ทางตําหนักจิ่นซิ่วเป็นกังวลไม่หยุด แต่เสิ่นฮูหยินกลับนั่งดื่มชาอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นอย่างปลอดภัยแล้ว“ได้ยินว่าบ้านเดิมของฮูหยินเสิ่นอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ นี่เป็นชาที่ท่านพ่อของข้านํามาจากที่นั่นก่อนหน้านี้ ฮูหยินลองชิมดู” จริง ๆ แล้วซ่งชิงเหยียนไม่ได้มีความหมายอื่น เพียงแต่ในใจชอบเสิ่นฮูหยินพอใจกับเฉินเซียวลูกชายของนางมาก จึงสนิทกับนางมากขึ้นได้ยินว่าเป็นชาของบ้านเกิด เสิ่นฮูหยินรีบยกถ้วยขึ้นชิม เงยหน้าขึ้นมองซ่งชิงเหยียนอย่างประหลาดใจ “ตามที่พระสนมกล่าวไว้จริง ๆ”พูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอีกครั้ง“ลูกสองคนของบ้านข้า ไม่มีใครทําให้ข้าสบายใจได้เลย” บางทีชาถ้วยนี้อาจเปิดประตูหัวใจของฮูหยินเสิ่น นางถึงกับพูดกับซ่งชิงเหยียนเรื่องสัพเพเหระ ทําท่าทางราวกับว่านางอายุเท่ากันลู่ซิงหว่านอดทอดถอนใจไม่ได้[ตอนนี้ท่านแม่เป็นคนที่ทุกคนต่างก็รักใคร่จริง ๆ เล็กจนถึงข้าที่อายุแค่ไม่กี่เดือนยังติดท่านแม่มากเลย][ใหญ่ไปถึงผู้หญิงวัยกลางคนอย่างฮูหยินเสิ่นก็ชอบท่านมากเหมือนกันนะ]กลับไม่มีใครตอบแน่นอนว่าไม่ควรมีใครตอบกลับ เพราะนี่เป็นเพียงความในใจของหวานหว่านเท่านั้นบางครั้งซ่งชิงเหยียนก็
“พระสนมไม่จําเป็นต้องปลอบขวัญหม่อมฉัน” ในใจของเสิ่นฮูหยินกลับกระจ่างแจ้ง “บุตรสาวของหม่อมฉันเป็นคนเช่นไร ในใจของหม่อมฉันรู้ดี”พูดถึงตรงนี้ ฮูหยินเสิ่นถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา“แต่เมื่อก่อนตอนที่หนิงเอ๋อร์อยู่บ้าน ไม่ใช่เป็นแบบตอนนี้”“ตอนนั้นนางก็ไม่ได้ศึกษาตําราแพทย์อะไร ปกติก็เล่นสีซออยู่ในลานบ้าน อ่านนิทานอะไรพวกนั้น บางครั้งก็จะออกไปเดินเล่นข้างนอกเป็นเพื่อนข้า”“แต่หลังจากตัดสินใจเข้าวังแล้ว นางกลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทั้งวัน ศึกษาตําราแพทย์อะไรสักอย่าง แม้แต่สาวใช้ข้างกายนางก็ยังเข้าใกล้ไม่ได้”“ต่อมาตอนเข้าวัง ก็ไม่ได้พาสาวใช้ที่รับใช้ข้างกายนางตั้งแต่เด็กไปด้วย”ฮูหยินเสิ่นดูเหมือนจะพูดถึงจุดที่เสียใจ ยิ่งเสียใจมากขึ้น แม้แต่ซ่งชิงเหยียนก็ติดไปแล้วรีบเข้าไปตบหลังฮูหยินเสิ่น ถือว่าเป็นการปลอบใจนาง“พระสนมไม่รู้ ตอนนี้นางเย็นชากับหม่อมฉันมาก และไม่ได้สนิทสนมเหมือนแต่ก่อน วังจิ่นซิ่วแห่งนี้ วันหลังหม่อมฉันก็ไม่ต้องมาอีกแล้ว”ในขณะที่เสิ่นฮูหยินกําลังร้องไห้ฟูมฟายอยู่นั้น จู่ ๆ ความคิดแปลก ๆ ก็ผุดขึ้นมาในสมองของลู่ซิงหว่าน[เสิ่นหนิงคนนี้ ไม่ว่า
“ข้ามีข้อสงสัยในใจ สําคัญมาก สําคัญมาก เจ้าไปตรวจสอบด้วยตัวเอง” หาได้ยากที่ซ่งชิงเหยียนจะจริงจังจริง ๆ “เรื่องนี้มีแค่เราสองคนเท่านั้นที่รู้ ต้องไม่มีคนที่สามเด็ดขาด”“คุณหนูบอกมาได้เลยเจ้าค่ะ ข้าน้อยจะเก็บเป็นความลับแน่นอน”ซ่งชิงเหยียนถอนหายใจยาว ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ข้าสงสัยว่า เสิ่นหนิงถูกสลับตัวแล้ว”คําพูดนี้ไม่สามารถพูดออกมาได้ อย่าว่าแต่เหมยอิ่งเลย แม้แต่ซ่งชิงเหยียนก็ยังรู้สึกไร้สาระแต่ซ่งชิงเหยียนยังคงพูดต่อไป ในเมื่อเรื่องนี้มีข้อสงสัยในใจของนาง นางก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจน มิฉะนั้น นางจะตกใจจริง ๆไม่ว่าเสิ่นหนิงจะทําอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่ออํานาจ นางล้วนยอมรับได้ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ดูแลวังหลังอยู่ หนึ่งคือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชวงศ์ก่อนจะไม่รบกวนฝ่าบาทเพราะเรื่องการแต่งตั้งฮองเฮาอีก สองคือตนเองประหยัดแรงไปมากจริง ๆแต่ว่า ถ้าเสิ่นหนิงคนนี้ถูกสลับตัวก่อนเข้าวังเช่นนั้นเสิ่นหนิงฮองเฮาที่อยู่ในวังตอนนี้ ก็ไม่ใช่บุตรสาวของใต้เท้าเสิ่น ขุนนางต้าหลี่ซื่อ น้องสาวของเสิ่นเซียวรองเจ้าแม่ทัพภาคตะวันตกแรงจูงใจของคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆเมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็รู้สึกก
ลู่ซิงหุยเป็นคนที่ไม่เคยเสียเปรียบมาก่อน ประกอบกับช่วงนี้นางอยู่ในตําหนักจิ่นซิ่วอย่างลำบากใจมาตลอด ตอนนี้ไม่มีทางยอมองค์หญิงสามอีกแน่นอน“ลู่ซิงอวี้ เจ้าเกลียดตําหนักชิงอวิ๋นมากที่สุดไม่ใช่หรือ ทําไมยังพูดแทนหย่งอันอีก”เมื่อลู่ซิงหุยตอบกลับ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็เงียบกริบแน่นอนว่าไม่รวมถึงลู่ซิงหว่านด้วย ตอนนี้นางกําลังบ่นในใจอย่างกระตือรือร้น![ข้าอดชื่นชมลู่ซิงหุยไม่ได้จริงๆ ตอนนี้ทุกคนในวังต่างก็กลัวเจ้าแม่ของข้า นางกล้าหาญมาก!][ดีมาก ดีมาก รีบตีกันเถอะ!]ปลาเล็ก ๆ ที่ลอยอยู่ในน้ำก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ“องค์หญิงหกคนนี้เลวจริง ๆ คราวก่อนแมวที่อยู่ข้าง ๆ นางยังบอกว่าองค์หญิงหกอุ้มมันไปขู่องค์หญิงใหญ่”“ใช่แล้ว เมื่อก่อนนางก็ทําร้ายพวกข้าไม่น้อย โยนพวกข้าไปตากแดดแดดจ้า เพราะเหตุนี้ข้ายังมีเพื่อนตายมากมายเลย”[พวกเจ้าเข้ากันได้ดี แต่แมวตัวนี้ไปนินทากับปลาได้ยังไง][หรือว่าพวกเจ้ามีพิษเข้าสู่ร่างกายแล้ว แม้แต่แมวก็ไม่กล้ากินพวกเจ้าแล้ว]“เทียบกับองค์หญิงหย่งอันผู้นี้น่ารักกว่าเยอะ ถึงแม้นางจะซน แต่ก็ไม่เคยทําร้ายพวกข้า”[ชมต่อไป ชมให้ดี ๆ ข้ากําลังรออยู่นะ][รอให้พวกเขาทะเ
[โอ๊ะโอ๊ะโอ๋ ตกจากแท่นบูชาแล้ว ดูสิ เจ้าดูสิ จมูกเขียวหน้าบวมไปหมดแล้ว เกรงว่าผู้หญิงปากร้ายตามตลาดยังลงมือไม่แรงเท่าเจ้าสองคนเลย]จิ่นซินและจิ่นอวี้ก็มองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน ในที่สุดจิ่นอวี้ก็ออกจากอุทยานหลวงไปอย่างเงียบ ๆ และมุ่งหน้าไปยังตําหนักจิ่นซิ่วแน่นอนว่าพวกนางไม่อยากห้ามทะเลาะองค์หญิงสามและองค์หญิงหกต่างก็เป็นศัตรูกับตําหนักชิงอวิ๋น จรองๆ พวกนางก็รอคอยให้สองคนนี้ต่อสู้กันแต่ถึงยังไงพวกนางก็เป็นบ่าว ยังต้องคํานึงถึงหน้าตาของฝ่าบาทและฮองเฮาด้วย ที่สําคัญคือต้องคํานึงถึงหน้าตาของพระสนมถ้าฝ่าบาททรงทราบว่าพวกนางสองคนกําลังดูเรื่องตลกอยู่ที่นี่ พระองค์จะไม่ทรงตําหนิพระสนมหรือ?และสาวใช้ขององค์หญิงที่หกและองค์หญิงที่ห้าก็เข้าร่วมใน"การต่อสู้" และทั้งสองก็ต่อสู้กันอยู่ข้าง ๆจิ่นซินกลัวว่าพวกนางจะทําร้ายองค์หญิง จึงรีบก้าวไปข้างหน้าและปกป้องนางไว้ด้านหลังลู่ซิงหว่านจะยินดีได้ยังไง นางผลักจิ่นซินไปด้านข้างและเริ่มดูความคึกคักทางด้านจิ่นอวี้ รีบร้อนไปยังตําหนักจิ่นซิ่วแล้วแต่ยังไม่ทันได้ออกจากอุทยานหลวง ก็ได้พบกับฮ่องเต้ต้าฉู่ ตอนนี้กําลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานหลวงก
“เมื่อครู่บ่าวกับจิ่นซินกําลังเล่นอยู่กับองค์หญิงหย่งอันที่ริมทะเลสาบจิ้งหูในอุทยานหลวง”“องค์หญิงหกก็จะมาเล่นด้วยกัน พอดีตอนนี้องค์หญิงสามก็มาด้วย องค์หญิงทั้งสองคุยกันแค่สองสามประโยคก็โต้เถียงกันขึ้นมา”“บ่าวกับจิ่นซินอยากจะเข้าไปห้าม แต่จริง ๆ แล้ว... “ห้ามไม่ได้จริงๆ บ่าวจึงคิดจะไปขอความช่วยเหลือที่ตําหนักของฮองเฮา”เมื่อฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินคําพูดของจิ่นอวี้ ฝีเท้าของเขาก็ยิ่งเร็วขึ้นจําได้ว่าทิศทางที่จิ่นอวี้เดินเมื่อครู่คือทิศทางที่ไปยังตําหนักจิ่นซิ่วจริง ๆหลังจากเลี้ยวหัวมุม ฮ่องเต้ฉู่ก็ตกใจกับฉากตรงหน้าเขาบุตรสาวสองคนของเขาตอนนี้กําลังดึงกันอยู่บนพื้นด้วยข้าเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าของลู่ซิงหุยค่อนข้างยุ่งเหยิงอาจเป็นเพราะทั้งสองคนหมดแรงแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนกําลังฉีกทึ้งกันอยู่บนพื้น ขยับตัวไม่ได้ แต่กลับไม่มีใครปล่อยมือแต่ปากของทั้งสองกลับไม่ว่าง“ลู่ซิงอวี้ เจ้าอย่าคิดว่าตอนนี้เจ้าเลี้ยงอยู่ในตําหนักพระสนมหลานเฟยแล้วจะมีที่พึ่งพิงได้ เจ้าดูท่าทางแบบนั้น พระสนมหลานเฟยจะชอบเจ้าหรือ?”“ตอนนี้ข้าถูกเลี้ยงมาในตำหนักของฮวงเฮา ที่สําคัญกว่านั้นก็คือข้ายังมีพี่ชายแท้ๆ อยู่
เมื่อลู่ซิงหว่านตื่นขึ้นมา ก็พบว่าตัวเองถูกห่อหุ้มด้วยของเหลวอุ่น ๆ บางอย่าง และมีพลังบางอย่างกําลังผลักนางอยู่ในเวลาเดียวกันด้วยนางมุดออกไปตามแรงนั้นโดยไม่รู้ตัว แต่กลับพบว่าที่หัวของนางนั้นมีมือข้างหนึ่งคอยผลักนางเข้าไปข้างใน“โอ๊ย! เจ็บเหลือเกิน!”ขณะเดียวกัน เสียงร้องด้วยเจ็บปวดที่อ่อนเพลียก็ดังขึ้นจากนั้นก็มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังเข้ามาในโสตประสาท "พระสนม! ออกแรงเร็วเพคะ”“ข้าเหนื่อยมาก ข้าไม่มีแรงแล้วจริงๆ...”"พระสนม ห้ามท้อใจเด็ดขาดนะเพคะ พระสนม รีบออกแรงสิเพคะ!”ลู่ซิงหว่านถึงตระหนักถึงว่าตัวเองกลายเป็นทารกในครรภ์ไปแล้วเกิดอะไรขึ้น?นางกําลังข้ามทัณฑ์สายฟ้าฟาดอยู่ไม่ใช่หรือ?หรือนี่จะเป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากทัณฑ์ด้านจิตใจของนาง?แต่ว่า...นางลองแกว่งกําปั้นเล็ก ๆ ทั้งสองข้างไปมา อีกทั้งความเจ็บปวดจากการถูกบีบศีรษะก็ล้วนบอกนางว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่นางกลายเป็นทารกในครรภ์ที่กําลังถูกคลอดออกมาจริง ๆเพราะฉะนั้น นางล้มเหลวในการข้ามผ่านทัณฑ์สายฟ้าฟาดแล้วว่างั้นเถอะแต่นางเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ตัวเองถึงได้กลายเป็นทารกในครรภ์ที่กําลังจะเกิดแบบนี้
[ท่านแม่โปรดวางใจเถิด เดิมข้าควรจะถือกำเนิดนานแล้ว แต่เพราะแม่นมทำคลอดนั้นพยายามจะดันตัวข้าเข้าไปข้างในอยู่ตลอด ข้าจึงยังไม่ได้เกิดเสียที][แต่ตอนนี้แม่นมคนนั้นถูกจับไปแล้ว ไม่มีคนชั่วมาขัดขวาง ข้าคงจะได้เกิดซักที!]ในสมองของพระสนมเฉินได้ยินเสียงพูดอ้อแอ้อย่างมีความสุข ก็ถอนหายใจยาว พร้อมกล่าวกับจิ่นซินว่า “ไม่เป็นไร ลูกใกล้จะคลอดออกมาแล้ว เจ้ารีบไปเตรียมผ้าห่อตัว แล้วมาช่วยทำคลอดก็พอ”ลู่ซิงหว่านส่งกระแสจิตไปด้านนอก พบว่าจิ่นซินได้เตรียมการพร้อมแล้ว จึงตะโกนในใจด้วยความยินดี [ท่านแม่ เตรียมตัวอีกประเดี๋ยว เราใกล้จะได้พบกันแล้ว]......ในเวลาเดียวกันนี้ ที่ท้องพระโรง ฮ่องเต้ต้าฉู่กำลังรับฟังรายงานจากขุนนางเกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยแล้ง สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งนักแคว้นต้าฉู่ไม่มีฝนตกมาเกือบปีแล้ว ทุกหนแห่งล้วนแต่แห้งผากไปหมดต่อให้เป็นดินแดนทางใต้ที่ได้ชื่อว่าล่ำซำ พืชผลทางการเกษตรก็เผชิญกับภาวะน่าเศร้าที่ไร้ผลเก็บเกี่ยวถ้ายังไม่มีฝนตกอีก คาดว่าปีหน้าแคว้นต้าฉู่ คงต้องเผชิญกับความอดอยากหิวโหยที่น่ากลัวยิ่งแต่สวรรค์จะประทานฝนหรือไม่ ก็ใช่ว่าฮ่องเต้อย่างเขาจะกำหนดได้นี่นาฮ่องเต้ต้าฉ