ฮูหยินเมิ่งถูกลักพาตัวไป โจรทิ้งจดหมายไว้หนึ่งฉบับ ระบุชัดเจนว่าให้แม่ทัพน้อยเมิ่งเปิดอ่านด้วยตนเองยามที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินทางมาถึงจวนแม่ทัพ ก็เห็นอาจารย์นั่งอยู่ในห้องโถงหลักตามลำพัง สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ได้ยับยั้งอารมณ์ความรู้สึกไว้ พยายามรักษาความสงบสติไว้มากที่สุด เพื่อจะสามารถคิดหาวิธีได้อย่างรอบคอบ“อาจารย์...”“จดหมายฉบับนี้ เจ้าดูก่อน” เมิ่งฉวียื่นจดหมายให้กับนาง พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทาจดหมายนั้นผ่านการเปิดดูแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบเปิดอ่าน ดูเนื้อหาข้างในอย่างชัดเจนระบุใจความสั้น ๆ ให้นางไปตามนัดลำพัง ไปยังภูเขาหวู่หยาง เพื่อเปลี่ยนตัวอาจารย์หญิงกลับมา“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ลังเลเลยเมิ่งฉวีรีบลุกขึ้นมาห้ามนางไว้“ใจเย็นหน่อย! อาจารย์หญิงของเจ้าถูกลักพาตัว ข้าเป็นห่วงยิ่งกว่าเจ้า”“แต่เจ้าไปเสียแบบนี้ ข้ากลัวว่าเจ้าก็จะตกอยู่ในมือของพวกเขา”เมิ่งฉวีผ่านศึกสู้รบมานาน ย่อมดูออกว่า นี่เป็นแผนการที่พุ่งเป้าหมายยังเฟิ่งจิ่วเหยียน ต้องการหลอกล่อให้ไปติดกับดักเฟิ่งจิ่วเหยียนกำจดหมายเป็นก้อน“อาจจะเป็นคนของพรรคเทียนหลง”เมิ่งฉวีผงกหัว“ข
บนยอดเขาลมแรงมาก พัดจนชายอาภรณ์กับเส้นผมเฟิ่งจิ่วเหยียนพลิ้วไหวนางไม่ได้พกอาวุธมาด้วย รับมือกับคนพวกนี้ หมัดมือเปล่าก็เพียงพอแล้วแต่ฮูหยินเมิ่งอยู่ในมือของอีกฝ่ายหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง หลิ่วเฉวียนมองดูกลุ่มคนที่ล้มกองบนพื้น ค่อยเข้าใจขึ้นมาว่า สตรีตรงหน้าผู้นี้ ทำไมถึงถูกขนานนามว่าเป็น “เทพสงคราม” ของค่ายเป่ยต้าเดิมเขาคิดว่า แม่ทัพของราชสำนัก ล้วนเป็นพวกไม่ได้เรื่อง ได้แค่สั่งให้ทหารภายใต้อำนาจไปทำศึกเวลานี้เขาค่อยเข้าใจว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอย่างน้อยแม่ทัพน้อยเมิ่งคนนี้ มีความสามารถที่แท้จริงหลิ่วเฉวียนเห็นคนของตนเองล้มลงทีละคน ก็รีบเอาดาบเล่มใหญ่จ่อบนคอฮูหยินเมิ่ง พร้อมหันไปตะโกนใส่เฟิ่งจิ่วเหยียน“หยุดนะ! ไม่อย่างงั้นข้าจะฆ่านาง!”ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หยุดลงมือในขณะเดียวกัน ตรงหน้ามีผงยาพิษสาดมาอย่างกะทันหันดวงตาของนางปวดแสบขึ้นมาทันทีหลิ่วเฉวียนฉกฉวยโอกาสเรียกคนอื่น “ลงมือพร้อมกัน! สังหารนาง!”ทว่า ต่อให้ดวงตาบาดเจ็บ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังสามารถใช้การฟังแยกแยะตำแหน่งนางหลบเลี่ยงการโจมตีของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วหลิ่วเฉวียนจ้องมองดูกระบวนท่าการต่อสู้ขอ
จวนแม่ทัพฮูหยินเมิ่งจัดการทำแผลให้เฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยตนเอง โดยเฉพาะดวงตาโชคดีที่ได้รับการรักษาทันเวลา ไม่ก่อให้เกิดอันตรายอะไรมากนางพันผ้าพันแผลรอบดวงตาเฟิ่งจิ่วเหยียน ภายในช่วงเวลาอันสั้น ห้ามโดนแดดแรง ห้ามโดนน้ำไม่นาน แม่ทัพเมิ่งก็มาเคาะประตูอยู่ข้างนอก“เข้ามา” น้ำเสียงฮูหยินเมิ่งเย็นชาหลังจากแม่ทัพเมิ่งเข้ามาแล้ว มองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนที่นั่งอยู่แวบหนึ่ง แล้วก็รีบถามภรรยา“ดวงตาเป็นอะไรหรือไม่?”ในใจฮูหยินเมิ่งยังคงหวาดผวาอยู่“เจ้ายังมีหน้าถาม?”“เตรียมการไว้พร้อมตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงยังทำให้จิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บ ครั้งนี้เป็นเพราะว่าโชคดี หากเป็นยาพิษชนิดรุนแรง มองไม่เห็นไปชั่วชีวิต จะทำยังไง!”แม่ทัพเมิ่งไม่โต้เถียงใด ๆ ก่อนหน้านี้ที่เห็นดวงตาเฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับบาดเจ็บ เขาก็เป็นกังวลอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายขึ้นมาอย่างสงบ“อาจารย์หญิงอย่าโกรธเลย“อาจารย์ทำไปก็เพื่อจับตัวไส้ศึกภายในจวน“ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายให้ข้าไปคนเดียว...”ฮูหยินเมิ่งรีบพูดขึ้นมา“ไส้ศึกคนนั้น จับตัวได้แล้วหรือยัง?”แม่ทัพเมิ่งผงกศีรษะต่อเนื่อง พร้อมพูดขึ้นมาอย่างยิ
ไส้ศึกคนนั้นออกมาจากพรรคเทียนหลงหลายปีแล้ว ปนเปื้อนไปด้วยความปรารถนาทางโลกเพื่อความอยู่รอด อยากสู้เพื่อหาทางออกให้กับตัวเองเขาอยากมีชีวิตรอด จึงยอมบอกทุกอย่างให้เฟิ่งจิ่วเหยียนรับรู้“ประมุขพรรคต้องการ...ต้องการสังหารเจ้า เพราะ เจ้าทำร้ายลูกชายคนเดียวของประมุขพรรค!”ท่าทีเฟิ่งจิ่วเหยียนฉงนใจลูกชายประมุขพรรคเทียนหลงหรือ?“เมื่อไหร่ ที่ไหน” นางถามขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชาไส้ศึกกัดฟันอดกลั้นไว้ พูดออกมาไม่กี่คำ“หมู่บ้านอวิ๋นซาน คดีฆ่าล้างตระกูล แม่ทัพน้อย...จำไม่ได้แล้วหรือ?”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนขาวซีดเล็กน้อยนั่นเป็นเรื่องเมื่อห้าปีก่อน ตอนนั้นนางตามอาจารย์กับอาจารย์หญิงเพิ่งมาถึงชายแดนเหนือ ยังไม่ได้เข้าค่ายทหารอย่างเป็นทางการตอนที่เดินทางผ่านหมู่บ้านอวิ๋นซาน นางเห็นเหตุการณ์ฆ่าล้างตระกูลด้วยตาตนเองผู้กระทำผิดคือเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบขวบ เหิมเกริมหยิ่งผยองวันนั้นมีงานมงคลในหมู่บ้าน เขาพาลูกน้องหลายคนมาก่อเรื่อง สั่งให้เจ้าบ่าวโขกหัวคำนับเขา เจ้าบ่าวไม่ยอม เด็กชั่วคนนั้นจึงสั่งคนของเขาฆ่าเจ้าบ่าว พร้อมข่มเหงเจ้าสาวต่อหน้าทุกคนพ่อแม่เจ้าบ่าวเจ้าสาวออกมาห้าม ก็ถูกเด็กชั่
พ่อลูกตระกูลเจินไม่คาดคิดว่า ฝ่าบาทจะอารมณ์ดีเช่นนี้เจินเจินเงยศีรษะขึ้นมา ใบหน้างดงามสุขุม“กราบทูลฝ่าบาท ข้าฝึกเรียนทวนยาวมาตั้งแต่เด็ก”เซียวอวี้มองดูนางด้วยท่าทีเรียบเฉย สายตามองไกลออกไปราวกับมองผ่านนางไปยังอีกคนหนึ่ง“ทวนยาวฝึกยาก เจ้ามีความตั้งใจเช่นนี้ ถือว่าหาได้ยาก”หลิวซื่อเหลียงที่อยู่ด้านข้างอึ้งตะลึงผ่านมาช่วงหนึ่งแล้ว ที่ฝ่าบาทไม่ได้คุยกับผู้ใดอย่างสงบเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการชมผู้ใดบุตรสาวตระกูลเจินคนนี้ อาจมีอนาคตสร้างสรรค์เวลาที่ผ่านมา ความตั้งใจที่เจินเจินอยากเป็นทหารนั้น ทางบ้านไม่เห็นด้วย วันนี้ได้ยินฝ่าบาทชมตนเอง ราวกับได้เจอคนเข้าใจกัน ในใจตื้นตันอย่างมาก“ฝ่าบาท ข้าคิดว่าไม่ว่าชายหรือหญิง ล้วนควรมีความทะเยอทะยานที่จะอุทิศตนเพื่อรับใช้ประเทศ วิชาการใช้ทวนของข้า หากได้เจอกับยอดฝีมือจริง ๆ ก็เป็นเพียงสอนจระเข้ว่ายน้ำ”“แต่ข้ามีความตั้งใจ”“ค่ายเป่ยต้ามีกองกำลังหญิง ข้าก็คาดหวังว่า เมืองหลวงก็สามารถก่อตั้งกองกำลังหญิง!”ดวงตาเจินเจินเปล่งประกายแวววาว มองดูจักรพรรดิหนุ่ม ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวงเจินหรูไห่ผู้เป็นพ่อร้อนใจดั่งเพลิงไหม้“ฝ่าบาท
หลังจากตรวจดูค่ายทหารเสร็จ ฮ่องเต้ก็เสด็จกลับพระราชวังขุนพลหลายคนมาพบเจินหรูไห่เป็นการส่วนตัวเพื่อแสดงความยินดี“แม่ทัพเจิน เจ้าซ่อนบุตรสาวไว้ดีเกินไปแล้ว ถ้าเข้าวังไปแต่แรกคงจะดี”“ยามนี้ยังไม่สายเกินไปหรอก! พี่เจิน บุตรสาวของท่านได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ช่างมีอนาคตเสียจริง!”เจินหรูไห่รู้สึกกระวนกระวายราวกับมีกวางกระโดดโลดเต้นไปมาอยู่ในใจของเขา นี่เขากำลังจะได้เป็นพ่อตาของฮ่องเต้แล้วหรือ?เช่นนั้นวันนี้ก็นับว่าในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอย่างแท้จริง!เมื่อเจินเจินได้ยินคำพูดเหล่านี้ นางรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงรีบดึงเจินหรูไห่ไปอีกฝั่ง“ท่านพ่อ เหตุใดฮ่องเต้ถึงมาสนใจข้าได้เล่า?”เจินหรูไห่ยิ้มให้นางอย่างเมตตาและอ่อนโยน“ยามที่เจ้ากำลังเล่นทวนยาว ฮ่องเต้มองเจ้าไม่วางตา นี่ยังไม่ใช่ถูกใจเจ้าเข้าอีกหรือ? ลูกเอ๋ย เจ้าจะต้องคว้าโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ไว้ให้ดี ฮ่องเต้ไม่เคยเลือกรับนางสนมด้วยพระองค์เองมาก่อนเลยนะ”เจินเจินย้อนนึกถึงรูปร่างหน้าตาของฮ่องเต้ ช่างรูปงามและองอาจจริง ๆแต่แล้วนางก็รู้สึกอึดอัดและกล่าวเสียงเบา"ความฝันของข้าคือการเป็นแม่ทัพหญิง..."เจินหรูไ
เหลียนซวงที่ถูกฝ่ามือของฮ่องเต้นั้น นางรู้สึกว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของนางกำลังจะแตกสลายทว่านางไม่เสียใจที่พูดคำเหล่านั้นออกไปเมื่อนางฟังซุนหมัวมัวพูดเกี่ยวกับบุตรสาวตระกูลเจิน นางก็ตระหนักว่าประโยคนั้นเป็นเรื่องจริงที่ว่า ความจริงใจของบุรุษนั้น คงอยู่เพียงชั่วครู่นางเองก็เคยรู้สึกว่าคุณหนูจิ่วเหยียนใจร้ายเกินไป นางไม่ควรเหยียบย่ำความจริงใจของฝ่าบาททว่ายามนี้...นางกลับรู้สึกสมน้ำหน้าฝ่าบาท!หากเขาทำใจได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ เหตุใดยามนั้นเขาถึงต้องกักขังคุณหนูจิ่วเหยียนเอาไว้แบบนั้นด้วยแล้วทำไมยามนี้ถึงต้องมาที่ตำหนักหย่งเหอ ราวกับว่าไม่อาจลืมคุณหนูจิ่วเหยียนได้ลงซุนหมัวมัวตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง“ฝ่าบาท เหลียนซวงหมายถึงว่า...”“ไสหัวไป” แววตาของเซียวอวี้เย็นชาและดุร้ายราวกับคลื่นทะเลแห่งความโกรธที่กำลังพลุ่งพล่านซุนหมัวมัวไม่กล้ายุ่งกับไฟโกรธนี้จึงจากไปอย่างรวดเร็วข้าหลวงที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในตำหนักหย่งเหอก็แยกย้ายกันไป ไม่กล้าเข้าใกล้ในลานตำหนักเหลือเพียงเซียวอวี้และเหลียนซวงเขาที่ครอบครองใต้หล้า สวมเสื้อคลุมลายมังกรที่ทำให้ดูสง่างามและเย็นชา ก้าวเข้าใกล้เหลียนซว
ณ ตำหนักหย่งเหอผู้มาประกาศพระราชโองการคือหลิวซื่อเหลียง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับซินเฟยมากเพียงใดหลังจากอ่านพระราชโองการจบ หลิวซื่อเหลียงก็มองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม“เหลียนซวง ท่านอย่าคุกเข่าต่ออีกเลย รีบรับราชโองการไปเถิด“นี่เป็นพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาทเชียว! บ่าวอยู่ในวังมานานปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนได้รับตำแหน่งสนมชั้นเฟยโดยตรง สาวน้อยท่านก้าวถึงสวรรค์ในก้าวเดียว!”มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงวิ่งไปที่ตำหนักหย่งเหออยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าทรงลืมอดีตฮองเฮาไม่ลง แต่เป็นเพราะมีคนล่อลวงฝ่าบาทต่างหาก!ดวงตาของหลิวซื่อเหลียงเต็มไปด้วยความชื่นชมในวังหลวงแห่งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจมองข้ามได้จริง ๆผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าสาวใช้ที่เคยอยู่ข้างกายฮองเฮา จะสลัดร่างกลายเป็นซินเฟยในยามนี้ร่างของเหลียนซวงสั่นเทา“กงกง ข้า...ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่อาจรับราชโองการได้!”นางจะเป็นสนมของฝ่าบาทได้อย่างไร!ทันใดนั้นน้ำตาของเหลียนซวงก็ไหลพรากนางกลัวเหลือเกิน!ฝ่าบาทบ้าไปแล้วจริง ๆ!นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวซื่อเหลียงพบกับเหตุการณ์เช่นนี้“เหลียนซวง หรือว่าท่านดีใจมากเกินไปอย่างนั้นหรือ? ท่าน
เซียวอวี้โอบกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขนไว้ ไม่อยากให้นางเห็นน้ำตาที่ควบคุมไม่ได้นั้นโธ่เอ๊ย!บุรุษไม่ควรหลั่งน้ำตาง่าย ๆ แล้วเขาร่ำไห้ได้อย่างไร!ช่างอับอายขายหน้าจริง ๆ !ทว่า...รู้สึกอิ่มเอมใจในที่สุดจิ่วเหยียนก็บอกว่ารักเขาความรู้สึกของเซียวอวี้ผสมปนเปกัน เขาหอมที่แก้มนาง“เจ้าพูดอะไร? เมื่อครู่เราไม่ได้ยิน”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจริงจัง“ไม่ได้ยินหรือ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”มือสองข้างของเซียวอวี้ประคองใบหน้านางขึ้นมาทันที “ใจร้ายนัก เจ้าตั้งใจ เราก็แค่อยากได้ยินเจ้าพูดอีกครั้ง มิได้หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนดึงมือของเขาออก จากนั้น เงยคางขึ้น แตะลงไปที่ข้างริมฝีปากเขาเบา ๆ“เพคะ หม่อมฉันรักท่าน…”ในสมองของเซียวอวี้ราวกับพลุดอกไม้ไฟระเบิดขึ้น โชติช่วง สุกสกาว ไม่มีวันร่วงโรยแขนสองข้างของเขาโอบตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ ราวกับได้กินน้ำผึ้งมิปาน รู้สึกมีความสุข“จิ่วเหยียน เราดีใจจริง ๆ ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ตายก็ไม่เสียใจจริง ๆ!”ต่อมาฟังนางเล่าเรื่องราว ถึงรู้ว่าสิ่งที่นางประสบพบเจอนั้นเสี่ยงอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่หิมะถล่มใกล้เข้ามา ตามสามัญสำนึก ควรจะวิ่งไปด้านข้าง ทว่
เมื่อเห็นฮูหยินเมิ่งออกมา หร่วนฝูอวี้รีบเข้าไปทักทายทันที ในใจเต็มเปี่ยมด้วยความหวัง และเอ่ยถาม“อาจารย์หญิง สารเลวนั่น...ฮ่องเต้นั่นดูแลคนเป็นหรือ” แม้ฮูหยินเมิ่งจะแก้ไขอยู่หลายครั้งก็ตาม นางยังคงยืนกรานที่จะเรียก “อาจารย์หญิง”ฮูหยินเมิ่งนึกย้อนไปถึงใบหน้าซีดเซียวที่อดนอนของฮ่องเต้ ก็พยักหน้าเบา ๆ“อืม”หร่วนฝูอวี้ไม่ยอมแพ้ ยังถามอีกว่า: “ถ้าเช่นนั้นเขารู้แล้วหรือไม่ว่าซูฮ่วนมิอาจให้กำเนิดบุตรได้?”ฮูหยินเมิ่งเหลือบมองดูนาง สีหน้าไม่สบายใจ“มันยาก แต่หาใช่ว่าจะเป็นไปมิได้เลย”เหตุใดนางจึงมีท่าทางเหมือนหวังว่าจิ่วเหยียนจะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรได้?หร่วนฝูอวี้ยิ้มอย่างกระดากอาย “ ใช่เจ้าค่ะ ท่านพูดถูก ถ้าเช่นนั้นฮ่องเต้ทรงทราบหรือไม่?”ฮูหยินเมิ่งส่ายหัวนางมิรู้ว่า จิ่วเหยียนบอกเรื่องนี้กับฮ่องเต้หรือไม่ราชวงศ์ให้ความสำคัญกับทายาท ฮองเฮาให้กำเนิดบุตรยาก ถือเป็นเรื่องต้องห้ามหร่วนฝูอวี้ยังคงยกยิ้มมุมปากถ้าเช่นนั้นนางจักต้องทูลให้ฮ่องเต้ทรงทราบ! ขอเพียงเขาจากไป ซูฮ่วนก็จะเป็นของนางแล้ว!วันต่อมาในตอนรุ่งเช้า เซียวอวี้ชำระกายเสร็จ เริ่มจากไปที่กระโจมหลัก เพื่อหารือกับเ
ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงอารมณ์เท่าใดนัก แค่มองเซียวอวี้ด้วยท่าทีเรียบเฉย แววตาเยือกเย็น ใบหน้าซีดขาว และซูบผอมลงไปไม่น้อย“หากท่านใส่พระทัย หม่อมฉันจะไม่ตำหนิท่าน...”เขาเคยพูดอยู่หลายครั้งว่า ต้องการองค์ชายทว่า มีความเป็นไปได้ว่านางมิอาจมอบให้เขาได้เรื่องนี้ต้องอธิบายกับเขาให้ชัดเจน ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร นางก็จะไม่โกรธเคืองเซียวอวี้ได้ยินเช่นนั้น พลันรีบกุมมือนางไว้ และวางลงบนทรวงอกของเขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ“เราใส่ใจอะไร?“เราใส่ใจเพียงว่าเจ้ามีชีวิตอยู่หรือไม่ และอยู่เคียงข้างเราหรือไม่“จิ่วเหยียน เราต้องการแค่เจ้าเท่านั้น”เขาโอบนางเข้ามาในอ้อมแขนด้วยท่าทางอ่อนโยน คางแตะบนศีรษะของนาง ถูไถเบา ๆ ราวกับสุนัขป่าโดดเดี่ยวที่คลุ้มคลั่งได้พบคู่รัก ทั้งเหมือนราชสีห์รอนแรมในที่รกร้างได้พบครอบครัว ทั้งตัวคนจากดุร้ายกระสับกระส่าย เปลี่ยนเป็นเชื่อฟังและสงบนิ่งเขาเอ่ยซ้ำไปซ้ำมา “เราต้องการแค่เจ้าเท่านั้น...”แม้ว่านางจะไม่มีทางให้กำเนิดบุตรได้ นางก็ยังเป็นภรรยาของเขานางยังเป็นคนที่ไม่มีใครแทนที่ได้ในใต้หล้านี้ เป็นฮองเฮาที่เขายอมรับความรู้สึกที่เขาม
ภายในกระโจมหลัก บรรดาแม่ทัพเอ่ยกันทีละคน“ฝ่าบาท กองทัพเยี่ยนมีทหารสองแสนนาย ก่อนหน้านี้พวกเขาตีฝ่าแนวป้องกันที่เมืองเซวียนอย่างลับ ๆ ตัดเส้นทางกองกำลังเสริม เกือบจะทำให้เมืองหลวงถึงขั้นเป็นพื้นที่อันตราย”“ต้องขอบคุณกลยุทธ์ที่ถูกต้องของแม่ทัพน้อยเมิ่ง บวกกับการกลับมาอย่างทันท่วงทีของจู้กั๋วกง ที่นำกองทัพใหญ่ไปปกป้องเมืองเซวียนอย่างสุดชีวิต จึงทำให้กองทัพเยี่ยนทำไม่สำเร็จ หลายวันมานี้ พวกเราบีบกองทัพเยี่ยนให้ถอยกลับไปทางชายแดนตะวันออกแล้ว”“ฝ่าบาท ดูจากภายนอก กองทัพเยี่ยนอยู่นอกชายแดนตะวันออก หนานฉีไม่ตกอยู่ในอันตรายชั่วคราว ที่จริงแล้ว ท่านลองดู...”แม่ทัพผู้นั้นชี้ไปที่จุดหนึ่งบนโต๊ะทราย แล้วเอ่ยต่อ “แนวป้องกันตอนกลางของเมืองเซวียน จะมีเมืองเซวียน เมืองม่อ กานโจว และด่านเฉาอวี๋เป็นหลักสำคัญ โดยเชื่อมกันเป็นแนวป้องกันตามขวางจากตะวันออกไปตะวันตก ก่อนหน้านี้กองทัพเยี่ยนเคยตีฝ่าด่านเฉาอวี๋ การคุ้มกันของที่แห่งนี้พังทลายแล้ว หากสงครามเริ่มขึ้น ด่านเฉาอวี๋ไม่สามารถรวบรวมกำลังได้แน่ ดังนั้น ที่แห่งนี้จึงไม่เหมาะเป็นสนามรบหลัก แทบจะกลายเป็นสถานที่ที่สูญเสียการคุ้มกัน”เซียวอวี้นำธงเล็
ไทฮองไทเฮาทรงถูกส่งเข้ามาในคุกเทียนเหลา แต่ยังรักษาความน่าเกรงขามเอาไว้อย่างเต็มที่เหล่าท่านอ๋องมองเห็นนาง ทุกคนถึงกับตาค้างแม้แต่เสด็จย่าก็ถูกส่งเข้ามาในคุกเทียนเหลาด้วยหรือ?ถ้าเช่นนั้นพวกเขา...ดูเหมือนจะไม่ถูกปรักปรำแล้วช้าก่อน!หรือว่าพวกเขาจะก่อกบฏตามไทฮองไทเฮาจริง ๆ?สวรรค์!หญิงชราผู้นี้ ไม่เพียงทำร้ายคนอื่นก็ยังทำร้ายตนเองด้วย!เหล่าท่านอ๋องพลันนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในเวลานี้ พลุดอกไม้ไฟนอกคุกเทียนเหลาอยู่ ๆ ก็ดังขึ้น พวกเขารู้สึกถึงความอ้างว้างคืนวันดี ๆ ส่งท้ายปีเก่า พวกเขากลับต้องอยู่ในคุกเทียนเหลา ช่างเป็นกรรมแท้ ๆ!ไทฮองไทเฮาทรงเข้ามาในห้องขังแห่งนี้ ก็เห็นมู่หรงหลันแม่ลูกอยู่ที่นี่ด้วยในใจนางรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อหันกลับมา ก็ประสานกับแววตาอันยั่วยุขององครักษ์ลับผู้นั้น และถูกเย้ยหยัน“คนสามรุ่นอยู่ร่วมกัน ไทฮองไทเฮา หญิงชราเช่นท่านช่างโชคดีเหลือเกิน”ขณะที่พูด หญ้าหางจิ้งจอกของคนผู้นั้นก็ขยับขึ้นลง แสดงออกถึงการยั่วยุไทฮองไทเฮาทรงทรมานพระทัยอย่างมากมู่หรงหลันได้รับบาดเจ็บหนัก ถูกโยนไว้ที่มุมห้องอย่างไม่ใส่ใจ เอนพิงอยู่ข้างกำแพง ห
ขณะเหม่อลอย เซียวอวี้มองเห็นชัดเจนแล้วคนที่วิ่งมาหาเขาจากที่ไกล คือเฟิ่งจิ่วเหยียน!คือคนที่เขาคะนึงถึงทุกคืนวัน!เขาพยายามอย่างเต็มที่ ให้หลุดพ้นจากพื้นหิมะที่กลืนกินคนหลุดพ้นจากตะขอและสิ่งพัวพันที่ไร้ตัวตนเหล่านั้นเขาลุกขึ้นพร้อมกับคำรามเบา ๆ คิดจะวิ่งไปข้างหน้า นาทีเดียวก็ไม่กล้ารีรอ กลัวว่านี่จะเป็นเพียงภาพลวงตาของเขาในเวลาเดียวกันนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ใกล้เขาเข้ามาเรื่อย ๆ เช่นกันสองคนอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยปรายเต็มท้องฟ้า ทั้งคู่ต่างวิ่งเข้าหากันในที่สุด ก็โอบกอดกันท่ามกลางหิมะมีเพียงวินาทีที่สวมกอดอีกฝ่าย ถึงได้กลับสู่ความเป็นจริงโดยสิ้นเชิงเซียวอวี้สวมกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขนไว้แน่น ปล่อยให้ลมหิมะพัดถาโถมเขาจุมพิตที่หน้าผากและแก้มของนาง รับรู้ถึงความอบอุ่นของนางมือข้างหนึ่งประคองหลังศีรษะนาง หน้าผากชนกัน ลมหายใจรินรดกัน ริมโสตคือเสียงลมหวีดหวิว เขาได้ยินนางเรียกเขาอย่างชัดเจน“ฝ่าบาท...”เซียวอวี้รับรู้เพียงใบหน้าชื้นแฉะ ไม่รู้สึกตัวว่า น้ำตาอุ่น ๆ ที่เอ่อคลอของเขาไหลออกมา นั่นคือความปีติยินดีที่ยากเกินบรรยายจากสิ่งที่สูญเสียได้คืนกลับมาเขาตื้นตันใจอย่างมา
“จิ่วเหยียนนาง...ยังมีชีวิตอยู่!” นิ้วมือของเซียวอวี้สั่นรัว ความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นในจิตใจ ขณะเหม่อลอย รู้สึกเพียงตัวอยู่ในความฝันช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาราวกับศพเดินได้ก็มิปานถึงแม้วางแผนจะจัดการกลุ่มกบฏเหล่านั้นให้หมดในคราวเดียว ก็มักจะทำแบบขอไปที ความจำก็ถดถอย มิรู้ว่าตนเองเคยเตรียมการเรื่องใดบ้างคนอยู่ที่นี่ ใจกลับล่องลอยไปที่ภูเขาหิมะเทียนฉือบัดนี้ ได้ยินข่าวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีชีวิตอยู่ เขาถึงรู้สึกว่าตนเองกลับมามีชีวิตแล้วนางยังมีชีวิตอยู่!เซียวอวี้หันหลังให้ทุกคน ดวงตาแดงก่ำด้วยความตื้นตันใจ น้ำตาพลันเอ่อล้นในทันทีเขารู้อยู่แล้วว่า แม่ทัพน้อยของเขา จะไม่มีทางตาย!องค์หญิงใหญ่ทรงตื่นเต้นอย่างที่สุดเช่นกัน ร่ำไห้ด้วยความปีติ“ดีเหลือเกิน! แม่ทัพน้อยยังมีชีวิตอยู่!!”ก่อนหน้านี้ไทฮองไทเฮาทรงพำนักอยู่ที่ภูเขาอวี้หยางมาตลอด มิรู้ที่มาที่ไป ในเวลานี้ถึงรู้ว่า แม่ทัพน้อยเมิ่งกับซูฮ่วนเป็นคนเดียวกันนี่มิได้หมายความว่า นางเคยส่งคนไปลอบสังหารซูฮ่วน และเกือบจะทำร้ายแม่ทัพน้อยเมิ่ง!?สวรรค์!นางทำสิ่งใดลงไป!นางเกือบจะกลายเป็นคนบาปที่ถูกสาปแช่งไปชั่วลูกชั่วหลาน!
หากต้องการจะช่วยฮ่องเต้ จักต้องจัดการกับระเบิดฟ้าคำรณเหล่านั้นก่อน โดยเฉพาะยังมีกระสุนมังกรไฟนั่นอีก...เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แม่ทัพอาวุโสหลี่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึมภายในวิหารบรรพบุรุษหม่ากงกงถีบประตูให้เปิดออกในทันที“ฝ่าบาทหนอฝ่าบาท ท่านหลอกลวงพวกเราทั้งหมดแล้ว! ฮ่องเต้องค์ใหม่อะไรกัน ท่านคงเพื่อให้เปิดเผยพวกพ้องที่อยู่ในราชสำนักออกมากระมัง!”เมื่อครู่เขาได้รับข่าวว่า ขุนนางในเมืองหลายคนถูกจับกุมแล้ว ทั้งหมดคือคนที่เลือกสนับสนุนแต่งตั้งรัชทายาท ยังมีคุกเทียนเหลา เส้นสายลับที่ซ่อนอยู่ในคุกเทียนเหลาก็ถูกจับกุมแล้วเช่นกัน!บางคนก็ถูกตัดศีรษะประจานในวันเดียวกัน!แววตาของเซียวอวี้ดูเย็นชา เพียงมองไปยังที่ไกล ๆหม่ากงกงเย้ยหยัน“ทว่าท่านประเมินพวกเราต่ำเกินไป“คนที่ท่านสังหารเหล่านั้นมีความสำคัญอันใด? อีกไม่นาน ประมุขพรรคก็จะนำกองทัพเยี่ยนมาบุกหนานฉี!“คืนนี้ จะให้ท่านมองดูพี่น้องและสตรีของท่าน ตายไปทีละคน! ให้ท่านรับรู้ ผลที่ตามมาของการวางแผนเล่นงานพวกเรา!”ในระหว่างที่พูด เขาก็ออกคำสั่ง เหล่าท่านอ๋องกับนางสนมก็ถูกลากออกไปด้านนอกภายใต้แสงรัตติกาล คมดาบสาดส่องประกายอันเยือกเย็น
“พวกเจ้าเป็นใคร!” มือทั้งสองข้างของมู่หรงหลันมีเลือดไหลอาบ จดจ้องกลุ่มคนสวมหน้ากาก ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่ยอมแพ้บุรุษที่เป็นหัวหน้าเช็ดเลือดบนดาบอย่างไม่รีบร้อน “นายท่านของข้านามสกุลเซียว”เซียว…ทันใดนั้นมู่หรงหลันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างไม่อยากจะเชื่อ“พวกเจ้าคือ องครักษ์ลับ?!”องครักษ์ลับของฝ่าบาท!ดังนั้น เป็นฝ่าบาทส่งพวกเขามาเพื่อจับนาง!ไม่ควรเป็นแบบนั้นพวกเขาทราบได้อย่างไรว่านางจะผ่านทางนี้หรือว่า ฝ่าบาทได้วางแผนล่วงหน้ามานานแล้วคิดได้เช่นนี้ มู่หรงหลันพลันรู้สึกขนลุกนางอยากส่งสัญญาณให้หม่ากงกง ทว่า นางไม่มีมือแล้ว…ณ วิหารบรรพบุรุษแม่ทัพอาวุโสหลี่มาส่งเสบียงอาหารทุกวัน โดยวางไว้นอกประตูวิหารบรรพบุรุษในระยะสองลี้ หลังจากนั้นก็จะมีกบฏพวกนั้นออกมารับไปตั้งแต่ที่ฝ่าบาทถูกจับขัง เวลาก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วแนวป้องกันของเมืองเซวียนพังทลาย จู้กั๋วกงจึงแอบลักลอบกลับมาที่เมืองเซวียนด้านเป่ยเยี่ยนและหนานฉี ก็กำลังจะมีสงครามภายในห้องฌานเสบียงส่งมาถึงมือของเหล่านางสนม เพื่อป้องกันไม่ให้วุ่นวาย ไทเฮาจึงมีหน้าที่แจกจ่ายตามหลักแล้