เดิมทีไป๋หลิงเป็นเพียงสาวใช้ที่ทำงานสัพเพเหระในตำหนักฉางชิวคนหนึ่งเท่านั้นแม้ว่าหลังจากนั้นได้ยินว่าเคยปรนนิบัติรับใช้เต๋อเฟยมาก่อน แต่หลังจากเต๋อเฟยสวรรคต นางก็ยังได้แต่ทำงานสัพเพเหระอยู่ข้างกายองค์ชายสามเหมือนเดิมเป็นเพราะคำแนะนำของนาง ที่ทำให้ได้มาปรนนิบัติรับใช้ในตำหนักของฮองเฮากลับคิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้ฮองเฮาจะพึ่งพานางมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระทั่งมากกว่าตนในที่สุดก็คว้าไป๋หลิงไว้ได้หลังจากที่ออกมาจากพระตำหนักฮองเฮา นางพูดน้ำเสียงเสียดสี “นี่เจ้าได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮามากขึ้นทุกวันเลยนะ”ไป๋หลิงชะงักครู่หนึ่ง หันกลับมาเห็นอวิ๋นหลานที่ดึงตนเองเอาไว้ ก็ยิ้มและกล่าว “พี่อวิ๋นหลานพูดอะไรกัน ท้ายที่สุดแล้วพระสนมก็ยังต้องพึ่งพาพี่เจ้าค่ะ”“วันนี้ข้าคงไม่กล้าให้เจ้าเรียกว่าพี่แล้วล่ะ หากพูดถึงอายุแล้วเจ้าโตกว่าข้าอีก ควรเป็นข้าเรียกเจ้าพี่ไป๋หลิงซะมากกว่า!”อวิ๋นหลานยังคงสีหน้าเหน็บแหนมเหมือนเมื่อครู่นี้เอาไว้ไป๋หลิงเร่งเท้าก้าวเข้าไปคว้าแขนของนาง “พี่อวิ๋นหลานพูดอะไรเนี่ย พี่ยังต้องเรียกข้าว่าน้องไป๋หลิงสิถึงจะถูก”อวิ๋นหลานมองท่าทางประจบประแจงนางแล้วอารมณ์บนใบหน้าก็ดีขึ้นเ
องค์หญิงใหญ่กลับมองซ่งชิงเหยียนอย่างหมดคำพูดเล็กน้อย “ท่านน้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ตอนที่ท่านท้องหวานหว่าน ยังรำดาบแกว่งทวนอยู่เลย!”ซ่งชิงเหยียนหันกลับไปมองลู่ซิงหว่านที่ยังเล่นอยู่บนพื้นอย่างร้อนตัวแวบหนึ่ง อยากวิ่งเข้าไปปิดปากลู่ซิงรั่วนักถ้าหากหวานหว่านได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้จะว่าตัวเองอย่างไรอีก!ลู่ซิงหว่านไม่เคยทำให้ซ่งชิงเหยียนผิดหวังอย่างที่คิดนางเอ่ยปากทันที‘ท่านแม่ ท่านดูสิ ตอนนี้ทุกคนต่างบอกว่าข้าซน สาเหตุก็ไม่ได้มาจากตัวข้าทั้งหมดนะ’‘ข้ายอมรับ เมื่อก่อนตอนข้าอยู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ค่อนข้าง…ค่อนข้างทำให้อาจารย์ปวดหัว’‘แต่ตอนนี้ข้าซนเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะท่านแม่คึกคะนองเกินไปตอนตั้งท้องข้าแน่เลยเจ้าค่ะ’“ก็ได้! ไปเถอะ!” ซ่งชิงเหยียนกลับไปนั่งลงอย่างหมดคำพูดกลับทำให้องค์หญิงใหญ่สงสัยเล็กน้อยแล้ว หรือว่าท่านน้าไม่อยากไป? แต่ท่านน้าชอบเดินตลาดที่สุดไม่ใช่หรือ?ดอกไม้ไฟมีกำหนดจุดตอนยามซวีสามเค่อแต่เพื่อสัมผัสบรรยากาศของเมืองหลวงที่ไม่ได้เดินมานาน คนทั้งกลุ่มออกจากบ้านตั้งแต่ยามโหย่ว ภายใต้คำแนะนำของซ่งชิงเหยียนแต่ไม่ได้พาองค์หญิงใหญ่มาด้วย อย่างไรก็ตามตอนนี้
ตอนนี้ชายคนนั้นกำลังสอดกระบี่เล่มหนึ่งเข้าไปในปากของตัวเองทีละนิดฝูงชนเงียบสงัด กลัวจะรบกวนการกระทำของชายคนนี้จนทำให้เขาเผลอพลั้งแทงตัวเองตายลู่ซิงหว่านก็กลั้นหายใจเช่นกัน และไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อยเผยฉู่เยี่ยนที่อยู่ใต้ร่างนาง ย่อมรู้สึกได้ว่าจู่ๆ ร่างกายของเด็กน้อยคนนี้ตั้งตรง เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะนางตั้งใจมากส่วนชายคนนั้น เวลานี้ได้สอดส่วนที่อยู่ใต้ด้ามกระบี่เข้าไปในปากหมดแล้ว อีกทั้งยังเริ่มเดินวนท่ามกลางฝูงชนมีเสียงชมอันเร่าร้อนดังกระหึ่มท่ามกลางฝูงชนแม้แต่ร่างกายน้อยๆ ของลู่ซิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะแกว่งไปแกว่งมาซ่งชิงเหยียนมองลู่ซิงหว่านตรงหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกว่านี่จึงจะเป็นชีวิตอันสงบสุขที่ตัวเองต้องการแม้นางรู้ว่าของสิ่งนี้เป็นการหลอกคน กลับได้รับอิทธิพลจากลู่ซิงหว่าน อยากเดินเข้าไปมุงดูคนในยุทธภพที่กลืนกระบี่คนในยุทธภพคนนั้นเดินรอบฝูงชน ส่วนข้างหลังของเขามีเด็กสาวคนหนึ่งเดินตาม ตอนนี้กำลังชูชามกระเบื้องตรงหน้า เริ่มขอเงินรางวัลจากผู้คนลู่ซิงหว่านรีบตบศีรษะของเผยฉู่เยี่ยนสองสามที‘ให้เงินสิ รัฐทายาทเผย’‘จวนอันกั๋วกงมีเงินมากเช่นนี้ ท่านอย่าขี้งกสิ!’แม
‘ท่านแม่ไม่รู้สึกอึดอัดหรือ? เอาเป็นว่าข้ารู้สึกอึดอัดแทนท่านมาก’ซ่งชิงเหยียนย่อมไม่กระอักกระอ่วน และยังตั้งใจหามุมบังต้วนอวิ๋นอีไว้ พลางลูบท้องน้อยๆ ของนาง พลางกล่าว “ไม่เจอกันหลายเดือน เจ้าก็ตั้งท้องแล้ว สามเดือนหรือยัง?”“สายตาพระสนมเฉียบแหลมนัก ตอนนี้เพิ่งจะสามเดือนต้นๆ เพคะ!”จากนั้นซ่งชิงเหยียนก็หันไปทางก่วนหลางสือ “แม่นางต้วนเป็นคนทางใต้ อาหารของพวกเราไม่ถูกปากนาง ใต้เท้าก่วนต้องดูแลนางดีๆ ล่ะ”“ดูร่างกายที่ผอมแห้งนี่สิ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าจวนโหวกวงฉินไม่ให้เจ้ากินข้าวเสียอีก!”การหยอกเย้าของซ่งชิงเหยียนกลับทำให้ก่วนหลางสืออึดอัดเล็กน้อย หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ประสานมือกล่าวกับซ่งชิงเหยียน “พระสนมโปรดวางใจ ช่วงนี้อวิ๋นอีกินเยอะเลยทีเดียวขอรับ”ต้วนอวิ๋นอีขยับไปข้างๆ ซ่งหว่านชิง “พระสนมโปรดวางใจ ตอนนี้ท่านพี่ได้เชิญพ่อครัวคนหนึ่งจากหยุนโจว มาทำอาหารให้เรือนข้าโดยเฉพาะ!”เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของต้วนอวิ๋นอี ซ่งชิงเหยียนก็รู้สึกดีใจกับนางจากใจและดีใจกับก่วนหลางสือด้วยเช่นกันท้ายที่สุดทุกคนต้องปล่อยวางอดีต และเดินไปข้างหน้าขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังคุยกับต้วนอว
คนทั้งกลุ่มเพิ่งนั่งลง ก็เห็นดอกไม้ไฟที่อยู่ข้างนอกสะพรั่งกลางอากาศ‘ท่านแม่ๆ รีบมาดูเร็ว!’‘สวยกว่าของพี่หญิงใหญ่ที่จุดในวังเมื่อครั้งก่อนอีก!’‘ดอกไม้ไฟของพี่หญิงใหญ่เมื่อครั้งก่อนน่าเสียดายจัง ถ้าหากจุดตอนกลางคืน ต้องสวยกว่านี้แน่นอน’‘ได้ยินมาว่าคืนนั้นเสด็จย่าแอบจุดคนเดียวในตำหนักหรงเล่อ! เสียดายที่ข้าไม่เห็น’ตอนนี้ลู่ซิงหว่านได้วิ่งไปที่ข้างหน้าต่างแล้ว นางจ้องดอกไม้ไฟที่ข้างนอก พลางพึมพำไปด้วยซ่งชิงเหยียนก็ยืนดูดอกไม้ไฟนอกหน้าต่างจากจุดที่ห่างกันไม่ไกลนัก“นี่นับว่าเป็นดอกไม้ไฟที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขของคุณชายหานกับคุณหนูเสิ่น!” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่ข้าแต่งงานกับฉิงหาง ตระกูลฉิงก็จุดเช่นกัน”“ที่แท้นี่ก็คือประเพณีของชาวบ้าน?” ก่อนหน้านี้ซ่งชิงเหยียนคิดว่า ตระกูลหานเลือกที่จะจุดดอกไม้ไฟในวันนี้เพื่อความคึกคัก“ทูลพระสนม ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ฉิงหางเห็นองค์หญิงใหญ่กำลังก้มหน้าก้มตาดูดอกไม้ไฟที่ข้างนอก จึงเดินไปข้างกายซ่งชิงเหยียนเพื่อตอบนาง “พูดถึงประเพณีของชาวบ้าน มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียวเลย มีเพียงตระกูลใหญ่บางส่วนที่ทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า ป
ซ่งชิงเหยียนคิดไม่ถึงว่าเหวินเฟยกำลังอยู่ในตำหนักไทเฮาปกติพี่เหวินไม่ชอบออกมาข้างนอก ปัจจุบันแม้ทำเพื่อจิ่นรุ่ยแล้ว จะออกมาเดินเล่นข้างนอกเป็นครั้งคราวแต่มาตำหนักของไทเฮาเพียงลำพัง นับว่าหายากมาก“ถวายบังคมเพคะไทเฮา”ตอนที่ซ่งชิงเหยียนทักทายไทเฮา เหวินเฟยก็ได้ก้าวออกมาแล้ว ทั้งสองคำนับกันและกัน จึงจะนั่งลงไทเฮาสั่งให้จิ่นอวี้อุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาทันที “หวานหว่านของเราออกไปเที่ยวสองวัน มีความสุขหรือไม่?”ลู่ซิงหว่านเริ่มพยักหน้าในอ้อมแขนของไทเฮาทันที‘มีความสุขเจ้าค่ะ เสด็จย่าของข้า’‘ทิวทัศน์ตลาดที่ข้างนอกงดงามมาก หวานหว่านได้ซื้อของเยอะแยะด้วย เมื่อคืนพวกเรายังได้ดูดอกไม้ไฟของจวนหานด้วย’‘งานมงคลนั่นก็คึกคักมาก’ลู่ซิงหว่านเล่าให้ไทเฮาฟังอย่างละเอียด นับว่าเหมือนนางสามารถเข้าใจเห็นท่าทางของลู่ซิงหว่าน ไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เป็นลิงซนจริงๆ!”ซ่งชิงเหยียนอาศัยจังหวะนี้ส่งกล่องอาหารในมือออกไปเพราะกลัวรบกวนไทเฮา จิ่นซินกับเผยฉู่เยี่ยน ทั้งสองถูกซ่งชิงเหยียนสั่งให้กลับตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว“ได้ยินซิงรั่วบอกว่า นี่เป็นของจากร้านขนมที่เปิดใหม่ในเมืองหลวง รสชาติไม่เหมือน
เมื่อไทเฮากล่าวเช่นนี้ เหวินเฟยก็ไม่สามารถปฏิเสธแล้วซ่งชิงเหยียนมองไปทางเหวินเฟย ย่อมสามารถมองความลำบากใจของนางออก‘เกรงว่าเรื่องนี้เสด็จย่าไม่ได้ไปปรึกษาเสด็จพ่อกระมัง ข้ารู้สึกว่าเสด็จพ่อน่าจะไม่ยอมมอบเด็กให้เหวินเฟยเลี้ยง’‘อย่างไรเหวินเฟยก็เป็นสตรีต่างแคว้น อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงของแคว้นศัตรู’‘ข้ารู้สึกว่าเสด็จพ่อไม่อนุญาตแน่นอน’เมื่อมีคำเตือนของลู่ซิงหว่าน ซ่งชิงเหยียนจึงจะตระหนักถึงข้อนี้ต้องยอมรับว่าบางครั้งหวานหว่านวิเคราะห์อะไรขึ้นมา ก็ลึกล้ำกว่าตัวเองมากจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแลบผ่านสมองของซ่งชิงเหยียน หากหวานหว่านนำทัพทำสงคราม คงเหนือกว่าตัวเองแน่นอนแต่เสียงที่เหวินเฟยเอ่ยปากอีกครั้ง กลับขัดความคิดของซ่งชิงเหยียนเหวินเฟยย่อมยืนขึ้นคำนับไทเฮาอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันย่อมยินดีเพคะ ตอนนี้จิ่นรุ่ยโตแล้ว หม่อมฉันอยู่ในตำหนักคนเดียวก็รู้สึกเบื่อหน่ายเพคะ”เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะอนุญาตหรือไม่คำพูดสุดท้ายนี้ เหวินเฟยไม่ได้พูดออกมาเมื่อเห็นเหวินเฟยตอบตกลง ไทเฮาก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะปรึกษาซ่งชิงเหยียน นางจับมือเหวินเฟยชมแล้วชมอีกจนกระทั่งเหวินเฟยไปจากตำหนักหรงเล่
“พี่เหวินก็อย่าคาดหวังมากนัก”เหวินเฟยพยักหน้า บนใบหน้ากลับเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นลู่ซิงหว่านเห็นนางเป็นเช่นนี้ จู่ๆ ก็เอื้อมไปหอมนางหนึ่งที‘พระสนมเหวินน่าสงสารที่สุด แต่งมาต่างแคว้นเพียงลำพัง ยังต้องเป็นภรรยาน้อยให้คนอื่น และยังเคยถูกคนทำร้าย’‘ตอนนี้อยากรับเลี้ยงเด็กสักคนก็มีแต่ปัญหา’เหวินเฟยตะลึงไปชั่วขณะ นางมองลู่ซิงหว่านด้วยสีหน้าประหลาดใจแต่แล้วก็เริ่มยิ้มและคำพูดเหล่านี้ของลู่ซิงหว่านกับซ่งชิงเหยียน กลับเข้าหูของฮ่องเต้ต้าฉู่ที่เดินผ่านพอดีโดยไม่ตกหล่นสักคำ“อะไรที่ว่าอย่าคาดหวังเกินไป!” ฮ่องเต้ต้าฉู่จงใจเอ่ยปากล้อเลียนซ่งชิงเหยียนคนทั้งกลุ่มรีบเงยหน้ามองไปข้างหน้า ปรากฏว่าเป็นร่างเงาของฮ่องเต้ต้าฉู่จึงรีบเข้าไปทักทายลู่ซิงหว่านก็เอื้อมมือน้อยๆ ออกไปขอให้ฮ่องเต้ต้าฉู่อุ้มเช่นกัน‘ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เสด็จพ่อของข้า!’‘แม้ท่านแม่ของข้าเป็นแค่ภรรยาน้อยของท่าน แต่เห็นแก่ที่ท่านดีกับท่านแม่เช่นนี้ ข้าก็จะรักท่านมากๆ เช่นกัน’‘ตราบใดที่ท่านไม่เป็นฮ่องเต้หัวรุนแรง จู่ๆ ก็จะสั่งตัดหัวข้า’เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายของลู่ซิงหว่าน ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จากน
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต