เดินไปอีกหลายก้าว ทันใดนั้นองค์หญิงใหญ่นึกบางอย่างขึ้นได้อย่างกะทันหัน หันหน้าไปมองข้างหลัง เอ่ยปากถามอย่างสงสัย “เหตุใดวันนี้ท่านน้าไม่พาหวานหว่านมาด้วยเล่า? แต่กลับพาจิ่นซินออกมาเพียงคนเดียว”“หวานหว่านกำลังนอนหลับ จิ่นอวี้อุ้มเดินอยู่บนระเบียงทางเดิน ดังนั้นจึงช้าไปบ้าง” พูดถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็หันหน้ากลับไปมอง กลับช้ามากจริงๆนางคล้ายสังเกตไม่เห็นเลยว่า เมื่อครู่ฝีเท้านางเร็วมากเพียงใดบ่าวตัวน้อยคนนั้นเกือบต้องวิ่งเหยาะๆ ถึงจะถามนางทันคนมามาก ย่อมไม่สามารถพูดกันบนระเบียงทางเดินได้ สองสามคนจึงเข้าไปภายในห้องวันนี้ร้อนมาก ข้างนอกยังมีลมอยู่บ้าง ภายในห้องกลับร้อนอบอ้าว ก็เพราะองค์หญิงใหญ่กำลังตั้งครรภ์จึงกลัวร้อน ดังนั้นจึงให้ยกน้ำแข็งเข้ามาตั้งแต่แรกเห็นซ่งชิงเหยียนนั่งลงแล้ว องค์หญิงใหญ่ถึงเอ่ยปากถาม “เหตุใดวันนี้ท่านน้ามีเวลาว่างออกจากวังได้หรือเจ้าคะ?”ฉินหางเองก็ช่วยงานอยู่ทางด้านข้าง ยกน้ำชาให้ซ่งชิงเหยียนหนึ่งถ้วยซ่งชิงเหยียนมองไอร้อนของชานั้น ยากจะดื่มลงไปได้ ทำเพียงมองดูทีหนึ่ง กลับไม่ยกขึ้นมาหันมององค์หญิงใหญ่ พูดว่า “บัดนี้เจ้าอยู่ในจวนจนเลอะเลือนไปแล้ว วั
นางรู้ว่าก่อนหน้านี้ตอนท่านน้าคลอดหวานหว่านถูกพระสนมเต๋อเฟยลอบทำร้าย ดังนั้นจึงระแวดระวังถึงเพียงนี้ส่วนซ่งชิงเหยียนพูดจบประโยค ก็อึ้งงันไปนางคล้ายพี่หญิงมากขึ้นไปทุกทีแล้วคล้ายนาง ชอบบ่นนั่นนี่แต่ไหนแต่ไรมานางเป็นคนไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด สรุปคือยามฝึกวิชายุทธ์ไม่ทันระวังจึงทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บ พี่หญิงมักบ่นนางอยู่ข้างหลังให้นางระวังมิให้ได้รับบาดเจ็บ ให้นางระวังมิให้ทำให้คนอื่นบาดเจ็บทว่าทุกครั้งนางได้รับบาดเจ็บ พี่หญิงมักช่วยใส่ยาให้นางทุกครั้งนางทำให้คนอื่นบาดเจ็บ ก็เป็นพี่หญิงลากนางไปขอโทษอีกฝ่าย ซ่งชิงเหยียนรู้เช่นนี้ไม่ดี แต่เพียงนึกถึงพี่หญิง นางก็ตกอยู่ในห้วงอารมณ์นี้ ทรมานยิ่งนัก“พระสนมหวงกุ้ยเฟย ซิงรั่ว” ยังดีฉินหางมาขัดอารมณ์นี้ของพวกนาง เห็นบ่าวตัวน้อยทางด้านหลังถือจานหลายใบเข้ามา วางลงบนโต๊ะหน้าซ่งชิงเหยียน “นี่คือปิงเล่าที่ระยะนี้หอชมจันทร์ขาย พระสนมหวงกุ้ยเฟยออกจากวังได้อย่างยากยิ่ง จะต้องลองชิมดูพ่ะย่ะค่ะ”“ผลไม้ในปิงเล่านี้ ได้ยินมาว่าผ่านการแช่แข็งมาก่อนจึงเย็นมากนัก ตรงข้ามกัน เหมาะกับวันฤดูร้อนเช่นนี้มาก”ฉินหางดันจานทั้งหมดไว้ต่อหน้าซ่งชิงเหยียน เ
‘โอ้โห นี่คือปิงเล่าในตำนานหรือ?’‘ดูแล้วน่าอร่อยมากทีเดียว ข้าอยู่ที่โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรยังไม่เคยกินเลย! มิน่าตอนนั้นท่านอาจารย์พูดว่าอาหารของโลกมนุษย์นั้นอร่อย!’‘ท่านแม่ ท่านแม่ หวานหว่านอยากกิน’ลู่ซิงหว่านนึกถึงตรงนี้ พลันยื่นมือน้อยๆ ดีดดิ้นจะหยิบจานตรงหน้ากลับถูกซ่งชิงเหยียนคว้าขยับออกไป หลังจากนั้นใช้ช้อนเล็กป้อนเข้าปากของลู่ซิงหว่านพอป้อนเข้าปาก ดวงตาของลู่ซิงหว่านก็สว่างวาบทันใดองค์หญิงใหญ่สังเกตปฏิกิริยาของลู่ซิงหว่านอย่างละเอียดตลอดเวลา เมื่อเห็นท่าทางเล็ก ๆ ของนาง ย่อมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “หวานหว่านเป็นเด็กฉลาดจริงๆ”ลู่ซิ่งหวานกินคำแล้วคำเล่าอย่างหยุดไม่ได้ ท้ายที่สุดก็กินถ้วยนั้นจนหมดเกลี้ยงและยื่นมือไปคว้าถ้วยตรงหน้าขององค์หญิงใหญ่เพื่อจะกินอีก“หวานหว่านไม่ควรกินแล้ว” ซ่งชิงเหยียนโน้มน้าวพูดี “เจ้ายังเป็นแค่เด็กน้อย!”ลู่ซิงหว่านย่อมเข้าใจดีและไม่ดึงดันอีก นางพลิกตัวลงจากตัวของซ่งชิงเหยียน เตรียมเดินออกไปข้างนอกทันทีก่อนจากไปยังบ่นงึมงำ‘เสียดายจัง พี่ฉยงหัวไม่ได้กิน!’‘พี่ฉยงหัวต้องชอบปิงเล่าแบบนี้เหมือนกันแน่ ครั้งหน้าต้องพาพี่ฉยงหัวมาด้วยถึง
ลู่ซิงหว่านหยุดไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะเห็นบ่อน้ำที่อยู่ใต้เท้า มีปลาน้อยสองสามตัวว่ายผ่านทันใดนั้นนางเกิดความคิดไม่เดินหน้าอีก นางนั่งยองแล้วยื่นมือลงไปในน้ำทันทีปลาน้อยเหล่านั้นตกใจกับมือน้อยๆ ของลู่ซิงหว่านที่ปรากฏขึ้นกระทันหัน กระทั่งกระโดดขึ้นบนผิวน้ำในทางตรงกันข้ามลู่ซิงหว่านกลับหัวเราะคิกคักจิ่นซินที่คอยเดินเฝ้าตามหลังเห็นท่าทางมีความสุขขององค์หญิงของตน ไม่ว่าอย่างไรเวลานี้เล่นอยู่ใต้ต้นไม้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกเฝ้าอยู่ข้างหลังองค์หญิงเงียบๆ คอยระวังไม่ให้นางตกลงไปก็เพียงพอส่วนลู่ซิงหว่าน กลับได้ยินเสียงของปลาน้อยเหล่านั้นอย่างชัดเจน“พี่ใหญ่ช่วยด้วย! คนไม่กลัวอะไรเลยมาอีกคนหนึ่งแล้ว!”“พี่ใหญ่ช่วยด้วย! ท้องฟ้าเช่นวันนี้ หากข้าถูกจับออกไป คงถูกเผาเป็นปลาแห้งอย่างรวดเร็วเป็นแน่”ส่วนเสียงของพี่ใหญ่ตัวนั้นกลับลอยมาจากข้างหน้า “เจ้าก็รีบว่ายเร็วเข้าสิ เจ้าหนุ่มนี่จับเจ้าไม่ได้หรอก”ลู่ซิงหว่านได้ยินประโยคนี้ย่อมไม่ยอม‘เจ้าปลาเฒ่าตัวนี้ ผู้หญิงตัวเล็กงดงามดั่งบุปผาอย่างข้า กล้าพูดว่าข้าคือเจ้าหนุ่มงั้นรึ’‘เจ้าปลาน้อยอย่างเจ้าก็เหมือนกัน ตัวใหญ่ขนาดนี้แล้วยังเ
แต่ว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นสนมเหยาออกมา เมิ่งฉวนเต๋อจึงเอ่ยปาก “ข้าเข้าไปถามแทนแม่นางให้แล้วกัน”“ขอบคุณมหาขันที” จิ่นอวี้ย่อมเข้าใจดีว่า เมิ่งฉวนเต๋อทำเพราะเห็นแก่หน้าสนมของตนเวลาผ่านไปไม่นาน เมิ่งฉวนเต๋อออกมาจากข้างใน เขามองจิ่นอวี้พร้อมกับรอยยิ้มที่เอ่อล้น “แม่นางจิ่นอวี้เข้าไปได้แล้ว พอฝ่าบาทได้ยินว่าเป็นเรื่องของพระสนมหวงกุ้ยเฟย ก็ตรัสทันทีว่าให้แม่นางเข้าไปรายงานได้”จิ่นอวี้กล่าวขอบคุณซ้ำๆ โดยธรรมชาติ จากนั้นถึงก้าวเท้าเข้าไปด้านในของพระตำหนักหลงเซิงเมื่อจิ้นอวี้เข้ามา ก็พบว่าฮ่องเต้กำลังบรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทมตัวนุ่ม ส่วนสนมเหยาที่อยู่ด้านข้าง กำลังมือถือหนังสือและอ่านให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ฟังนางรีบคุกเข่าลง “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมพระสนมเหยาเพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ยังไม่ทันได้กล่าว สนมเหยาวางหนังสือในมือแล้วมองจิ่นอวี้ที่คุกเข่า “แม่นางจิ่นอวี้ทำไมถึงกลับมาแล้วเล่า? หวงกุ้ยเฟยมิได้ไปเยี่ยมชมพิธีการที่จวนหานหรอกหรือ?”สนมเหยากล่าวเช่นนี้ ก็เพราะเกิดความคิดยั่วยุชี้นำนางกลัวซ่งชิงเหยียนจริง แต่สาวรับใช้ตัวเล็กๆ อย่างจิ่วอวี้ นางไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด“กราบทูลพระสนมเหย
“แต่หม่อมฉันมีความเห็นว่า ประมุขแห่งวังหลังท้ายที่สุดแล้วก็คือฮองเฮา พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลุกขึ้นนั่งตัวตรงพร้อมทอดมองสนมเหยาที่อยู่ตรงหน้าแท้จริงแล้วนางหมายความเช่นนี้เองหรือ?หลายวันก่อนได้ยินว่าชิงเหยียนตำหนิสนมเหยาที่ตำหนักจิ่นซิ่ว คิดไม่ถึงว่านางจะเจ้าคิดเจ้าแค้นเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สายตาที่มองสนมเหยาดูน่าสงสัยมากขึ้นเอ่ยปากอีกครา น้ำเสียงไม่ได้ดีเหมือนตอนแรกอีก “หืม? ดูเหมือนเจ้าจะตำหนิหวงกุ้ยเฟยเล็กน้อย”สนมเหยาเป็นคนมองแววตาไม่ออกจริงๆ ยังไม่รู้สึกตัวว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ทำหน้าบึ้งเรียบร้อย นางยิ้มและกล่าว “หม่อมฉันมิกล้า หม่อมฉันเพียงแค่…”“บังอาจ!” สนมเหยายังพูดไม่จบ ก็ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่พูดขัดจังหวะสนมเหยาจึงเงยหน้ามองฮ่องเต้ต้าฉู่กลับพบว่าใบหน้าของเขาเหมือนมีความกริ้ว ไม่มีท่าทางผ่อนคลายดุจเมื่อครู่นี้แล้วจึงรีบขยับร่างกายคุกเข่าลงไป “โปรดให้อภัยด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงแค่รู้สึกว่าฮองเฮา…”เมื่อพูดถึงตรงนี้ สนมเหยาไม่กล้าพูดต่อไปอีกนางรู้เสมอมมาว่าฮ่องเต้โปรดปรานหวงกุ้ยเฟยมาก สุดท้ายแล้วแม้แต่วันที่ประกาศพระราชโอง
เสิ่นหนิงฟังแล้วขมวดคิ้วจิ่นอวี้? เผยฉู่เยี่ยนก็มาด้วย? มีเรื่องสำคัญอะไร?นางไม่ลังเลและสั่งให้คนไปเชิญเข้ามาทุกวันนี้นางกับซ่งชิงเหยียนต่างรู้ดีแก่ใจ ระหว่างนางสองคนคือศัตรูของกันและกัน แต่ว่าขอเพียงภายนอกยังไม่เกิดการแตกหัก นางสองคนจึงต้องแสร้งแสดงว่าเข้ากันได้เพราะเรื่องวางยาพิษอวิ๋นผิงก่อนหน้านี้ทำให้ฮ่องเต้เริ่มสงสัยตัวนางนางยิ่งต้องประพฤติตนให้ระมัดระวังมากขึ้นดังนั้นการปฏิบัติกับหญิงรับใช้ข้างกายของซ่งชิงเหยียนก็ควรเป็นเช่นนั้น ภายนอกที่ดูสมัครสมานจำต้องมีไว้จิ่นอวี้และเผยฉู่เยี่ยนสองคนถวายบังคมคารวะตามมารยาทเช่นกัน“วันนี้หวงกุ้ยเฟยไม่ไปเยี่ยมชมพิธีการที่จวนหานหรือ เหตุใดแม่นางจิ่นอวี้ถึงมีเวลาว่างมาที่นี่? ไม่ไปพร้อมกับพระสนมของเจ้าหรือ?” ฮองเฮาย่อมกล่าวด้วยรอยยิ้มอันสดใส“กราบทูลฮองเฮา วันนี้พระสนมของหม่อมฉันไปมาแล้วเพคะ พระสนมมีเรื่องหนึ่ง สั่งให้หม่อมฉันกลับมาขออนุญาตกับฮองเฮาเพคะ” จิ่นอวี้พูดประโยคนี้เสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นหนิงพอเห็นสีหน้าพร้อมรับฟังนางจึงกล่าวต่อ“หลังจากที่พระสนมออกจากจวนแม่ทัพหานแล้ว ก็ไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่ขอร้องให้พร
เดิมทีไป๋หลิงเป็นเพียงสาวใช้ที่ทำงานสัพเพเหระในตำหนักฉางชิวคนหนึ่งเท่านั้นแม้ว่าหลังจากนั้นได้ยินว่าเคยปรนนิบัติรับใช้เต๋อเฟยมาก่อน แต่หลังจากเต๋อเฟยสวรรคต นางก็ยังได้แต่ทำงานสัพเพเหระอยู่ข้างกายองค์ชายสามเหมือนเดิมเป็นเพราะคำแนะนำของนาง ที่ทำให้ได้มาปรนนิบัติรับใช้ในตำหนักของฮองเฮากลับคิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้ฮองเฮาจะพึ่งพานางมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระทั่งมากกว่าตนในที่สุดก็คว้าไป๋หลิงไว้ได้หลังจากที่ออกมาจากพระตำหนักฮองเฮา นางพูดน้ำเสียงเสียดสี “นี่เจ้าได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮามากขึ้นทุกวันเลยนะ”ไป๋หลิงชะงักครู่หนึ่ง หันกลับมาเห็นอวิ๋นหลานที่ดึงตนเองเอาไว้ ก็ยิ้มและกล่าว “พี่อวิ๋นหลานพูดอะไรกัน ท้ายที่สุดแล้วพระสนมก็ยังต้องพึ่งพาพี่เจ้าค่ะ”“วันนี้ข้าคงไม่กล้าให้เจ้าเรียกว่าพี่แล้วล่ะ หากพูดถึงอายุแล้วเจ้าโตกว่าข้าอีก ควรเป็นข้าเรียกเจ้าพี่ไป๋หลิงซะมากกว่า!”อวิ๋นหลานยังคงสีหน้าเหน็บแหนมเหมือนเมื่อครู่นี้เอาไว้ไป๋หลิงเร่งเท้าก้าวเข้าไปคว้าแขนของนาง “พี่อวิ๋นหลานพูดอะไรเนี่ย พี่ยังต้องเรียกข้าว่าน้องไป๋หลิงสิถึงจะถูก”อวิ๋นหลานมองท่าทางประจบประแจงนางแล้วอารมณ์บนใบหน้าก็ดีขึ้นเ