‘โอ้โห นี่คือปิงเล่าในตำนานหรือ?’‘ดูแล้วน่าอร่อยมากทีเดียว ข้าอยู่ที่โลกแห่งการบําเพ็ญเพียรยังไม่เคยกินเลย! มิน่าตอนนั้นท่านอาจารย์พูดว่าอาหารของโลกมนุษย์นั้นอร่อย!’‘ท่านแม่ ท่านแม่ หวานหว่านอยากกิน’ลู่ซิงหว่านนึกถึงตรงนี้ พลันยื่นมือน้อยๆ ดีดดิ้นจะหยิบจานตรงหน้ากลับถูกซ่งชิงเหยียนคว้าขยับออกไป หลังจากนั้นใช้ช้อนเล็กป้อนเข้าปากของลู่ซิงหว่านพอป้อนเข้าปาก ดวงตาของลู่ซิงหว่านก็สว่างวาบทันใดองค์หญิงใหญ่สังเกตปฏิกิริยาของลู่ซิงหว่านอย่างละเอียดตลอดเวลา เมื่อเห็นท่าทางเล็ก ๆ ของนาง ย่อมอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “หวานหว่านเป็นเด็กฉลาดจริงๆ”ลู่ซิ่งหวานกินคำแล้วคำเล่าอย่างหยุดไม่ได้ ท้ายที่สุดก็กินถ้วยนั้นจนหมดเกลี้ยงและยื่นมือไปคว้าถ้วยตรงหน้าขององค์หญิงใหญ่เพื่อจะกินอีก“หวานหว่านไม่ควรกินแล้ว” ซ่งชิงเหยียนโน้มน้าวพูดี “เจ้ายังเป็นแค่เด็กน้อย!”ลู่ซิงหว่านย่อมเข้าใจดีและไม่ดึงดันอีก นางพลิกตัวลงจากตัวของซ่งชิงเหยียน เตรียมเดินออกไปข้างนอกทันทีก่อนจากไปยังบ่นงึมงำ‘เสียดายจัง พี่ฉยงหัวไม่ได้กิน!’‘พี่ฉยงหัวต้องชอบปิงเล่าแบบนี้เหมือนกันแน่ ครั้งหน้าต้องพาพี่ฉยงหัวมาด้วยถึง
ลู่ซิงหว่านหยุดไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะเห็นบ่อน้ำที่อยู่ใต้เท้า มีปลาน้อยสองสามตัวว่ายผ่านทันใดนั้นนางเกิดความคิดไม่เดินหน้าอีก นางนั่งยองแล้วยื่นมือลงไปในน้ำทันทีปลาน้อยเหล่านั้นตกใจกับมือน้อยๆ ของลู่ซิงหว่านที่ปรากฏขึ้นกระทันหัน กระทั่งกระโดดขึ้นบนผิวน้ำในทางตรงกันข้ามลู่ซิงหว่านกลับหัวเราะคิกคักจิ่นซินที่คอยเดินเฝ้าตามหลังเห็นท่าทางมีความสุขขององค์หญิงของตน ไม่ว่าอย่างไรเวลานี้เล่นอยู่ใต้ต้นไม้ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอีกเฝ้าอยู่ข้างหลังองค์หญิงเงียบๆ คอยระวังไม่ให้นางตกลงไปก็เพียงพอส่วนลู่ซิงหว่าน กลับได้ยินเสียงของปลาน้อยเหล่านั้นอย่างชัดเจน“พี่ใหญ่ช่วยด้วย! คนไม่กลัวอะไรเลยมาอีกคนหนึ่งแล้ว!”“พี่ใหญ่ช่วยด้วย! ท้องฟ้าเช่นวันนี้ หากข้าถูกจับออกไป คงถูกเผาเป็นปลาแห้งอย่างรวดเร็วเป็นแน่”ส่วนเสียงของพี่ใหญ่ตัวนั้นกลับลอยมาจากข้างหน้า “เจ้าก็รีบว่ายเร็วเข้าสิ เจ้าหนุ่มนี่จับเจ้าไม่ได้หรอก”ลู่ซิงหว่านได้ยินประโยคนี้ย่อมไม่ยอม‘เจ้าปลาเฒ่าตัวนี้ ผู้หญิงตัวเล็กงดงามดั่งบุปผาอย่างข้า กล้าพูดว่าข้าคือเจ้าหนุ่มงั้นรึ’‘เจ้าปลาน้อยอย่างเจ้าก็เหมือนกัน ตัวใหญ่ขนาดนี้แล้วยังเ
แต่ว่ารอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นสนมเหยาออกมา เมิ่งฉวนเต๋อจึงเอ่ยปาก “ข้าเข้าไปถามแทนแม่นางให้แล้วกัน”“ขอบคุณมหาขันที” จิ่นอวี้ย่อมเข้าใจดีว่า เมิ่งฉวนเต๋อทำเพราะเห็นแก่หน้าสนมของตนเวลาผ่านไปไม่นาน เมิ่งฉวนเต๋อออกมาจากข้างใน เขามองจิ่นอวี้พร้อมกับรอยยิ้มที่เอ่อล้น “แม่นางจิ่นอวี้เข้าไปได้แล้ว พอฝ่าบาทได้ยินว่าเป็นเรื่องของพระสนมหวงกุ้ยเฟย ก็ตรัสทันทีว่าให้แม่นางเข้าไปรายงานได้”จิ่นอวี้กล่าวขอบคุณซ้ำๆ โดยธรรมชาติ จากนั้นถึงก้าวเท้าเข้าไปด้านในของพระตำหนักหลงเซิงเมื่อจิ้นอวี้เข้ามา ก็พบว่าฮ่องเต้กำลังบรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทมตัวนุ่ม ส่วนสนมเหยาที่อยู่ด้านข้าง กำลังมือถือหนังสือและอ่านให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ฟังนางรีบคุกเข่าลง “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมพระสนมเหยาเพคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ยังไม่ทันได้กล่าว สนมเหยาวางหนังสือในมือแล้วมองจิ่นอวี้ที่คุกเข่า “แม่นางจิ่นอวี้ทำไมถึงกลับมาแล้วเล่า? หวงกุ้ยเฟยมิได้ไปเยี่ยมชมพิธีการที่จวนหานหรอกหรือ?”สนมเหยากล่าวเช่นนี้ ก็เพราะเกิดความคิดยั่วยุชี้นำนางกลัวซ่งชิงเหยียนจริง แต่สาวรับใช้ตัวเล็กๆ อย่างจิ่วอวี้ นางไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด“กราบทูลพระสนมเหย
“แต่หม่อมฉันมีความเห็นว่า ประมุขแห่งวังหลังท้ายที่สุดแล้วก็คือฮองเฮา พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลุกขึ้นนั่งตัวตรงพร้อมทอดมองสนมเหยาที่อยู่ตรงหน้าแท้จริงแล้วนางหมายความเช่นนี้เองหรือ?หลายวันก่อนได้ยินว่าชิงเหยียนตำหนิสนมเหยาที่ตำหนักจิ่นซิ่ว คิดไม่ถึงว่านางจะเจ้าคิดเจ้าแค้นเมื่อคิดถึงสิ่งนี้ สายตาที่มองสนมเหยาดูน่าสงสัยมากขึ้นเอ่ยปากอีกครา น้ำเสียงไม่ได้ดีเหมือนตอนแรกอีก “หืม? ดูเหมือนเจ้าจะตำหนิหวงกุ้ยเฟยเล็กน้อย”สนมเหยาเป็นคนมองแววตาไม่ออกจริงๆ ยังไม่รู้สึกตัวว่าฮ่องเต้ต้าฉู่ทำหน้าบึ้งเรียบร้อย นางยิ้มและกล่าว “หม่อมฉันมิกล้า หม่อมฉันเพียงแค่…”“บังอาจ!” สนมเหยายังพูดไม่จบ ก็ถูกฮ่องเต้ต้าฉู่พูดขัดจังหวะสนมเหยาจึงเงยหน้ามองฮ่องเต้ต้าฉู่กลับพบว่าใบหน้าของเขาเหมือนมีความกริ้ว ไม่มีท่าทางผ่อนคลายดุจเมื่อครู่นี้แล้วจึงรีบขยับร่างกายคุกเข่าลงไป “โปรดให้อภัยด้วยเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันมิได้มีเจตนาอื่นใด เพียงแค่รู้สึกว่าฮองเฮา…”เมื่อพูดถึงตรงนี้ สนมเหยาไม่กล้าพูดต่อไปอีกนางรู้เสมอมมาว่าฮ่องเต้โปรดปรานหวงกุ้ยเฟยมาก สุดท้ายแล้วแม้แต่วันที่ประกาศพระราชโอง
เสิ่นหนิงฟังแล้วขมวดคิ้วจิ่นอวี้? เผยฉู่เยี่ยนก็มาด้วย? มีเรื่องสำคัญอะไร?นางไม่ลังเลและสั่งให้คนไปเชิญเข้ามาทุกวันนี้นางกับซ่งชิงเหยียนต่างรู้ดีแก่ใจ ระหว่างนางสองคนคือศัตรูของกันและกัน แต่ว่าขอเพียงภายนอกยังไม่เกิดการแตกหัก นางสองคนจึงต้องแสร้งแสดงว่าเข้ากันได้เพราะเรื่องวางยาพิษอวิ๋นผิงก่อนหน้านี้ทำให้ฮ่องเต้เริ่มสงสัยตัวนางนางยิ่งต้องประพฤติตนให้ระมัดระวังมากขึ้นดังนั้นการปฏิบัติกับหญิงรับใช้ข้างกายของซ่งชิงเหยียนก็ควรเป็นเช่นนั้น ภายนอกที่ดูสมัครสมานจำต้องมีไว้จิ่นอวี้และเผยฉู่เยี่ยนสองคนถวายบังคมคารวะตามมารยาทเช่นกัน“วันนี้หวงกุ้ยเฟยไม่ไปเยี่ยมชมพิธีการที่จวนหานหรือ เหตุใดแม่นางจิ่นอวี้ถึงมีเวลาว่างมาที่นี่? ไม่ไปพร้อมกับพระสนมของเจ้าหรือ?” ฮองเฮาย่อมกล่าวด้วยรอยยิ้มอันสดใส“กราบทูลฮองเฮา วันนี้พระสนมของหม่อมฉันไปมาแล้วเพคะ พระสนมมีเรื่องหนึ่ง สั่งให้หม่อมฉันกลับมาขออนุญาตกับฮองเฮาเพคะ” จิ่นอวี้พูดประโยคนี้เสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นหนิงพอเห็นสีหน้าพร้อมรับฟังนางจึงกล่าวต่อ“หลังจากที่พระสนมออกจากจวนแม่ทัพหานแล้ว ก็ไปที่จวนองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่ขอร้องให้พร
เดิมทีไป๋หลิงเป็นเพียงสาวใช้ที่ทำงานสัพเพเหระในตำหนักฉางชิวคนหนึ่งเท่านั้นแม้ว่าหลังจากนั้นได้ยินว่าเคยปรนนิบัติรับใช้เต๋อเฟยมาก่อน แต่หลังจากเต๋อเฟยสวรรคต นางก็ยังได้แต่ทำงานสัพเพเหระอยู่ข้างกายองค์ชายสามเหมือนเดิมเป็นเพราะคำแนะนำของนาง ที่ทำให้ได้มาปรนนิบัติรับใช้ในตำหนักของฮองเฮากลับคิดไม่ถึงว่าทุกวันนี้ฮองเฮาจะพึ่งพานางมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระทั่งมากกว่าตนในที่สุดก็คว้าไป๋หลิงไว้ได้หลังจากที่ออกมาจากพระตำหนักฮองเฮา นางพูดน้ำเสียงเสียดสี “นี่เจ้าได้รับความโปรดปรานจากฮองเฮามากขึ้นทุกวันเลยนะ”ไป๋หลิงชะงักครู่หนึ่ง หันกลับมาเห็นอวิ๋นหลานที่ดึงตนเองเอาไว้ ก็ยิ้มและกล่าว “พี่อวิ๋นหลานพูดอะไรกัน ท้ายที่สุดแล้วพระสนมก็ยังต้องพึ่งพาพี่เจ้าค่ะ”“วันนี้ข้าคงไม่กล้าให้เจ้าเรียกว่าพี่แล้วล่ะ หากพูดถึงอายุแล้วเจ้าโตกว่าข้าอีก ควรเป็นข้าเรียกเจ้าพี่ไป๋หลิงซะมากกว่า!”อวิ๋นหลานยังคงสีหน้าเหน็บแหนมเหมือนเมื่อครู่นี้เอาไว้ไป๋หลิงเร่งเท้าก้าวเข้าไปคว้าแขนของนาง “พี่อวิ๋นหลานพูดอะไรเนี่ย พี่ยังต้องเรียกข้าว่าน้องไป๋หลิงสิถึงจะถูก”อวิ๋นหลานมองท่าทางประจบประแจงนางแล้วอารมณ์บนใบหน้าก็ดีขึ้นเ
องค์หญิงใหญ่กลับมองซ่งชิงเหยียนอย่างหมดคำพูดเล็กน้อย “ท่านน้าลืมไปแล้วใช่หรือไม่ ตอนที่ท่านท้องหวานหว่าน ยังรำดาบแกว่งทวนอยู่เลย!”ซ่งชิงเหยียนหันกลับไปมองลู่ซิงหว่านที่ยังเล่นอยู่บนพื้นอย่างร้อนตัวแวบหนึ่ง อยากวิ่งเข้าไปปิดปากลู่ซิงรั่วนักถ้าหากหวานหว่านได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้จะว่าตัวเองอย่างไรอีก!ลู่ซิงหว่านไม่เคยทำให้ซ่งชิงเหยียนผิดหวังอย่างที่คิดนางเอ่ยปากทันที‘ท่านแม่ ท่านดูสิ ตอนนี้ทุกคนต่างบอกว่าข้าซน สาเหตุก็ไม่ได้มาจากตัวข้าทั้งหมดนะ’‘ข้ายอมรับ เมื่อก่อนตอนข้าอยู่โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรก็ค่อนข้าง…ค่อนข้างทำให้อาจารย์ปวดหัว’‘แต่ตอนนี้ข้าซนเช่นนี้ ต้องเป็นเพราะท่านแม่คึกคะนองเกินไปตอนตั้งท้องข้าแน่เลยเจ้าค่ะ’“ก็ได้! ไปเถอะ!” ซ่งชิงเหยียนกลับไปนั่งลงอย่างหมดคำพูดกลับทำให้องค์หญิงใหญ่สงสัยเล็กน้อยแล้ว หรือว่าท่านน้าไม่อยากไป? แต่ท่านน้าชอบเดินตลาดที่สุดไม่ใช่หรือ?ดอกไม้ไฟมีกำหนดจุดตอนยามซวีสามเค่อแต่เพื่อสัมผัสบรรยากาศของเมืองหลวงที่ไม่ได้เดินมานาน คนทั้งกลุ่มออกจากบ้านตั้งแต่ยามโหย่ว ภายใต้คำแนะนำของซ่งชิงเหยียนแต่ไม่ได้พาองค์หญิงใหญ่มาด้วย อย่างไรก็ตามตอนนี้
ตอนนี้ชายคนนั้นกำลังสอดกระบี่เล่มหนึ่งเข้าไปในปากของตัวเองทีละนิดฝูงชนเงียบสงัด กลัวจะรบกวนการกระทำของชายคนนี้จนทำให้เขาเผลอพลั้งแทงตัวเองตายลู่ซิงหว่านก็กลั้นหายใจเช่นกัน และไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อยเผยฉู่เยี่ยนที่อยู่ใต้ร่างนาง ย่อมรู้สึกได้ว่าจู่ๆ ร่างกายของเด็กน้อยคนนี้ตั้งตรง เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะนางตั้งใจมากส่วนชายคนนั้น เวลานี้ได้สอดส่วนที่อยู่ใต้ด้ามกระบี่เข้าไปในปากหมดแล้ว อีกทั้งยังเริ่มเดินวนท่ามกลางฝูงชนมีเสียงชมอันเร่าร้อนดังกระหึ่มท่ามกลางฝูงชนแม้แต่ร่างกายน้อยๆ ของลู่ซิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะแกว่งไปแกว่งมาซ่งชิงเหยียนมองลู่ซิงหว่านตรงหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกว่านี่จึงจะเป็นชีวิตอันสงบสุขที่ตัวเองต้องการแม้นางรู้ว่าของสิ่งนี้เป็นการหลอกคน กลับได้รับอิทธิพลจากลู่ซิงหว่าน อยากเดินเข้าไปมุงดูคนในยุทธภพที่กลืนกระบี่คนในยุทธภพคนนั้นเดินรอบฝูงชน ส่วนข้างหลังของเขามีเด็กสาวคนหนึ่งเดินตาม ตอนนี้กำลังชูชามกระเบื้องตรงหน้า เริ่มขอเงินรางวัลจากผู้คนลู่ซิงหว่านรีบตบศีรษะของเผยฉู่เยี่ยนสองสามที‘ให้เงินสิ รัฐทายาทเผย’‘จวนอันกั๋วกงมีเงินมากเช่นนี้ ท่านอย่าขี้งกสิ!’แม
พูดถึงตรงนี้องครักษ์เงามังกรก็ถอนหายใจ “เพียงแต่อีกฝ่ายล้วนเป็นนักรบที่ตายแล้ว ไม่ได้เหลือผู้รอดชีวิตไว้”[แม่เจ้าโว้ย ทหารพลีชีพหนึ่งร้อยคน นี่มันฐานะอะไรเนี่ย][ดูเหมือนว่าชีวิตของเสด็จพ่อมีค่ามากจริงๆ สามารถทําให้อีกฝ่ายส่งทหารพลีชีพได้หนึ่งร้อยคน]เรื่องนี้เป็นไปตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมไม่ตําหนิองครักษ์เงามังกร จึงออกคําสั่งให้คนขับรถม้าเดินทางต่อไป ต้องไปถึงสถานที่ปลอดภัยถึงจะดําเนินการต่อได้ภายในรถม้าก็เงียบกริบเช่นกันในที่สุดสนมเยว่กุ้ยเหรินก็ลองเอ่ยปาก “ฝ่า...นายท่าน ฮูหยิน คือว่า...”ซ่งชิงเหยียนเหมือนเพิ่งนึกถึงสนมเยว่กุ้ยเหรินที่ขดตัวอยู่ที่มุมห้อง ดึงนางขึ้นมา “วางใจเถอะ ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว”ในใจก็อดทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าเล่าสนมเยว่กุ้ยเหรินถึงอยู่ในวังมาเจ็ดแปดปีก็ไม่มีทายาทสักคน เกรงว่าโอกาสที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานนางก็มีน้อยมากในรถม้าคันเดียวมีกันแค่สี่คน ตัวเองยังสามารถลืมนางได้อย่างสนิทใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฮ่องเต้ที่มีสนมมากมายส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็จัดเสื้อผ้าให้ตนเอง แล้วอุ้มลู่ซิงหว่านเข้ามาในอ้อมกอดของตน หยอกล้อนางว่า “หวานหว่าน ตกใจหรือเปล่า?”ลู่ซิงหว่านเอื
เพราะว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก ทุกคนต่างก็เปลี่ยนคําเรียกขานกัน จึงสามารถปกป้องฝ่าบาทได้อย่างทั่วถึง“ปกป้องนายท่าน!” เว่ยเฉิงดึงกระบี่ออกจากฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วพูดกับฮ่องเต้ต้าฉู่ที่อยู่บนรถม้า “นายท่านไม่ต้องเป็นห่วง คนขอวเราข้าล้วนเลือกคนที่มีวรยุทธ์สูงทั้งนั้น ต้องสามารถปกป้องนายท่านและฮูหยินให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอนขอรับ”“ได้” เสียงทุ้มต่ำของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังขึ้น ทําให้เว่ยเฉิงรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วนซ่งชิงเหยียนก็กุมมือของสนมเยว่กุ้ยเหรินในเวลานี้ และพยักหน้าให้นางเพื่อแสดงให้เห็นว่านางสบายใจได้ลู่ซิงหว่านกลับไม่กลัวอย่างที่สนมเยว่กุ้ยเหรินคิดแม้กระทั่งนางยังตบแขนสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ ปากก็พึมพําว่า “ไม่กลัว”สนมเยว่กุ้ยเหรินรู้สึกอับอายขายหน้าจริงๆ [ว้าว ทําไมมันน่าตื่นเต้นจัง][เสด็จพ่อและท่านแม่ต้องสู้ๆ นะ! เสด็จพ่อไม่ใช่ฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าฉู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนิทานหรอกหรือ! โชว์ฝีมือให้หวานหว่านดูหน่อย ให้หวานหว่านดูบ้าง!]ซ่งชิงเหยียนกุมหน้าผากอย่างพูดไม่ออกโชคดีที่เป็นเสียงในใจ ฝ่าบาทจึงไม่ได้ยิน หวานหว่านเอ๋ย เจ้ามีกี่หัวให้ถูกตัดกันล่ะเนี่ย!แม้แต่ฮ่องเต้ต้
ฮ่องเต้ต้าฉู่และคณะเดินทางลงใต้ต่อ แล้วเลือกที่พักต่อไปก่อนออกเดินทาง อัครมหาเสนาบดีและคนอื่นๆ ได้กําหนดสถานที่ตั้งหลักสําหรับฝ่าบาทตามทางแล้ว ล้วนเป็นอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองแต่ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้รูปแบบการเดินทางแล้ว ตอนนี้เป็นการเยี่ยมเยือนส่วนตัวแล้วประการที่สองคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ในอําเภอไถจินซึ่งจําเป็นต้องป้องกันดังนั้นฮ่องเต้ต้าฉู่จึงปรึกษากับเว่ยเฉิงและซ่งชิงเหยียน เปลี่ยนเส้นทางและเลือกเมืองอื่นๆ เพื่อพักระหว่างทาง เพื่อสํารวจประเพณีท้องถิ่นดูว่าสถานที่อื่นๆ ก็มีพฤติกรรมที่หลอกลวงและปกปิดเช่นเดียวกับอําเภอไถจินหรือไม่ดังที่หวานหว่านกล่าวไว้ อําเภอไถจินที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้ยังเกิดเรื่องเช่นนี้ได้ แล้วอําเภออื่นๆ ล่ะซ่งชิงเหยียนยังไม่ทันได้พูดอะไร ลู่ซิงหว่านก็พูดก่อน[ได้สิ ๆ ! ออกมาเที่ยวเล่นก็ต้องเที่ยวเล่นไปทั่วอยู่แล้ว ถ้าทุกที่ถูกคนจับตามองอยู่ จะมีความหมายอะไรอีกล่ะ][ทําไมไม่ให้ผู้บัญชาการเว่ยเลือกสถานที่เล็กๆ หน่อย พวกเราไปเดินเล่นกัน ยังไงก็ต้องรับรองความปลอดภัยของเสด็จพ่อนะ!][ออกมาห้าวันแล้ว แต่ก็ยังปลอดภัยอยู่ เดิมคิดว่าจะถูกลอบสังหารในวันแรกท
“ตอนนี้เกรงว่าพระมเหสีคงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้มีโอกาสส่งองค์หญิงหกออกจากตําหนักจิ่นซิ่ว” สนมหลานพูดอย่างมีความหมายลึกซึ้งพระสนมหลานเฟยพูดได้ไม่ผิด เดิมทีเสิ่นหนิงก็ไม่ยอมรับองค์หญิงหกอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นคนออกปากเอง นางจึงปฏิเสธไม่ได้ไม่สู้ครั้งนี้วางแผนซ้อนแผน ส่งองค์หญิงหกออกไปก็แล้วกันพระสนมหลานเฟยพาจิ่นซินไปที่ตําหนักหรงเล่อแม้แต่ไทเฮาที่อาศัยอยู่ในวังหลังมานานขนาดนี้ เมื่อเห็นบาดแผลบนใบหน้าของจิ่นซิน ก็อดไม่ได้ที่จะอกสั่นขวัญแขวน“จิ่นซิน” ไทเฮาจับมือจิ่นซินปลอบ “พระสนมของเจ้าไม่อยู่ มีเรื่องอะไรเจ้าก็บอกแม่นมซูได้เลย ข้าจะตัดสินใจแทนเจ้าเอง”จิ่นซินกลับมีสมองอย่างหาได้ยาก เพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ “บ่าวไม่เป็นอะไรเพคะ ไทเฮาเพคะ จิ่นซินเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น หากผู้เป็นนายอารมณ์ไม่ดี จะตีจะด่าสักหน่อยก็สมควรแล้วเพคะ”แม้ว่าไทเฮารู้ว่าคําพูดของจิ่นซินเป็นคําพูดที่สุภาพ แต่เมื่อมองเข้าไปในดวงตาของนาง บวกกับบาดแผลบนใบหน้าของนาง ก็เห็นถึงความอดทนและความคับข้องใจอย่างชัดเจนจึงหันไปมองพระสนมหลานเฟย “ในเมื่อชิงเหยียนไม่อยู่ ช่วงนี้ให้จิ่นซินอยู่ในวังของเจ้าเถอะ
เมื่อได้ยินจิ่นซินกล้าที่จะเถียงตนเอง องค์หญิงหกก็โกรธทันที“เจ้าคุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!” องค์หญิงหกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจิ่นซินย่อมคุกเข่าลงอย่างเรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงตั้งตรงตอนนี้นางจึงอยู่ในระดับเดียวกันกับองค์หญิงหกองค์หญิงหกรีบก้าวเท้าไปข้างหน้าและตบหน้าจิ่นซินหนึ่งฉาด “เจ้าบ่าวรับใช้บังอาจนัก แม้แต่นายของเจ้ายังไม่กล้าพูดกับข้าเช่นนี้ เจ้ากล้าเถียงข้าหรือ?”พูดถึงตรงนี้ ราวกับไม่คลายความโกรธ หันไปมองอิงหงที่อยู่ข้างๆ อีกครั้ง “ตบปากนางให้ข้าที!”อิงหงกลับขดตัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าถึงอย่างไรจิ่นซินก็เป็นคนข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟย แม้ว่านายของนางจะเป็นองค์หญิงหก แต่ว่า...เมื่อเห็นอิงหงไม่ขยับตัว องค์หญิงหกก็ยื่นขาออกไปเตะที่ขาของนาง “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ?”อิงหงกัดฟัน ในที่สุดก็เดินมาตรงหน้าจิ่นซินแล้วเริ่มลงมือเมื่อเห็นใบหน้าของจิ่นซินแดงและบวมขึ้นในที่สุด องค์หญิงหกจึงเอ่ยปากให้อิงหงหยุดมือ แต่ยังคงไม่คลายความโกรธ “เจ้าคุกเข่าตรงนี้ให้ข้าสองชั่วยาม หากคุกเข่าไม่ถึงสองชั่วยาม ข้าจะตบเจ้าอีก!”พูดจบก็พาอิงหงเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมามองในเวลานี้อวิ๋นหลานที่
พูดจบก็ยิ้มให้เสิ่นผิงอีก “การสอบระดับกลางปีหน้า ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”ฮ่องเต้ต้าฉู่ไม่ใช่คนชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นจริงๆ แต่คนนี้ ในเมื่อหวานหว่านบอกว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ เมื่อพบแล้ว ก็ไม่อาจไม่ยุ่งได้พูดจบก็เดินก้าวยาวๆ ออกไปเสิ่นผิงเพิ่งได้สติหลังจากฮ่องเต้ต้าฉู่จากไปแล้ว “ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ทําเรื่องใหญ่อีกครั้ง ในใจย่อมมีความสุขมากคนทั้งกลุ่มจึงเก็บสัมภาระอีกครั้งและเดินทางต่อฮ่องเต้ต้าฉู่เดินเที่ยวชมวิวตลอดทาง มีความสุขมากแต่หลังจากที่เขาจากไป ในวังก็มีคนก่อความวุ่นวายขึ้นคนแรกที่ก่อความวุ่นวายขึ้นก็คือองค์หญิงหกที่ตอนนี้อาศัยอยู่ในวังจิ่นซิ่วจิ่นซินอยู่ในตําหนักชิงอวิ๋นเพียงลําพัง ที่จริงแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทํา ทั้งวันจึงไม่มีอะไรทําดังนั้นวันนี้ ตําหนักชิงอวิ๋นกลับมีคนที่จิ่นซินคาดไม่ถึงคนหนึ่งมา อวิ๋นหลานเมื่อเห็นอวิ๋นหลานมา จิ่นซินก็รีบเข้าไปต้อนรับ “พี่หญิงอวิ๋นหลานมาได้อย่างไรกัน?”จะว่าไปตําหนักจิ่นซิ่วกับตําหนักชิงอวิ๋นก็ไม่ได้มีความขัดแย้งต่อหน้าอะไรกันแต่จิ่นซินและจินอวี้ในตําหนักชิงอวิ๋นต่างก็รู้ว่าเมื่อฮองเฮายังเป็นพ
เขาเป็นฮ่องเต้และเข้าใจวิธีการใช้คนเป็นอย่างดีคนอย่างเสิ่นผิงเป็นดาบที่แหลมคม ต้องให้ผู้ถือดาบควบคุมให้ดีเรื่องต่อไปนั้นง่ายมากฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งให้เว่ยเฉิงออกหน้าเพื่อปลอบขวัญราษฎรทั้งหมด ส่วนตัวเขาเองก็พาเสิ่นผิงกลับไปที่จวนนายอำเภออีกครั้งครั้งนี้ เพื่อความปลอดภัย ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงตั้งใจพาลู่ซิงหว่านมาอยู่ข้างกายถึงอย่างไรเขาก็มีความคิดแบบนี้มานานแล้ว อยากจะพาลู่ซิงหว่านไปประชุมเช้าด้วยแต่เมื่อนึกถึงคนแก่คร่ำครึกลุ่มนั้น เพื่อลดความยุ่งยากให้กับลู่ซิงหว่านและซ่งชิงเหยียนสองแม่ลูก ในที่สุดเขาก็ยกเลิกความคิดนี้แต่ตอนนี้อยู่ข้างนอกมันไม่เหมือนกันแล้ว สิ่งที่ควรใช้ก็ต้องใช้ให้ดีเมื่อเห็นฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังอุ้มเด็กคนหนึ่ง เสิ่นผิงก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นฮ่องเต้ เขาเป็นแค่ข้าน้อยธรรมดาคนหนึ่ง จะกล้าเอ่ยปากได้อย่างไรจนกระทั่งทั้งสองนั่งลง ฮ่องเต้ต้าฉู่จึงเอ่ยปากถามว่า “คุณชายเสิ่นแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดา แต่ดูแล้วก็สง่างาม ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าเป็นใครกัน”เสิ่นผิงกลับส่ายหน้า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่รู้ว่าท่านพ่อเป็นใคร ข้าน้อยอาศัยอยู่กับท่านแม่ที่อําเภอไถจิ
[นี่เป็นขบวนเสด็จของฝ่าบาท พวกเจ้ายังกล้าขัดขวางอีกหรือ?]ส่วนฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เปิดม่านรถออกอย่างเงียบๆ และมองออกไปด้านนอกตอนนี้ที่หน้ารถของพวกเขา มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกําลังคุกเข่าอยู่ เป็นธรรมดาที่มีชาวบ้านทยอยกันเดินมาทางนี้ลู่ซิงหว่านตาไว มองปราดเดียวก็เห็นคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด เป็นชายที่คุยกับพวกเขาเมื่อวาน“เสด็จพ่อ พี่ชาย” ลู่ซิงหว่านชี้นิ้วไปยังคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุดฮ่องเต้ต้าฉู่หันมองลู่ซิงหว่านอย่างสงสัย แล้วมองไปข้างหน้าคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขาคิดไปคิดมา ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ลุกขึ้นและออกจากรถม้าไป“ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” ทุกคนคุกเข่าลงและตะโกนถวายบังคมชายที่อยู่ด้านหน้าสุดกลับเอ่ยปากก่อน “ข้าน้อยเสิ่นผิง ถวายบังคมฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”พูดจบ เสิ่นผิงก็เงยหน้าขึ้น มองตรงไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ก่อนหน้านี้ที่ฝ่าบาททรงมอบเงินเหล่านั้นให้ข้าน้อย ข้าน้อยก็รู้สึกว่าฝ่าบาทต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการแน่นอน นึกไม่ถึงว่าจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน”พูดถึงตรงนี้ เสิ่นผิงก็โขกหัวลงไปอีกครั้ง “ฝ่าบาททรงเมตตากรุณายิ่งนัก เป็นความโชคดีของราษฎรในใต้หล้าเหลือเกินพ่ะย่
ฮ่องเต้ต้าฉู่จัดการเรื่องนี้เสร็จ ก็เสียเวลาไปบ้าง ได้แต่พักค้างคืนหนึ่งคืนก่อนแล้วค่อยออกเดินทางอีกครั้งในวันถัดไปเท่านั้นค่ำคืนนี้ พวกฮ่องเต้ต้าฉู่กลับไม่ได้ไปพักที่โรงเตี๊ยมหรือเรือนรับรองใดๆ อีก แต่พักอยู่ในที่ว่าการอําเภอโดยตรงตอนนี้ไม่มีงานราชการที่ต้องจัดการ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว ก็รู้สึกเบื่อมาก“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ชะโงกหน้าไปถาม “ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของอําเภอเทียนจินนี้เป็นอย่างไร?”พูดถึงตรงนี้ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ยืนขึ้น “ไม่สู้เรียกหวงกุ้ยเฟยมาดีกว่า ให้ออกไปเดินเล่นด้วยกัน”บังเอิญจริงๆ ซ่งชิงเหยียนและพรรคพวกก็กําลังเดินมาทางนี้เช่นกัน“นายท่าน” เยวี่ยกุ้ยเหรินเดิมทีก็มีนิสัยร่าเริงอยู่แล้ว เมื่อก่อนอยู่ต่อหน้าฝ่าบาทและพระสนมหวงกุ้ยเฟยยังไม่กล้าปล่อยมากนัก หลายวันมานี้คุ้นเคยกันแล้ว ย่อมมีชีวิตชีวามากขึ้น “พระ...ฮูหยินเรียกข้าออกไปเดินเล่นด้วยกัน นายท่านจะไปด้วยหรือไม่เจ้าคะ?”เมื่อได้ยินสนมเยว่กุ้ยเหรินเรียกซ่งชิงเหยียนแบบนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็อึ้งไปชั่วขณะเขาจับตาซ่งชิงหย่านอย่างว่างเปล่า ราวกับว่าเขาสามารถเห็นใบหน้าของซ่งชิงหย่าผ่านใบหน้าของนางเมื่อฮ่องเต