ภายในตำหนักเงียบกริบ เหลียนซวงชี้ไปที่เข็มขัดพลางถาม“ฮองเฮา เจ้านี่ควรจัดการอย่างไรดีเพคะ?”ไม่รู้ว่าเป็นเข็มขัดของบุรุษคนไหนฮองเฮาออกไปทำสิ่งใดกันแน่!เหลียนซวงตระหนกตกใจยิ่งนัก แต่นางก็ไม่กล้าถามเฟิ่งจิ่วเหยียนก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จัดการยากนางวางเข็มขัดลงบนโต๊ะแล้วมองดูอยู่สักพักไม่สามารถเก็บไว้โดยเด็ดขาดแต่ถ้าจะโยนทิ้งไปแบบนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ได้เช่นกันเพราะนางยังต้องแก้พิษให้ฮ่องเต้ทรราชผู้นั้นต่อไปไม่อาจปล่อยให้เรื่องส่วนตัวส่งผลกระทบต่อการใหญ่นี่คือกฎคิดว่าในฐานะฮ่องเต้ ความระแวงของเขาคงไม่น้อยถึงเพียงนั้น“เอาไปซ่อนไว้ก่อน” นางสั่งการไว้เช่นนี้ตอนไปแก้พิษคราวหน้าค่อยเอาไปคืนเขาเหลียนซวงหยิบเข็มขัดเส้นนั้นขึ้นมาพลางเอ่ยถาม“ฮองเฮา เจ้าของเข็มขัดนี้คือผู้ใดหรือเพคะ?”“ฝ่าบาท”อะไรนะ!เหลียนซวงพลันรู้สึกว่าร้อนลวกมือ เกือบทำเข็มขัดนั้นหลุดมือไปแล้ว“ฮองเฮา คืนนี้ท่านไปเพื่อขโมยเข็มขัดมาหรือเพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มหน้าจิบชา นางตวัดสายตามองอีกฝ่ายทันทีพลางเอ่ยกลับ“ข้าดูเหมือนคนน่าเบื่อขนาดนั้นเลยรึ? ข้าดึงเข็มขัดนี่ลงมาจากบนตัวเขาต่างหาก”เหลียนซวงเบ
ตำหนักหย่งเหอเฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังรับประทานอาหาร ซุนหมัวมัวหัวหน้านางกำนัลก็ยกน้ำแกงเข้ามา“ฮองเฮา นางสนมเจียงให้คนนำมาส่ง บอกว่าท่านต้องชิมให้ได้นะเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดสายตามองอาหารอื่น ๆ บนโต๊ะ“วางไว้ตรงนั้นก็แล้วกัน”นางตอบสนองอย่างเฉยเมยหลังซุนหมัวมัวออกไปแล้ว เหลียนซวงก็รีบนำเข็มเงินมาทดสอบพิษทันทีก่อนหน้านี้ในน้ำแกงมีพิษวารีกวนอิม โชคดีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเคยออกท่องยุทธภพมาก่อนจึงทดสอบพิษก่อนรับประทานอาหารจนเป็นนิสัยส่งผลให้เหลียนซวงหวาดระแวงไปหมด สงสัยว่าในน้ำแกงนี้จะมีพิษด้วยเหมือนกันเข็มเงินไม่เปลี่ยนสีเฟิ่งจิ่วเหยียนตักมาหนึ่งช้อน นำมาประชิดจมูกดมกลิ่น“ผสมยาแก้พิษวารีกวนอิม”“ยาแก้พิษ? ฮองเฮา หรือนางสนมเจียงจะรู้แล้ว...”เฟิ่งจิ่วเหยียนคีบเนื้อขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “ชัดเจนมาก คนบงการคนวางยาพิษก็คือนาง”“หา? เช่นนั้นนางยัง...”“ธาตุแท้ไม่ใช่คนเลวร้าย แบ่งแยกรักชังชัดเจน” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่งนิสัยของนางสนมเจียงกลับเหมือนสหายเก่าคนหนึ่งของนางมากทีเดียว“ฮองเฮา ต้องสืบหาตัวคนที่รับเงินมาวางยาพิษให้ได้นะเพคะ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าราบเรียบ “
จ้าวเฉียนนำสิ่งที่ตนเห็นไปรายงานหวงกุ้ยเฟย ฝ่ายหลังแววตาทอประกายคมปลาบแม้เหล่าสนมจะมีเบี้ยหวัดรายเดือน แต่ยามปกติต้องประทานรางวัลให้คนในวังและมอบสินน้ำใจให้สายสัมพันธ์นอกวัง ล้วนแต่จำเป็นต้องใช้เงินนางยังใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อมาจนชิน หากสูญเสียของกำนัลประจบเอาใจจากสนมคนอื่น ๆ นั่นคือความสูญเสียมหาศาล!“ไปสืบมาว่า นอกจากคนแซ่ซูนั่น ยังมีใครอีกที่ลอบส่งของให้ตำหนักหย่งเหอ”……คืนนั้น ฮ่องเต้เสด็จเยือนที่พักของซูกุ้ยเหรินซูกุ้ยเหรินจัดอาหารด้วยตัวเอง ประหม่าจนมือไม้สั่น“ฝ่าบาท เชิญเสวยเพคะ”เซียวอวี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคืนนี้ครบนัดหมายสิบวันระหว่างเขากับนักฆ่าผู้นั้นไม่รู้ว่านางจะไปที่ตำหนักหวาชิงหรือไม่อย่างไรเสียคราวก่อนเขาก็เกือบจะจับนางได้แล้ว“ฝ่าบาทเพคะ...” ซูกุ้ยเหรินตักน้ำแกงมาถ้วยหนึ่ง มองมาที่เขาด้วยสีหน้าคาดหวังเซียวอวี้เบื่อหน่ายการร่วมมื้ออาหารกับสตรีไม่ซ้ำหน้าเต็มทน บวกกับคืนนี้ยังมีธุระ เขาอยากรีบทำรีบจบ จึงดื่มน้ำแกงถ้วยนั้นให้สิ้นเรื่องซูกุ้ยเหรินที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเช่นนั้นก็ลอบถอนหายใจนางผสมผงยวนยางลงในน้ำแกง ช่วยเสริมความเร่าร้อนของกิจกรรมบนเตียง
เฟิ่งจิ่วเหยียนดิ้นรนขัดขืนเต็มกำลัง แต่นางต้องพิษผงสลายเส้นเอ็น ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่น้อย ต่อยหมัดไปก็แค่ทำให้คัน ๆ เท่านั้นร่างของเซียวอวี้ทับอยู่เหนือร่างนาง ดุจดั่งหินก้อนใหญ่ตกลงมาจากบนฟ้า ทั้งแข็งและร้อนลวกริมโสตคือเสียงลมหายใจของเขาที่หอบกระชั้นและรุ่มร้อนมากขึ้นทุกทีนางราวกับอยู่ในฤดูร้อนที่ร้อนระอุ ไอร้อนของแดดเปรี้ยงโอบล้อมร่างนางไว้ประหนึ่งถูกลูกไฟห่อหุ้ม แผดเผานางด้วยความร้อนจัด ทำให้อุณหภูมิร่างกายนางสูงขึ้นตามไปด้วย...ศีรษะเฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปด้านข้าง ภาพที่เห็นตรงหน้าเลือนรางกว่าเดิมทางออกอยู่ใกล้แค่เบื้องหน้าสายตา แต่ก็เหมือนอยู่ไกลจนสุดขอบฟ้าขณะที่นางจวนเจียนจะหมดสติ เงาร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในความคิดคนผู้นั้นสวมชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ น้ำเสียงเปี่ยมความห่วงใย “จิ่วเหยียน ตื่นสิ...”พริบตานั้น ดวงตาที่กำลังจะปิดลงของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเบิกโพลงนางอาศัยเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายแทงเข็มเงินเข้าไปในจุดฝังเข็มของตัวเอง ใช้ความเจ็บปวดรักษาสติที่เหลืออยู่เอาไว้แต่ก็ไม่ได้ช่วยคลี่คลายสถานการณ์ตรงหน้าแต่อย่างใดหากไม่มียาแก้พิษ หนึ่งเค่อถัดจากนี้ นางก็จะหมดสติไปโดยสิ้
ดึกมากแล้ว องครักษ์ที่ซุ่มอยู่ข้างนอกรออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในตำหนักฮ่องเต้ไม่มีบัญชา พวกเขาก็ไม่กล้าไปจากตำแหน่งที่ตนเองเฝ้าอยู่โดยพลการเงียบไปครึ่งชั่วยาม ทันใดนั้นก็มีเงาร่างสายหนึ่งเหินออกมาเป็นนักฆ่าผู้นั้น!พวกเขากำลังจะใช้งานค่ายกลแหฟ้าข่ายดิน แต่กลับได้ยินเสียงออกคำสั่งเด็ดขาดเย็นชาดังมาจากในตำหนัก“ปล่อยนางไป!”เหล่าองครักษ์ไม่เข้าใจ แต่ก็ทำได้เพียงมองนักฆ่าผู้นั้นจากไปหัวหน้าองครักษ์คิดจะเข้าไปขอคำชี้แนะในตำหนักแต่เขาเพิ่งเดินมาถึงหน้าตำหนักก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มลึกของฮ่องเต้“ไสหัวไป!”หัวหน้าองครักษ์งุนงงยิ่งนักฝ่าบาทเป็นอะไรไป?ฟังจากน้ำเสียงดูเหมือนกำลังข่มกลั้นความพิโรธโกรธเกรี้ยวเอาไว้ผ่านไปไม่นาน หลิวซื่อเหลียงก็ถูกเรียกตัวมาเซียวอวี้ยืนอยู่หน้าเตียง ใบหน้าดำคล้ำดุจน้ำหมึก“เผาทิ้งเสีย”หลิวซื่อเหลียงไม่เข้าใจ ครั้นเหลือบสายตามองไปก็เห็นว่าบนเตียงยับยุ่งเหยิง ยังมี...เขาพลันอึ้งไปครั้นลองตรองดูก็พบว่าคงเป็นเพราะช่วงนี้ฝ่าบาทต้องไปเสวยมื้อเย็นที่ตำหนักเหล่าสนม ทุกวันล้วนได้รับการบำรุงอย่างดี แต่กลับไม่ยินดีแตะต้องสตรีอื่นนอกจ
หวงกุ้ยเฟยคล้องแขนฮ่องเต้ ดวงเนตรงามแฝงความรู้สึกลึกซึ้ง“ฝ่าบาท หม่อมฉันได้ยินว่าใต้เท้าซูส่งของกำนัลให้ฮองเฮาเพคะ”แววคมปลาบวาบผ่านดวงตาเรียวยาวของเซียวอวี้ในวังห้ามรับสินบน ฮองเฮาอยากตายงั้นรึหวงกุ้ยเฟยสังเกตสีหน้าของฮ่องเต้พลางกล่าวต่อไป“ฝ่าบาท ฮองเฮาอาจยังไม่คุ้นเคยกฎของวังหลวงก็ได้เพคะถึงได้ทำผิดเช่นนี้ หม่อมฉันกังวลว่า เรื่องที่ซูกุ้ยเหรินทำร้ายฝ่าบาทอาจพัวพันคนมากมาย ฮองเฮายังมีการติดต่อกับใต้เท้าซู เกรงว่าอาจถูกคนครหาเอาได้ กล่าวหาว่าพวกเขาร่วมกันวางแผนอย่างลับ ๆ“อย่างไรเสีย สตรีในวังล้วนอยากได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท มีเพียงฮองเฮาที่เป็นข้อยกเว้น อยากให้ฝ่าบาทไปโปรดปรานคนอื่น นี่เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ซูกุ้ยเหรินลงมือ...”เซียวอวี้แววตาเย็นเยียบยังไม่พูดถึงเรื่องอื่น ลำพังแค่รับสินบน ฮองเฮาก็สมควรถูกลงโทษแล้วตำหนักหย่งเหอซุนหมัวมัวเห็นฮ่องเต้เสด็จมาก็รู้สึกยินดีปรีดายิ่งนักหลังจากเฝ้าหวังมานาน ในที่สุดฝ่าบาทก็เสด็จมาเสียทีนางรีบเข้าไปต้อนรับ แต่กลับถูกหลิวซื่อเหลียงสะบัดแส้ปัดออกดูท่าทางเช่นนี้ ฮองเฮาคงไม่ได้ทำผิดอันใดอีกแล้วกระมัง?เซียวอวี้ตรงเข้
เหล่าองครักษ์เข้ามาจะนำตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนออกไปลงโทษนางไม่ได้ขอร้อง ดวงตาคู่นั้นสงบนิ่งไร้ระลอก“หม่อมฉันทราบดีว่าเมื่อถูกจับได้ก็จะต้องถูกลงโทษ“แต่หม่อมฉันไม่เสียใจที่ทำเช่นนี้“หม่อมฉันขอรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ยังดีกว่าให้พี่สาวน้องสาวแต่ละตำหนักต้องถูกลงโทษไปด้วย“ตอนนี้หม่อมฉันอยากขอร้องเพียงเรื่องเดียว“ลงโทษก็ลงโทษไปแล้ว ฝ่าบาทโปรดนำเงินทองของล้ำค่าเหล่านี้ไปมอบให้ถึงมือสนมแต่ละตำหนักในนามตกรางวัลด้วยเถอะเพคะ“เช่นนี้ หม่อมฉันก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ!”เซียวอวี้สบตากับดวงตาดื้อดึงของนางแล้วก็พลันรู้สึกอยากทำลายคนตรงหน้าขึ้นมาโดยไร้สาเหตุนางเหมือนต้นสนที่ไม่ยอมหักไม่ยอมงอ ยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าเขา ช่างระคายสายตาโดยแท้ยิ่งนางเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งอยากทำให้นางยอมสยบ ทำให้นางตระหนักว่าอันใดเรียกว่าผู้สูงศักดิ์และผู้ต่ำศักดิ์ ตระหนักว่าสงบเสงี่ยมเจียมตัวเป็นเช่นไร!“ลากออกไป!”เหลียนซวงรีบร้อนคุกเข่า “ฝ่าบาท บ่าวยินดีรับโทษแทนฮองเฮาเพคะ!”เซียวอวี้ทำอะไรมักใช้อำนาจเผด็จการมาแต่ไหนแต่ไรเขาปรายตามองเหลียนซวง“ไร้มารยาทนัก นำตัวไปโบยจนตาย”เหล่าองครักษ์ไม่อาจลงไม้ลงมือกับฮ
เหล่าสนมล้วนทราบเรื่องที่ฮองเฮาถูกสั่งให้คัดกฎของวังหลวงพวกนางยังรู้รายละเอียดลึกกว่านั้น“ของกำนัลเหล่านั้นไม่ได้มีแค่คนในครอบครัวพวกเราที่ส่งไป พวกเราเองก็ส่งไปด้วยเช่นกัน แต่ฮองเฮากลับไม่ได้พาดพิงถึงพวกเรา เห็นได้ชัดว่าปฏิบัติต่อพวกเราด้วยความจริงใจ”“คนตำหนักหย่งเหอพูดว่า ฮองเฮาเข้าอกเข้าใจความลำบากของพวกเรา เดิมทีฮองเฮาก็ตั้งใจจะนำสิ่งของเหล่านั้นมาให้พวกเราอยู่แล้ว ไม่ได้นำไปใช้แม้แต่ชิ้นเดียว”“ฮองเฮายังยอมรับโทษคนเดียว ยังรับผิดแทนพวกเราอีกด้วย...”เหล่าสนมยิ่งพูดก็ยิ่งซาบซึ้ง บางคนถึงกับขอบตาแดงเรื่ออย่างไรเสียในวังหลวงแห่งนี้ ความจริงใจหายากยิ่งนักหนิงเฟยเสียดสีพวกนางอย่างเย่อหยิ่ง“มีแค่พวกเจ้านั่นแหละที่หัวอ่อนหลอกง่าย ข้ารู้แต่ว่าไม่มีผลประโยชน์ไม่ตื่นเช้า สุดท้ายฮองเฮาก็ไม่ถูกลงโทษไม่ใช่รึ? ตอนนี้พวกเจ้าซาบซึ้งในบุญคุณของนาง เช่นนี้ก็เข้าทางนางพอดี “ก็แค่ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์กันและกัน เติมเต็มความต้องการของอีกฝ่ายก็เท่านั้น คู่ควรให้เรียกว่าจริงใจด้วยหรือ?”เสียนเฟยมีรอยยิ้มประดับใบหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ“ไม่ว่าจะพูดเช่นไร ฝ่าบาทไม่ได้ตามเอาผิดคนในครอบครัวพวก
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลังจากรุ่ยอ๋องหารือเรื่องเข้าเมืองเซวียนกับตงฟางซื่อเสร็จ ก็อยู่ค้างที่หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ต่อเหล่าฝานพาพวกเขาไปยังที่พักทันใดนั้น รุ่ยอ๋องก็โค้งคารวะเฟิ่งจิ่วเหยียน“ท่านนี้คือรองผู้นำพันธมิตรสินะ ตอนมาข้าจำเจ้าไม่ได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนคารวะกลับอย่างเรียบเฉยในตอนนี้เอง เด็กน้อยเซี่ยวเซี่ยวก็วิ่งเข้ามานางโถมตัวเข้าใส่อ้อมกอดของเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างคุ้นเคย จากนั้นก็ออดอ้อนออเซาะ“พี่ชาย ข้ากลัวความมืด เจ้าไปนอนกับข้า…”พูดยังไม่จบ นางก็เหลือบเห็นพวกรุ่ยอ๋องเด็กมักจะเก็บอาการไม่ได้ สีหน้าพลันเผยแววดีใจออกมาคนนี้ เหมือนจะเป็นท่านพี่รุ่ยอ๋องเลย!เขาตั้งใจมารับนางโดยเฉพาะเลยหรือ?องค์หญิงน้อยทั้งดีใจ ทั้งยังไม่อยากกลับ สีหน้าจึงดูยุ่งเหยิงในตอนนี้เอง รุ่ยอ๋องก็มองมาที่เซี่ยวเซี่ยวด้วยใบหน้าอ่อนโยนองค์หญิงน้อยไม่ค่อยกลับเมืองหลวง ครั้งล่าสุดที่เจอนาง เห็นจะเป็นเมื่อสามปีที่แล้วได้ แต่เขาก็ยังจำนางได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกอีกอย่าง ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทได้รับจดหมายจากพันธมิตรอู่หลิน เขียนบอกเรื่องที่พวกเขาช่วยองค์หญิงน้อยเอาไว้การที่เขามาเยือนเมืองตงซิ่นในครั้
แม้นตงฟางซื่อจะไม่พอใจที่เฟิ่งจิ่วเหยียนหายไปจากพันธมิตรอู่หลินในตอนนั้น กระนั้นก็ทนเห็นนางเข้าไปในแดนศัตรูคนเดียวไม่ได้เขามองนางแน่นิ่ง พูดอย่างประเมินว่า“เจ้าเปลี่ยนไปนะ“เมื่อก่อนเจ้าหวงแหนชีวิตเสียยิ่งกว่าอะไรดี เอาแต่พูดว่าไม่มีผู้ใดสำคัญไปกว่าตัวของเจ้าเอง”เฟิ่งจิ่วเหยียนรัดสนับข้อมือให้แน่น แล้วกล่าวเสียงทุ้มต่ำ“ตอนนี้ข้าก็ยังเป็นเช่นนั้น”ตงฟางซื่อห้ามนาง “เช่นนั้นก็ไม่ต้องรับเรื่องทุกอย่างไว้คนเดียว เจ้าไม่ได้นามสกุลเซียวเสียหน่อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองมาที่เขาอย่างเรียบนิ่งจากนั้นก็ได้ยินเขาพูดอย่างแน่วแน่“ซูฮ่วน เจ้าตั้งใจสืบเรื่องของพรรคเทียนหลงก็พอ ส่วนเรื่องเมืองเซวียน ข้าจะจัดการเอง”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้ว“เจ้าจะจัดการอย่างไร?”ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางซื่อปกคลุมไปด้วยรอยยิ้ม“วิชาปลอมตัวไง ข้าก็คิดเหมือนเจ้านั่นแหละ ส่วนตัวเลือกนั้น ข้าคิดว่า ไม่มีใครเหมาะสมไปมากกว่าข้าแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งค้าง “เจ้า?”ขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ตงฟางซื่อก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรทำในฐานะผู้นำพันธมิตร อย่าคิดที่จะห้ามข้าล่ะ เรื่องดี ๆ ที่สร้างผล
“บุตรสาวของจู้กั๋วกง แสดงว่าเป็นองค์หญิงน้อย ลูกพี่ลูกน้องของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันน่ะสิ?!” ฝานจิ้นตกตะลึงชาวยุทธภพ ไม่ชอบทุกเรื่องในราชสำนัก โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวพันกับราชวงศ์หากองค์หญิงน้อยเป็นอะไรไปในถิ่นของพวกเขา ก็คงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากคนอื่น ๆ ค่อนข้างสงสัย“รองผู้นำพันธมิตร นางบอกเองกับปากหรือ?”“ข้าเดาเอา” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดตามตรง“เช่นนั้นท่านดูออกได้อย่างไร?”ในตอนนี้เอง ตงฟางซื่อก็เอ่ยปากพูดขึ้นมา“เสื้อผ้าอาภรณ์ของเด็กคนนั้นดูธรรมดาก็จริง แต่ลืมเปลี่ยนมาใส่รองเท้าธรรมดา “ผ้ากำมะหยี่ ปักด้วยไหมฝูกวง ล้วนเป็นของพระราชทานในราชวงศ์“เท้าของเด็กคนนั้นโตเร็ว แถมยังมีลีลาเช่นนี้ ก็คงต้องเป็นองค์หญิงน้อยแห่งจวนจู้กั๋วกงแล้วล่ะ”เขาพูดจบ จากนั้นก็หันไปมองเฟิ่งจิ่วเหยียน ใช้สายตาถามว่าตัวเองพูดถูกหรือไม่เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าแทนคำตอบนางไม่ได้กล่าวสิ่งหนึ่ง จริง ๆ แล้ววินาทีแรกที่เจอองค์หญิงน้อย ก็รู้สึกว่าหน้าตาของนางกับเซียวอวี้ดูคล้ายคลึงกันอยู่บ้างฝานจิ้นเสนอตัวเป็นอาสาสมัคร“ข้าจะไปส่งนางเอง! ฝีเท้าข้าเร็ว แถมแรงเยอะ สามารถแบกนางวิ่งได้”ตงฟางซื่อไม่เลือก
เห็นเพียง บุรุษสวมใส่เสื้อแขนสั้นเนื้อหยาบสีเข้ม ร่างกายเปื้อนไปด้วยดินโคลน มือหนึ่งจับไก่ มือหนึ่งคล้องตะกร้าผลไม้ไม่รู้ชื่อ ใบหน้าดำคล้ำ ประดับรอยยิ้มดีใจเปี่ยมล้น“เพิ่งหว่านเมล็ดพันธุ์เสร็จน่ะ เจอสภาพอากาศเหมาะพอดี” ตงฟางซื่อหน้าตาหล่อเหลา ภายนอกดูเหมือนพวกบัณฑิตหน้าดำ ไม่มีพิษภัยอะไรขณะที่อู๋ไป๋กำลังจะลุกขึ้น เตรียมทำความเคารพ ทันใดนั้นพลันรู้สึกได้ถึงไอสังหารบางอย่างชั่วขณะที่เหลือบเห็นซูฮ่วนท่ามกลางฝูงคน ดวงตาของตงฟางซื่อพลันทอประกายคมกริบ แล้วโยนไก่ในมือออกไปเป็นอันดับแรกผลปรากฏว่าไก่ตัวนั้นกางปีกบินพุ่งเข้าไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียน ราวกับรู้จักเจ้าของ“ตุบ ๆ ๆ!”ในเวลาเดียวกัน เขาก็หยิบผลไม้ในตะกร้า ปาใส่เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ยั้ง ราวกับยิงอาวุธลับอู๋ไป๋เบิกตาอ้าปากค้าง แทบไม่รู้ว่าต้องหลบอย่างไรเมื่อหันไปมอง เหมือนทุกคนจะเตรียมป้องกันไว้ล่วงหน้า ต่างหลบกันถ้วนหน้า แม้แต่เซี่ยวเซี่ยวก็ยังรีบมุดลงใต้โต๊ะอย่างมีไหวพริบหันมามองอีกครั้ง ไม่รู้ว่าแม่ทัพน้อยถือร่มไว้ในมือตั้งแต่เมื่อไร นำมาบังตรงหน้าไว้ จากนั้นก็หุบร่มด้วยท่วงท่าสง่า ไร้วี่แววหมดสภาพส่วนอู๋ไป๋ที่ถูกผลไม้ป่
เมื่อออกมาจากเมืองเสี่ยวหลิน ก็มุ่งไปทางทิศใต้นั่นก็คือเมืองตงซิ่นพันธมิตรอู่หลินอยู่ในหมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ภายในเมืองตงซิ่นดูเผิน ๆ อาจจะเหมือนหมู่บ้านทั่วไป แต่เป็นสถานที่ตั้งสำนักใหญ่ของพันธมิตรอู่หลิน ในนั้นมียอดฝีมือแห่งยุทธภพมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว หน้าทางเข้าหมู่บ้านมีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ บนนั้นสลักชื่อไว้หลายคนบุรุษสองพาสาวน้อยมาด้วยหนึ่งคน ทั้งยังใส่หน้ากาก จึงทำให้คนระแวงอย่างเลี่ยงไม่ได้คนเฝ้าหมู่บ้านเข้ามาขวางทางทั้งสามคน เอ่ยถามว่า“มาจากไหน ไปแห่งหนใด”อู๋ไป๋ตัดสินได้อย่างมีประสบการณ์ สิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้คือตอบรับสัญญาณลับ ดังนั้น เขาจึงหันไปมองแม่ทัพน้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว คารวะตามขนบชาวยุทธภพอย่างเคร่งครัดต่อมานางก็กล่าวด้วยพลังเต็มเปี่ยม“มาจากปรโลก หวนคืนสู่ปรโลก! มิตรภาพแน่นแฟ้นร่วมมีเกียรติร่วมเสื่อมเสีย จับมือสร้างตำนานแห่งยุทธภพ! คารวะ! ผู้นำพันธมิตรทรงอำนาจ!”“พรืด——”อู๋ไป๋หลุดขำอย่างอดไม่ได้สัญญาณลับนี้…ฟังดูเชยอย่างยิ่ง!คนอย่างแม่ทัพน้อย ทนรับได้อย่างไรกันนะ?หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดจบ สีหน้าก็แข็งทื่อเล็กน้อยต
สาเหตุที่เมืองเซวียนเกิดการกบฎขึ้น เป็นเพราะเหล่าทหารไม่พอใจที่ราชสำนักให้เบี้ยเลี้ยงน้อยนิด เมื่อต่อสู้เรียกร้องไปก็ไร้ผล จึงก่อกบฏขึ้นพอก่อกบฏ จวนจู้กั๋วกงก็ต้องพบกับภยันตราย ราษฎรออกมาต่อต้านเป็นจำนวนมากเมืองเซวียนนี้เป็นป้อมปราการสำคัญที่ใช้ในการควบคุมขนส่งเสบียง เป็นเส้นทางที่ทหารจำเป็นต้องผ่านกลยุทธ์สร้างความวุ่นวายที่จุดยุทธศาสตร์นี้ทำให้ทั้งราชสำนักและประชาชนตื่นตกใจฤดูใบไม้ผลิ แสงอาทิตย์สาดส่อง เดิมควรมีบรรยากาศที่ดี ทว่าที่เมืองเซวียนกลับมีหมอกควันแห่งความทุกข์ปกคลุมไปทั่วเมืองด้านนอกประตูเมือง อู๋ไป๋กำลังคุมรถม้าและดึงบังเหียนให้ม้าหยุดจากนั้นเขาก็เปิดผ้าม่านออกแล้วเสนอว่า“ท่านแม่ทัพน้อย เมืองเซวียนเกิดความไม่สงบขึ้น พวกเราคงต้องอ้อมไปแล้วขอรับ”ด้านในรถม้าบาดแผลที่ตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนหายดีแล้ว ทว่าช่วงนี้ยังไม่อาจมองแสงที่จ้าเกินไปได้นางวางม้วนหนังสือในมือลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า“อ้อมไปทางทิศตะวันออก”ตามข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกับสายสืบนั่นมา กากเดนบางส่วนที่เหลืออยู่ของพรรคเทียนหลงอยู่ที่เมืองผางเดิมแผนการของนางคือลงไปทางใต้ ไล่ฆ่าจนถึงเมืองผา
หลังมื้อเช้าซุนหมัวมัวก็มาที่ตำหนักหย่งเหอเมื่อนางเห็นเหลียนซวงที่ดูเหนื่อยล้าจากการนอนไม่พอ นางก็พูดประจบด้วยรอยยิ้ม“คารวะซินเฟยเพคะ!“เมื่อคืนพระสนมทรงเหน็ดเหนื่อยแล้ว นี่คือน้ำแกงบำรุงที่บ่าวตุ๋นให้ท่านด้วยตนเองเพคะ…”นางประเมินสาวน้อยผู้นี้ต่ำเกินไปจริง ๆมิน่าเล่า ไม่ว่านางจะพยายามโน้มน้าวอย่างไร สาวน้อยผู้นี้ก็ไม่ยอมไปจากตำหนักหย่งเหอ ไม่ยอมย้ายไปเกาะขาใหม่ ที่แท้สาวน้อยผู้นี้ก็คิดอยากเป็นผู้สูงศักดิ์เสียเอง!ยามนี้พอมองดูเหลียนซวงคนนี้ดี ๆ ก็นับว่าหน้าตาไม่เลวเลยจริง ๆ แม้จะไม่ถึงขนาดงามล่มเมือง ทว่าก็สวยสดงดงาม เป็นประเภทที่หน้าตาอ่อนโยนนุ่มนวล ทำให้บุรุษรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงชอบพอนางความคิดของซุนหมัวมัวชัดเจนจนผู้อื่นสัมผัสได้“พระสนม บ่าวเองก็เป็นคนเก่าคนแก่ บ่าว... บ่าวอยากกลับมาอยู่ที่ตำหนักหย่งเหอ ท่านเองก็ยังขาดคนที่เชื่อใจได้ ใช่หรือไม่เพคะ?”เหลียนซวงปฏิเสธอย่างเด็ดขาด"ไม่จำเป็น!"เมื่อซุนหมัวมัวเห็นนางวางมาดใหญ่โตเช่นนี้ก็ไม่พอใจทันที จึงพูดเตือนสตินางอย่างเหน็บแนม“พระสนม ท่านทรงลืมเรื่องที่ผ่านมาแล้วหรือ?“ทรงรู้หรือไม่ว่าผู้อื่นมอง
ณ ตำหนักหย่งเหอผู้มาประกาศพระราชโองการคือหลิวซื่อเหลียง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฝ่าบาททรงให้ความสำคัญกับซินเฟยมากเพียงใดหลังจากอ่านพระราชโองการจบ หลิวซื่อเหลียงก็มองคนตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม“เหลียนซวง ท่านอย่าคุกเข่าต่ออีกเลย รีบรับราชโองการไปเถิด“นี่เป็นพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาทเชียว! บ่าวอยู่ในวังมานานปี นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนได้รับตำแหน่งสนมชั้นเฟยโดยตรง สาวน้อยท่านก้าวถึงสวรรค์ในก้าวเดียว!”มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงวิ่งไปที่ตำหนักหย่งเหออยู่บ่อย ๆ ไม่ใช่ว่าทรงลืมอดีตฮองเฮาไม่ลง แต่เป็นเพราะมีคนล่อลวงฝ่าบาทต่างหาก!ดวงตาของหลิวซื่อเหลียงเต็มไปด้วยความชื่นชมในวังหลวงแห่งนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจมองข้ามได้จริง ๆผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าสาวใช้ที่เคยอยู่ข้างกายฮองเฮา จะสลัดร่างกลายเป็นซินเฟยในยามนี้ร่างของเหลียนซวงสั่นเทา“กงกง ข้า...ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่อาจรับราชโองการได้!”นางจะเป็นสนมของฝ่าบาทได้อย่างไร!ทันใดนั้นน้ำตาของเหลียนซวงก็ไหลพรากนางกลัวเหลือเกิน!ฝ่าบาทบ้าไปแล้วจริง ๆ!นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวซื่อเหลียงพบกับเหตุการณ์เช่นนี้“เหลียนซวง หรือว่าท่านดีใจมากเกินไปอย่างนั้นหรือ? ท่าน
เหลียนซวงที่ถูกฝ่ามือของฮ่องเต้นั้น นางรู้สึกว่าอวัยวะภายในทั้งหมดของนางกำลังจะแตกสลายทว่านางไม่เสียใจที่พูดคำเหล่านั้นออกไปเมื่อนางฟังซุนหมัวมัวพูดเกี่ยวกับบุตรสาวตระกูลเจิน นางก็ตระหนักว่าประโยคนั้นเป็นเรื่องจริงที่ว่า ความจริงใจของบุรุษนั้น คงอยู่เพียงชั่วครู่นางเองก็เคยรู้สึกว่าคุณหนูจิ่วเหยียนใจร้ายเกินไป นางไม่ควรเหยียบย่ำความจริงใจของฝ่าบาททว่ายามนี้...นางกลับรู้สึกสมน้ำหน้าฝ่าบาท!หากเขาทำใจได้อย่างง่ายดายเพียงนี้ เหตุใดยามนั้นเขาถึงต้องกักขังคุณหนูจิ่วเหยียนเอาไว้แบบนั้นด้วยแล้วทำไมยามนี้ถึงต้องมาที่ตำหนักหย่งเหอ ราวกับว่าไม่อาจลืมคุณหนูจิ่วเหยียนได้ลงซุนหมัวมัวตกใจจนแข้งขาอ่อนแรง“ฝ่าบาท เหลียนซวงหมายถึงว่า...”“ไสหัวไป” แววตาของเซียวอวี้เย็นชาและดุร้ายราวกับคลื่นทะเลแห่งความโกรธที่กำลังพลุ่งพล่านซุนหมัวมัวไม่กล้ายุ่งกับไฟโกรธนี้จึงจากไปอย่างรวดเร็วข้าหลวงที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนในตำหนักหย่งเหอก็แยกย้ายกันไป ไม่กล้าเข้าใกล้ในลานตำหนักเหลือเพียงเซียวอวี้และเหลียนซวงเขาที่ครอบครองใต้หล้า สวมเสื้อคลุมลายมังกรที่ทำให้ดูสง่างามและเย็นชา ก้าวเข้าใกล้เหลียนซว