เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกลับมา ลุงจางต้าเฉิงก็กล่าวคำอำลาเช่นกันก่อนไป จางต้าเฉิงยังถามหวังฮุ่ยเรื่องหนึ่งด้วย“พี่สะใภ้ พี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของผมบอกว่า อยากจะขายที่ดินหนึ่งไร่ข้างทางหลวง! พี่ช่วยเกลี้ยกล่อมเขาหน่อย อย่าให้เขาขายที่ดินเลย!” จางต้าเฉิงกล่าว“จะว่ายังไง นั่นก็คือหลุมศพของบรรพบุรุษเชื้อสายเดียวกันกับพวกพี่! อย่าไปรบกวนคุณปู่รองคุณย่ารองทั้งสองท่านของผมเลย!”คนชนบทให้ความสำคัญกับหลุมศพของบรรพบุรุษเป็นอย่างมากในด้านนี้ให้ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหวจะดีกว่าเว้นเสียแต่ว่าจะมีเหตุสุดวิสัย ไม่เช่นนั้นจะไม่ย้ายหลุมฝังศพของบรรพบุรุษเด็ดขาดหลังจากได้ยินจางต้าเฉิงพูดแล้ว หวังฮุ่ยก็รีบพูดขึ้นว่า“พี่ไม่ต้องห่วงหรอก! ที่ดินติดทางหลวง พวกเราจะไม่ขายเด็ดขาด!”ก่อนหน้านั้น หวังฮุ่ยและจางต้าซานเคยคิดที่จะขายที่ดินไร่นั้นตอนนั้นครอบครัวนี้ยากจนข้นแค้นมาก ทั้งสองคนจึงได้ตัดสินใจด้วยความจนปัญญาแต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว!ไม่ต้องพูดถึงว่าครอบครัวของพวกเขาเพิ่งได้รับเงินสี่หมื่นบาทจากการที่จางหยวนขายโสมแม้ว่าจะไม่มีเงินสี่หมื่นบาท แต่แค่ศาสตร์ทางการแพทย์ของจางหย
การรักษาโรคให้สัตว์ ก็แค่รักษาไปตามโอกาส!เช้าของวันรุ่งขึ้น หลังจากที่จางหยวนกินข้าวเสร็จแล้ว เขาก็ถีบรถสามล้อไปที่บ้านของคนที่จางต้าซาน พูดถึงบังเอิญว่า อีกฝ่ายก็เป็นคนหมู่บ้านต้าหลิว ชื่อว่าหลิวเซียนไห่พอมาถึงหมู่บ้านต้าหลิวแล้ว ไม่นาน จางหยวนก็ได้พบกับคนที่รู้จักคนคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือสามีของป้าหลิว สวีเฟิง!เมื่อก่อนตอนที่จางหยวนกลายเป็นคนปัญญาอ่อน สวีเฟิงไปที่บ้านของเขากับป้าหลิว และพบจางหยวนอยู่หลายครั้งตอนนี้บังเอิญเจอกัน สวีเฟิงก็จำจางหยวนได้ทันทีที่จำได้ไม่ใช่เพราะหน้าของจางหยวน แต่เป็นรถสามล้อที่เขาถีบอยู่คันนั้นตอนนี้ หลายคนเริ่มหันมาซื้อรถสามล้อไฟฟ้ากันหมดแล้วคนที่ถีบรถสามสับปะรังเคเหมือนครอบครัวจางหยวน มีน้อยมาก!“นายคือ... อาหยวน?” สวีเฟิงจอดรถสามล้อไฟฟ้าไว้ข้างถนนจางหยวนจึงทำได้แค่ยิ้มทักทายสวีเฟิง“สวัสดีครับลุงสวี! ผมก็คือจางหยวนครับ!”เมื่อเห็นจางหยวนที่อยู่ตรงหน้ากลับมามีสติสัมปชัญญะ และไม่มีลักษณะท่าทางปัญญาอ่อนเหมือนตอนนั้นแล้ว สวีเฟิงก็รู้สึกปลงว่าทุกสรรพสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลงก่อนหน้านี้เขาคิดว่า จางหยวนจะต้องเป็นคนปัญญาอ่อนไปตลอด
ทันทีที่เข้าไปในลานบ้าน ผู้หญิงคนนั้นก็ตะโกนไปทางห้องโถงของบ้าน“พ่อของหงเหมย ออกมาเร็วเข้า! พ่อหนุ่มจางหยวนคนนั้นมาถึงแล้ว!”ในไม่ช้า ชายวัยกลางคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเขาจางต้าซานก็เดินออกมาจากห้องโถง น่าจะเป็นหลิวเซียนไห่เมื่อหลิวเซียนไห่เห็นจางหยวน ก็ยิ้มเหอะๆแล้วเดินขึ้นไปจับมือกับเขา"เสี่ยวจาง! ขอบคุณนายมากที่สามารถมาได้! หมูที่บ้านฉันเลี้ยงเอาไว้มีปัญหานิดหน่อย ช่วงนี้ความอยากอาหารน้อยลงมาก!รบกวนนายช่วยตรวจให้หน่อยนะ"จางหยวนพยักหน้า และกำลังจะขอให้หลิวเซียนไห่พาตนเองไปดูหมูคิดไม่ถึงว่าในขณะนี้ ก็มีเสียงผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความประชดประชันดังขึ้น“เขาเหรอ? คู่ควรที่จะรักษาโรคให้หมูบ้านพวกเราหรือเปล่า?”จางหยวนหันกลับไป และเห็นว่าคนที่พูดเป็นหญิงสาวที่แต่งตัวทันสมัย สวมเสื้อยืดอินเทรนด์และกางเกงยีนส์ขาสั้นคนหนึ่งขาเรียวยาวอันขาวผ่องที่อยู่ใต้กางเกงขาสั้นนั้น สะดุดตาเป็นอย่างมากผู้หญิงคนนี้ค่อนข้างสวย แต่แต่งหน้าเข้มไปหน่อยในขณะนี้เธอกำลังยืนกอดอกอยู่ที่ประตูห้องโถง แล้วมองจางหยวนด้วยใบหน้าที่ประชดประชันจางหยวนขมวดคิ้ว นี่มันเรื่องอะไรกัน?ทันใดนั้นสีหน้า
เมื่อได้ยินข้อเสนอนี้นี้ จางหยวนก็ปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณในเมื่อหลิวเซียนไห่หาคนอื่นแล้ว เขาก็จะไม่ต้องยุ่งวุ่นวาย!คิดไม่ถึงว่าเจิ้งปินที่อยู่ด้านข้างกลับพูดเยาะเย้ยขึ้นมาว่า: "ในเมื่อมาแล้ว ก็อย่าเพิ่งไปเลย! ฉันจะให้คนป่าเถื่อนอย่างนายเปิดหูเปิดตาสักหน่อย จะได้รู้ว่าหมอสัตว์เลี้ยงมืออาชีพมันเป็นยังไง!"คำพูดของเจิ้งปิน กระตุ้นความโกรธของจางหยวนแม้ว่าจางหยวนจะไม่เคยอ้างว่าตนเป็นสัตวแพทย์แต่อีกฝ่ายเหยียดหยามกันซึ่งๆหน้าแบบนี้ ทำให้จางหยวนรู้สึกเกรี้ยวโกรธเป็นอย่างมากเขาเหลือบมองเจิ้งปิน: "เอาล่ะ! ถ้าอย่างนั้นฉันก็อยากจะดูว่า คุณมีความสามารถมากแค่ไหน!"เมื่อหลิวเซียนไห่เห็นดังนี้ หลิวเซียนไห่ก็รีบเรียกพาทุกคนไปที่ลานหมูด้านหลังระหว่างทางไปลานหลังบ้าน หลิวหงเหมยก็เดินขึ้นไปที่ข้างๆเจิ้งปิน ขมวดคิ้วแล้วถามว่า“เจิ้งปิน ทำไมคุณต้องให้นายคนนี้อยู่ต่อด้วย? ให้เขาไปเลยไม่ได้เหรอ?”เจิ้งปินกหลับยิ้ม: "หงเหมย ถ้าไม่ให้เขาอยู่ต่อ แล้วความสามารถของฉันจะโดดเด่นขึ้นมาได้ยังไง?"เมื่อพูดถึงจุดนี้ จู่ๆเจิ้งปินก็ลดเสียงให้ต่ำลง น้ำเสียงของเขาก็ดูเลวร้ายขึ้นมาทันที“หงเหมย พวกเราสองคนตกลง
ก็เห็นว่าจางหยวนมีสีหน้าที่ไร้ความรู้สึกในเวลานี้ เขาได้หมุนเวียนแก่นพลังลมปราณปิดกั้นการรับกลิ่นในจมูกของเขาแล้วหลิวเซียนไห่ที่ไม่รู้เรื่อง เห็นจางหยวนไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย กลับไม่ได้รับผลกระทบจากกลิ่นสาปหมูเลยแม้แต่น้อย ก็อดไม่ได้ที่จะตาเป็นประกายในความคิดของเขา ในฐานะสัตวแพทย์ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน จะต้องเป็นเหมือนจางหยวนถึงจะถูก!แพทย์สัตว์เลี้ยงที่สําอางค์อย่างเจิ้งปิน เข้ามาในฟาร์มหมูก็ต้องสวมหน้ากากอนามัย ดูไม่เหมือนสัตวแพทย์เลยแม้แต่น้อยหลังจากได้ตัดสินจางหยวนและเจิ้งปินอย่างเงียบๆในใจแล้ว หลิวเซียนไห่ก็กล่าวว่า:“นี่ก็คือหมูที่ฉันเลี้ยง! ดูสิพวกมันสิ ผอมลงกว่าเดิมมาก! อีกอย่างพวกมันยังอารมณ์ไม่ดีเป็นพิเศษ! ครั้งที่แล้วตอนที่ให้อาหารหมู เกือบจะโดนพวกมันกัด!”เมื่อได้ยินดังนี้ เจิ้งปินก็เหลือบมองจางหยวน: "เฮ้ นายก่อนหรือฉันก่อนดีล่ะ? ถ้าฉันลงมือก่อน นายก็ไม่มีความหมายแล้ว!"“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็เชิญนายก่อนเลย! ถ้านายรักษาหมูให้หายได้ ฉันจะรีบหันหลังกลับแล้วจากไปทันที!” จางหยวนพูดอย่างสงบนิ่ง“นาย ฮึ่ม!” เจิ้งปินทำเสียงฮึดฮัดอย่างเย็นชา แล้วก็ยิ้มกับหลิวหงเหมยอย่า
"เดี๋ยวก่อน ผมเหมือนเคยได้ยินโรคพลาสเทอร์โรซีสในหมู เหมือนว่าหมูที่เป็นโรคพลาสเทอร์โรซีส จะเปลี่ยนไปฉุนเฉียวและโมโหง่าย อีกทั้งมักจะต่อสู้กัน ปริมาณอาหารก็ลดลง!"“อาการเหล่านี้ เหมือนกับหมูที่ครอบครัวของพวกผมเลี้ยงเอาไว้เป๊ะ ๆ เลย!” หลิวเซียนไห่พูดกับตัวเองจางหยวนพยักหน้า: "ไม่ผิด! คุณหลิว คุณใช้ลานบ้านเลี้ยงหมู เป็นวิธีการที่ดีที่แปลกใหม่แหวกแนวกว่าผู้อื่นจริง ๆ นั่นแหละครับ แต่สภาพแวดล้อมของที่นี่แย่เกินไป!""สภาพแวดล้อมในการเลี้ยงหมูนั้นแย่เกินไป ประกอบกับการจัดการที่ไม่เหมาะสม ก็ทำให้หมูเป็นโรคพลาสเทอร์โรซีสได้ง่าย!"หลิวเซียนไห่เข้าใจในทันทีถึงแม้ตอนนี้เขาจะเลี้ยงหมูเป็นสิบกว่าตัว แต่ยังใช้วิธีการแบบเก่าที่เลี้ยงหมูแบบขังในคอกหนึ่งถึงสองตัวเหมือนเมื่อก่อนวิธีการแบบเก่าเลี้ยงหมูหลายตัวขนาดนี้ ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แล้ว!เขาตบท้ายทอยตัวเองอย่างแรง: "ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง! ผมผิดเองครับ ตอนที่เลี้ยงหมูไม่ได้ใช้สมอง! ผลปรากฏว่าเกิดปัญหาขึ้นมา!"ครู่หนึ่ง หลิวเซียนไห่ก็มองไปทางจางหยวนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง"เสี่ยวจาง ในเมื่อคุณรู้แล้วว่าหมูของครอบครัวผมเป็นโรคพล
ก่อนหน้านี้หลิวหงเหมยบอกว่า ไม่ให่เขาเอาเรื่องอาชีพของหลิวหงเหมยบอกหลิวเซียนไห่และภรรยาถ้าเขาเอาเรื่องนี้มาข่มขู่หลิวหงเหมยล่ะ?ดูเหมือนว่าจะตระหนักได้ถึงความคิดของเจิ้งปิน จู่ๆหลิวหงเหมยก็เยาะเย้ยขึ้นมาทันทีว่า“เจิ้งปิน ถ้าคุณไม่กลัวตาย คุณก็ลองดูสิ! แม้ว่าฉันจะไม่ใช่ที่หนึ่งในคลับของพวกเรา แต่ฉันก็เป็นหนึ่งในเจ้าหญิงในคลับ ที่มีผลงานที่ดีเช่นกัน!”“ถ้าเป็นเพราะคุณเอาเรื่องอาชีพของฉันบอกพ่อแม่ของฉัน แล้วทำให้ฉันต้องลาออก พอถึงเวลานั้นคลับก็จะสูญเสียบ่อเงินบ่อทองอย่างฉันไป คุณคิดว่าเถ้าแก่ของพวกเราจะส่งคนมาจัดการกับคุณหรือเปล่า?” หลิวหงเหมยกล่าวอย่างเยาะเย้ยรูม่านตาของเจิ้งปินหดตัวลง คลับที่หลิวหงเหมยอยู่ ภูมิหลังของเถ้าแก่ที่อยู่เบื้องหลังน่ากลัวมากอาจกล่าวได้ว่า ถ้าอีกฝ่ายยินยอม เจิ้งปินก็สามารถหายตัวไปจากโลกนี้ได้ตลอดเวลา!จู่ๆเจิ้งปินก็มีเหงื่อเย็นไหลออกมา เสื้อที่อยู่ด้านหลังบนหลังก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อเพื่อเล่นสนุกกับผู้หญิง จะต้องเอาชีวิตน้อยๆของตนเข้าไปเสี่ยง ไม่คุ้ม ไม่คุ้มเลยจริงๆ!เจิ้งปินฝืนยิ้มออกมา: "หงเหมย คุณกำลังพูดอะไรอยู่? รอให้ผมได้รับโบนัสในช่วงสิ้นปี
ไม่แน่ อาจจะมีชาวบ้านมากมายที่เกิดความคิดที่อยากจะเป็นสัตวแพทย์ขึ้นมา!ระหว่างทางที่เดินทางกลับ จางหยวนก็แวะซื้อไข่ไก่ห้ากิโลกรัมพอดีสองสามีภรรยาลำบากมาทั้งชีวิต ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ควรจะให้พวกเขาได้สุขสบายได้แล้วไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ทางด้านโภชนาการจะต้องตามให้ทันจางหยวนได้ตั้งกฎสั้น ๆ ง่าย ๆ กับหวังฮุ่ยแม่ของเขาเอาไว้แล้ว ทุกเช้าให้ต้มไข่ไก่หกฟองครอบครัวสามคน คนละสองฟอง ใครก็ห้ามกินไม่ครบปกติตอนที่ผัดอาหาร จะมากจะน้อยแค่ไหนก็จะต้องใส่เนื้อลงไปด้วยเว้นเวลาห่างกันไม่กี่วัน ก็ให้ผัดไก่หรือตุ๋นซี่โครงพูดได้ว่า มาตรฐานอาหารของครอบครัวของพวกเขาในตอนนี้ เกือบจะเทียบเท่ากับผู้ที่มีอันจะกินแล้ว!เขารฮัมเพลงกลับมาถึงที่หมู่บ้าน ตอนที่ผ่านคลินิกหมู่บ้าน จางหยวนก็มองเข้าไปในคลินิกด้วยสัญชาตญาณไม่คิดเลยว่าจะสบตาเข้ากับสายตาของหลิวรั่วหลันพอดี!ในตอนนี้หลิวรั่วหลันก็มองมาที่ข้างนอก และก็สบตาเข้ากับจางหยวนพอดีเช่นกัน!จางหยวนตะลึงงันครู่หนึ่ง หลิวรั่วหลันที่อยู่ภายในคลินิกก็ตะลึงงันเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นจางหยวนหลังจากตกตะลึง จางหยวนก็รีบเบือนหน้าหนี เตรียม