ภวินทร์ หรือ วิน อายุ 30 ปี ปัจจุบันเปิดบริษัทหลายแห่ง มีทั้งอสังหาริมทรัพย์ ได้ขึ้นแท่นว่าเป็นเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดเลยก็ว่าได้ เขาสร้างทุกอย่างขึ้นมาเองโดยที่ไม่ใช่สมบัติของพ่อแม่ รมิตา หรือ ลูกตาล อายุ 20 ปี ปัจจุบันเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เธอเป็นคนนิสัยซื่อๆ ตรงๆ และมักจะถูกคนรอบข้างหลอกใช้ได้อย่างง่ายดายเพราะความใส่ซื่อของเธอเอง
view moreเขา เป็นคนที่เข้ามาทำให้ฉันหวั่นไหว ทำให้ฉันหลงรัก เขาบอกว่าฉันไม่เหมือนใคร ฉันไม่ได้ซื่อบื้อฉันไม่ได้ใสซื่อฉันแค่อ่อนโยนกับคนอื่นมากก็เท่านั้นเอง
เพราะเป็นรักแรกจึงทำให้ฉันหลงรักผู้ชายคนนี้ได้อย่างง่ายดาย เราตกลงคบกันโดยที่ครอบครัวก็รู้ เพราะงั้นฉันจึงไว้ใจเขามาก จนกระทั่งเราสองคนได้แต่งงานกัน นิสัยของเขาก็เปลี่ยนไปทุกอย่าง ทั้งคำพูดสายตาการกระทำ มันไม่ใช่เขาคนเดิมที่ฉันเคยรู้จักเลย และสิ่งที่ทำให้ฉันช็อคมากกว่าเดิมคือเขาพาผู้หญิงเข้ามาในบ้านกอดจูบลูบคลำต่อหน้าฉัน โดยที่ไม่ได้นึกถึงจิตใจของคนที่เป็นเมียตีทะเบียนอย่างฉันเลย
หลังจากนั้นเราก็มีการทะเลาะกันบ้างส่วนมากเขาจะไม่สนใจฉันมากกว่าจะทำเป็นเหมือนว่าฉันเป็นอากาศในสายตาของเขาซะมากกว่า
ฉันเองก็ได้แต่คิดว่าฉันทำอะไรผิดไปหรือเปล่าหน้าที่ของภรรยาบกพร่องตรงไหนหรือเปล่า แต่ฉันก็คิดว่าฉันทำหน้าที่นี้ได้อย่างดี แต่ก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงเป็นแบบนั้น
**************************
ณ สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง
หญิงสาวก้าวขาเดินเข้าไปอย่างเงอะๆ งะๆ จากทางด้านหลังประตูซึ่งไม่ต้องผ่านการตรวจใดๆ ทั้งสิ้น ในมือของเธอมีเอกสารอยู่ ซึ่งเพื่อนของเธอไหว้วานให้เธอนำมาส่งให้กับผู้จัดการของที่นี่
"พี่คะขอโทษนะคะ ผู้จัดการอยู่ตรงไหนหรอคะ?"
"อ้าว น้องไม่ใช่พนักงานของที่นี่หรอกหรอแล้วเข้ามาได้ยังไง"
"พอดีว่าเพื่อนของหนูมันวานให้หนูเอาเอกสารอันนี้มาให้ผู้จัดการค่ะ"
"ผู้จัดการอยู่ที่ห้องทำงานแหละเดินเข้าไปประตูอยู่ทางซ้ายมือประตูแรก"
"ขอบคุณนะคะ"
เธอเดินไปอย่างระมัดระวัง และด้วยความที่สถานที่มันไม่เหมาะสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 20 ปีซึ่งเธอก็ยังอายุไม่ครบเลยจึงทำให้เธอหันมองหน้ามองหลังด้วยความระแวง แต่เพื่อนของเธอก็ไหว้วานมาขนาดนี้แล้วเธอจะปฏิเสธได้ยังไงกัน
ก๊อกๆๆๆ
"เข้ามา?"
เธอเปิดประตูเข้าไปก่อนจะพบเข้ากับผู้หญิงคนนึงวัยกลางคนใส่แว่นอีกทั้งเสื้อผ้าก็ยังดูแซ่บจัดจ้านไม่เหมาะกับอายุแบบนี้เลย
"เธอไม่ใช่เด็กของที่นี่แล้วมาทำไม มาสมัครงานหรอ?"
"เปล่าค่ะ พอดีว่าเพื่อนของหนูชื่อพีชเขาฝากเอกสารอันนี้ให้เอามาส่งให้กับผู้จัดการค่ะ"
"อ๋อ ขอบใจมากนะ เดินก็ระวังๆ หน่อยล่ะ เข้าสถานบันเทิงแบบนี้เธออายุยังไม่ถึงควรแต่งตัวให้มันมิดชิดกว่านี้นะ"
"ขอโทษด้วยค่ะพอดีว่าหนูรีบมาก็เลยไม่ได้สังเกตตัวเอง" พอถูกทักแบบนั้นแล้วเธอก็รู้สึกอายจนหน้าชาไปเลย แต่เธอก็ไม่ทันได้สังเกตตัวเองจริงๆการแต่งตัวของเธอก็เป็นเพียงเสื้อยืดตัวสีขาวและกางเกงขาสั้นสีดำเท่านั้น
หญิงสาวเดินกลับออกไปจากห้องทำงาน และออกไปทางเดิม ตอนนี้ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาแล้ว ทางด้านหลังประตูที่เธอเดินเข้ามาก็เริ่มวุ่นวาย พนักงานต่างก็เร่งมือทำงานกันอย่างขันแข็ง
หมับ!
"น้องสาว มาทำอะไรที่นี่จ๊ะจะกลับแล้วหรอ?"
"ปะ ปล่อยหนูนะคะหนูแค่มาส่งของให้คนรู้จักเท่านั้นค่ะไม่ได้มาเที่ยว"
"ถ้าอย่างนั้นสนใจไปเที่ยวกับพี่ไหม"
"มะ ไม่เอาค่ะหนูต้องกลับบ้าน"
"ฮ่ะ! อะไรวะ ทำตัวเป็นเด็กไปได้ คนที่มาสถานบันเทิงแบบนี้เขาก็มาเที่ยวกันทั้งนั้นแหละ อยากดื่มอะไรล่ะเดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง"
"หนูไม่ดื่มจริงๆ ค่ะ หนูขอบอกอีกครั้งว่าหนูแค่เอาของมาส่งให้คนรู้จัก ตอนนี้หนูกำลังจะกลับแล้วปล่อยหนูด้วยค่ะ"
"เฮ้ย...ถ้าอย่างนั้นไปนั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อยก็ได้"
"ไม่ค่ะ จะอะไรก็แล้วแต่หนูไปนั่งกับพี่ไม่ได้หนูไปดื่มกับพี่ไม่ได้หนูต้องกลับบ้าน"
เธอยังคงปฏิเสธเหมือนเดิมต่อให้ผู้ชายคนนี้เขาจะพูดอะไรมาก็ตาม เพราะเธอขออนุญาตพ่อกับแม่ออกมาแค่ชั่วโมงเดียวเท่านั้น หากกลับบ้านไม่ตรงเวลาเธออาจจะโดนดุหนักหน่อยก็อาจจะโดนตีเลยก็ได้
"อะไรวะนั่นนี่ก็ไม่ได้!" เขาเริ่มหัวเสียเพราะเธอไม่ยอมทำตามที่เขาพูดเลยไม่ว่าจะพูดอะไรมายั่วยวนแล้วก็ตาม
"อะ โอ๊ย! ปล่อยหนูเถอะค่ะหนูเจ็บ"
"ก็ยอมไปด้วยกันง่ายๆ สิจะได้ปล่อย!"
"ไม่ไปค่ะ ไม่ไปไหนทั้งนั้น"
หมับ!
จู่ๆ ก็มีมือปริศนามากระชากผู้ชายคนนั้นออกไปและแรงเหวี่ยงของเขาก็ผลักผู้ชายคนนั้นไปแทบล้มลงกับพื้น
"ผู้หญิงเขาไม่ยอมไปด้วย ก็ยังจะตามตื๊อเขาไม่เลิก"
"แล้วมึงเกี่ยวอะไรด้วยวะ!"
"เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ตรงนี้มันเป็นพื้นที่ของฉัน อยากให้ฉันแจ้งความไหมล่ะว่ามีคนมาก่อกวนในร้านของฉัน"
"นี่มึงกล้าขู่กูหรอ!" ผู้ชายคนนั้นถลึงตาเพราะความโกรธพร้อมกับชี้หน้าด่าผู้ชายที่เข้ามาช่วยเธอ ทำเอาเธอตกใจมากเพราะกลัวว่าจะมีปัญหากันไปบานปลายมากขึ้น ทว่ามีการ์ดที่เป็นผู้ชายใส่ชุดสูทสีดำเข้ามาล็อคตัวผู้ชายคนนั้นเอาไว้
"ไม่เคยมีใครมาชี้หน้าด่าฉันแบบนี้มาก่อน"
"....."
"และไอ้คนที่มันทำแบบนี้ต้องโดนตัดนิ้วมือทิ้งให้ด้วนให้หมด ส่งท้ายด้วยการจับโยนลงไปในบ่อจระเข้ ให้จระเข้มันกัดฉีกเนื้อสดๆ ทั้งที่ยังไม่ตาย"
หญิงสาวนึกภาพตามในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดทำเอาเธอหน้าเหวอตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่มันเกิดเรื่องกันแค่นี้เองแต่ตอนนี้มันกำลังบานปลายไปถึงชีวิตของคนคนนึงแล้ว
"มึงไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก"
"เอาตัวมันไปเดี๋ยวกูตามไปจัดการทีหลัง"
"ครับนาย"
ผู้ชายคนนั้นถูกการ์ดลากตัวออกไปต่อหน้าต่อตาหญิงสาวที่ยืนมองอยู่ ก่อนที่ผู้ชายที่เข้ามาช่วยเธอจะหันกลับมาคุยกับเธอ แต่พอเขาเอ่ยปากพูดคำแรกเท่านั้นเธอก็ตกใจสุดขีด เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกทำแบบนั้นเหมือนกัน
"ตกใจทำไมกลัวฉันหรอ?"
"เอ่อคือ..."
"ดูเธอยังเด็กอยู่เลยทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?"
"หนูเอาเอกสารมาให้ผู้จัดการค่ะเพื่อนฝากให้เอามาส่งให้"
"อ๋อ..."
"หนูขอตัวนะคะ"
"เดี๋ยวก่อนสิ..."
"เฮือก..." เธอยืนนิ่งเกร็งจนตัวชาไปหมด เมื่อถูกใช้หนุ่มรั้งเอาไว้ด้วยคำพูดสั้นๆ แต่น้ำเสียงของเขามันช่างเย็นเยียบจนน่ากลัว
"ฉันมาช่วยเธอไม่คิดจะขอบคุณกันหน่อยหรอ?"
"ขะ ขอบคุณค่ะที่ช่วยหนู"
"คราวหน้าก็ระวังตัวให้มากกว่านี้ แล้วก็อย่าแต่งตัวแบบนี้อีกล่ะ ที่นี่มันเหมาะสำหรับคนที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้นเข้าใจไหม"
"ขะ เข้าใจแล้วค่ะ"
"มีอะไรจะถามฉันหรือเปล่า?" ดูเหมือนว่าเขาจะดูออกว่าเธอมีบางอย่างที่อยากจะถามเขาเพราะเธอเอาแต่อึกอักไม่ยอมพูดจนเขาต้องถามออกไปเอง
"คุณจะทำแบบนั้นจริงๆ หรอคะ?"
"ทำอะไร?"
"ก็คุณบอกว่าคุณจะตัดนิ้วของผู้ชายคนนั้นให้ด้วนแล้วก็จับเขาโยนลงบ่อจระเข้ อันที่จริงเมื่อกี้เราสองคนก็แค่ทะเลาะกันนิดๆ หน่อยๆ ยังไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน อย่าให้มันถึงขั้นนั้นเลยได้ไหมคะ"
"แต่เมื่อกี้ผู้ชายคนนั้นมันกำลังจะตบเธอแล้วนะ?"
"แต่เขาก็ไม่ควรต้องตายนี่คะ ถ้าเราลองคิดอีกมุมนึงเขาอาจจะมีเมียมีลูกที่รอให้เขากลับบ้านอยู่ก็ได้"
"....."
"อยะ อย่าทำแบบนั้นเลยนะคะ หนูไม่อยากเป็นต้นเหตุให้ใครต้องมาตายเพราะหนูมันเป็นบาป"
"ฉันไม่ได้ทำอะไรหรอกก็แค่พูดขู่ไปอย่างนั้นแหละ"
"....."
"แค่นี้ใช่ไหมที่เธอจะขอ?"
"ค่ะ"
"ถ้างั้นฉันไปทำงานล่ะ เธอก็กลับบ้านให้มันดีๆ อายุไม่ถึงก็อย่ามาที่นี่อีก เกิดอะไรขึ้นมาฉันรับผิดชอบไม่ได้นะ"
"ค่ะ"
หลายปีต่อมา ลูกๆ ของภวินทร์ทั้งสองคนโตจนเข้าโรงเรียนกันหมดแล้ว และทั้งสองก็ไม่ได้มีลูกอีกไม่ใช่เพราะไม่อยากมี แต่ช่วงเวลาที่ทั้งสองอยากจะมีลูกมันไม่มียังไงล่ะ พอเวลาผ่านไปจนอายุมากขึ้นภวินทร์ก็ล้มเลิกที่จะคิดมีลูกอีก ถึงแม้ตอนนี้น้ำตาลจะยังแข็งแรงพอที่จะมีลูกได้อีกแต่เขาก็ไม่อยากทรมานร่างกายของเธอ เขารู้ว่ากว่าเธอจะคลอดต้องเผชิญกับหลายอย่าง และก่อนจะคลอดก็ต้องปวดท้องเจียนตายอีก “แต่งตัวไปรับลูกเหรอคะ?” น้ำตาลถาม เพราะเห็นสามีกำลังแต่งตัวหล่อ “ใช่ เธอก็ไปแต่งตัวสิ”“ทำไมคะ ปกติคุณไปรับลูกคนเดียวนี่ แค่ไปรับลูกเองทำไมต้องให้ฉันไปด้วยล่ะคะ” น้ำตาลถามอย่างงงๆ เพราะลูกๆ ทั้งสองก็โตรู้เรื่องกันแล้ว และในทุกๆ วันเองภวินทร์ก็จะเป็นคนรับหน้าที่รับส่งลูกๆ นอกจากบางวันเท่านั้นที่พี่สาวคนโต น้องวีญ่า จะนั่งรถโรงเรียนกลับมาเอง “ไปเที่ยวกัน”“หือ?”“ลูกๆ ชวนไปเที่ยวน่ะ”“อะไรกันคะ ไปตกลงกันไว้ตอนไหนทำไมฉันไม่รู้เรื่องเลยล่ะ"“เอาน่า ไปแต่งตัวสวยๆ แล้วไปรับลูกกัน"“ค่ะ”น้ำตาลยอมไปแต่งตัวสวยๆ ตามที่เขาบอก เพราะไม่อยากจะถามซักไซ้ให้มันเสียเวลามากมาย อีกอย่างเธอก็พอจะเข้าใจเพราะเรื่องเที่ยวหรือซื้
ณ บ้านพักริมทะเล ครอบครัวของภวินทร์มาเที่ยวบ้านพักตากอากาศด้วยกัน เป็นบ้านติดริมทะเล สวยหรูและเป็นส่วนตัวเพราะเป็นพื้นที่ของเขา ลูกๆ พากันเล่นอย่างสนุกสนาน เพราะอยากจะมาเที่ยวเล่นทะเลอยู่แล้ว แถวนี้ไม่มีอะไรอันตรายและน้ำก็ไม่ได้ลึกลูกๆ ของเขาจึงพากันลงเล่นน้ำทะเลได้แต่ก็มีคนคอยเฝ้าอยู่ตลอดไม่คลาดสายตา หมับ! “ตกใจหมด เล่นอะไรของคุณคะเนี่ย?” น้ำตาลตกใจ เพราะเธอกำลังยืนหันหลังเตรียมของว่างไว้ให้ลูกๆ อยู่ พวกแกเลิกเล่นแล้วต้องหิวมากแน่ๆ “ทำอะไรอยู่เหรอ น่ากินจัง"“เตรียมของว่างให้ลูกค่ะ แล้วคุณขึ้นมาแล้วลูกเล่นอยู่กับใครคะ?"“นั่งเล่นทรายกันอยู่น่ะ มีคนคอยดูอยู่ไม่ต้องห่วง"“คุณออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันยกของว่างไปให้ ลูกๆ คงจะหิวกันแย่แล้ว"“เดี๋ยวช่วยนะ"“ได้ค่ะ” เธอรีบจัดการของว่างและส่งให้กับสามียกออกไปเตรียมรอลูกสาวทั้งสอง หลังจากนั้นเด็กน้อยทั้งสองคนก็วิ่งเข้ามาในบ้าน เพราะเหนื่อยล้ากับเล่นน้ำมาครึ่งวันแล้ว “ไปล้างตัวกันให้เรียบร้อยก่อนนะคะเด็กๆ ถ้าตัวเปียกจะมานั่งที่โซฟาไม่ได้นะคะ"“ค่ะแม่” เด็กน้อยพากันเข้าห้องน้ำไปโดยมีผู้เป็นพ่อคอยเป็นคนช่วยเหลือเตรียมผ้าขนหนูเตร
น้ำตาล Talk หลังจากคลอดลูกสาวคนที่สองฉันก็ไม่ได้ทำหมันหรอก เพราะคุณวินเขาบอกว่าอยากได้ลูกชายอีกสักคน ขอให้ฉันมีให้แต่ถ้าคนที่สามก็ยังเป็นผู้หญิงอีกล่ะจะทำยังไง ฉันเข้าใจเขานะด้วยความที่เขาเองก็มีธุรกิจมากมายก็อยากได้ลูกชายไว้สืบทอดกิจการต่อ เพราะลูกสาวทั้งสองก็เห็นทีว่าจะไม่เหมาะกับงานที่พ่อของเขาทำเท่าไหร่ แต่ก็ไม่รู้อนาคตเพราะน้องวีญ่าแกอาจจะชอบก็ได้ รายนี้เหมือนพ่อของแกแทบจะทุกอย่าง “ทำอะไรของคุณน่ะ?” ฉันถามขณะที่เขากำลังจะเตรียมตัวไปรับน้องวีญ่าที่โรงเรียน พักหลังๆ มานี้เขาชอบทำตัวแปลกๆ ชอบวางมาดทำหน้าเข้มใส่คนอื่น ไปโรงเรียนลูกเพื่อนๆ ของลูกก็พากันกลัวหมด น้องวีญ่าบอกฉันว่าเพื่อนๆ ไม่กล้าเล่นด้วยเพราะกลัวพ่อของแก “ฉันไปแบบนี้ดีไหม?”“แต่งตัวบ้าบออะไรของคุณเนี่ย ไปเปลี่ยน! แล้วก็โกนหนวดด้วยนะ!” เขาปล่อยให้หนวดขึ้นยาวเฟิ้ม เพราะแบบนี้หรือเปล่าเพื่อนๆ ของน้องวีญ่าถึงได้กลัวกัน และฉันก็จำได้ว่าตอนที่เขาไปเจอฉันที่บ้านของคุณปู่ก็แบบนี้แหละ ลูกร้องแทบเป็นแทบตายเพราะกลัวเขาเนี่ยแหละ “ฉันก็แต่งตัวปกตินะ ทำไมต้องเปลี่ยนด้วย”“คุณวินคะ แค่ไปรับลูกเอง โกนหนวดด้วยค่ะ คุณรู้ไหมว่าเพื่อนๆ
น้ำตาล Talk ห้าเดือนต่อมา เรื่องที่สงสัยครั้งนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่คิดหรืออุปโลกน์ไปเอง ฉันกำลังท้องจริงๆ และคุณวินก็เป็นคนแพ้ท้องแทนฉัน แพ้หนักมาก ฉันนี่ไม่เป็นอะไรเลยสักอย่าง จนถึงตอนนี้ก็ห้าเดือนแล้ว อาการของเขาที่เป็นก็เริ่มทุเลาลง ส่วนฉันก็ท้องใหญ่ขึ้น ได้ลูกผู้หญิงเหมือนเดิม คุณวินเขาเป็นคนดูแลน้องวีญ่าเองเพราะกลัวว่าแกจะมากวนฉันจนไม่ได้พักผ่อน เวลาออกไปทำงานเขาก็จะเอาลูกไปด้วย จนตอนนี้พ่อลูกติดกันและสนิทกันมาก ทั้งที่เมื่อก่อนน้องวีญ่ากลัวคุณวินมาก แต่ตอนนี้ติดกันอย่างกับเงาแน่ะ ฉันนี่แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย “พ่อ!"“จ๋า..” คุณวินตอบรับลูกสาวเสียงหวาน ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาหาพร้อมกับอุ้มขึ้น “อยากไปไหนคะ?"“อยากระบายสี มันหมดแล้ว"“ได้สิคะ เดี๋ยวพ่อพาออกไปซื้อนะ"“ค่ะ”น้องวีญ่าชอบระบายสีมาก มีสมุดระบายสี มีดินสอสี เท่าไหร่ก็หมดไม่มีเหลือ ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งกำแพงบ้านผนังบ้าน ถูกลูกสาวฝากรอยเอาไว้มากมาย และคุณวินก็ไม่เคยคิดจะว่าลูกสักคำเลย สองพ่อลูกหน้าตาเหมือนกันมาก เหมือนแม้กระทั่งนิสัย เขาเป็นแบบไหนลูกก็เป็นแบบนั้นเลย เด็ดขาด พูดจาชัดเจนฉะฉาน กล้าพูด กล้าทำ กับลุงป้าน้า
เวลาผ่านไป จนกระทั่งวันที่น้ำตาลรับปริญญา เธอเรียนจบภายในระยะเวลาสองปี ลูกสาวตัวน้อยก็อายุจวนจะสามขวบแล้ว ทั้งน่ารักน่าหยิกช่างพูดเสียด้วย ภวินทร์พาลูกสาวมาแสดงความยินดีกับภรรยาสาวที่เพิ่งจะเรียนจบ มันเป็นวันที่ดีมากๆ เลยวันนึง แต่ทว่าวันนี้เขากลับรู้สึกแปลกๆ รู้สึกว่ามันอึมครึมยังไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนตัวเองไม่โปร่งใส เหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่ม มันกระอักกระอ่วนจนบอกไม่ถูก อยากจะอาเจียนออกมาให้ได้ “ยินดีด้วยนะน้ำตาล” ภวินทร์เดินไปหาภรรยา พร้อมกับช่อดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ มืออีกข้างก็จูงลูกสาวตัวอ้วนเดินไปด้วย เดินผ่านตรงไหนก็มีแต่คนมอง เพราะเขาดูดีมาก ลูกสาวเองก็น่ารักน่าชัง มีแต่คนรู้สึกเอ็นดูทั้งนั้น “ขอบคุณค่ะ” เธอยิ้มตอบรับพร้อมกับรับช่อดอกไม้ไปถือไว้เอง หญิงสาวค่อยๆ ย่อตัวนั่งยองลงตรงหน้าของลูกสาว ก่อนที่เธอจะบีบแก้มยุ้ยนั้นด้วยความมันเขี้ยว “พ่อแต่งตัวให้เหรอคะ น่ารักเชียว”“ค่ะ พ่อใส่ให้”“พ่อบอกจะมาหาแม่” “เหรอคะ คนเก่งของแม่” “อึก...” ภวินทร์จากที่รู้สึกกระอักกระอ่วนไม่สบายตัวอยู่แล้ว พอได้มายืนกลางแดด ท่ามกลางนักศึกษาหลายๆ คนที่กำลังมีความสุขกับการที่ตัวเองได้รับความยินดีจากครอ
กลางดึกคืนหนึ่ง แกร๊ก~เสียงเปิดประตูดังขึ้นก่อนที่จะมีคนเดินเขามา น้ำตาลเองก็สะดุ้งตัวตื่นเพราะคอยระแวงลูกสาวจะตื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้หันไปมองแต่อย่างใดเพราะคนที่เข้ามาก็คือภวินทร์ วันนี้เขาบอกว่าจะไปงานเลี้ยงและชวนเธอไปด้วย แต่เธอขี้เกียจไปเพราะมีลูกด้วยเขาเลยต้องไปคนเดียว “อืม...” “กลิ่นเหล้าหึ่งเลยนะคุณ ไปอาบน้ำ!” เธอใช้น้ำเสียงต่ำเพื่อบังคับเขาให้ออกห่าง เพราะตัวของเขามีแต่กลิ่นของแฮลกอฮอล์เต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่คงจะเมามาหนักพอสมควรเลยล่ะ ที่ไม่อยากให้เข้ามาใกล้เพราะเธอเองก็ต้องไปคลุกคลีกับลูกสาวอีก “อือ ขอกอดหน่อยเร็ว เมีย เมียจ๋า...” “รู้ว่าต้องทำงานแต่ก็ยังจะดื่มหนักแบบนี้อีกนะ” “….”“ไปอาบน้ำ เดี๋ยวกลิ่นเข้าติดเสื้อลูกจะเหม็นเอา” “ครับ” ไม่รู้ว่าเพราะความเมาหรือเปล่าเขาถึงได้เป็นคนว่านอนสอนง่ายขึ้นมาเลย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ดื้อด้านยิ่งกว่าอะไรดี ตั้งกฎบ้าบอกับเธอสารพัดเพียงเพราะกลัวว่าเธอจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง ผ่านไปสักพัก ภวินทร์เดินออกมาจากห้องน้ำ เขาน่าจะสร่างเมาบ้างแล้วเพราะดูปกติกว่าตอนแรก ไม่ได้เดินเซไปมาเหมือนกับตอนแรกที่กำลั
น้ำตาล Talk เช้าวันต่อมา เมื่อวานฉันขอให้เขาบอกคนของเขาออกไปจากมหาวิทยาลัย และมันก็มีข้อแลกเปลี่ยนเขาขอทำรอยที่อยู่ตรงคอของฉัน เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าฉันมีเจ้าของแล้ว เขาต้องการแสดงความเป็นเจ้าของกับฉันนั่นเอง ตอนแรกฉันก็ไม่อยากจะยอมหรอกเพราะต่อให้ฉันจะอายุบรรลุนิติภาวะไปแล้วแต่ที่ฉันไปเรียนมันก็สถานศึกษานี่นา ทำแบบนี้ไปมันก็ดูไม่เหมาะสมเท่าไรด้วยสิ แต่จะไปห้ามคนอย่างเขาได้ยังไง ฉันโดนทำรอยตรงคอมานี่แหละ แต่ยังดีที่เขาไม่ได้ทำรอยใหญ่เป็นจุดสังเกตให้ใครมองเห็นง่ายๆ "เดี๋ยวเย็นนี้ฉันจะมารับเข้าใจไหม""ถ้าคุณมีประชุมเดี๋ยวฉันนั่งรถไปเองก็ได้ แล้วเดี๋ยวฉันจะพาลูกกลับบ้านก่อน""ไม่ได้ ฉันจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จ แล้วกลับบ้านพร้อมกัน""....." "ถ้าใครมาจีบเธออีก บอกฉันนะฉันจะจัดการเอง" "คุณนี่ก็นะ ทำรอยบนคอของฉันมาซะขนาดนี้แล้ว ยังจะกลัวอะไรอีก" "ไม่รู้ล่ะ""....." ฉันไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ สั่งห้ามนู่นห้ามนี่อย่างกับว่าไม่รู้จักคนอย่างฉันอย่างนั้นแหละ ฉันเดินเข้าไปเรียนตามปกติและก็ทักทายเพื่อนสนิทคนนึงที่อายุน้อยกว่าฉัน ฉันไม่ค่อยมีเพื่อน ฉันไม่เข้าหาใคร จากเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมันทำให้ฉั
ตกเย็นของวันหนึ่ง ขณะที่น้ำตาลกำลังนั่งเล่นอยู่กับลูกสาวภายในห้อง จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดและมีคนเดินเข้ามาซึ่งนั่นก็คือภวินทร์ แต่สีหน้าของเขามันดูแปลกไป เขามองเธอแบบแปลกๆ ราวกับว่าเธอไปทำอะไรผิดมา "มองอะไรของคุณ?" เธอถามอย่างงงๆ"....." เขาไม่ได้ตอบอะไรแต่ใช้สายตาที่บ่งบอกว่ากำลังไม่พอใจเธอ นั่นจึงทำให้เธอรู้ว่ามันต้องมีอะไรอย่างแน่นอน แต่เธอไม่รู้เนี่ยสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ได้ เมื่อเช้าก็ไม่ได้ทะเลาะกันนี่นาและเธอก็ไปเรียนตามปกติ หรือจะเป็นเพราะว่าเธอพาลูกกลับมาก่อนเพราะเขามีประชุมในช่วงเย็นเลยไม่อยากให้ลูกอยู่รอเขา "นี่คุณ! ตกลงเป็นอะไรของคุณเนี่ย?"".....""ถามก็ตอบสิ ถ้าไม่พูดอีกทีนะฉันจะไล่ออกไปนอนห้องข้างนอกเลย" "เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร ฉันจะไปอาบน้ำอากาศมันร้อน" "....." เธอมองอย่างงงๆ เพราะการกระทำของเขามันแปลกไป เขาไม่ใช่คนที่จะประเมินเฉยใส่เธอแบบนี้ และมันก็ทำให้เธอรู้ว่าต้องมีอะไรบางอย่างแปลกไปอย่างแน่นอน ผ่านไปสักพัก ตึง! "อ๊ะ?!" น้ำตาลสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ ประตูห้องน้ำก็ถูกเปิดออกอย่างแรงทำให้อีกฝั่งของประตูไปกระทบเข้ากับผนังของห้องเสียงดังทำให้เธอสะดุ
เวลาต่อมา น้ำตาลยังคงใช้ชีวิตดำเนินในแบบของเธออยู่แบบนั้น ตอนเช้าตื่นมาก็ไปเรียน เลิกเรียนกลับมาก็ดูแลลูกต่อ เพราะชีวิตของเธอมันมีแค่นี้จริงๆ "นี่เธอเป็นลูกคนรวยใช่ไหมฉันเห็นรถหรูๆ มารับทุกวันเลย" "เมื่อก่อนน่ะ ใช่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ" เธอตอบ ตอนนี้เธอก็ไม่ใช่ลูกคนรวยอะไรแล้ว ก็แค่ได้แต่งงานกับผู้ชายมีเงินก็เท่านั้น "ยังไงเนี่ยฉันไม่เข้าใจที่เธอพูดเลย" "ฉันเคยเป็นลูกคนรวยอย่างที่เธอเข้าใจนั่นแหละ พ่อของฉันเขาตายแล้ว ธุรกิจก็ล้มละลาย ส่วนแม่ก็ไปทำงานอยู่ที่สถานสงเคราะห์คนชรา" "เอ่อ...นี่ฉันถามอะไรให้เธอไม่สบายใจหรือเปล่า" "ไม่หรอกฉันไม่ได้คิดมากกับเรื่องพวกนี้น่ะ ฉันเองก็คิดว่ามันควรจะเป็นแบบนี้ด้วยซ้ำ" น้ำตาลเธอไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อีกแล้ว เธอคิดด้วยซ้ำว่ามันสาสมแล้วกับเรื่องที่พ่อของเธอเคยทำ อย่างน้อยพ่อของเธอก็ได้ชดใช้คืนให้กับพ่อแม่ของภวินทร์แล้ว ถึงแม้จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้ก็ตาม"อืม...ตอนกลางวันออกไปกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านตรงข้ามมหาวิทยาลัยกันไหม" "อื้ม ก็ได้" พอพักกลางวันน้ำตาลกับเพื่อนก็ออกไปกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน เพราะเธอยังมีเรียนภาคบ่า
Mga Comments