เซียวจั๋วหวังดีมาเปิดสำนักศึกษาเอกชนในหมู่บ้าน ตอนนี้มีลูกศิษย์เพียงคนเดียวออกจากบ้านวันนี้ ก็คือรีบไปรับสมัครนักเรียนกลับตกอยู่ในสภาพใครเห็นใครก็รำคาญเวลานี้ เขาก็รู้สึกท้อใจอยู่บ้างเซียวอวี้ดูด้วยความสนุกสนานอย่างไม่กลัวเรื่องใหญ่ ไล่ถามเฟิ่งจิ่วเหยียน“เหตุใดพวกเขาถึงรำคาญเขา?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจังงานเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงกำลังคึกคัก พาลูกคนอื่นไปยังสำนักศึกษาเอกชน เท่านี้ก็ช่างเถอะ เขาใช้ไข่ไก่หลอกล่อเด็ก หลายครั้งที่ทุกคนในหมู่บ้านเห็นเป็นคนค้ามนุษย์“ให้ผลงานภาพวาดประดิษฐ์ตัวอักษร เด็กในหมู่บ้านดูไม่รู้เรื่อง นำไปใช้ก่อไฟ ถูกเขาเทศนาเหมือนสวดมนต์“สร้างสำนักศึกษาเอกชนมาถึงตอนนี้ มีนักเรียนเพียงคนเดียว ยังมาเพราะเห็นแก่ไก่ที่เขาเลี้ยงไว้ จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ตัวหนังสือสักตัว ทว่าเนื้อกลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย...”เซียวจั๋วยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าผาก“ขอร้องท่านไม่ต้องพูดแล้ว”เซียวอวี้หันไปมองเซียวจั๋ว ท่าทีแลดูเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้อย่างน้อยก็เป็นคนตระกูลเซียวของเขา กลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้อย่างไรเพิ่งพูดเสร็จ เด็กอ้วนท้ว
แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็น ในสมองปรากฏศพไม่ครบถ้วนของศิษย์พี่ถึงแม้ไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง ก็สามารถนึกภาพจากการบอกเล่าของอาจารย์ความน่าสยดสยองนั้น...นางหันไปมองเซียวอวี้ น้ำเสียงแหบแห้ง“ระวังหน่อย อย่างไรก็ไม่ผิด”“ที่สำคัญคือ หม่อมฉันไม่อยากให้คนอื่นที่ไม่รู้เรื่องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง”สภาพของศิษย์พี่ เป็นการเตือนหากนางไม่มีความสามารถปกป้องทุกคน ก็ไม่ควรที่จะเปิดเผยเรื่องราวออกไปเซียวอวี้ฟังนางอธิบาย แล้วก็ยื่นแขนออกไปโอบกอดนางไว้“แม่หญิงของเราช่างเป็นคนมีจิตใจเมตตา”……ในโรงพักแรมทั้งสองคนทานมื้อค่ำแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนพูด “หม่อมฉันได้ให้ตงฟางซื่อเดินทางมา ถึงตอนนั้นให้ท่านบอกเล่ารูปลักษณ์ของคนนั้น”ต่อให้เซียวอวี้จำได้เพียงรูปลักษณ์คนนั้นคลุมหน้า ตงฟางซื่อก็สามารถวาดภาพได้อย่างคร่าว ๆ เซียวอวี้คิดถึงผู้เฒ่าผมขาวในตอนกลางวันคนนั้น พร้อมถามเฟิ่งจิ่วเหยียนเหมือนไม่ได้ตั้งใจ“เหล่าสวี่คนนั้น เป็นใครหรือ? เจ้ารู้จักกับเขาได้อย่างไร?”คนที่อายุมากแล้วคนหนึ่ง แลดูไม่มีอะไรพิเศษ ไม่เหมือนคนในยุทธภพเฟิ่งจิ่วเหยียนเล่าตามตรง“เขาเป็นนักตีดาบคนหนึ่ง ตอนที่หม่อมฉัน
โครม!ช่วงที่กลไกถล่มลงมา ทุกคนต่างหนีกันไม่ทัน จึงร่วงลงมาที่พื้นด้านล่างอู๋ไป๋จับเฉินจี๋แน่นตั้งแต่ต้นยันจบ คนทั้งสองจึงตกลงมาด้วยกันสิ่งแรกที่เฟิ่งจิ่วเหยียนทำก็คือยืนให้มั่นคง จากนั้นนางก็เปิดตะบันไฟตามหาเซียวอวี้เหล่าองครักษ์ที่เหลือก็ตอบสนองด้วยการลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“คุ้มครองฝ่าบาทและพระนาง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาเซียวอวี้พบเป็นคนแรก อย่างไรจุดที่สองคนตกลงมาก็อยู่ไม่ห่างกันนางพยุงเขาขึ้นมา แล้วเป็นห่วงว่าเค้าจะบาดเจ็บหรือไม่เป็นอย่างแรกเซียวอวี้สงบนิ่งเป็นอย่างมาก“ไม่เป็นไร”“นั่นเป็นเพราะว่าท่านทับข้าน่ะสิ” เซียวจั๋วค่อย ๆ ลุกขึ้นเซียวอวี้ : ?เฟิ่งจิ่วเหยียนมองสำรวจไปรอบ ๆ ทันที นางอยากรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วจะออกไปได้อย่างไรแสงจากตะบันไฟของหลาย ๆ คนรวมอยู่ด้วยกัน ทำให้ข้างล่างนี้สว่างขึ้นบ้างเซียวอวี้นึกขึ้นได้จึงพูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียน“ที่นี่คือรังมนุษย์โอสถ เรารู้ว่าทางเข้าอยู่ไหน หลังจากเข้าไปในถ้ำ เดินตรงเข้าไปด้านใน จะมีบันไดลับจุดหนึ่งลงไปด้านล่าง นึกไม่ถึงว่าด้านบนจะมีกลไกด้วย”รังมนุษย์โอสถถูกราชสำนักทำลายทิ้งแล้ว ทว่าก็ยังเหลือสิ่งของเดิมอยู่
เลี่ยอู๋ซินร่างกายบาดเจ็บสาหัส ยืนได้ไม่นานเซียวอวี้จึงอนุญาตให้เขานั่งพูดองครักษ์ประคองเขาให้นั่งลง เขาพูดตอบ “ตอนนั้นกระหม่อมกับสิงโจวสืบคดีมนุษย์โอสถด้วยกัน เขาถูกคนชั่วทำร้ายจนตาย หลายปีมานี้กระหม่อมจึงซ่อนตัวและคอยสืบคดีนี้อย่างลับ ๆ มาตลอด “ทว่า...แค่ก คนพวกนั้นซ่อนตัวดีเกินไป” เลี่ยอู๋ซินบาดเจ็บสาหัส พูดได้ไม่กี่ประโยคก็ไอ เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง “ถ้าเช่นนั้นเบาะแสที่เจ้าสืบพบคงมีน้อยมากสินะ?” เลี่ยอู๋ซินพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงกลับมาที่นี่?” เซียวอวี้จี้ถามเขา เลี่ยอู๋ซินตอบ “พอหาเบาะแสใหม่ไม่เจอ กระหม่อมจึงได้แต่กลับมาที่นี่แล้วเริ่มตรวจสอบใหม่อีกครั้ง สองวันก่อนตอนที่กระหม่อมเพิ่งจะมาถึงที่นี่ ก็โดนกลไกจนตกลงมา “โชคดีที่พกอาหารแห้งติดตัวมาด้วย จึงไม่ถึงกับอดตาย “เพียงแต่บาดเจ็บสาหัสไปเสียหน่อย หากพวกพระองค์ไม่ได้เข้ามาและช่วยเหลือกระหม่อมเอาไว้ เกรงว่ากระหม่อมคงได้ตายที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่พูด ราวกับว่าเขากำลังจมเข้าสู่ความทรงจำ เขาเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน “ตอนนั้นกระหม่อมกับสิงโจวพลัดหลงกันตรงนี้ เพื่อที่จะช่วยก
