดียวกัน เขาก็หยิบผลไม้ในตะกร้า ปาใส่เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ยั้ง ราวกับยิงอาวุธลับอู๋ไป๋เบิกตาอ้าปากค้าง แทบไม่รู้ว่าต้องหลบอย่างไรเมื่อหันไปมอง เหมือนทุกคนจะเตรียมป้องกันไว้ล่วงหน้า ต่างหลบกันถ้วนหน้า แม้แต่เซี่ยวเซี่ยวก็ยังรีบมุดลงใต้โต๊ะอย่างมีไหวพริบหันมามองอีกครั้ง ไม่รู้ว่าแม่ทัพน้อยถือร่มไว้ในมือตั้งแต่เมื่อไร นำมาบังตรงหน้าไว้ จากนั้นก็หุบร่มด้วยท่วงท่าสง่า ไร้วี่แววหมดสภาพส่วนอู๋ไป๋ที่ถูกผลไม้ป่
“บุตรสาวของจู้กั๋วกง แสดงว่าเป็นองค์หญิงน้อย ลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันน่ะสิ?!” ฝานจิ้นตกตะลึงชาวยุทธภพ ไม่ชอบทุกเรื่องในราชสำนัก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันกับราชวงศ์หากองค์หญิงน้อยเป็นอะไรไปในถิ่นของพวกเขา ก็คงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากคนอื่น ๆ ค่อนข้างสงสัย“รองผู้นำพันธมิตร นางบอกเองกับปากหรือ?”“ข้าเดาเอา” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดตามตรง“เช่นนั้นท่านดูออกได้อย่างไร?”ในตอนนี้เอง ตงฟางซื่อก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา“เสื้อผ้าอาภรณ์ของเด็กคนนั้นดูธรรมดาก็จริง แต่ลืมเปลี่ยนมาใส่รองเท้าธรรมดา “ผ้ากำมะหยี่ ปักด้วยไหมฝูกวง ล้วนเป็นของพระราชทานในราชวงศ์“เท้าของเด็กคนนั้นโตเร็ว แถมยังมีลีลาเช่นนี้ ก็คงต้องเป็นองค์หญิงน้อยแห่งจวนจู้กั๋วกงแล้วล่ะ”เขาพูดจบ จากนั้นก็หันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียน ใช้สายตาถามว่าตัวเองพูดถูกหรือไม่เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าแทนคำตอบนางไม่ได้กล่าวสิ่งหนึ่ง จริง ๆ แล้ววินาทีแรกที่เจอองค์หญิงน้อย ก็รู้สึกว่าหน้าตาของนางกับเซียวอวี้ดูคล้ายคลึงกันอยู่บ้างฝานจิ้นเสนอตัวเป็นอาสาสมัคร“ข้าจะไปส่งนางเอง! ฝีเท้าข้าเร็ว แถมแรงเยอะ สามารถแบกนางวิ่งได้”ตงฟางซื่อไม่เลือก
แม้นตงฟางซื่อจะไม่พอใจที่เฟิ่งจิ่วเหยียนหายไปจากพันธมิตรอู่หลินในตอนนั้น กระนั้นก็ทนเห็นนางเข้าไปในแดนศัตรูคนเดียวไม่ได้เขามองนางแน่นิ่ง พูดอย่างประเมินว่า“เจ้าเปลี่ยนไปนะ“เมื่อก่อนเจ้าหวงแหนชีวิตเสียยิ่งกว่าอะไรดี เอาแต่พูดว่าไม่มีผู้ใดสำคัญไปกว่าตัวของเจ้าเอง”เฟิ่งจิ่วเหยียนรัดสนับข้อมือให้แน่น แล้วกล่าวเสียงทุ้มต่ำ“ตอนนี้ข้าก็ยังเป็นเช่นนั้น”ตงฟางซื่อห้ามนาง “เช่นนั้นก็ไม่ต้องรับเรื่องทุกอย่างไว้คนเดียว เจ้าไม่ได้นามสกุลเซียวเสียหน่อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองมาที่เขาอย่างเรียบนิ่งจากนั้นก็ได้ยินเขาพูดอย่างแน่วแน่“ซูฮ่วน เจ้าตั้งใจสืบเรื่องของพรรคเทียนหลงก็พอ ส่วนเรื่องเมืองเซวียน ข้าจะจัดการเอง”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้ว“เจ้าจะจัดการอย่างไร?”ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางซื่อปกคลุมไปด้วยรอยยิ้ม“วิชาปลอมตัวไง ข้าก็คิดเหมือนเจ้านั่นแหละ ส่วนตัวเลือกนั้น ข้าคิดว่า ไม่มีใครเหมาะสมไปมากกว่าข้าแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งค้าง “เจ้า?”ขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ตงฟางซื่อก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำในฐานะผู้นำพันธมิตร อย่าคิดที่จะห้ามข้าล่ะ เรื่องดี ๆ ที่สร้างผล
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลังจากรุ่ยอ๋องหารือเรื่องเข้าเมืองเซวียนกับตงฟางซื่อเสร็จ ก็อยู่ค้างที่หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ต่อเหล่าฝานพาพวกเขาไปยังที่พักทันใดนั้น รุ่ยอ๋องก็โค้งคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน“ท่านนี้คือรองผู้นำพันธมิตรสินะ ตอนมาข้าจำเจ้าไม่ได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนคารวะกลับอย่างเรียบเฉยในตอนนี้เอง เด็กน้อยเซี่ยวเซี่ยวก็วิ่งเข้ามานางโถมตัวเข้าใส่อ้อมกอดของเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็ออดอ้อนออเซาะ“พี่ชาย ข้ากลัวความมืด เจ้าไปนอนกับข้า…”พูดยังไม่จบ นางก็เหลือบเห็นพวกรุ่ยอ๋องเด็กมักจะเก็บอาการไม่ได้ สีหน้าพลันเผยแววดีใจออกมาคนนี้ เหมือนจะเป็นท่านพี่รุ่ยอ๋องเลย!เขาตั้งใจมารับนางโดยเฉพาะเลยหรือ?องค์หญิงน้อยทั้งดีใจ ทั้งยังไม่อยากกลับ สีหน้าจึงดูยุ่งเหยิงในตอนนี้เอง รุ่ยอ๋องก็มองมาที่เซี่ยวเซี่ยวด้วยใบหน้าอ่อนโยนองค์หญิงน้อยไม่ค่อยกลับเมืองหลวง ครั้งล่าสุดที่เจอนาง เห็นจะเป็นเมื่อสามปีที่แล้วได้ แต่เขาก็ยังจำนางได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกอีกอย่าง ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทได้รับจดหมายจากพันธมิตรอู่หลิน เขียนบอกเรื่องที่พวกเขาช่วยองค์หญิงน้อยเอาไว้การที่เขามาเยือนเมืองตงซิ่นในครั้
ในพระราชโองการที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น เขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจน ขอเพียงนางยินยอม ก็สามารถเป็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนถือพระราชโองการไว้ ในใจรู้สึกว้าวุ่นตลอดเวลาที่ผ่านมา นางคิดเพียงว่าตนเองคือคนของแคว้นหนานฉี เพื่อปกป้องแผ่นดิน ตายอยู่บนสนามรบ ก็ไม่ตำหนิเสียใจทว่าตอนนี้...ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รู้นิสัยของนางเป็นอย่างดี รู้ว่านางไม่มีทางรับอำนาจปกครองแคว้นซีหนี่ว์“เด็กดี พระราชโองการฉบับนี้ เป็นสิ่งรับประกันที่ป้าให้กับเจ้า ให้อนาคตเจ้ามีทางถอย”บนโลกนี้ การมีชีวิตอยู่ของสตรีนั้นยากลำบากมีเพียงแคว้นซีหนี่ว์ เป็นผืนแผ่นดินของสตรีในความรู้สึกส่วนตัว นางยังคงคาดหวังให้จิ่วเหยียน สามารถกลับมาสู่ตระกูลทว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงความหวังจิ่วเหยียนกับฮ่องเต้ฉีเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กัน กำลังเป็นช่วงเวลาที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แยกจากกันไม่ได้นายหญิงเฟิ่งคาดเดาได้ว่าในพระราชโองการมีอะไร สีหน้าแสดงออกถึงตกตะลึง“พี่สาว ท่านคิดอยากที่จะ...”ประมุขพูดขัดนาง“ซู่ยวน ให้เด็กตัดสินใจเองเถอะ”จากนั้นก็หันไปสั่งมั่วซิน“เราเหนื่อยแล้ว
อารมณ์ประมุขแคว้นซีหนี่ว์แปรปรวนอย่างมาก บวกกับความปรารถนาที่เฝ้ารอคอยมานานเป็นจริง...การได้หาเจอน้องสาวที่แท้จริง เหมือนเชือกที่รัดแน่น ขาดกะทันหัน ร่างกายทนรับไม่ไหวในที่สุดหมอหลวงผู้ติดตามเฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ให้การรักษาอย่างเร่งด่วนด้านนอกห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนรออยู่เป็นเพื่อนนายหญิงเฟิ่งนายหญิงเฟิ่งยังคงถามย้ำอยู่หลายรอบ“จิ่วเหยียน ข้าคือซู่ยวนจริง ๆ หรือ? คราวนี้ไม่ได้ตรวจสอบผิดจริง ๆ หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนอดทน เล่าความจริงกับนางฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อให้นายหญิงเฟิ่งเตรียมใจตั้งแต่แรก ก็ยังคงไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนี้จากที่นางเป็นคนแคว้นหนานฉี กลายเป็นคนแคว้นซีหนี่ว์ กระทั่งยังกลายเป็นน้องสาวของประมุขทว่าลูกชายลูกสาวของนาง ล้วนอยู่ที่แคว้นหนานฉีต่อไปนางจะทำอย่างไร?และพี่สาวที่นางเพิ่งรู้ความจริง เวลานี้ยังคงเสี่ยงอยู่ตรงประตูนรก...นายหญิงเฟิ่งรู้สึกใจหาย จิตใจกระสับกระส่ายเฟิ่งจิ่วเหยียนจับมือของนางไว้แน่น ปลอบโยนอย่างไร้เสียงนายหญิงเฟิ่งเอียงศีรษะมองนาง แล้วค่อยผ่อนคลายเล็กน้อย“จิ่วเหยียน ประมุขจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สามารถใ
ก่อนที่ชายลึกลับจะปล่อยเจิ้งจี ได้ป้อนยาเม็ดหนึ่งใส่ปากของนางเจิ้งจีอยากคายออกมา กลับถูกเขาบีบคางไว้ ยังเม็ดนั้นจึงไหลลงคอไปหลิวอิ๋งมองเห็นกับตา ร้อนรุ่มอยู่ในใจ“เจ้าเอาอะไรให้นางกิน!”ฝ่ายชายพูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ “แน่นอนว่าเป็นยาพิษ ชีวิตลูกสาวของเจ้าอยู่ในมือพวกเรา”สายตาเจิ้งจีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนางกลัวตายนางอยากมีชีวิตอยู่“ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”ท่าทีหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความโกรธ“ข้าได้ตอบตกลงทำงานให้พวกเจ้าแล้ว ไยยังต้องทำร้ายลูกสาวข้า! ยาถอนพิษล่ะ! ยาถอนพิษอยู่ที่ใด?”ฝ่ายชายหัวเราะเสียงดัง“ยาถอนพิษ? จะให้เจ้าตอนนี้ได้อย่างไร? หลังจากทำงานสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็จะปลอดภัยเอง ทว่าตอนนี้ พวกเจ้าว่าง่ายเชื่อฟังจะดีที่สุด!”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างไม่กะพริบตาหลิวอิ๋งเกลียดแค้นจัดทว่า ถูกคนอื่นควบคุม ทำได้เพียงก้มหัว……แคว้นซีหนี่ว์ช่วงเวลานี้ อาการป่วยของประมุข ไม่มีร่องรอยว่าจะดีขึ้นเลยสุขภาพของนานย่ำแย่อย่างมาก แม้แต่ยาก็ไม่สามารถย่อยได้ส่วนงานราชกิจ นางมอบหมายให้กับขุนนางหลายคนที่ไว้ใจนางใช้ข้ออ้างไปรักษาตัว
เมื่อเทียบกับบุตรสาวที่มีความมั่นใจ หลิวอิ๋งกลับมีแต่ความกังวลใจนางรู้สึกอยู่ตลอดว่า เรื่องทั้งหมดแฝงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลโดยเฉพาะกับราชทูตเหล่านั้นที่หายตัวไปอย่างกะทันหัน...เพล้ง!ขณะที่สาวใช้ยกน้ำชาออกมา เจิ้งจีสะบัดแขนเสื้อแรงเกินไป จึงมิทันระวังทำถ้วยชาหก จนลวกมือตนเองก่อนหน้านี้เจิ้งจีอยู่ที่พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เป็นนายที่ผู้คนมากมายต้องให้ความเคารพ หากมีสิ่งใดมิราบรื่นเพียงเล็กน้อย จะมิยอมทนเด็ดขาด ตอนนี้แทบจะกลายเป็นสัญชาตญาณ นางจึงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างทันควัน“เพียะ!” สาวใช้ปรากฏรอยแดงบนใบหน้าขึ้นมาทันที พลันรีบก้มศีรษะและขออภัยเจิ้งจีตอบโต้ฉับไว: “พวกรนหาที่ตาย ยกชาไม่เป็นหรืออย่างไร? มือข้าถูกลวกจนเป็นแผลแล้ว รีบไปนำยามาเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งรู้สึกหงุดหงิดใจ จึงตำหนิบุตรสาว“พอแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ถึงอย่างไรก็เป็นจวนขององค์หญิงใหญ่เจิ้งจีรู้สึกคับแค้นใจ จึงยื่นมือไปตรงหน้ามารดา“ท่านแม่ เป็นเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ท่านดูมือของข้าสิ! ประเดี๋ยวก็ต้องเข้าวังไปพบฝ่าบาทแล้ว มือของข้ากลายเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาททรงมิพอพระทัยจะทำอย่างไร!”มือนับเป็นใบหน้าที่
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ
หลังจากท่านผู้เฒ่าหลินรู้สถานะของเฟิ่งจิ่วเหยียน เดิมทีก็คิดจะสานสัมพันธ์เป็นเครือญาติกับนางทว่านางกลับบอกว่า มิใช่เครือญาติแท้ ๆ หรือ?ใครมิใช่เครือญาติแท้ ๆ กันเล่า?เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยสีหน้าเย็นชา “บุตรสาวคนที่สองของตระกูลหลิว เมื่อคลอดออกมาก็มอบให้พวกเจ้าดูแลใช่หรือไม่?”ท่านผู้เฒ่าหลินสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและงุนงง นึกไม่ถึงว่า สิ่งที่นางต้องการจะถาม กลับเป็นเรื่องราวในตอนนั้น...เขาก้มศีรษะลง กลัวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะเห็นสีหน้าของตน“พ่ะย่ะค่ะ! ตอนนั้น น้องสาวของข้าน้อยคลอดบุตรสาวคนเล็ก ก็มอบให้พวกเราดูแลเลย“ฮองเฮา เรื่องนี้ยังจะมีอะไรให้น่าพูดถึงอีก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงถือเครื่องมือทรมานนั้นอยู่ในมือ สายตาดูเยือกเย็นไร้ความปรานี“เจ้ายืนยันได้หรือไม่ว่า เด็กที่มอบให้กับมือพวกเจ้าในตอนนั้น เพิ่งจะคลอดมาได้ไม่นาน?”ท่านผู้เฒ่าหลินตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! เด็กคนนั้นคลอดออกมาได้ไม่กี่วัน ก็ถูกพวกเรานำมาดูแลแล้ว...”“โกหก” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเย็นชา นางเงยหน้าขึ้นมองท่านผู้เฒ่าหลิน “หากข้าเดาไม่ผิด เด็กคนนั้น ตอนที่มาถึงมือพวกเจ้า น่าจ
ภายในคุกที่ว่าการท่านผู้เฒ่าหลินในวัยชรา ยืนพิงอยู่มุมกำแพงด้วยอาการตัวสั่นเทาเขามองไปยังเจ้าหน้าที่เหล่านั้นโดยฝืนทำเป็นสงบนิ่ง“พวกเจ้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจับข้า ข้าไม่มีความผิด...”เอ่ยยังมิทันจบ เจ้าหน้าที่ก็ถอยแยกเป็นสองฝั่ง เพื่อเปิดช่องทางตรงกลางหลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เข้ามาจากด้านนอก เส้นผมนางถูกรวบยกสูง ดวงตาทั้งคู่ดูองอาจน่ายำเกรง“ทุกคนออกไปก่อน”ตามคำสั่งของนาง บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ออกไปอย่างรู้งาน อู๋ไป๋ปิดประตูห้องขัง และคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องขังภายในห้องขังท่านผู้เฒ่าหลินมิรู้จักเฟิ่งจิ่วเหยียน ในตอนแรกคิดว่านางเป็นขุนนาง ทว่าพอได้ยินเสียงนางเป็นสตรี ก็มิแน่ใจแล้วว่านางเป็นใคร“เจ้าเป็นใคร?” ท่านผู้เฒ่าหลินมองนางตาไม่กะพริบ ไม่มีท่าทีอ่อนข้อสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเยือกเย็นและหมางเมิน ราวกับดวงดาวระยิบในค่ำคืนเหน็บหนาว ทำเอาผู้คนสั่นสะท้านนางมองท่านผู้เฒ่าหลิน พลางแสร้งทำเป็นหยิบเครื่องมือทรมานที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจแค่การกระทำนี้ ก็ทำให้ท่านผู้เฒ่าหลินตกใจกลัวจนลำคอแห้งผาก ดวงตาเบิกกว้าง ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว“ข้า ข้ามิเคยทำเรื่องช
ไม่นานรุ่ยอ๋องก็จัดหาหญิงสาวให้กับหร่วนฝูอวี้ได้แล้ว เป็นสาวใช้ภายในจวนเขายืนอยู่นอกห้อง ยืนอยู่นานก็มิยอมไปหนึ่งชั่วยามต่อมา ด้านในก็เรียกขอน้ำสาวใช้ผลักประตูเดินออกมารุ่ยอ๋องรีบหันไปมองนาง เห็นเพียงนางถืออ่างเลือดออกมา“พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยท่าทีใส่ใจการถอนพิษกู่เสน่ห์ มิใช่แค่ต้องมีสัมพันธ์กับใครสักคนเท่านั้นหรือ?เหตุใดจึงมีเลือดออกมามากมายเพียงนี้?สาวใช้ตอบด้วยอาการตัวสั่นเทา“พระชายาเลือดออกมาก บ่าวคอยช่วยพระชายาเปลี่ยนอาภรณ์ และชำระร่างกายเจ้าค่ะ”สีหน้าของรุ่ยอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อยดูแล้วสาวใช้ผู้นี้ ไม่เหมือน...“แค่ช่วยพระชายาชำระร่างกาย?” เขาถามด้วยความไม่แน่ใจสาวใช้พยักหน้าซ้ำ ๆ“เจ้าค่ะ”รุ่ยอ๋องรู้สึกงุนงง มิรู้ว่าหร่วนฝูอวี้ทำสิ่งใดลงไปหรือว่า เขาเข้าใจเจตนาของนางผิดไป นางขอให้เขาหาหญิงสาวให้นาง มิใช่เพื่อจะถอนพิษกู่เสน่ห์หรอกหรือ?ในระหว่างที่ครุ่นคิด เขาก็พุ่งตรงเข้าไปในห้องทันทีทว่าเห็นหร่วนฝูอวี้นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ ภายในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า หร่วนฝูอวี้พลันลืมตาขึ้นนางจ้องมองไปทางรุ่ยอ๋อง ดว
ฉึก---ตามเข็มที่หร่วนฝูอวี้แทงลงไป กู่เสน่ห์ในร่างกายของรุ่ยอ๋องก็แตกระเบิด แปรเปลี่ยนเป็นกองเลือดในเวลานี้ รุ่ยอ๋องรู้สึกเพียงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงโจมตีเข้ามา จากนั้นตามมาด้วยความรู้สึกโล่งสบายราวกับปล่อยวางของหนักกู่เสน่ห์ หายไปแล้วเขาผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ มิคาดคิดว่า กู่เสน่ห์ที่ทรมานเขามาหลายเดือนนั้น จะกำจัดได้อย่างราบรื่นเช่นนี้...ในชั่วขณะนั้น หร่วนฝูอวี้ในสภาพราวกับใบไม้แห้งที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งตัวคนกลับเอนมาทางด้านหน้า และล้มลงในอ้อมอกเขารุ่ยอ๋องรีบประคองนางไว้ทันที โดยมิรู้สาเหตุ“เจ้าเป็นอะไร?”เมื่อครู่นางก็ยังดี ๆ อยู่มิใช่หรือ?เมื่อก้มลงมอง สีหน้านางซีดขาวไร้เลือดฝาด ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดรุ่ยอ๋องรับรู้ได้ทันทีว่า นี่อาจจะเป็นผลที่ย้อนกลับมาทำร้ายของกู่เสน่ห์!หากต้องการจะฝังกู่เสน่ห์ให้กับคนอื่น ตนเองก็ต้องฝังกู่เสน่ห์ตัวแม่ไว้ด้วยเช่นกันตอนนี้กู่เสน่ห์ตัวลูกในร่างกายของเขาตายไปแล้ว หร่วนฝูอวี้ย่อมต้องทรมานเป็นธรรมดาทว่าเขามิมีความรู้ด้านนี้มากนัก มิรู้ว่าอาการของนางร้ายแรงเพียงใด เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่รุ่ยอ๋องจึงตัดสินใจเด็ดข