‘โอ้โห นี่คือปิงเล่าในตำนานหรือ?’‘ดูแล้วน่าอร่อยมากทีเดียว ข้าอยู่ที่โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรยังไม่เคยกินเลย! มิน่าตอนนั้นท่านอาจารย์พูดว่าอาหารของโลกมนุษย์นั้นอร่อย!’‘ท่านแม่ ท่านแม่ หวานหว่านอยากกิน’ลู่ซิงหว่านนึกถึงตรงนี้ พลันยื่นมือน้อยๆ ดีดดิ้นจะหยิบจานตรงหน้ากลับถูกซ่งชิงเหยียนคว้าขยับออกไป หลังจากนั้นใช้ช้อนเล็กป้อนเข้าปากของลู่ซิงหว่านพอป้อนเข้าปาก ดวงตาของลู่ซิงหว่านก็สว่างวาบทันใดองค์หญิงใหญ่สังเกตปฏิกิริยาของลู่ซิงหว่านอย่างละเอียดตลอดเวลา เมื่อเห็นท่าทางเล็ก ๆ ของนาง ย่อมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “หวานหว่านเป็นเด็กฉลาดจริงๆ”ลู่ซิ่งหวานกินคำแล้วคำเล่าอย่างหยุดไม่ได้ ท้ายที่สุดก็กินถ้วยนั้นจนหมดเกลี้ยงและยื่นมือไปคว้าถ้วยตรงหน้าขององค์หญิงใหญ่เพื่อจะกินอีก“หวานหว่านไม่ควรกินแล้ว” ซ่งชิงเหยียนโน้มน้าวพูดี “เจ้ายังเป็นแค่เด็กน้อย!”ลู่ซิงหว่านย่อมเข้าใจดีและไม่ดึงดันอีก นางพลิกตัวลงจากตัวของซ่งชิงเหยียน เตรียมเดินออกไปข้างนอกทันทีก่อนจากไปยังบ่นงึมงำ‘เสียดายจัง พี่ฉยงหัวไม่ได้กิน!’‘พี่ฉยงหัวต้องชอบปิงเล่าแบบนี้เหมือนกันแน่ ครั้งหน้าต้องพาพี่ฉยงหัวมาด้วยถึง
ลู่ซิงหว่านหยุดไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะเห็นบ่อน้ำที่อยู่ใต้เท้า มีปลาน้อยสองสามตัวว่ายผ่านทันใดนั้นนางเกิดความคิดไม่เดินหน้าอีก นางนั่งยองแล้วยื่นมือลงไปในน้ำทันทีปลาน้อยเหล่านั้นตกใจกับมือน้อยๆ ของลู่ซิงหว่านที่ปรากฏขึ้นกระทันหัน กระทั่งกระโดดขึ้นบนผิวน้ำในทางตรงกันข้ามลู่ซิงหว่านกลับหัวเราะคิกคักจิ่นซินที่คอยเดินเฝ้าตามหลังเห็นท่าทางมีความสุขขององค์หญิงของตน ไม่ว่าอย่างไรเวลานี้เล่นอยู่ใต้ต้นไม้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกเฝ้าอยู่ข้างหลังองค์หญิงเงียบๆ คอยระวังไม่ให้นางตกลงไปก็เพียงพอส่วนลู่ซิงหว่าน กลับได้ยินเสียงของปลาน้อยเหล่านั้นอย่างชัดเจน“พี่ใหญ่ช่วยด้วย! คนไม่กลัวอะไรเลยมาอีกคนหนึ่งแล้ว!”“พี่ใหญ่ช่วยด้วย! ท้องฟ้าเช่นวันนี้ หากข้าถูกจับออกไป คงถูกเผาเป็นปลาแห้งอย่างรวดเร็วเป็นแน่”ส่วนเสียงของพี่ใหญ่ตัวนั้นกลับลอยมาจากข้างหน้า “เจ้าก็รีบว่ายเร็วเข้าสิ เจ้าหนุ่มนี่จับเจ้าไม่ได้หรอก”ลู่ซิงหว่านได้ยินประโยคนี้ย่อมไม่ยอม‘เจ้าปลาเฒ่าตัวนี้ ผู้หญิงตัวเล็กงดงามดั่งบุปผาอย่างข้า กล้าพูดว่าข้าคือเจ้าหนุ่มงั้นรึ’‘เจ้าปลาน้อยอย่างเจ้าก็เหมือนกัน ตัวใหญ่ขนาดนี้แล้วยังเ
แต่ว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นสนมเหยาออกมา เมิ่งฉวนเต๋อจึงเอ่ยปาก “ข้าเข้าไปถามแทนแม่นางให้แล้วกัน”“ขอบคุณมหาขันที” จิ่นอวี้ย่อมเข้าใจดีว่า เมิ่งฉวนเต๋อทำเพราะเห็นแก่หน้าสนมของตนเวลาผ่านไปไม่นาน เมิ่งฉวนเต๋อออกมาจากข้างใน เขามองจิ่นอวี้พร้อมกับรอยยิ้มที่เอ่อล้น “แม่นางจิ่นอวี้เข้าไปได้แล้ว พอฝ่าบาทได้ยินว่าเป็นเรื่องของพระสนมหวงกุ้ยเฟย ก็ตรัสทันทีว่าให้แม่นางเข้าไปรายงานได้”จิ่นอวี้กล่าวขอบคุณซ้ำๆ โดยธรรมชาติ จากนั้นถึงก้าวเท้าเข้าไปด้านในของพระตำหนักหลงเซิงเมื่อจิ้นอวี้เข้ามา ก็พบว่าฮ่องเต้กำลังบรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทมตัวนุ่ม ส่วนสนมเหยาที่อยู่ด้านข้าง กำลังมือถือหนังสือและอ่านให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ฟังนางรีบคุกเข่าลง “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมพระสนมเหยาเพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ยังไม่ทันได้กล่าว สนมเหยาวางหนังสือในมือแล้วมองจิ่นอวี้ที่คุกเข่า “แม่นางจิ่นอวี้ทำไมถึงกลับมาแล้วเล่า? หวงกุ้ยเฟยมิได้ไปเยี่ยมชมพิธีการที่จวนหานหรอกหรือ?”สนมเหยากล่าวเช่นนี้ ก็เพราะเกิดความคิดยั่วยุชี้นำนางกลัวซ่งชิงเหยียนจริง แต่สาวรับใช้ตัวเล็กๆ อย่างจิ่วอวี้ นางไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด“กราบทูลพระสนมเหย
“แต่หม่อมฉันมีความเห็นว่า ประมุขแห่งวังหลังท้ายที่สุดแล้วก็คือฮองเฮา พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลุกขึ้นนั่งตัวตรงพร้อมทอดมองสนมเหยาที่อยู่ตรงหน้าแท้จริงแล้วนางหมายความเช่นนี้เองหรือ?หลายวันก่อนได้ยินว่าชิงเหยียนตำหนิสนมเหยาที่ตำหนักจิ่นซิ่ว คิดไม่ถึงว่านางจะเจ้าคิดเจ้าแค้นเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สายตาที่มองสนมเหยาดูน่าสงสัยมากขึ้นเอ่ยปากอีกครา น้ำเสียงไม่ได้ดีเหมือนตอนแรกอีก “หืม? ดูเหมือนเจ้าจะตำหนิหวงกุ้ยเฟยเล็กน้อย”สนมเหยาเป็นคนมองแววตาไม่ออกจริงๆ ยังไม่รู้สึกตัวว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ทำหน้าบึ้งเรียบร้อย นางยิ้มและกล่าว “หม่อมฉันมิกล้า หม่อมฉันเพียงแค่…”“บังอาจ!” สนมเหยายังพูดไม่จบ ก็ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่พูดขัดจังหวะสนมเหยาจึงเงยหน้ามองฮ่องเต้ต้าฉู่กลับพบว่าใบหน้าของเขาเหมือนมีความกริ้ว ไม่มีท่าทางผ่อนคลายดุจเมื่อครู่นี้แล้วจึงรีบขยับร่างกายคุกเข่าลงไป “โปรดให้อภัยด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงแค่รู้สึกว่าฮองเฮา…”เมื่อพูดถึงตรงนี้ สนมเหยาไม่กล้าพูดต่อไปอีกนางรู้เสมอมมาว่าฮ่องเต้โปรดปรานหวงกุ้ยเฟยมาก สุดท้ายแล้วแม้แต่วันที่ประกาศพระราชโอง
เสิ่นหนิงฟังแล้วขมวดคิ้วจิ่นอวี้? เผยฉู่เยี่ยนก็มาด้วย? มีเรื่องสำคัญอะไร?นางไม่ลังเลและสั่งให้คนไปเชิญเข้ามาทุกวันนี้นางกับซ่งชิงเหยียนต่างรู้ดีแก่ใจ ระหว่างนางสองคนคือศัตรูของกันและกัน แต่ว่าขอเพียงภายนอกยังไม่เกิดการแตกหัก นางสองคนจึงต้องแสร้งแสดงว่าเข้ากันได้เพราะเรื่องวางยาพิษอวิ๋นผิงก่อนหน้านี้ทำให้ฮ่องเต้เริ่มสงสัยตัวนางนางยิ่งต้องประพฤติตนให้ระมัดระวังมากขึ้นดังนั้นการปฏิบัติกับหญิงรับใช้ข้างกายของซ่งชิงเหยียนก็ควรเป็นเช่นนั้น ภายนอกที่ดูสมัครสมานจำต้องมีไว้จิ่นอวี้และเผยฉู่เยี่ยนสองคนถวายบังคมคารวะตามมารยาทเช่นกัน“วันนี้หวงกุ้ยเฟยไม่ไปเยี่ยมชมพิธีการที่จวนหานหรือ เหตุใดแม่นางจิ่นอวี้ถึงมีเวลาว่างมาที่นี่? ไม่ไปพร้อมกับพระสนมของเจ้าหรือ?” ฮองเฮาย่อมกล่าวด้วยรอยยิ้มอันสดใส“กราบทูลฮองเฮา วันนี้พระสนมของหม่อมฉันไปมาแล้วเพคะ พระสนมมีเรื่องหนึ่ง สั่งให้หม่อมฉันกลับมาขออนุญาตกับฮองเฮาเพคะ” จิ่นอวี้พูดประโยคนี้เสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นหนิงพอเห็นสีหน้าพร้อมรับฟังนางจึงกล่าวต่อ“หลังจากที่พระสนมออกจากจวนแม่ทัพหานแล้ว ก็ไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่ขอร้องให้พร
เดิมทีไป๋หลิงเป็นเพียงสาวใช้ที่ทำงานสัพเพเหระในตำหนักฉางชิวคนหนึ่งเท่านั้นแม้ว่าหลังจากนั้นได้ยินว่าเคยปรนนิบัติรับใช้เต๋อเฟยมาก่อน แต่หลังจากเต๋อเฟยสวรรคต นางก็ยังได้แต่ทำงานสัพเพเหระอยู่ข้างกายองค์ชายสามเหมือนเดิมเป็นเพราะคำแนะนำของนาง ที่ทำให้ได้มาปรนนิบัติรับใช้ในตำหนักของฮองเฮากลับคิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้ฮองเฮาจะพึ่งพานางมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระทั่งมากกว่าตนในที่สุดก็คว้าไป๋หลิงไว้ได้หลังจากที่ออกมาจากพระตำหนักฮองเฮา นางพูดน้ำเสียงเสียดสี “นี่เจ้าได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮามากขึ้นทุกวันเลยนะ”ไป๋หลิงชะงักครู่หนึ่ง หันกลับมาเห็นอวิ๋นหลานที่ดึงตนเองเอาไว้ ก็ยิ้มและกล่าว “พี่อวิ๋นหลานพูดอะไรกัน ท้ายที่สุดแล้วพระสนมก็ยังต้องพึ่งพาพี่เจ้าค่ะ”“วันนี้ข้าคงไม่กล้าให้เจ้าเรียกว่าพี่แล้วล่ะ หากพูดถึงอายุแล้วเจ้าโตกว่าข้าอีก ควรเป็นข้าเรียกเจ้าพี่ไป๋หลิงซะมากกว่า!”อวิ๋นหลานยังคงสีหน้าเหน็บแหนมเหมือนเมื่อครู่นี้เอาไว้ไป๋หลิงเร่งเท้าก้าวเข้าไปคว้าแขนของนาง “พี่อวิ๋นหลานพูดอะไรเนี่ย พี่ยังต้องเรียกข้าว่าน้องไป๋หลิงสิถึงจะถูก”อวิ๋นหลานมองท่าทางประจบประแจงนางแล้วอารมณ์บนใบหน้าก็ดีขึ้นเ
องค์หญิงใหญ่กลับมองซ่งชิงเหยียนอย่างหมดคำพูดเล็กน้อย “ท่านน้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ตอนที่ท่านท้องหวานหว่าน ยังรำดาบแกว่งทวนอยู่เลย!”ซ่งชิงเหยียนหันกลับไปมองลู่ซิงหว่านที่ยังเล่นอยู่บนพื้นอย่างร้อนตัวแวบหนึ่ง อยากวิ่งเข้าไปปิดปากลู่ซิงรั่วนักถ้าหากหวานหว่านได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้จะว่าตัวเองอย่างไรอีก!ลู่ซิงหว่านไม่เคยทำให้ซ่งชิงเหยียนผิดหวังอย่างที่คิดนางเอ่ยปากทันที‘ท่านแม่ ท่านดูสิ ตอนนี้ทุกคนต่างบอกว่าข้าซน สาเหตุก็ไม่ได้มาจากตัวข้าทั้งหมดนะ’‘ข้ายอมรับ เมื่อก่อนตอนข้าอยู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ค่อนข้าง…ค่อนข้างทำให้อาจารย์ปวดหัว’‘แต่ตอนนี้ข้าซนเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะท่านแม่คึกคะนองเกินไปตอนตั้งท้องข้าแน่เลยเจ้าค่ะ’“ก็ได้! ไปเถอะ!” ซ่งชิงเหยียนกลับไปนั่งลงอย่างหมดคำพูดกลับทำให้องค์หญิงใหญ่สงสัยเล็กน้อยแล้ว หรือว่าท่านน้าไม่อยากไป? แต่ท่านน้าชอบเดินตลาดที่สุดไม่ใช่หรือ?ดอกไม้ไฟมีกำหนดจุดตอนยามซวีสามเค่อแต่เพื่อสัมผัสบรรยากาศของเมืองหลวงที่ไม่ได้เดินมานาน คนทั้งกลุ่มออกจากบ้านตั้งแต่ยามโหย่ว ภายใต้คำแนะนำของซ่งชิงเหยียนแต่ไม่ได้พาองค์หญิงใหญ่มาด้วย อย่างไรก็ตามตอนนี้
ตอนนี้ชายคนนั้นกำลังสอดกระบี่เล่มหนึ่งเข้าไปในปากของตัวเองทีละนิดฝูงชนเงียบสงัด กลัวจะรบกวนการกระทำของชายคนนี้จนทำให้เขาเผลอพลั้งแทงตัวเองตายลู่ซิงหว่านก็กลั้นหายใจเช่นกัน และไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อยเผยฉู่เยี่ยนที่อยู่ใต้ร่างนาง ย่อมรู้สึกได้ว่าจู่ๆ ร่างกายของเด็กน้อยคนนี้ตั้งตรง เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะนางตั้งใจมากส่วนชายคนนั้น เวลานี้ได้สอดส่วนที่อยู่ใต้ด้ามกระบี่เข้าไปในปากหมดแล้ว อีกทั้งยังเริ่มเดินวนท่ามกลางฝูงชนมีเสียงชมอันเร่าร้อนดังกระหึ่มท่ามกลางฝูงชนแม้แต่ร่างกายน้อยๆ ของลู่ซิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะแกว่งไปแกว่งมาซ่งชิงเหยียนมองลู่ซิงหว่านตรงหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกว่านี่จึงจะเป็นชีวิตอันสงบสุขที่ตัวเองต้องการแม้นางรู้ว่าของสิ่งนี้เป็นการหลอกคน กลับได้รับอิทธิพลจากลู่ซิงหว่าน อยากเดินเข้าไปมุงดูคนในยุทธภพที่กลืนกระบี่คนในยุทธภพคนนั้นเดินรอบฝูงชน ส่วนข้างหลังของเขามีเด็กสาวคนหนึ่งเดินตาม ตอนนี้กำลังชูชามกระเบื้องตรงหน้า เริ่มขอเงินรางวัลจากผู้คนลู่ซิงหว่านรีบตบศีรษะของเผยฉู่เยี่ยนสองสามที‘ให้เงินสิ รัฐทายาทเผย’‘จวนอันกั๋วกงมีเงินมากเช่นนี้ ท่านอย่าขี้งกสิ!’แม