ทุกคนพูดคนละประโยคคนละประโยค ไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าที่ดํามืดของฮ่องเต้ต้าฉู่แม้แต่น้อยดังนั้นในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทําไมวันนั้นหรงเหวินเมี่ยวเข้าวัง ซิงอวี้ถึงลงโทษให้คุกเข่านางโดยไม่มีเหตุผลที่แท้เป็นเพราะแผนการก่อนหน้านี้ไม่สําเร็จ มาแก้แค้นหรงเหวินเมี่ยวนี่เองแต่ซิงอวี้ไม่เคยออกจากวังมาก่อน และไม่ได้ไปมาหาสู่กับนอกวัง แล้วจะไปต่อต้านหรงเหวินเมี่ยวได้อย่างไร?คิดมาถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เงยหน้ามองผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ รอคําตอบของเขาใต้เท้าเสิ่นกลับแค่ส่ายหน้า “เหออวิ๋นเหยาไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่บอกว่าตอนที่นางหาองค์หญิงสามพบ องค์หญิงสามก็ตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด”"พูดต่อไป" ฮ่องเต้ต้าฉู่มีแผนอื่นในใจแล้ว จึงส่งสัญญาณให้พวกเขาพูดต่อไปใต้เท้าหรงกลืนน้ำลายลงคอ เอ่ยปากต่อ “ภายหลังก็เป็นอย่างที่เหอหย่งพูดจริงๆ นางโจวก็หาคนในยุทธภพกลุ่มหนึ่ง ระหว่างทางที่เหอหย่งส่งเหออวิ๋นเหยาไปปล้นคนแล้วไปขายที่ซ่อง”“พวกกระหม่อมก็เคยไปสํารวจที่ซ่องนั้นมาแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหลังจากจ้าวไซ่ยวนตาย ซ่องลับนั้นก็ปิดตัวลงแล้ว ตอนนี้คนไปที่หอว่างเปล่าแล้ว”“และเหออวิ๋นเหยาก็ยอมรับแล้ว” ใต้เท้าเสิ่นเ
“อดีตราชเลขากรมขุนนาง ใต้เท้าเสิ่นรองราชเลขากรมขุนนางในตอนนี้ เกิดเรื่องขึ้นในเวลานี้พอดีพ่ะย่ะค่ะ”“เพียงแต่เรื่องนี้กระหม่อมไม่มีหลักฐาน”“เหอหย่งและหลินเหอเฉิงคนนี้ก็สอดคล้องกับที่นางโจวพูดจริงๆ องค์ชายสามอาศัยคดีการตายของหลินอิน จัดการพวกเขาสองคนได้”เสนาบดีหลินพูดจบก็ไม่พูดอะไรอีกส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตัวเอง แล้วเริ่มเดินไปเดินมาในห้องแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อ แต่หลักฐานที่องค์ชายสามดึงขุนนางมาเป็นพวกและใส่ร้ายขุนนางได้วางอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเมื่อก่อนเขาคิดว่าจิ่นเฉินยังเด็กอยู่จริงๆ และเป็นบุตรของพระสนมเต๋อเฟยด้วย ดังนั้นจึงมีความอดทนต่อเขามากแต่ตอนนี้เขาทําเช่นนี้ เกรงว่าจะเดินตามทางเก่าในคําพูดของหวานหว่านแล้วเขาไม่สามารถเสียแรงไปมากขนาดนี้ได้ ด้วยความช่วยเหลือของหวานหว่านได้ขจัดอุปสรรคมากมายขนาดนี้ สุดท้ายเป็นเพราะการตามใจของตัวเอง ทําให้องค์ชายสามทําลายแคว้นฉู่ได้คิดถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็โบกมือให้เสนาบดีหลิน ส่งสัญญาณให้เขาออกไปก่อนส่วนตัวเขาเองนั่งอยู่ในห้องทรงอักษรคนเดียวจนฟ้ามืด“เมิ่งเฉวียนเต๋อ” ในที่สุดก็เอ่ยปาก “จัดขบวนไปตำหนักฉางชิว”ฮ่อง
