โครม!ช่วงที่กลไกถล่มลงมา ทุกคนต่างหนีกันไม่ทัน จึงร่วงลงมาที่พื้นด้านล่างอู๋ไป๋จับเฉินจี๋แน่นตั้งแต่ต้นยันจบ คนทั้งสองจึงตกลงมาด้วยกันสิ่งแรกที่เฟิ่งจิ่วเหยียนทำก็คือยืนให้มั่นคง จากนั้นนางก็เปิดตะบันไฟตามหาเซียวอวี้เหล่าองครักษ์ที่เหลือก็ตอบสนองด้วยการลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“คุ้มครองฝ่าบาทและพระนาง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาเซียวอวี้พบเป็นคนแรก อย่างไรจุดที่สองคนตกลงมาก็อยู่ไม่ห่างกันนางพยุงเขาขึ้นมา แล้วเป็นห่วงว่าเค้าจะบาดเจ็บหรือไม่เป็นอย่างแรกเซียวอวี้สงบนิ่งเป็นอย่างมาก“ไม่เป็นไร”“นั่นเป็นเพราะว่าท่านทับข้าน่ะสิ” เซียวจั๋วค่อย ๆ ลุกขึ้นเซียวอวี้ : ?เฟิ่งจิ่วเหยียนมองสำรวจไปรอบ ๆ ทันที นางอยากรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แล้วจะออกไปได้อย่างไรแสงจากตะบันไฟของหลาย ๆ คนรวมอยู่ด้วยกัน ทำให้ข้างล่างนี้สว่างขึ้นบ้างเซียวอวี้นึกขึ้นได้จึงพูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียน“ที่นี่คือรังมนุษย์โอสถ เรารู้ว่าทางเข้าอยู่ไหน หลังจากเข้าไปในถ้ำ เดินตรงเข้าไปด้านใน จะมีบันไดลับจุดหนึ่งลงไปด้านล่าง นึกไม่ถึงว่าด้านบนจะมีกลไกด้วย”รังมนุษย์โอสถถูกราชสำนักทำลายทิ้งแล้ว ทว่าก็ยังเหลือสิ่งของเดิมอยู่
เลี่ยอู๋ซินร่างกายบาดเจ็บสาหัส ยืนได้ไม่นานเซียวอวี้จึงอนุญาตให้เขานั่งพูดองครักษ์ประคองเขาให้นั่งลง เขาพูดตอบ “ตอนนั้นกระหม่อมกับสิงโจวสืบคดีมนุษย์โอสถด้วยกัน เขาถูกคนชั่วทำร้ายจนตาย หลายปีมานี้กระหม่อมจึงซ่อนตัวและคอยสืบคดีนี้อย่างลับ ๆ มาตลอด “ทว่า...แค่ก คนพวกนั้นซ่อนตัวดีเกินไป” เลี่ยอู๋ซินบาดเจ็บสาหัส พูดได้ไม่กี่ประโยคก็ไอ เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง “ถ้าเช่นนั้นเบาะแสที่เจ้าสืบพบคงมีน้อยมากสินะ?” เลี่ยอู๋ซินพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงกลับมาที่นี่?” เซียวอวี้จี้ถามเขา เลี่ยอู๋ซินตอบ “พอหาเบาะแสใหม่ไม่เจอ กระหม่อมจึงได้แต่กลับมาที่นี่แล้วเริ่มตรวจสอบใหม่อีกครั้ง สองวันก่อนตอนที่กระหม่อมเพิ่งจะมาถึงที่นี่ ก็โดนกลไกจนตกลงมา “โชคดีที่พกอาหารแห้งติดตัวมาด้วย จึงไม่ถึงกับอดตาย “เพียงแต่บาดเจ็บสาหัสไปเสียหน่อย หากพวกพระองค์ไม่ได้เข้ามาและช่วยเหลือกระหม่อมเอาไว้ เกรงว่ากระหม่อมคงได้ตายที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขณะที่พูด ราวกับว่าเขากำลังจมเข้าสู่ความทรงจำ เขาเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบน “ตอนนั้นกระหม่อมกับสิงโจวพลัดหลงกันตรงนี้ เพื่อที่จะช่วยก
เลี่ยอู๋ซินตัวปลอมตายแล้ว ทั้งยังถูกเลี่ยอู๋ซินตัวจริงฆ่าความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วมาก คนส่วนมากยังไม่อาจแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ได้ทันเฉินจี๋ที่รู้สึกตัวทีหลังตะโกนเสียงดัง“คุ้มครองฝ่าบาท!”อู๋ไป๋หัวเราะเยาะเขา “นักฆ่าตายแล้ว เจ้าพูดช้าไปแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปที่เลี่ยอู๋ซินตัวจริง ใบหน้าฉงนอยู่หลายส่วน“ท่านออกมาจากตรงไหน”เลี่ยอู๋ซินเช็ดเลือดที่เลอะอยู่บนดาบ และก้าวเท้าเหยียบลงบนศพ เช็ดดินที่ติดอยู่ที่พื้นรองเท้าเขาเป็นคนรักความสะอาดมาตั้งแต่เด็ก ความเคยชินนี้แก้ไม่ได้ซักทีใบหน้านั้นดูหล่อเหลา คิ้วเข้ม ดวงตาโต เบ้าตาลึก กรามแกร่งคมคร้าม“บันไดลับทางนั้นมีกลไกอยู่ สามารถเข้ามาจากด้านนอกได้ ข้าเข้ามาซักพักแล้ว พวกเจ้าไม่มีใครรู้ตัวซักคน“ต้องโทษที่ที่นี่มืดเกินไป”เขาพูดจ้อไม่หยุดพลางย่อตัวลงตรวจดูนักฆ่าที่ปลอมตัวเป็นเขาว่าตายหรือยังจากนั้นก็ยกดาบขึ้นตัดคอของนักฆ่าผู้นั้นจนขาดนี่ถึงจะเป็นเลี่ยอู๋ซินที่เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้จักศิษย์พี่มักจะบอกว่า เลี่ยอู๋ซินผู้นั้น “ไร้หัวใจ” จริง ๆ หากคนผู้นี้เดินทางผิด จะต้องเป็นจอมมารแน่ เขาลงมืออย่างเด็ดขาดมาตลอด หากเลือกที่จะก
เลี่ยอู๋ซินมีนิสัยรักอิสระมาแต่กำเนิด เขาเทชาให้ตัวเอง หลังจากดื่มแล้วก็พูดต่อ“ข้าอยากจะตรวจสอบตำแหน่งที่หญ้าบัวแดงขึ้นทั้งหมดให้ชัดเจน โดยเฝ้ารอให้เหยื่อมาติดกับเอง“วิธีการโง่มาก ข้าจะไม่อธิบายอะไรมากแล้ว”เขาพูดราวกับว่ากำลังพูดเรื่องของคนอื่นจากคำสารภาพของเขากับเซียวจั๋ว อย่างน้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ได้เบาะแสใหม่เรื่องหญ้าบัวแดงมานางถาม : “พื้นที่อื่นของแคว้นหนานฉีไม่มีหญ้าบัวแดงหรือ?”“ไม่มี” เซียวจั๋วกับเลี่ยอู๋ซินพูดพร้อมกันอีกครั้งเซียวอวี้ไตร่ตรองด้วยสีหน้าจริงจังทันทีหากบอกว่าหญ้าบัวแดงเป็นพิษต่อมนุษย์โอสถที่จะขาดไม่ได้ เช่นนั้นแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ทำยานี้ขึ้นจะยอมตัดใจจากหญ้าบัวแดงทว่าเลี่ยอู๋ซินกับเซียวจั๋วเฝ้ามานานขนาดนี้แล้ว ก็ยังจับคนพวกนั้นไม่ได้น่าสงสัยนัก“พวกเจ้าแน่ใจรึ ว่าจะขาดหญ้าบัวแดงไม่ได้?” เซียวอวี้ถามพวกเขาอีกครั้งคราวนี้ทั้งสองคนตอบช้าไปครู่หนึ่งเลี่ยอู๋ซินดื่มน้ำอีกครั้ง ขนตาที่เหมือนกับขนอีกาหลุบตาลงทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้น“หลายปีก่อนที่ข้าสืบได้เป็นเช่นนี้ ตอนนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรไม่แน่ใจ”พอคำพูดนี้ออกมา คนทั้งสี่ก็เข้าสู่ความเงี
หลังจากเซียวอวี้ปรากฎตัวขึ้น เลี่ยอู๋ซินกับเฟิ่งจิ่วเหยียนถึงหยุดโต้เถียงกัน“พวกเจ้ากำลังทะเลาะเรื่องอะไรกัน” เซียวอวี้สีหน้าเคร่งขรึม มีมาดราวกับผู้อาวุโสก็ไม่ปานเลี่ยอู๋ซินเบะปาก“ไม่มีอะไร คุยกันถึงเรื่องในอดีตเฉย ๆ ใช่หรือไม่ น้องจิ่วเหยียน?”ปากสุนัขอย่างเขาพูดอะไรดี ๆ ไม่เป็น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงไม่เก็บมาคิดมากชั่วคราว“ใช่ แค่คุยเรื่องในอดีตเท่านั้น”เซียวอวี้ : คิดว่าเขาหูหนวก ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นรึไร?จากที่ได้ยินเลี่ยอู๋ซินพูด ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจที่เฟิ่งจิ่วเหยียนสืบคดีมนุษย์โอสถคงจะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเขาทว่าที่เขาพูดถึงการแต่งงานกับจิ่วเหยียน นี่มันเรื่องอะไรกัน?เซียวอวี้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ไม่ได้ถามออกมาตงฟางซื่อคารวะเซียวอวี้“คารวะฝ่าบาท”เซียวอวี้ปัดชายอาภรณ์แล้วนั่งลง“เราปิดบังฐานะออกตรวจตราต่างเมือง ไม่ต้องมากพิธี”เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นั่งลงตามเซียวอวี้พูดอย่างใจลอย : “กินอะไรซักหน่อยก่อน อีกซักพักค่อยไปดูหญ้าบัวแดง”เลี่ยอู๋ซินไม่ได้ปฏิเสธ เพียงมองเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกหลายครั้งเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าเขาคิดอะไร จึงพูดย้ำอีกครั้ง“เรื่อง
เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งสตรีนางนั้น“หญ้าบัวแดงมีพิษร้ายแรง จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง อีกไม่นานราชสำนักก็จะประกาศคำสั่งลงมา”แม้หญิงนางนี้จะไม่เข้าใจว่าหญ้าบัวแดงคืออะไร ทว่าก็ยังเชื่อฟัง“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ กลับไปแล้วหม่อมฉันจะบอกพวกท่านลุงเพคะ”หลังจากนางถูกส่งกลับไป เลี่ยอู๋ซินก็ยิ้มถามเฟิ่งจิ่วเหยียน“เจ้าหลอกคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างตรงไปตรงมา“จะสู้กับคนชั่ว ก็ต้องใช้วิธีพิเศษ”วิธีที่เลี่ยอู๋ซินกับเซียวจั๋วใช้ ล้วนเป็นการรอให้อีกฝ่ายตกหลุมพรางเอง แต่กลับไม่อาจสืบได้ถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเลยเห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นทำงานอย่างระมัดระวังมากหมู่บ้านจู๋ซานนี้ซับซ้อนนัก พวกเขาเพิ่งจะมาที่นี่ครั้งแรก จะสืบแบบเงียบ ๆ ไม่ได้ตงฟางซื่อกินอิ่มแล้ว แววตาก็เปลี่ยนเป็นใสสะอาดทันทีเขาพูดอย่างจริงจัง : “หากหญ้าบัวแดงไม่อาจขาดได้จริง คนพวกนั้นจะต้องเคลื่อนไหว กระหม่อมเต็มใจอยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือด้วยกำลังอันน้อยนิดพ่ะย่ะค่ะ”เลี่ยอู๋ซินหัวเราะเยาะเบา ๆ“มีคนไม่กลัวตายมาอีกแล้ว”ตงฟางซื่อยิ้มสดใส : “ลูกหลานแห่งยุทธภพ ไม่ยี่หระต่อความตายมาแต่แรก จิตวิญญาณพันธมิ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองสีหน้าของเลี่ยอู๋ซินด้วยท่าทางเย็นชาอย่างยิ่ง“ไหนบอกว่าต่างคนต่างสืบไม่ใช่หรือ”เลี่ยอู๋ซินเข้ามาในห้องอีกครั้งแล้วยิ้มสดใส“ก่อนหน้านี้ล้อเล่นน่ะ น้องจิ่วเหยียนเป็นคนใจกว้าง จะต้องไม่มาทะเลาะกับคนอย่างข้าเป็นแน่”เฟิ่งจิ่วเหยียนถามอย่างตรงไปตรงมา“เจ้ามีวิธีอะไรก็ว่ามา”เลี่ยอู๋ซินจริงจังขึ้นทันที แล้วชี้นางกับตัวเอง“พวกเราสองคนเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน แต่พบกันช้าไป...”สีหน้าเซียวอวี้เริ่มน่าเกลียด“เพื่อนสมัยเด็ก?”เลี่ยอู๋ซินพยักหน้า : “ใช่ เพื่อข้าที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก ฮองเฮาทรงทิ้งฝ่าบาท ด้วยความเสียใจ ฝ่าบาทจึงเสด็จกลับวัง ละครนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”เซียวอวี้ : อยากตายสินะ!เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มลงไตร่ตรอง : “ข้าคิดว่า...ก็ไม่ยังไง”สีหน้านางจริงจัง“ถ้าต้องไปถึงจุดนั้นจริง ข้ายอมเลือกตงฟางซื่อยังดีกว่า”ตงฟางซื่อ : ?เลือกเขาก็เลือกเขาสิ ทำไม่ต้องมี “ยังดีกว่า”?เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้น น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว“คนพวกนั้นไม่ใช่คนโง่ ไม่ได้หลอกง่าย ๆ”อีกทั้งนางก็ไม่อยากให้เซียวอวี้เข้าใจผิดเดิมเขาก็เป็นคนใจแคบอยู่แล้วต่อให้รู้ว่าเป็นการแสดง เขาก็ไม่ยอม
ภายในพระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ ทหารรักษาพระองค์ได้เปลี่ยนเป็นคนของหูย่วนเอ๋อร์แล้วนางเป็นคนสนิทของอดีตประมุข ยามนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้สำเร็จราชการด้วยหลายวันมานี้นางเฝ้าอยู่ในวังด้วยตนเอง ทุกครั้งที่เห็นตำหนักบรรทมอันว่างเปล่าของฝ่าบาท นางก็รู้สึกไม่สบายใจวันนี้ในที่สุดประมุขพระองค์ใหม่ก็มาถึงอย่างปลอดภัยที่ประตูวัง หูย่วนเอ๋อร์นำทหารรักษาพระองค์มาต้อนรับท่านประมุข นายหญิงเฟิ่งกับโอวหยางเหลียนยืนอยู่ด้านข้างหลังจากรถม้าหยุดลง ซ่งหลีก็ลงมาก่อน จากนั้นก็เปิดม่านรถแล้วพยุงเวยเฉียงลงจากรถม้าหลังจากหูย่วนเอ๋อร์เห็นนาง ใบหน้าก็เผยความประหลาดใจถึงแม้จะรู้ก่อนแล้วว่าเฟิ่งเวยเฉียงกับเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ทว่ามองแว่บแรกนี่เหมือนกันมากเกินไปแล้วที่จริงเฟิ่งเวยเฉียงพยายามมากแล้วเพื่อที่จะปลอมตัวเป็นพี่หญิง นางพยายามเลียนแบบท่าทาง คำพูดและการกระทำของพี่หญิงมาตลอดทางหวังว่าจะไม่ปล่อยไก่ต่อหน้าคนนอก“กระหม่อมขอต้อนรับท่านประมุข!” หูย่วนเอ๋อร์ถวายคำนับทันทีเฟิ่งเวยเฉียงรีบพูด : “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”พี่หญิงเคยอธิบายสถานการณ์ส่วนใหญ่ภายในแคว้นซีหนี่ว์ให้นางฟังแล้ว
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย