‘ท่านแม่ไม่รู้สึกอึดอัดหรือ? เอาเป็นว่าข้ารู้สึกอึดอัดแทนท่านมาก’ซ่งชิงเหยียนย่อมไม่กระอักกระอ่วน และยังตั้งใจหามุมบังต้วนอวิ๋นอีไว้ พลางลูบท้องน้อยๆ ของนาง พลางกล่าว “ไม่เจอกันหลายเดือน เจ้าก็ตั้งท้องแล้ว สามเดือนหรือยัง?”“สายตาพระสนมเฉียบแหลมนัก ตอนนี้เพิ่งจะสามเดือนต้นๆ เพคะ!”จากนั้นซ่งชิงเหยียนก็หันไปทางก่วนหลางสือ “แม่นางต้วนเป็นคนทางใต้ อาหารของพวกเราไม่ถูกปากนาง ใต้เท้าก่วนต้องดูแลนางดีๆ ล่ะ”“ดูร่างกายที่ผอมแห้งนี่สิ คนที่ไม่รู้คงคิดว่าจวนโหวกวงฉินไม่ให้เจ้ากินข้าวเสียอีก!”การหยอกเย้าของซ่งชิงเหยียนกลับทำให้ก่วนหลางสืออึดอัดเล็กน้อย หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็ประสานมือกล่าวกับซ่งชิงเหยียน “พระสนมโปรดวางใจ ช่วงนี้อวิ๋นอีกินเยอะเลยทีเดียวขอรับ”ต้วนอวิ๋นอีขยับไปข้างๆ ซ่งหว่านชิง “พระสนมโปรดวางใจ ตอนนี้ท่านพี่ได้เชิญพ่อครัวคนหนึ่งจากหยุนโจว มาทำอาหารให้เรือนข้าโดยเฉพาะ!”เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขของต้วนอวิ๋นอี ซ่งชิงเหยียนก็รู้สึกดีใจกับนางจากใจและดีใจกับก่วนหลางสือด้วยเช่นกันท้ายที่สุดทุกคนต้องปล่อยวางอดีต และเดินไปข้างหน้าขณะที่ทั้งกลุ่มกำลังคุยกับต้วนอว
คนทั้งกลุ่มเพิ่งนั่งลง ก็เห็นดอกไม้ไฟที่อยู่ข้างนอกสะพรั่งกลางอากาศ‘ท่านแม่ๆ รีบมาดูเร็ว!’‘สวยกว่าของพี่หญิงใหญ่ที่จุดในวังเมื่อครั้งก่อนอีก!’‘ดอกไม้ไฟของพี่หญิงใหญ่เมื่อครั้งก่อนน่าเสียดายจัง ถ้าหากจุดตอนกลางคืน ต้องสวยกว่านี้แน่นอน’‘ได้ยินมาว่าคืนนั้นเสด็จย่าแอบจุดคนเดียวในตำหนักหรงเล่อ! เสียดายที่ข้าไม่เห็น’ตอนนี้ลู่ซิงหว่านได้วิ่งไปที่ข้างหน้าต่างแล้ว นางจ้องดอกไม้ไฟที่ข้างนอก พลางพึมพำไปด้วยซ่งชิงเหยียนก็ยืนดูดอกไม้ไฟนอกหน้าต่างจากจุดที่ห่างกันไม่ไกลนัก“นี่นับว่าเป็นดอกไม้ไฟที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความสุขของคุณชายหานกับคุณหนูเสิ่น!” องค์หญิงใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่ข้าแต่งงานกับฉิงหาง ตระกูลฉิงก็จุดเช่นกัน”“ที่แท้นี่ก็คือประเพณีของชาวบ้าน?” ก่อนหน้านี้ซ่งชิงเหยียนคิดว่า ตระกูลหานเลือกที่จะจุดดอกไม้ไฟในวันนี้เพื่อความคึกคัก“ทูลพระสนม ใช่พ่ะย่ะค่ะ” ฉิงหางเห็นองค์หญิงใหญ่กำลังก้มหน้าก้มตาดูดอกไม้ไฟที่ข้างนอก จึงเดินไปข้างกายซ่งชิงเหยียนเพื่อตอบนาง “พูดถึงประเพณีของชาวบ้าน มันก็ไม่ใช่เสียทีเดียวเลย มีเพียงตระกูลใหญ่บางส่วนที่ทำเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้า ป
ซ่งชิงเหยียนคิดไม่ถึงว่าเหวินเฟยกำลังอยู่ในตำหนักไทเฮาปกติพี่เหวินไม่ชอบออกมาข้างนอก ปัจจุบันแม้ทำเพื่อจิ่นรุ่ยแล้ว จะออกมาเดินเล่นข้างนอกเป็นครั้งคราวแต่มาตำหนักของไทเฮาเพียงลำพัง นับว่าหายากมาก“ถวายบังคมเพคะไทเฮา”ตอนที่ซ่งชิงเหยียนทักทายไทเฮา เหวินเฟยก็ได้ก้าวออกมาแล้ว ทั้งสองคำนับกันและกัน จึงจะนั่งลงไทเฮาสั่งให้จิ่นอวี้อุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาทันที “หวานหว่านของเราออกไปเที่ยวสองวัน มีความสุขหรือไม่?”ลู่ซิงหว่านเริ่มพยักหน้าในอ้อมแขนของไทเฮาทันที‘มีความสุขเจ้าค่ะ เสด็จย่าของข้า’‘ทิวทัศน์ตลาดที่ข้างนอกงดงามมาก หวานหว่านได้ซื้อของเยอะแยะด้วย เมื่อคืนพวกเรายังได้ดูดอกไม้ไฟของจวนหานด้วย’‘งานมงคลนั่นก็คึกคักมาก’ลู่ซิงหว่านเล่าให้ไทเฮาฟังอย่างละเอียด นับว่าเหมือนนางสามารถเข้าใจเห็นท่าทางของลู่ซิงหว่าน ไทเฮาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เป็นลิงซนจริงๆ!”ซ่งชิงเหยียนอาศัยจังหวะนี้ส่งกล่องอาหารในมือออกไปเพราะกลัวรบกวนไทเฮา จิ่นซินกับเผยฉู่เยี่ยน ทั้งสองถูกซ่งชิงเหยียนสั่งให้กลับตำหนักชิงอวิ๋นแล้ว“ได้ยินซิงรั่วบอกว่า นี่เป็นของจากร้านขนมที่เปิดใหม่ในเมืองหลวง รสชาติไม่เหมือน
เมื่อไทเฮากล่าวเช่นนี้ เหวินเฟยก็ไม่สามารถปฏิเสธแล้วซ่งชิงเหยียนมองไปทางเหวินเฟย ย่อมสามารถมองความลำบากใจของนางออก‘เกรงว่าเรื่องนี้เสด็จย่าไม่ได้ไปปรึกษาเสด็จพ่อกระมัง ข้ารู้สึกว่าเสด็จพ่อน่าจะไม่ยอมมอบเด็กให้เหวินเฟยเลี้ยง’‘อย่างไรเหวินเฟยก็เป็นสตรีต่างแคว้น อีกทั้งยังเป็นองค์หญิงของแคว้นศัตรู’‘ข้ารู้สึกว่าเสด็จพ่อไม่อนุญาตแน่นอน’เมื่อมีคำเตือนของลู่ซิงหว่าน ซ่งชิงเหยียนจึงจะตระหนักถึงข้อนี้ต้องยอมรับว่าบางครั้งหวานหว่านวิเคราะห์อะไรขึ้นมา ก็ลึกล้ำกว่าตัวเองมากจู่ๆ ก็มีความคิดหนึ่งแลบผ่านสมองของซ่งชิงเหยียน หากหวานหว่านนำทัพทำสงคราม คงเหนือกว่าตัวเองแน่นอนแต่เสียงที่เหวินเฟยเอ่ยปากอีกครั้ง กลับขัดความคิดของซ่งชิงเหยียนเหวินเฟยย่อมยืนขึ้นคำนับไทเฮาอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันย่อมยินดีเพคะ ตอนนี้จิ่นรุ่ยโตแล้ว หม่อมฉันอยู่ในตำหนักคนเดียวก็รู้สึกเบื่อหน่ายเพคะ”เพียงแต่ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะอนุญาตหรือไม่คำพูดสุดท้ายนี้ เหวินเฟยไม่ได้พูดออกมาเมื่อเห็นเหวินเฟยตอบตกลง ไทเฮาก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะปรึกษาซ่งชิงเหยียน นางจับมือเหวินเฟยชมแล้วชมอีกจนกระทั่งเหวินเฟยไปจากตำหนักหรงเล่
“พี่เหวินก็อย่าคาดหวังมากนัก”เหวินเฟยพยักหน้า บนใบหน้ากลับเป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นลู่ซิงหว่านเห็นนางเป็นเช่นนี้ จู่ๆ ก็เอื้อมไปหอมนางหนึ่งที‘พระสนมเหวินน่าสงสารที่สุด แต่งมาต่างแคว้นเพียงลำพัง ยังต้องเป็นภรรยาน้อยให้คนอื่น และยังเคยถูกคนทำร้าย’‘ตอนนี้อยากรับเลี้ยงเด็กสักคนก็มีแต่ปัญหา’เหวินเฟยตะลึงไปชั่วขณะ นางมองลู่ซิงหว่านด้วยสีหน้าประหลาดใจแต่แล้วก็เริ่มยิ้มและคำพูดเหล่านี้ของลู่ซิงหว่านกับซ่งชิงเหยียน กลับเข้าหูของฮ่องเต้ต้าฉู่ที่เดินผ่านพอดีโดยไม่ตกหล่นสักคำ“อะไรที่ว่าอย่าคาดหวังเกินไป!” ฮ่องเต้ต้าฉู่จงใจเอ่ยปากล้อเลียนซ่งชิงเหยียนคนทั้งกลุ่มรีบเงยหน้ามองไปข้างหน้า ปรากฏว่าเป็นร่างเงาของฮ่องเต้ต้าฉู่จึงรีบเข้าไปทักทายลู่ซิงหว่านก็เอื้อมมือน้อยๆ ออกไปขอให้ฮ่องเต้ต้าฉู่อุ้มเช่นกัน‘ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เสด็จพ่อของข้า!’‘แม้ท่านแม่ของข้าเป็นแค่ภรรยาน้อยของท่าน แต่เห็นแก่ที่ท่านดีกับท่านแม่เช่นนี้ ข้าก็จะรักท่านมากๆ เช่นกัน’‘ตราบใดที่ท่านไม่เป็นฮ่องเต้หัวรุนแรง จู่ๆ ก็จะสั่งตัดหัวข้า’เมื่อได้ยินคำพูดสุดท้ายของลู่ซิงหว่าน ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ จากน
ไหนบอกว่าช่วงนี้ฝ่าบาทโปรดปรานสนมเหยามากไม่ใช่หรือ?เหตุใดจึงขังนางให้ทบทวนตัวเองแล้วลู่ซิงหว่านย่อมไม่น้อยหน้าเช่นกัน‘จ๊ๆ ๆ ก็ไหนบอกว่าช่วงนี้เสด็จพ่อโปรดปรานสนมเหยามากเลยไม่ใช่หรือ? เสด็จพ่อยอมขังนางเพื่อให้ทบทวนตัวเองด้วย’‘แต่นางก็สมควรโดนจริงๆ ใครใช้ให้นางวันๆ ไม่ทำอะไรเลย ยังกล้ามาเรื่องมากกับท่านแม่อีก’‘ปัจจุบันแม้แต่ไทเฮายังต้องเกรงใจกับท่านแม่ นางกลับเหิมเกริมนัก’เดิมทีอารมณ์ของฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ดีนัก แต่ไม่ได้ยินคำพูดของลู่หว่านชิง ก็นับว่าสามารถข่มความโกรธในใจลงได้จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะมองซ่งชิงเหยียนแวบหนึ่งสิ่งที่เขาต้องการคือทุกคนในวังเคารพนาง เขาไม่สามารถมอบตำแหน่งฮองเฮาให้นางแล้ว แต่หากแม้แต่อำนาจที่แท้จริงก็ไม่สามารถให้นาง เช่นนั้นก็ทำให้ชิงหย่าผิดหวังจริงๆ แล้วเมื่อสาวใช้คนนั้นได้ยินฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงพิโรธแล้ว นางรีบก้มหน้า “ขอประทานอภัยฝ่าบาท พระสนมเหยาไม่สบายจริงๆ…”“ไม่สบายก็หาหมอหลวง!” ตอนนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่หลงเหลือความอดทนแล้วเพิ่งถูกกักบริเวณแค่หนึ่งวัน ก็แกล้งป่วยในวัง ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียนนัก“หาหมอหลวงแล้วเพคะ หมอหลวงบอกว่าพระสนมมีครรภ์เพ
ซ่งชิงฉี่จึงจะดันฎีกาฉบับหนึ่งไปที่ตรงหน้าเสิ่นเซียว “เจ้าลองอ่านดู”เสิ่นเซียวหยิบฎีกาฉบับนั้นขึ้นมาด้วยความสงสัย กลับเห็นว่ามันคือฎีกาที่ท่านโหวเขียนถึงฝ่าบาท เนื้อหาในฎีการเรียบง่ายมาก บอกแค่ว่าเมืองสองเมืองที่ยึดได้จากแคว้นเยว่เฟิงก่อนหน้านี้ ปัจจุบันกำลังค่อยๆ เป็นระเบียบ ทหารของค่ายทหารทิศบูรพาก็มีการฝึกอยู่ตลอดเวลา เตรียมพร้อมออกเดินทางทุกเมื่อในตอนท้ายยังได้กล่าวอีกหนึ่งประโยค ตอนนี้เหอเหลียนเหิงซินยุ่งอยู่กับความปั่นป่วนภายในของแคว้นเยว่เฟิง ไม่มีเวลาสนใจแคว้นต้าฉู่ หลังจากเสิ่นเซียวอ่านจบ เงยหน้ามองซ่งชิงฉี่ เขารู้สึกว่าประโยคสุดท้ายเกินความคาดหมายมากขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองซ่งชิงฉี่ด้วยความสงสัย ซ่งชิงฉี่กลับดันจดหมายลับอีกหนึ่งฉบับไปที่ตรงหน้าของเขา และให้เขาลองเปิดอ่านเสิ่นเซียวไม่ได้ปฏิเสธ เขาเปิดจดหมายฉบับนั้นแต่ในจดหมายฉบับนี้ กลับเขียนเรื่องที่เหอเหลียนเหิงซินนัดพบซ่งชิงฉี่เมื่อหลายวันก่อน และยังถึงขั้นให้สัญญาด้วยตำแหน่งกงโหว หวังว่าจะสามารถชักชวนติ้งกั๋วโหวมาเป็นพวกอย่างละเอียดส่วนซ่งชิงฉี่ได้ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ เผยสีหน้าที่ลังเลต่อหน้าเหอเหลียนเหิงซิน
“สิ่งที่เขาทำในตอนนี้ แค่อยากลองหยั่งเชิงข้าก็เท่านั้น!”“เจ้าเชื่อจริงหรือว่าเหอเหลียนเหรินซินกลายเป็นเช่นนั้นเพราะสูญเสียพ่อแม่?”“เจ้าต้องจำเอาไว้” ซ่งชิงฉี่หันไปมองเสิ่นเซียวอย่างจริงจัง “พวกเรากับเขา ท้ายที่สุดก็เป็นศัตรู การร่วมมือชั่วคราวในตอนนี้ มันก็แค่ต่างคนต่างได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ”“แต่ถ้าเหอเหลียนเหรินซินคิดจะล้ำเส้นพวกเราแม้แต่น้อย เช่นนั้นเราจะไม่ยอม!”ความนับถือที่เสิ่นเซียวมีต่อซ่งชิงฉี่ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆวันรุ่งขึ้น ทันทีที่เลิกประชุม องค์ชายรองก็รีบไปที่ตำหนักชิงอวิ๋นแล้วเมื่อเห็นองค์ชายรองมา จิ่นซินประหลาดใจมาก นางรีบเดินเข้าไป “วันนี้องค์ชายรองมีเวลาว่างมาได้อย่างไรเพคะ?”องค์ชายรองร้อนใจมาก เขาไม่พูดไร้สาระ เพียงแค่พยักหน้า “พระสนมเฉินกุ้ยเฟยอยู่ในตำหนักหรือไม่?”เพราะวันนี้เลิกประชุมเร็ว ดังนั้นองค์ชายรองจึงมาแต่เช้าแต่ที่ไม่บังเอิญคือ ซ่งชิงเหยียนได้ไปตำหนักจิ่นซิ่วของฮองเฮาแล้วหลังจากรู้ว่าพระสนมเฉินกุ้ยเฟยไปตำหนักจิ่นซิ่ว องค์ชายรองลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะรอหรือไม่ควรรอจิ่นซินรู้ว่าปัจจุบันองค์ชายรองคอยติดตามข้างกายรัชทายาท มีงานมากม