เป็นเพราะฐานะขององค์ชายสี่ จึงล่าช้าไปถึงอายุสิบกว่าปีถึงได้ไปห้องทรงอักษรเพียงแต่ว่าตอนนี้องค์ชายสามมีท่าทางเช่นนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็กลัวว่าจิ่นหรงจะร่วมหัวจมท้ายกับเขาจริงๆ ในใจย่อมเกิดความลังเลขึ้นมาแต่องค์ชายห้าเป็นคนมีเมตตากรุณา เพียงแค่คุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้ต้าฉู่ “เสด็จพ่อ เสด็จพี่กับเสด็จน้องไม่รู้ประสีประสา ทําให้เสด็จพ่อโกรธ เสด็จพ่ออย่าโกรธพวกเขาเด็ดขาด จะได้ไม่ทําร้ายร่างกายตัวเอง”ฮ่องเต้ฉู่ไม่คิดว่าเขาจะคิดเช่นนี้เดิมทีคิดว่าเขาจะขอความเมตตาให้กับสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้นตอนนี้แค่ยิ้มเท่านั้น “ข้าสบายดี กลับไปก่อนเถอะ”พูดจบก็ออกจากตําหนักฉางชิวไปโดยไม่หันกลับมามองและหลังจากที่องค์ชายห้ามองส่งฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว ก็หันไปมองที่ตําหนักขององค์ชายสาม ไม่รู้ว่ากําลังคิดอะไรอยู่ ในดวงตาเหม่อลอยหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่ออกจากตําหนักฉางชิวแล้ว เดิมทีคิดจะไปจัดการองค์หญิงสามที่ตําหนักเหยียนหัวด้วยกันกลับพบขันทีของตําหนักหลงเซิงเร่งรุดมา “ฝ่าบาท องค์หญิงรองมาแล้วเพคะ”“ซิงเสวี่ย?” ฮ่องเต้ต้าฉู่หันไปมองเมิ่งเฉวียนเต๋ออย่างสงสัย คล้ายกําลังถามเขาว่าวันนี้เป็นวันอะไรเมิ่งเ
เมื่อลู่ซิงหว่านตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองถูกห่อหุ้มด้วยของเหลวอุ่น ๆ บางอย่าง และมีพลังบางอย่างกําลังผลักนางอยู่ในเวลาเดียวกันด้วยนางมุดออกไปตามแรงนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่กลับพบว่าที่หัวของนางนั้นมีมือข้างหนึ่งคอยผลักนางเข้าไปข้างใน“โอ๊ย! เจ็บเหลือเกิน!”ขณะเดียวกัน เสียงร้องด้วยเจ็บปวดที่อ่อนเพลียก็ดังขึ้นจากนั้นก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท "พระสนม! ออกแรงเร็วเพคะ”“ข้าเหนื่อยมาก ข้าไม่มีแรงแล้วจริงๆ...”"พระสนม ห้ามท้อใจเด็ดขาดนะเพคะ พระสนม รีบออกแรงสิเพคะ!”ลู่ซิงหว่านถึงตระหนักถึงว่าตัวเองกลายเป็นทารกในครรภ์ไปแล้วเกิดอะไรขึ้น?นางกําลังข้ามทัณฑ์สายฟ้าฟาดอยู่ไม่ใช่หรือ?หรือนี่จะเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากทัณฑ์ด้านจิตใจของนาง?แต่ว่า...นางลองแกว่งกําปั้นเล็ก ๆ ทั้งสองข้างไปมา อีกทั้งความเจ็บปวดจากการถูกบีบศีรษะก็ล้วนบอกนางว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่นางกลายเป็นทารกในครรภ์ที่กําลังถูกคลอดออกมาจริง ๆเพราะฉะนั้น นางล้มเหลวในการข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าฟาดแล้วว่างั้นเถอะแต่นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ตัวเองถึงได้กลายเป็นทารกในครรภ์ที่กําลังจะเกิดแบบนี้
[ท่านแม่โปรดวางใจเถิด เดิมข้าควรจะถือกำเนิดนานแล้ว แต่เพราะแม่นมทำคลอดนั้นพยายามจะดันตัวข้าเข้าไปข้างในอยู่ตลอด ข้าจึงยังไม่ได้เกิดเสียที][แต่ตอนนี้แม่นมคนนั้นถูกจับไปแล้ว ไม่มีคนชั่วมาขัดขวาง ข้าคงจะได้เกิดซักที!]ในสมองของพระสนมเฉินได้ยินเสียงพูดอ้อแอ้อย่างมีความสุข ก็ถอนหายใจยาว พร้อมกล่าวกับจิ่นซินว่า “ไม่เป็นไร ลูกใกล้จะคลอดออกมาแล้ว เจ้ารีบไปเตรียมผ้าห่อตัว แล้วมาช่วยทำคลอดก็พอ”ลู่ซิงหว่านส่งกระแสจิตไปด้านนอก พบว่าจิ่นซินได้เตรียมการพร้อมแล้ว จึงตะโกนในใจด้วยความยินดี [ท่านแม่ เตรียมตัวอีกประเดี๋ยว เราใกล้จะได้พบกันแล้ว]......ในเวลาเดียวกันนี้ ที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้ต้าฉู่กำลังรับฟังรายงานจากขุนนางเกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยแล้ง สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักแคว้นต้าฉู่ไม่มีฝนตกมาเกือบปีแล้ว ทุกหนแห่งล้วนแต่แห้งผากไปหมดต่อให้เป็นดินแดนทางใต้ที่ได้ชื่อว่าล่ำซำ พืชผลทางการเกษตรก็เผชิญกับภาวะน่าเศร้าที่ไร้ผลเก็บเกี่ยวถ้ายังไม่มีฝนตกอีก คาดว่าปีหน้าแคว้นต้าฉู่ คงต้องเผชิญกับความอดอยากหิวโหยที่น่ากลัวยิ่งแต่สวรรค์จะประทานฝนหรือไม่ ก็ใช่ว่าฮ่องเต้อย่างเขาจะกำหนดได้นี่นาฮ่องเต้ต้าฉ
หืม?ขณะที่พบว่าเสียงดังกล่าวนี้ดังขึ้นในสมองของตน ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ตกตะลึงพร้อมเลิกคิ้วเล็กน้อย[ว้าว! ไอ้ท่ายักคิ้วนี่ ช่างดูเท่ห์ยิ่งนัก อะไรคือความเท่ห์เหลือใจ ก็คือประมาณนี้แหละ! สมแล้วที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ทรงเสน่ห์ในนิทานเรื่องนี้!][เพียงแต่ไม่รู้ว่า ฮ่องเต้แบบนี้ จะหลงลูกสาวตัวเองจนเป็นทาสลูกสาวหรือเปล่า?]นิทาน? ทาสลูกสาว?ฮ่องเต้ต้าฉู่มีสีหน้านิ่งเฉย ก้มหน้าลงไปดูทารกในอ้อมแขนดังนั้น เสียงที่อยู่ในสมองนี้ ก็คือเสียงของลูกสาวเขาหรือ?ฮ่องเต้ต้าฉู่เหลียวมองพระสนมเฉินเฟย เห็นนางมีสีหน้าปกติ ไม่มีอาการอื่นใด ก็แสดงว่าเสียงพูดในใจขององค์หญิงน้อยมีเพียงเขาคนเดียวที่ได้ยินว่าแล้วเชียว การที่ตนสามารถเจอสิ่งอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นพวกนี้ได้ คงเพราะตนเป็นโอรสแห่งสวรรค์แน่นอนจากนั้นจึงได้เบิ่งตาพิจารณามองดูทารกน้อยที่ยกสองมือขึ้น ยังพยายามที่จะสัมผัสใบหน้าของตนอย่างไม่ยอมแพ้ฮ่องเต้ต้าฉู่เหยียดริมฝีปากยิ้มเล็กน้อย พลางยกตัวนางขึ้นสูง และปล่อยให้นางสัมผัสใบหน้าตนตามอำเภอใจไม่ผิดจากที่คิด ใบหน้ากลมแป้นเล็ก ๆ เหยียดปาก พร้อมผุดรอยยิ้มที่ไร้ฟันออกมา[อุ๊ยตาย! ลูบได้แล้ว! ลูบได้แ
ฮ่องเต้ต้าฉู่มองดูลู่ซิงหว่านที่ชูกำปั้นน้อยสองข้างใบหน้ากลมปุ๊กพร้อมกับผิวเนียนใส แต่เพราะดูดนมเร็วเกินไปจึงมีอาการสะอึกเล็กน้อย ท่วงท่าน่ารักจนใครเห็นก็หัวใจแทบละลายทั้ง ๆ ที่เขามีลูกตั้งสิบกว่าคนแล้ว แต่ยังรู้สึกราวกับเพิ่งเป็นพ่อคนครั้งแรก สายตาจ้องมองลู่ซิงหว่านอย่างหลงใหล ประหนึ่งนอกจากนางแล้ว สิ่งอื่นใดในโลกก็ล้วนไม่อยู่ในสายตาอีกโหรวกุ้ยเหรินคุกเข่าลงที่พื้น จับตาทุกอิริยาบถของฮ่องเต้ต้าฉู่ แววตาเต็มไปด้วยความริษยาและโกรธแค้นเมิ่งฉวนเต๋อซึ่งสั่งให้ปิดปากโหรวกุ้ยเหรินเสีย เพราะเกรงว่าจะรบกวนลู่ซิงหว่านอีก มองเห็นแววตาของนางเข้า รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก รีบเตือนฮ่องเต้อย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ โหรวกุ้ยเหรินผู้นี้...”ฮ่องเต้ต้าฉู่หันหน้ามา แววตาอ่อนโยนพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ลากตัวผู้หญิงคนนี้ออกไปแล้วโบยให้ตายซะ ส่วนตระกูลเดิมของนางให้ปลดเป็นไพร่ เนรเทศไปอยู่หอหนิงกู่!”“ฮือ ๆ ๆ...”สนมโหรวกุ้ยเหรินเบิกตาโพลงคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน และถูกลากตัวออกไปในสภาพที่ปิดปากสนิทแบบนั้น[ว้าว! เสด็จพ่อทรงเท่ห์มากเลย!][แต่ว่า ในนิทานไม่ได้เขียนแบบนี้นี่นา โหรวกุ้ยเหริน
“ฝ่าบาท ฟ้าประทานหยาดฝน สายรุ้งเรืองรอง นี่คือประกาศิตจากสวรรค์ ว่าการถือกำเนิดขององค์หญิงเก้า คือวาสนาของแคว้นต้าฉู่เรานะพ่ะย่ะค่ะ!”เมิ่งฉวนเต๋อมองดูปรากฏการณ์เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง พร้อมเอ่ยปากทูล มหาขันทีผู้ชาญฉลาด ไม่รู้ว่าจะพูดจริงหรือไม่ แต่ความรักที่ฮ่องเต้ต้าฉู่มีแต่ลู่ซิงหว่าน เป็นสิ่งที่เขาเห็นกับตาอยู่ ในยามนี้ พูดแต่เรื่องน่าฟัง ย่อมจะถูกใจคนฟังมากกว่า“ฮ่าๆๆ ถูกต้อง การเกิดมาของหวานหว่าน คือความเมตตาที่สวรรค์มีต่อข้าจริง ๆ!”ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมเห็นด้วยกับคำพูดของเมิ่งฉวนเต๋ออยู่แล้ว ด้วยดีใจเป็นอย่างมาก พร้อมเอ่ยปากต่อ “สั่งการลงไป คนในตำหนักชิงอวิ๋นทุกคน แจกรางวัลตอบแทนอย่างงามให้หมดทุกคน!”“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!”ความอารมณ์ดีของฮ่องเต้ต้าฉู่ ยังคงมีต่อเนื่องจนไปถึงหน้าห้องทรงอักษรเท่านั้นแต่แล้วความปลาบปลื้มยินดีที่หวานหว่านนำมาให้เขาก็แทบจะหายไปทันที เมื่อมองเห็นร่างที่ยืนอยู่ในห้องทรงอักษร“ถวายบังคมเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ!”หรงอ๋องคุกเข่าลงพื้นพร้อมคำนับฮ่องเต้ตามธรรมเนียม“ลุกขึ้นเถิด!” ฮ่องเต้ต้าฉู่สีหน้าไม่สู้ดีนัก พร้องเดินเข้าห้องทรงอักษร ตรัสถามหรงอ๋