หลังจากเซียวอวี้ปรากฎตัวขึ้น เลี่ยอู๋ซินกับเฟิ่งจิ่วเหยียนถึงหยุดโต้เถียงกัน“พวกเจ้ากำลังทะเลาะเรื่องอะไรกัน” เซียวอวี้สีหน้าเคร่งขรึม มีมาดราวกับผู้อาวุโสก็ไม่ปานเลี่ยอู๋ซินเบะปาก“ไม่มีอะไร คุยกันถึงเรื่องในอดีตเฉย ๆ ใช่หรือไม่ น้องจิ่วเหยียน?”ปากสุนัขอย่างเขาพูดอะไรดี ๆ ไม่เป็น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงไม่เก็บมาคิดมากชั่วคราว“ใช่ แค่คุยเรื่องในอดีตเท่านั้น”เซียวอวี้ : คิดว่าเขาหูหนวก ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้นรึไร?จากที่ได้ยินเลี่ยอู๋ซินพูด ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจที่เฟิ่งจิ่วเหยียนสืบคดีมนุษย์โอสถคงจะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเขาทว่าที่เขาพูดถึงการแต่งงานกับจิ่วเหยียน นี่มันเรื่องอะไรกัน?เซียวอวี้เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ไม่ได้ถามออกมาตงฟางซื่อคารวะเซียวอวี้“คารวะฝ่าบาท”เซียวอวี้ปัดชายอาภรณ์แล้วนั่งลง“เราปิดบังฐานะออกตรวจตราต่างเมือง ไม่ต้องมากพิธี”เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นั่งลงตามเซียวอวี้พูดอย่างใจลอย : “กินอะไรซักหน่อยก่อน อีกซักพักค่อยไปดูหญ้าบัวแดง”เลี่ยอู๋ซินไม่ได้ปฏิเสธ เพียงมองเฟิ่งจิ่วเหยียนอีกหลายครั้งเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าเขาคิดอะไร จึงพูดย้ำอีกครั้ง“เรื่อง
เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งสตรีนางนั้น“หญ้าบัวแดงมีพิษร้ายแรง จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง อีกไม่นานราชสำนักก็จะประกาศคำสั่งลงมา”แม้หญิงนางนี้จะไม่เข้าใจว่าหญ้าบัวแดงคืออะไร ทว่าก็ยังเชื่อฟัง“หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ กลับไปแล้วหม่อมฉันจะบอกพวกท่านลุงเพคะ”หลังจากนางถูกส่งกลับไป เลี่ยอู๋ซินก็ยิ้มถามเฟิ่งจิ่วเหยียน“เจ้าหลอกคนอื่นเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างตรงไปตรงมา“จะสู้กับคนชั่ว ก็ต้องใช้วิธีพิเศษ”วิธีที่เลี่ยอู๋ซินกับเซียวจั๋วใช้ ล้วนเป็นการรอให้อีกฝ่ายตกหลุมพรางเอง แต่กลับไม่อาจสืบได้ถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเลยเห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นทำงานอย่างระมัดระวังมากหมู่บ้านจู๋ซานนี้ซับซ้อนนัก พวกเขาเพิ่งจะมาที่นี่ครั้งแรก จะสืบแบบเงียบ ๆ ไม่ได้ตงฟางซื่อกินอิ่มแล้ว แววตาก็เปลี่ยนเป็นใสสะอาดทันทีเขาพูดอย่างจริงจัง : “หากหญ้าบัวแดงไม่อาจขาดได้จริง คนพวกนั้นจะต้องเคลื่อนไหว กระหม่อมเต็มใจอยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือด้วยกำลังอันน้อยนิดพ่ะย่ะค่ะ”เลี่ยอู๋ซินหัวเราะเยาะเบา ๆ“มีคนไม่กลัวตายมาอีกแล้ว”ตงฟางซื่อยิ้มสดใส : “ลูกหลานแห่งยุทธภพ ไม่ยี่หระต่อความตายมาแต่แรก จิตวิญญาณพันธมิ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองสีหน้าของเลี่ยอู๋ซินด้วยท่าทางเย็นชาอย่างยิ่ง“ไหนบอกว่าต่างคนต่างสืบไม่ใช่หรือ”เลี่ยอู๋ซินเข้ามาในห้องอีกครั้งแล้วยิ้มสดใส“ก่อนหน้านี้ล้อเล่นน่ะ น้องจิ่วเหยียนเป็นคนใจกว้าง จะต้องไม่มาทะเลาะกับคนอย่างข้าเป็นแน่”เฟิ่งจิ่วเหยียนถามอย่างตรงไปตรงมา“เจ้ามีวิธีอะไรก็ว่ามา”เลี่ยอู๋ซินจริงจังขึ้นทันที แล้วชี้นางกับตัวเอง“พวกเราสองคนเป็นเพื่อนสมัยเด็กกัน แต่พบกันช้าไป...”สีหน้าเซียวอวี้เริ่มน่าเกลียด“เพื่อนสมัยเด็ก?”เลี่ยอู๋ซินพยักหน้า : “ใช่ เพื่อข้าที่เป็นเพื่อนสมัยเด็ก ฮองเฮาทรงทิ้งฝ่าบาท ด้วยความเสียใจ ฝ่าบาทจึงเสด็จกลับวัง ละครนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”เซียวอวี้ : อยากตายสินะ!เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มลงไตร่ตรอง : “ข้าคิดว่า...ก็ไม่ยังไง”สีหน้านางจริงจัง“ถ้าต้องไปถึงจุดนั้นจริง ข้ายอมเลือกตงฟางซื่อยังดีกว่า”ตงฟางซื่อ : ?เลือกเขาก็เลือกเขาสิ ทำไม่ต้องมี “ยังดีกว่า”?เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้น น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว“คนพวกนั้นไม่ใช่คนโง่ ไม่ได้หลอกง่าย ๆ”อีกทั้งนางก็ไม่อยากให้เซียวอวี้เข้าใจผิดเดิมเขาก็เป็นคนใจแคบอยู่แล้วต่อให้รู้ว่าเป็นการแสดง เขาก็ไม่ยอม
ภายในพระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ ทหารรักษาพระองค์ได้เปลี่ยนเป็นคนของหูย่วนเอ๋อร์แล้วนางเป็นคนสนิทของอดีตประมุข ยามนี้ยังเป็นหนึ่งในผู้สำเร็จราชการด้วยหลายวันมานี้นางเฝ้าอยู่ในวังด้วยตนเอง ทุกครั้งที่เห็นตำหนักบรรทมอันว่างเปล่าของฝ่าบาท นางก็รู้สึกไม่สบายใจวันนี้ในที่สุดประมุขพระองค์ใหม่ก็มาถึงอย่างปลอดภัยที่ประตูวัง หูย่วนเอ๋อร์นำทหารรักษาพระองค์มาต้อนรับท่านประมุข นายหญิงเฟิ่งกับโอวหยางเหลียนยืนอยู่ด้านข้างหลังจากรถม้าหยุดลง ซ่งหลีก็ลงมาก่อน จากนั้นก็เปิดม่านรถแล้วพยุงเวยเฉียงลงจากรถม้าหลังจากหูย่วนเอ๋อร์เห็นนาง ใบหน้าก็เผยความประหลาดใจถึงแม้จะรู้ก่อนแล้วว่าเฟิ่งเวยเฉียงกับเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน ทว่ามองแว่บแรกนี่เหมือนกันมากเกินไปแล้วที่จริงเฟิ่งเวยเฉียงพยายามมากแล้วเพื่อที่จะปลอมตัวเป็นพี่หญิง นางพยายามเลียนแบบท่าทาง คำพูดและการกระทำของพี่หญิงมาตลอดทางหวังว่าจะไม่ปล่อยไก่ต่อหน้าคนนอก“กระหม่อมขอต้อนรับท่านประมุข!” หูย่วนเอ๋อร์ถวายคำนับทันทีเฟิ่งเวยเฉียงรีบพูด : “ไม่ต้องมากพิธี ลุกขึ้นเถิด”พี่หญิงเคยอธิบายสถานการณ์ส่วนใหญ่ภายในแคว้นซีหนี่ว์ให้นางฟังแล้ว
คนที่ถูกจับโดนถอดคาง ป้องกันไม่ให้เขากินยาพิษหรือกัดลิ้นตายองครักษ์มัดแขนสองข้างของเขา แตะเข้าที่ข้อพับของเขา ให้เขาคุกเข่าบนพื้นหน้าของเขามีแผลพาดยาวครึ่งหน้าจากดาบหนึ่งแผล เลือดยังไหลอยู่ ดวงตาเย็นยะเยือกจ้องพื้นเขม็ง ราวกับหุ่นไม้ที่ไร้ความรู้สึกแววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเคร่งขรึมคนแบบนี้ ส่วนมากจะเป็นหน่วยกล้าตาย หากใช้วิธีปกติสอบปากคำจะไม่ได้อะไรขณะที่นางกำลังคิดว่าควรจะทำอย่างไร เลี่ยอู๋ซินพลันกระโดดลงมาจากขื่อตาของเขาสะลึมสะลือราวกับเพิ่งตื่น หาวขณะที่พูด“ให้ข้าสอบปากคำเขาเถอะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางเลี่ยอู๋ซิน “เจ้าน่ะหรือ?”เลี่ยอู๋ซินก้มลงไปจับคางของนักฆ่าผู้นั้นขึ้น ระหว่างรักษาระดับสายตาให้อยู่ในระดับเดียวกัน แล้วถามเฟิ่งจิ่วเหยียนกลับ“ทำไม ไม่เชื่อข้าเหรอ?”“ไม่เชื่อ” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดตรงไปตรงมาเลี่ยอู๋ซินร้องเฮอะทีหนึ่ง ปล่อยคางนักฆ่า แล้วหันมามองเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาเลิกคิ้ว“พูดตรงเช่นนี้เลย? ยังไงก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันนะ ทำร้ายจิตใจข้าจริง ๆ”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเลี่ยอู๋ซินผู้นี้ บางครั้งก็เหมือนพวกไร้ยางอายจริงตอนนั้นเหตุใดเมิ่งฉวีถึงคิดจะแนะนำเข
หลังจากพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกไป เลี่ยอู๋ซินก็เอาวิธีต่าง ๆ ออกมาใช้ไม่ขาดสายมากจนทำให้ตงฟางซื่อที่มีความรู้ที่กว้างขวางยังต้องเบิกตากว้าง และอยากเอาอาหารรสเลิศที่กินไปตอนเย็นอาเจียนออกมาให้หมด...เขาหันกลับมามองเฉินจี๋ก็เห็นเฉินจี๋สีหน้าเรียบเฉย ไม่เปลี่ยนสีหน้าสมแล้วที่เป็นราชองครักษ์ข้างกายฝ่าบาท ช่างใจเย็นเสียจริงตอนที่ตงฟางซื่อกำลังคิดเช่นนี้ เฉินจี๋ก็พลันหันศีรษะไปด้านข้าง“แหวะ——”ตงฟางซื่อ : ที่แท้ราชองครักษ์ก็เป็นคนธรรมดาเช่นกันจากนั้นเขาก็รีบเดินไปที่มุมกำแพงหนึ่ง อ้าปากอาเจียนไม่หยุดเฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ห้องข้าง ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างทรมานผสมกับเสียงอาเจียนด้วยนางขมวดคิ้วนี่ใครอาเจียนกัน?หลังผ่านไปครึ่งชั่วยามเสียงห้องด้านข้างก็เบาลงเฉินจี๋มาเคาะประตู“ฝ่าบาท สอบปากคำได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ”พอเปิดประตูกลับพบว่าเฉินจี๋มีสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ แม้แต่ริมฝีปากก็ซีดด้วยอู๋ไป๋สงสัยยิ่ง ข้างห้องเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทว่าพวกเขาเข้าไปไม่ได้หลังจากเลี่ยอู๋ซินเดินออกมาก็ปิดประตูลง ไม่ให้พวกเขาเห็นแม้แต่น้อย“นี่ทำเพื่อพวกเจ้านะ ไม่งั้นอีกหน่อยพวกเจ้าจะกินข้า
ก่อนหน้านี้ในหมู่บ้านจู๋ซาน แม้แต่ประชาชนทั่วไปยังวาดภาพเหมือนของฮ่องเต้ได้ เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเรื่องที่ฮ่องเต้ใส่ชุดสามัญชนออกตรวจ เป็นที่รู้กันโดยถ้วนหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนในเจียงโจวจำได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสร้างรอยแผลเป็นปลอมบนหน้าของเซียวอวี้ ดูน่าสยดสยองอย่างมาก มองอย่างไรก็มองไม่ออกว่าเป็นเขานางเองก็ใส่หน้ากากเช่นกัน หน้ากากนั้นปกปิดใบหน้าของนางครึ่งหนึ่ง ไม่ทำให้จำได้ง่ายแน่นอนทว่า ณ บริเวณประตูเมือง มีนายท่านเฟิ่งผู้มีดวงตาหลักแหลมอย่างแรก นั่นคือลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองอย่างที่สอง เขารู้ข่าวที่ฝ่าบาทแต่งตัวเป็นสามัญชนออกตรวจตั้งนานแล้ว ช่วงนี้จึงให้ทานแจกข้าวต้มผู้ประสบภัยทุกวัน เพื่อรอคอยฝ่าบาท เขาเตรียมการณ์เพื่อสิ่งนี้ไว้ตั้งแต่แรก ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองคนต่างถิ่นเหล่านั้นที่เข้ามาในเมืองดังนั้น ทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้ปรากฏตัว เขาก็รู้สึกคุ้นตาทว่าเขาไม่ได้รีบเข้าไปทำความเคารพแสดงละครก็ต้องแสดงให้ถึงที่สุด เขายังรอถูกโยกย้ายกลับไปที่เมืองหลวง!เมื่อเซียวอวี้เห็นพฤติกรรมของนายท่านเฟิ่ง เขาก็พูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนเสียงเบา “พ่อของเจ้าเหมือนจะเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนหันมา มองมายังบิดาของตัวเอง“เจตนาของท่าน ข้าจะไปบอกท่านแม่ให้“แต่ว่า อย่าคาดหวังมากนักเลย เพราะถึงอย่างไรท่านก็ทำความผิดเอาไว้…”“ข้ารู้!” ดวงตาของนายท่านเฟิ่งทอประกายเขาพยักหน้าอย่างตื่นเต้น“ข้ารู้ว่าในตอนนั้นข้าทำผิดไว้มากมาย ข้าทำตัวเองทั้งนั้น!“ตราบใดที่แม่ของเจ้ายอมอภัยให้ข้า ในอนาคตข้าจะทำดีต่อนางแน่นอน”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้ว “การทำดีกับภรรยาตัวเอง เป็นเรื่องควรค่าแก่การโอ้อวดหรือให้คำมั่นสัญญาด้วยหรือ?”สตรีช่วยสามีอบรมสั่งสอนบุตร และคอยปรนนิบัติดูแลสามีส่วนบุรุษ แค่พูดว่า “จะทำดีต่อเจ้า” เพียงประโยคเดียว ก็สามารถทำให้ผู้หญิงซาบซึ้งได้แล้วหรือ?คำพูดปากเปล่าเช่นนี้ นางไม่รู้เลยว่า ควรไปบอกท่านแม่ดีหรือไม่“ท่านควรพูดว่า ท่านสำนึกผิดแล้ว และขาดนางไม่ได้…”นายท่านเฟิ่งฟังมาถึงตรงนี้ จิตใจที่รักศักดิ์ศรีพลันจุดติดประกายไฟเขาตีหน้าเข้มโต้แย้งกลับไป“เป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนาน ยังจะต้องพูดอะไรหวานซึ้งเช่นนั้นอีกหรือ? “เอาเป็นว่าแค่แม่เจ้ารู้ว่าข้าไปทบทวนมาแล้ว ก็ต้องกลับมาแน่นอน“อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าข้าขาดนางไม่ได้ อย่างที่เจ้าคิด วันนี้ยังมีหลา
ก่อนที่งานชุมนุมประลองยุทธ์จะเริ่มขึ้น รองเจ้าสำนักอวิ๋นซานก็เดินขึ้นไปบนเวที“สำนักอวิ๋นซานยินดีต้อนรับเหล่าวีรบุรุษผู้กล้าทุกท่าน งานชุมนุมประลองยุทธ์ที่จัดขึ้นหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปี จะมีการคัดเลือดเจ้ายุทธจักรแห่งอู่หลิน เพื่อสร้างยุทธภพให้ยิ่งใหญ่ ภายใต้การนำของผู้แข็งแกร่ง”“ทุกท่าน ก่อนที่การประลองจะเริ่มขึ้น ข้าขอพูดอะไรอีกสักหน่อย“กฎในการประลองครั้งนี้ พวกท่านน่าจะเข้าใจกันดี“ก่อนเริ่มประลอง สำนักไหนคว้าชัยชนะได้ถึงสิบห้าครั้งก่อน ถือว่าชนะการประลอง“แม้นจะกล่าวว่านักบุ๋นไร้ที่หนึ่ง นักบู๊มีได้เพียงผู้เดียวในใต้หล้า แต่การประลองในวันนี้ ให้สิ้นสุดเมื่อมีการสัมผัสตัว ห้ามให้ถึงแก่ชีวิต หากเพื่อแย่งชิงที่หนึ่ง ทำให้คนร่วมยุทธภพต้องตาย ถึงจะชนะ ก็เอาชนะใจผู้คนไม่ได้”“พูดได้ถูกต้อง!” คนข้างล่างส่งเสียงเห็นด้วยรองเจ้าสำนักผู้นั้นมองผู้คนโดยรอบ พูดอีกว่า“หากทุกท่านไม่มีเรื่องจะถามแล้ว เช่นนั้น การประลองในครั้งนี้ ก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!”คนที่นั่ง ณ ตำแหน่งหลัก คือเจ้าสำนักอวิ๋นซาน——ชิวเฮ่อรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผากของเขาเหมือนหุบเหว ดูแก่ชราอย่างมาก แต่ยังดูคล่องแคล่ว
เฟิ่งจิ่วเหยียนเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่แรก ใบหน้าภายใต้หน้ากาก นางก็ทำการแปลงโฉมมาก่อนแล้วหลังจากที่ถอดหน้ากากออก นางก็เงยหน้าอย่างผ่าเผย แววตาเด็ดเดี่ยวทรงพลัง“เจ้าทำอะไรน่ะ!” ศิษย์ในสำนักเฉวียนเจินผู้หนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ผลักลูกศิษย์สำนักอวิ๋นซานที่เข้ามาเกาะแกะตัวเองออกไปอีกฝ่ายหลงคิดไปเอง“ข้าต่างหากที่ต้องถามว่าเจ้าทำอะไร! หลบ ๆ ซ่อน ๆ ไม่ให้ความร่วมมือในการตรวจค้นร่างกาย ดูก็รู้แล้วว่ามีพิรุธ!”“ข้าหลบซ่อนอย่างไร? เห็น ๆ กันอยู่ว่า เจ้าฉวยโอกาสลูบคลำข้า…” ศิษย์สำนักเสวียนเจินผู้นั้นโต้แย้งสุดกำลังคนจากสำนักอวิ๋นซานรีบโต้แย้งนาง“ไร้สาระ! พวกข้าตรวจค้นร่างกายอย่างถูกต้อง เจ้านั่นแหละที่คิดไม่ซื่อเอง!”คนจากสำนักอื่นที่ยืนอยู่รอบ ๆ ต่างทยอยหันมามองพวกนาง เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา“สตรีจากสำนักเฉวียนเจิน แต่ละคนต่างจงใจใส่ชุดมาเช่นนี้ เบื้องหน้าดูสะอาดบริสุทธ์ แต่ลึก ๆ คงคาดหวังให้ชายหนุ่มลูบคลำเป็นแน่!”“นั่นสิ ก็แค่ตรวจค้นร่างกายธรรมดา พวกนางสะบัดสะบิ้งไปเอง แถมยังคิดว่าผู้ชายต่างชอบพวกนางอีก! เหอะ!”“ในยุทธภพแห่งนี้ มีใครสนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิงที่ไหน
ความผิดปกติของเหล่าข้าราชการเจียงโจว ไปถึงหูสำนักอวิ๋นซานอย่างรวดเร็วภายในห้องโถงหลักสำนักอวิ๋นซานเจ้าสำนักกับเหล่าผู้อาวุโสกำลังร่วมประชุมพวกเขาแต่ละคนล้วนหนักใจ คิ้วขมวดแน่นไม่คลายหนึ่งในนั้นมองมาที่เจ้าสำนัก พูดเสียงเบาในลำคอ“เจ้าสำนัก ต้องรีบตัดสินใจเร็ว ๆ นะ ดูท่าแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากที่ฮ่องเต้จะมาที่เจียงโจว”“ใช่! ข้าก็ได้ข่าวมาเช่นนี้ พ่อตาของไอ้เด็กฮ่องเต้ ช่วงนี้เคลื่อนไหวบ่อยมาก ฮ่องเต้ต้องอยู่ที่เจียงโจวเป็นแน่!”เจ้าสำนักอวิ๋นซานหนวดเคราหงอกขาว อายุราว ๆ หกสิบปีนัยน์ตาของเขาเจือไปด้วยแววเย็นชาเล็กน้อย“ทางหมู่บ้านจู๋ซาน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”มีคนตอบกลับ “จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวส่งกลับมา คาดว่านักฆ่าน่าจะทำไม่สำเร็จ”“ยังต้องเดาอีกหรือ? ต้องไม่สำเร็จอยู่แล้วสิ! ไม่เพียงล้มเหลว ยังมีคนทรยศสำนักอวิ๋นซานอีกด้วย! ไม่เช่นนั้น ไอ้เด็กฮ่องเต้นั่นจะมาที่เจียงโจวได้อย่างไร? ต้องพุ่งเป้ามาที่สำนักอวิ๋นซานเป็นแน่!”ทุกคนทั้งกังวลและหนักใจ หันไปมองเจ้าสำนักโดยไม่ได้นัดหมายเจ้าสำนักลูบเครา ครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ก็เอ่ยพูดอย่างไม่รีบร้อน“ส่งศิษย์กลุ่มหนึ่งไปสืบข
หลังจากเข้ามาในห้อง เซียวอวี้ก็เอ่ยในที่สุดเขาไม่เป็นวิชาการเปลี่ยนน้ำเสียง อดกลั้นจนทนไม่ไหว“รองเจ้าสำนักผู้นั้น เหมือนจะยังไม่ตัดใจจากเจ้า” เขาดื่มชาเข้าไปเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้คิดมากเรื่องความรักใคร่ของหญิงสาวสิ่งที่นางสนใจมากกว่า คืองานชุมนุมประลองยุทธ์ในอีกสองวันหากชนะงานชุมนุมประลองยุทธ์ ก็จะสามารถตัดกำลังของสำนักอวิ๋นซานให้อ่อนลงได้ เช่นนี้ก็จะปลอดภัย“คิดอะไรอยู่?” เซียวอวี้เห็นนางเหม่อลอย จึงยื่นมือออกไปโบกข้างหน้านางเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวเสียงเข้ม“ข้ากำลังคิด ว่าศักยภาพของสำนักอวิ๋นซานเป็นเช่นไร โอกาสชนะงานชุมนุมประลองยุทธ์มีเท่าไร”เซียวอวี้ยกมือขึ้นโอบเอวนางไว้เบา ๆ ถูไถจอนหูของนาง พูดเสียงเบาว่า “ข้าเชื่อว่า เราต้องชนะแน่นอน แต่ข้ามีคำถาม จำเป็นต้องอยู่ในสำนักเฉวียนเจินตลอดเลยหรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้า“เหลืออีกแค่สองวัน อีกไม่นานหรอก จะได้ไม่ต้องไป ๆ กลับ ๆ จนถูกคนจับตามอง”เซียวอวี้ถอนหายใจ“เราเป็นถึงฮ่องเต้ แต่ต้องมาแต่งตัวเป็นสตรี เป็นเรื่องน่าอับอายต่อบรรพบุรุษยิ่งนัก ฮองเฮาต้องชดเชยให้เราดี ๆ นะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักหัวเขาที่โน้มเข้ามาใกล้ออกไป
รองเจ้าสำนักเฉวียนเจิน——เหลิ่งเซียนเอ๋อร์ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลม ในอาภรณ์สีขาว แผ่นหลังบอบบาง แต่ไม่ดูผอมแห้งนางค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา พูดเสียงดังฟังชัด“ไปเอาป้ายไม้มา”ลูกศิษย์เดินอ้อมมาตรงหน้านาง ส่งให้ด้วยสองมือวินาทีที่เห็นป้ายไม้ นัยน์ตาสวยของเหลิ่งเซียนเอ๋อร์ก็หดลงซูฮ่วนหรือ? นางมาที่สำนักเฉวียนเจิน?หรือว่า…ซูฮ่วนส่งป้ายไม้ให้ใคร แล้วคนนั้นมีเรื่องอยากขอร้องสำนักเฉวียนเจิน?เหลิ่งเซียนเอ๋อร์สีหน้าสงบนิ่ง “ให้คนผู้นั้นเข้ามา”“รับทราบ รองเจ้าสำนัก”ขณะที่ลูกศิษย์กำลังจะออกไป เลิ่งเซียนเอ๋อร์พลันเอ่ยขึ้น“ช้าก่อน”เหลิ่งเซียนเอ๋อร์ลุกขึ้น อาภรณ์สีขาวปลิวไสวราวเทพเซียนนางกำชับศิษย์ผู้นั้น “ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รอเวลาอีกสองถ้วยชา ค่อยพาคนผู้นั้นเข้ามา”ลูกศิษย์ค่อนข้างไม่เข้าใจเสื้อผ้าของรองเจ้าสำนักก็ไม่ได้เปื้อนนี่นา จำเป็นต้องเปลี่ยนตอนนี้เลยหรือ?สำนักเฉวียนเจินล้วนเป็นผู้หญิง ศิษย์ทั่วไปอาศัยอยู่รวมกัน สิบคนต่อหนึ่งห้องเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักมีห้องส่วนตัวเหลิ่งเซียนเอ๋อร์กลับมาที่ห้องตัวเอง เลือกใส่อาภรณ์ที่สะอาด เดิมตั้งใจจะออกไป แต่เมื่อเดินผ่านคันฉ
บ้านพักตระกูลเจียงหลังนี้ ที่เจียงหลินซื้อมาในตอนนั้น ก็เพื่อเอาไว้ต้อนรับมิตรสหายในยุทธภพ ห้องหับจึงมีอยู่เพียงพอพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนเลือกห้องกันเอง พักผ่อนเพื่อรวบรวมพละกำลังเซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนนอนด้วยกัน เมื่อเข้ามาในห้อง เขาก็ปิดประตูถามว่า“เจ้าจะไปสำนักเสวียนเจินทำไม?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดกึ่งหยอกล้อ“ไปหา ‘คนรักเก่า’ เพื่อรำลึกความหลัง”เซียวอวี้รู้ว่านางไม่ได้พูดจริง จึงยิ้มออกมาเขายื่นแขนออกไปกอดเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาอยู่ในอ้อมแขน เอาหน้าแนบชิดกับหน้า ถูไถเบา ๆ ไร้ท่าทีน่าเกรงขามของฮ่องเต้ กลับดูเหมือนสามีน้อย ๆ “เราไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น แค่อยากรู้ ว่าการเดินทางของเจ้าในครั้งนี้จะมีอันตรายหรือไม่ เมื่อครู่เจ้าไม่ได้หลุดอะไรมากมาย ต่อหน้าพวกตงฟางซื่อ “ตอนนี้มีเพียงเจ้ากับเราสองคน เจ้าคงอธิบายกับเราให้ชัดเจนได้ใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนถอยออกจากอ้อมกอดของเขา เงยหน้ามองเขา แล้วลูบรอยแผลเป็นปลอมบนใบหน้าของเขา ด้วยความรักใคร่นางเอ่ยช้า ๆ“สำนักเสวียนเจินกับสำนักอวิ๋นซานอยู่ห่างกันไม่ไกล อย่างแรกข้าอยากไปสืบหาความจริง ให้รู้แจ้งว่าพวกเขาร่วมมือกันหรือไม่ อย่างที
เฟิ่งจิ่วเหยียนหันมา มองมายังบิดาของตัวเอง“เจตนาของท่าน ข้าจะไปบอกท่านแม่ให้“แต่ว่า อย่าคาดหวังมากนักเลย เพราะถึงอย่างไรท่านก็ทำความผิดเอาไว้…”“ข้ารู้!” ดวงตาของนายท่านเฟิ่งทอประกายเขาพยักหน้าอย่างตื่นเต้น“ข้ารู้ว่าในตอนนั้นข้าทำผิดไว้มากมาย ข้าทำตัวเองทั้งนั้น!“ตราบใดที่แม่ของเจ้ายอมอภัยให้ข้า ในอนาคตข้าจะทำดีต่อนางแน่นอน”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้ว “การทำดีกับภรรยาตัวเอง เป็นเรื่องควรค่าแก่การโอ้อวดหรือให้คำมั่นสัญญาด้วยหรือ?”สตรีช่วยสามีอบรมสั่งสอนบุตร และคอยปรนนิบัติดูแลสามีส่วนบุรุษ แค่พูดว่า “จะทำดีต่อเจ้า” เพียงประโยคเดียว ก็สามารถทำให้ผู้หญิงซาบซึ้งได้แล้วหรือ?คำพูดปากเปล่าเช่นนี้ นางไม่รู้เลยว่า ควรไปบอกท่านแม่ดีหรือไม่“ท่านควรพูดว่า ท่านสำนึกผิดแล้ว และขาดนางไม่ได้…”นายท่านเฟิ่งฟังมาถึงตรงนี้ จิตใจที่รักศักดิ์ศรีพลันจุดติดประกายไฟเขาตีหน้าเข้มโต้แย้งกลับไป“เป็นสามีภรรยากันมาเนิ่นนาน ยังจะต้องพูดอะไรหวานซึ้งเช่นนั้นอีกหรือ? “เอาเป็นว่าแค่แม่เจ้ารู้ว่าข้าไปทบทวนมาแล้ว ก็ต้องกลับมาแน่นอน“อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าข้าขาดนางไม่ได้ อย่างที่เจ้าคิด วันนี้ยังมีหลา
ก่อนหน้านี้ในหมู่บ้านจู๋ซาน แม้แต่ประชาชนทั่วไปยังวาดภาพเหมือนของฮ่องเต้ได้ เท่านี้ก็พอจะรู้แล้วว่าเรื่องที่ฮ่องเต้ใส่ชุดสามัญชนออกตรวจ เป็นที่รู้กันโดยถ้วนหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนในเจียงโจวจำได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสร้างรอยแผลเป็นปลอมบนหน้าของเซียวอวี้ ดูน่าสยดสยองอย่างมาก มองอย่างไรก็มองไม่ออกว่าเป็นเขานางเองก็ใส่หน้ากากเช่นกัน หน้ากากนั้นปกปิดใบหน้าของนางครึ่งหนึ่ง ไม่ทำให้จำได้ง่ายแน่นอนทว่า ณ บริเวณประตูเมือง มีนายท่านเฟิ่งผู้มีดวงตาหลักแหลมอย่างแรก นั่นคือลูกสาวแท้ ๆ ของตัวเองอย่างที่สอง เขารู้ข่าวที่ฝ่าบาทแต่งตัวเป็นสามัญชนออกตรวจตั้งนานแล้ว ช่วงนี้จึงให้ทานแจกข้าวต้มผู้ประสบภัยทุกวัน เพื่อรอคอยฝ่าบาท เขาเตรียมการณ์เพื่อสิ่งนี้ไว้ตั้งแต่แรก ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองคนต่างถิ่นเหล่านั้นที่เข้ามาในเมืองดังนั้น ทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกับเซียวอวี้ปรากฏตัว เขาก็รู้สึกคุ้นตาทว่าเขาไม่ได้รีบเข้าไปทำความเคารพแสดงละครก็ต้องแสดงให้ถึงที่สุด เขายังรอถูกโยกย้ายกลับไปที่เมืองหลวง!เมื่อเซียวอวี้เห็นพฤติกรรมของนายท่านเฟิ่ง เขาก็พูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนเสียงเบา “พ่อของเจ้าเหมือนจะเ
หลังจากพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนออกไป เลี่ยอู๋ซินก็เอาวิธีต่าง ๆ ออกมาใช้ไม่ขาดสายมากจนทำให้ตงฟางซื่อที่มีความรู้ที่กว้างขวางยังต้องเบิกตากว้าง และอยากเอาอาหารรสเลิศที่กินไปตอนเย็นอาเจียนออกมาให้หมด...เขาหันกลับมามองเฉินจี๋ก็เห็นเฉินจี๋สีหน้าเรียบเฉย ไม่เปลี่ยนสีหน้าสมแล้วที่เป็นราชองครักษ์ข้างกายฝ่าบาท ช่างใจเย็นเสียจริงตอนที่ตงฟางซื่อกำลังคิดเช่นนี้ เฉินจี๋ก็พลันหันศีรษะไปด้านข้าง“แหวะ——”ตงฟางซื่อ : ที่แท้ราชองครักษ์ก็เป็นคนธรรมดาเช่นกันจากนั้นเขาก็รีบเดินไปที่มุมกำแพงหนึ่ง อ้าปากอาเจียนไม่หยุดเฟิ่งจิ่วเหยียนที่อยู่ห้องข้าง ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องอย่างทรมานผสมกับเสียงอาเจียนด้วยนางขมวดคิ้วนี่ใครอาเจียนกัน?หลังผ่านไปครึ่งชั่วยามเสียงห้องด้านข้างก็เบาลงเฉินจี๋มาเคาะประตู“ฝ่าบาท สอบปากคำได้ความแล้วพ่ะย่ะค่ะ”พอเปิดประตูกลับพบว่าเฉินจี๋มีสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ แม้แต่ริมฝีปากก็ซีดด้วยอู๋ไป๋สงสัยยิ่ง ข้างห้องเกิดอะไรขึ้นกันแน่ทว่าพวกเขาเข้าไปไม่ได้หลังจากเลี่ยอู๋ซินเดินออกมาก็ปิดประตูลง ไม่ให้พวกเขาเห็นแม้แต่น้อย“นี่ทำเพื่อพวกเจ้านะ ไม่งั้นอีกหน่อยพวกเจ้าจะกินข้า