เลี่ยอู๋ซินตัวปลอมตายแล้ว ทั้งยังถูกเลี่ยอู๋ซินตัวจริงฆ่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วมาก คนส่วนมากยังไม่อาจแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ได้ทันเฉินจี๋ที่รู้สึกตัวทีหลังตะโกนเสียงดัง“คุ้มครองฝ่าบาท!”อู๋ไป๋หัวเราะเยาะเขา “นักฆ่าตายแล้ว เจ้าพูดช้าไปแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปที่เลี่ยอู๋ซินตัวจริง ใบหน้าฉงนอยู่หลายส่วน“ท่านออกมาจากตรงไหน”เลี่ยอู๋ซินเช็ดเลือดที่เลอะอยู่บนดาบ และก้าวเท้าเหยียบลงบนศพ เช็ดดินที่ติดอยู่ที่พื้นรองเท้าเขาเป็นคนรักความสะอาดมาตั้งแต่เด็ก ความเคยชินนี้แก้ไม่ได้ซักทีใบหน้านั้นดูหล่อเหลา คิ้วเข้ม ดวงตาโต เบ้าตาลึก กรามแกร่งคมคร้าม“บันไดลับทางนั้นมีกลไกอยู่ สามารถเข้ามาจากด้านนอกได้ ข้าเข้ามาซักพักแล้ว พวกเจ้าไม่มีใครรู้ตัวซักคน“ต้องโทษที่ที่นี่มืดเกินไป”เขาพูดจ้อไม่หยุดพลางย่อตัวลงตรวจดูนักฆ่าที่ปลอมตัวเป็นเขาว่าตายหรือยังจากนั้นก็ยกดาบขึ้นตัดคอของนักฆ่าผู้นั้นจนขาดนี่ถึงจะเป็นเลี่ยอู๋ซินที่เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้จักศิษย์พี่มักจะบอกว่า เลี่ยอู๋ซินผู้นั้น “ไร้หัวใจ” จริง ๆ หากคนผู้นี้เดินทางผิด จะต้องเป็นจอมมารแน่ เขาลงมืออย่างเด็ดขาดมาตลอด หากเลือกที่จะก
เลี่ยอู๋ซินมีนิสัยรักอิสระมาแต่กำเนิด เขาเทชาให้ตัวเอง หลังจากดื่มแล้วก็พูดต่อ“ข้าอยากจะตรวจสอบตำแหน่งที่หญ้าบัวแดงขึ้นทั้งหมดให้ชัดเจน โดยเฝ้ารอให้เหยื่อมาติดกับเอง“วิธีการโง่มาก ข้าจะไม่อธิบายอะไรมากแล้ว”เขาพูดราวกับว่ากำลังพูดเรื่องของคนอื่นจากคำสารภาพของเขากับเซียวจั๋ว อย่างน้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ได้เบาะแสใหม่เรื่องหญ้าบัวแดงมานางถาม : “พื้นที่อื่นของแคว้นหนานฉีไม่มีหญ้าบัวแดงหรือ?”“ไม่มี” เซียวจั๋วกับเลี่ยอู๋ซินพูดพร้อมกันอีกครั้งเซียวอวี้ไตร่ตรองด้วยสีหน้าจริงจังทันทีหากบอกว่าหญ้าบัวแดงเป็นพิษต่อมนุษย์โอสถที่จะขาดไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ทำยานี้ขึ้นจะยอมตัดใจจากหญ้าบัวแดงทว่าเลี่ยอู๋ซินกับเซียวจั๋วเฝ้ามานานขนาดนี้แล้ว ก็ยังจับคนพวกนั้นไม่ได้น่าสงสัยนัก“พวกเจ้าแน่ใจรึ ว่าจะขาดหญ้าบัวแดงไม่ได้?” เซียวอวี้ถามพวกเขาอีกครั้งคราวนี้ทั้งสองคนตอบช้าไปครู่หนึ่งเลี่ยอู๋ซินดื่มน้ำอีกครั้ง ขนตาที่เหมือนกับขนอีกาหลุบตาลงทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้น“หลายปีก่อนที่ข้าสืบได้เป็นเช่นนี้ ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรไม่แน่ใจ”พอคำพูดนี้ออกมา คนทั้งสี่ก็เข้าสู่ความเงี
หลังจากเซียวอวี้ปรากฎตัวขึ้น เลี่ยอู๋ซินกับเฟิ่งจิ่วเหยียนถึงหยุดโต้เถียงกัน“พวกเจ้ากำลังทะเลาะเรื่องอะไรกัน” เซียวอวี้สีหน้าเคร่งขรึม มีมาดราวกับผู้อาวุโสก็ไม่ปานเลี่ยอู๋ซินเบะปาก“ไม่มีอะไร คุยกันถึงเรื่องในอดีตเฉย ๆ ใช่หรือไม่ น้องจิ่วเหยียน?”ปากสุนัขอย่างเขาพูดอะไรดี ๆ ไม่เป็น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงไม่เก็บมาคิดมากชั่วคราว“ใช่ แค่คุยเรื่องในอดีตเท่านั้น”เซียวอวี้ : คิดว่าเขาหูหนวก ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นรึไร?จากที่ได้ยินเลี่ยอู๋ซินพูด ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจที่เฟิ่งจิ่วเหยียนสืบคดีมนุษย์โอสถคงจะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเขาทว่าที่เขาพูดถึงการแต่งงานกับจิ่วเหยียน นี่มันเรื่องอะไรกัน?เซียวอวี้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ไม่ได้ถามออกมาตงฟางซื่อคารวะเซียวอวี้“คารวะฝ่าบาท”เซียวอวี้ปัดชายอาภรณ์แล้วนั่งลง“เราปิดบังฐานะออกตรวจตราต่างเมือง ไม่ต้องมากพิธี”เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นั่งลงตามเซียวอวี้พูดอย่างใจลอย : “กินอะไรซักหน่อยก่อน อีกซักพักค่อยไปดูหญ้าบัวแดง”เลี่ยอู๋ซินไม่ได้ปฏิเสธ เพียงมองเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกหลายครั้งเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าเขาคิดอะไร จึงพูดย้ำอีกครั้ง“เรื่อง
เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งสตรีนางนั้น“หญ้าบัวแดงมีพิษร้ายแรง จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง อีกไม่นานราชสำนักก็จะประกาศคำสั่งลงมา”แม้หญิงนางนี้จะไม่เข้าใจว่าหญ้าบัวแดงคืออะไร ทว่าก็ยังเชื่อฟัง“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ กลับไปแล้วหม่อมฉันจะบอกพวกท่านลุงเพคะ”หลังจากนางถูกส่งกลับไป เลี่ยอู๋ซินก็ยิ้มถามเฟิ่งจิ่วเหยียน“เจ้าหลอกคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างตรงไปตรงมา“จะสู้กับคนชั่ว ก็ต้องใช้วิธีพิเศษ”วิธีที่เลี่ยอู๋ซินกับเซียวจั๋วใช้ ล้วนเป็นการรอให้อีกฝ่ายตกหลุมพรางเอง แต่กลับไม่อาจสืบได้ถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเลยเห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นทำงานอย่างระมัดระวังมากหมู่บ้านจู๋ซานนี้ซับซ้อนนัก พวกเขาเพิ่งจะมาที่นี่ครั้งแรก จะสืบแบบเงียบ ๆ ไม่ได้ตงฟางซื่อกินอิ่มแล้ว แววตาก็เปลี่ยนเป็นใสสะอาดทันทีเขาพูดอย่างจริงจัง : “หากหญ้าบัวแดงไม่อาจขาดได้จริง คนพวกนั้นจะต้องเคลื่อนไหว กระหม่อมเต็มใจอยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือด้วยกำลังอันน้อยนิดพ่ะย่ะค่ะ”เลี่ยอู๋ซินหัวเราะเยาะเบา ๆ“มีคนไม่กลัวตายมาอีกแล้ว”ตงฟางซื่อยิ้มสดใส : “ลูกหลานแห่งยุทธภพ ไม่ยี่หระต่อความตายมาแต่แรก จิตวิญญาณพันธมิ
เฉินจี๋เบิกตาโตทันที จ้องมองที่อู๋ไป๋“ลังเลอะไร?”อู๋ไป๋เอ่ยออกมาจากใจจริง“ประมุขแคว้นทรงให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความชอบธรรมอย่างยิ่ง เรื่องที่เคยรับปากกับประมุขแคว้นองค์ก่อน ไม่ว่าจะอย่างไรก็จะต้องทำให้ได้“ส่วนตอนนี้ก็ได้ครอบครองอำนาจของกษัตริย์อีก...เฮ่อ ไม่ใช่ว่านางจะถูกล่อลวงด้วยอำนาจ ที่จริงคือการแบกรับภาระของอาณาประชาราษฎร์เอาไว้โดยไม่รู้ตัว และยิ่งปล่อยวางไม่ได้“นี่เป็นความร้ายกาจของหญิงชราอย่างโอวหยางเหลียนผู้นั้น ก่อนตายนางให้ประมุขแคว้นไปเยี่ยมราษฎรของแคว้น ก็เพื่อให้ประมุขแคว้นทรงซึมซับเป็นส่วนหนึ่งกับแคว้นซีหนี่ว์อย่างแท้จริง”เฉินจี๋ขมวดคิ้วแน่น“ในเมื่อมีเรื่องเช่นนี้ เหตุใดเจ้าไม่บอกแต่แรก!”อู๋ไป๋ยกไหล่ขึ้น“บอกไปจะมีประโยชน์อันใด? เจ้าขัดขวางไม่ให้ประมุขแคว้นเสด็จไปตรวจดูสถานการณ์ภัยพิบัติได้หรือ?“อีกอย่าง เจ้าคิดว่าประมุขแคว้นทรงไม่รู้แจ้งด้วยพระองค์เองหรือ?“ทว่าความจริงคือ สถานการณ์ภัยพิบัติในแคว้นซีหนี่ว์รุนแรง และประมุขแคว้นก็ทรงทราบถึงเจตนาของโอวหยางเหลียนเป็นอย่างดี แต่ยังคงแน่วแน่ที่จะไปที่นั่น”เฉินจี๋เห็นเขาเข้าใจประมุขแคว้นเช่นนี้ จึงร
ณ พระราชวังเนื่องจากเฟิ่งจิ่วเหยียนต้องหักโหมกับงานราชกิจ ร่างกายจึงเหนื่อยล้าเซียวอวี้เป็นห่วงนางกับลูกมาตลอด ทว่าหากนางตัดสินใจจะทำสิ่งใดแล้ว ต่อให้เขาพร่ำบ่นอีกก็ไร้ประโยชน์ถ้าเช่นนั้นเขาก็พูดให้น้อย และทำให้มากจะดีกว่าฎีกาของแต่ละวัน เขาจะช่วยนางอ่านก่อน และอธิบายให้เข้าใจ นางจะได้ใช้ความคิดน้อยลงเพื่อช่วยนางแบ่งเบาภาระ เขาจึงตั้งใจเป็นพิเศษที่จะเรียนรู้ลายมือของนางอาหารของนาง เขาก็ยังลงมือทำด้วยตนเองสามีที่ดีเช่นนี้ เดิมควรจะได้รับคำชมเชยจากผู้คนทว่าเหล่าข้าหลวงยังคงดูหมิ่นพระสวามีที่มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนอย่างเขา คิดว่าเขาไม่ดีเหมือนซ่งหลีที่เป็นมิตรเข้ากับคนง่ายตอนนี้เห็นเขาใส่ใจดูแลประมุขแคว้นเช่นนี้ ต่างก็เข้าใจว่าเขาประจบประแจงอย่างเต็มที่บริเวณวังหลัง ขันทีกลุ่มหนึ่งกำลังวิจารณ์กระซิบกระซาบ “ตอนที่อดีตประมุขแคว้นทรงครองบัลลังก์ วิธีแย่งชิงความสนใจและความหึงหวงในวัง ข้าเห็นมามากแล้ว ส่วนตอนนี้พระสวามีเซียวคนนี้ก็ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย”“มิเช่นนั้นจะได้รับความโปรดปรานจากประมุขแคว้น จนได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสวามี เพียงแค่อาศัยการรบชนะครั้งเดียวได้อย่างไรเล่า
ชาวบ้านมองดูประมุขแคว้นที่ไม่เหมือนเอ่ยคำพูดเท็จ พร้อมถามด้วยความสงสัย“ท่านประมุขแคว้น แคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งใกล้จะถูกเป่ยเยี่ยนยึดครองแล้ว พวกเราจะย้ายเข้าไปได้อย่างไร?”เป่ยเยี่ยนมีอำนาจแข็งแกร่ง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดีเฟิ่งจิ่วเหยียนมีท่าทีใจเย็น“เราไม่มีทางกล่าวเท็จอย่างเด็ดขาด สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำ คือให้ความร่วมมือกับราชสำนักในการบันทึกจำนวนคน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับโยกย้าย “ถึงตอนนั้นย่อมจะมีที่ดินให้พวกเจ้าอย่างแน่นอน”ชาวบ้านยังคงรู้สึกว่าไม่น่าเชื่ออย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่เหล่าขุนนางก็ยังรู้สึกตกใจกองทัพเยี่ยนใกล้จะยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้ทั้งหมดแล้ว แล้วจะเอาที่ดินมาแบ่งให้แคว้นซีหนี่ว์ได้อย่างไร?หรือว่า แคว้นซีหนี่ว์จะต้องทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน?เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ก่อนหน้านี้ประมุขแคว้นก็ไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อนไม่ว่าจะอย่างไร ก็ควรหารือกับเหล่าขุนนางในราชสำนักทุกคนมีความคิดที่ต่างกันไป ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยออกมาตรง ๆมีเพียงเซียวอวี้ที่เชื่อมั่นเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างแน่วแน่ พลางแอบจูงมือนางอย่างเงียบ ๆหลังจากกลับไปที่ราชสำนักเหล่า
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้มาก่อนแล้วว่า เมื่อสองเดือนก่อน เพื่อเอาชนะแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เซียวอวี้จึงทำให้น้ำท่วมทั้งสามกองทัพมองดูเหมือนเป็นเขาที่ทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรงขึ้นในพื้นที่ปลายน้ำทว่าในความเป็นจริง ตั้งแต่ก่อนหน้านั้น น้ำก็ท่วมทุ่งนาอยู่ก่อนแล้ว ชาวบ้านก็ได้พากันย้ายออกไปนางมองไปยังชาวบ้านเหล่านั้น เข้าใจถึงจิตใจของพวกเขาในเวลานี้ที่นาคือทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา หลายคนต้องอาศัยที่นาเหล่านี้ดำรงชีวิตพวกเขาต้องการช่องทางระบายอารมณ์ และต้องการหนทางมีชีวิตรอดภัยธรรมชาติ ไม่อาจโทษฟ้าได้เช่นนั้นก็ต้องโทษมนุษย์“พระสวามีเซียวใช้น้ำเพื่อทำลายศัตรู ได้รับการเห็นชอบจากเรา “เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว โทษฟ้าโทษคนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตได้“เราสัญญาว่า ราชสำนักจะให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่“สิ่งที่ต้องทำอย่างแรก ก็คือการระบายน้ำ”นางเรียกขุนนางท้องถิ่นมา และถามหาความรับผิดชอบต่อหน้าธารกำนัล“เราสั่งให้พวกเจ้าระบายน้ำออกให้ทันกาล เหตุใดจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นผล!”ขุนนางผู้นั้นก้มศีรษะลงต่ำ“ท่านประมุขแคว้นมีสิ่งที่ท่านไม่ทรงทราบ สถานการณ์ของที่นี่ซับซ้อน เนื่องจากตั้งอยู่
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห