[แต่ก็ช่างเถิด คนอย่างคุณชายหาน หลินอิงไม่คู่ควรอยู่แล้ว][ในหนังสือนิทานบอกว่าหลังจากพี่ชายรัชทายาทถูกปองร้าย ติ้งกั๋วโหวตายหมดทั้งบ้านแล้ว ตระกูลหานก็เริ่มตกอับเช่นกัน หลินอิงจึงขอแยกทางกับหานซีสือ และออกจากตระกูลหานไป][แต่พูดก็พูด แม่ของนางถือว่าเป็นคนไม่เลวนัก พยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกสาวกลับไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสามี แต่นางกลับไม่เชื่อฟังคำเตือนของแม่นาง][ตอนหลังไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ไปมีความสัมพันธ์กับองค์ชายสาม ยังไม่ทันรอให้พี่ชายรองได้ครองอำนาจเลย นางก็ถูกความโรคจิตขององค์ชายสามทรมานจนเสียชีวิตไปแล้ว ก็ถือว่ากรรมตามสนอง]ซ่งชิงเหยียนฟังคำพูดของลู่ซิงหว่านแล้ว ค่อยๆ เบิกตาโพลงขึ้น นางยอมรับว่าไม่ชอบแววตาเจ้าเล่ห์ของหลินอิง แต่ไม่นึกว่าหลินอิงจะเห็นแก่ผลประโยชน์ถึงเพียงนี้เดิมคิดว่าหานซีสือเป็นคนที่นางชื่นชอบมาแต่เล็ก จึงคิดแย่งชิงกับเสิ่นเป่าเยียนให้รู้แล้วรู้รอดซ่งชิงเหยียนยังเคยคิดว่า นางชอบนิสัยทะเยอทะยานของหลิงอิงเสียด้วยซ้ำ แต่คาดไม่ถึงว่า สิ่งที่หลินอิงต้องการไม่ใช่ความรัก หากแต่เป็นอำนาจต่างหากเมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็อดมองหลานชายของตนไม่ได้ เขาเป็นคนหนุ
เยว่หลินพาแม่ลูกตระกูลหลินออกไปไม่นาน ก็เจอเข้ากับฮูหยินรองนามกัวหรูพาหญิงสาวผู้หนึ่งเดินตรงมาติ้งกั๋วโหวยังมีน้องชายต่างมารดาอีกคนหนึ่ง นามว่าซ่งจางอิง ก็คือสามีของกัวหรูผู้นี้ในขณะที่ซ่งจางผิงได้รับยศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงติ้งกั๋วโหว น้องชายผู้นี้กลับไม่ได้แยกบ้านไปอยู่เอง ทั้งสองครอบครัวจึงอยู่บ้านเดียวกันมาโดยตลอด แต่จะว่าไปแล้ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายเรื่องหนึ่งบิดาของติ้งกั๋วโหว ในอดีตเป็นเพียงแม่ทัพเล็กๆ ขั้นสามเท่านั้น แม้ตำแหน่งจะไม่ใหญ่โต แต่มีศรีภรรยาที่ดี ทั้งคู่รักใคร่ปองดอง ชีวิตก็พอมีความสุขบ้างแต่มารดาของติ้งกั๋วโหวคือฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวนั้น กลับมีครอบครัวเดิมที่วุ่นวายนักมีอยู่ปีหนึ่ง ทางบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า หาข้ออ้างให้นางช่วยดูแลน้องสาวซึ่งเป็นอนุภรรยาที่ถูกสามีเก่าทอดทิ้ง พร้อมส่งนางมาอยู่ตระกูลซ่งแทน ติ้งกั๋วโหวในเวลานั้น มีอายุประมาณสิบปีฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนมีเมตตา จึงตั้งใจดูแลน้องสาวในไส้ผู้นี้เป็นอย่างดี โดยหารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วครอบครัวเดิมคิดร้ายต่อนางและสามีต่างหากทางตระกูลจ้าวเสแสร้งบอกว่าที่บ้านเกิดเรื่อง ให้ฮูหยินผู้เฒ่ารีบกลับไปดู
ฉะนั้นครั้งนี้กัวหรู จึงพาบุตรสาวคนรองของพี่ชายตนมีนามว่ากัวเยว่เส้ามาด้วยซึ่งบิดาของกัวเยว่เส้า ก็คือราชเลขากรมคลังกัวผิงตั้งแต่เด็กมา กัวเยว่เส้าถูกเลี้ยงดูตามแบบฉบับของการเป็นพระชายาแห่รัชทายาทมาโดยตลอด เป็นความหวังของกัวผิงที่ว่า วันหน้าจะยกให้เป็นชายาขององค์ชายสามเพราะกัวผิงนั้น เป็นศิษย์เอกของอดีตเสนาบดีชุยเหวินด้วยและความคิดของชุยเหวินกับกัวเผิง ไม่ต้องบอกกล่าวก็เป็นที่รู้กัน ว่าใฝ่ฝันต้องการให้องค์ชายสามเป็นรัชทายาทแทนแต่ต่อมาตระกูลชุยต้องโทษทั้งตระกูล กัวผิงจึงไม่ต้องการให้บุตรสาวที่ฟูมฟักมาอย่างดีไปแต่งงานกับองค์ชายสามอีกเพราะรัชทายาทคนปัจจุบันเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ องค์ชายสามดูอย่างไรก็เป็นคนไม่เอาไหนการเป็นองค์ชายที่ไม่มีอนาคตนั้น ใครก็ไม่อาจคาดเดาถึงความรุ่งเรืองได้งั้นมิสู้เลือกทายาทขุนนางสักคนยังดีกว่า เพราะด้วยนิสัยของฮ่องเต้ ขอเพียงครอบครัวติ้งกั๋วโหวไม่ทำความผิด อย่างไรก็อยู่สบายไปอีกร้อยปีแน่เดิมทีกัวเยว่เส้าก็แก่กว่าองค์ชายสามถึงสามปีอยู่แล้ว หลายปีนี้เพื่อจะรอองค์ชายสาม เก็บเนื้อเก็บตัวจนเสียเวลาถึงอายุสิบห้าปีในวันนี้ดังนั้นกัวผิงจึงให้กัวหรูช่วย
ในสมองของหลินอิงพลันปรากฏภาพหญิงสาวที่ตามมาด้านข้างนางกัวซื่อเดิมกัวเยว่เส้าก็เป็นหญิงงามปานเซียนบนสวรรค์อยู่แล้ว วันนี้ยังมาในชุดยาวสีฟ้าคราม ผมยาวรวบขึ้น เมื่อครู่อยู่ทางเดินของจวนติ้งกั๋ว ลมโชยมาแผ่วเบา สายผูกเอวสีอ่อนที่เอวก็พลิ้วไหวตาม ยิ่งทำให้แลดูเอวบางร่างน้อย สะดุดตาเป็นอย่างมากหลินอิงไม่ใช่คนโง่ นางย่อมรู้ว่าสตรีผู้นี้มาจวนติ้งกั๋วโหวในวันนี้มีจุดประสงค์เพื่ออะไร เพียงแต่หญิงที่สะสวยถึงปานนี้ เหตุใดตนจึงไม่เคยพบเห็นมาก่อนจึงหันไปถามมารดาของตน “ท่านแม่ เมื่อครู่ที่อยู่กับนางกัวซื่อเป็นใครกันเจ้าคะ?”ฮูหยินหลินได้ยินก็มองหน้าหลินอิงเล็กน้อย ดูท่าลูกคนนี้ก็ใช่ว่าจะโง่เสียทีเดียว แต่สีหน้ายังคงดูเหม่อลอยดังเช่นเมื่อครู่ “เป็นคุณหนูรองของราชเลขากรมคลังแห่งตระกูลกัว ชื่อกัวเยว่เส้า”“กัวเยว่เส้า?” หลินอิงพยายามทบทวนความจำ แต่ก็นึกภาพไม่ออก “หรือว่าที่ผ่านมานางถูกเลี้ยงดูอยู่บ้านนอก?” แต่ดูจากลักษณะท่าที ก็ไม่ค่อยเหมือนนักฮูหยินหลินส่ายหน้า พร้อมอธิบายให้ลูกสาวฟัง “กัวเยว่เส้าถูกเลี้ยงดูในบ้านตระกูลกัวมาโดยตลอด เป็นคนที่เตรียมตัวเพื่อจะชายาเอกขององค์ชายสาม”“เมื่อจะเป็นชา
[ท่านแม่ ข้าชอบท่านป้าสาม ท่านแม่ๆ]ซ่งชิงเหยียนแอบถอนหายใจ ทีนี้ยิ่งดีใหญ่ ตนไม่ใช่แม่แสนดีคนเดียวของหวานหว่านอีกแล้ว ขณะที่ทุกคนมัวพูดคุย ด้านนอกก็มีอีกเสียงหนึ่งสอดแทรกมา“ชิงเหยียนกลับมาแล้ว อาซ้อไม่เห็นบอกกล่าวให้เรารู้บ้าง” ผู้ที่เอ่ยปากก็คือกัวหรูเยว่ซิ่วอยู่ด้านข้างรีบมาขอขมา “ฮูหยิน บ่าวไม่อาจขัดขวาง...”นางเซียวโบกมือเล็กน้อย นิสัยนางกัวเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ที่จะไม่เห็นจวนโหวอยู่ในสายตา เข้านอกออกในก็ไม่คิดรายงานล่วงหน้า อยู่ดีๆ ก็พรวดพราดเข้ามา เหล่านี้นางเซียวล้วนแต่คุ้นชินหมดนิสัยนางเซียวไม่ใช่คนอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งเสียของแม่สามีก่อนตาย จึงต้องอดทนไว้ก่อน“น้องสะใภ้กล่าวเกินไปแล้ว” นางเซียวไม่ใคร่ถูกชะตากับน้องสะใภ้ผู้นี้อยู่แล้ว น้ำเสียงการพูดการจาจึงไม่สู้อ่อนหวานสักเท่าใดกัวหรูหาได้ถือสาไม่ มีแต่ยิ้มแย้มพร้อมพากัวเยว่เส้าเดินมาคำนับ “หม่อมฉันได้พาหลานสาวนามกัวเยว่เส้ามาถวายบังคมพระสนมหวงกุ้ยเฟยด้วย”“ตามหลักแล้ว หากข้าไม่เรียกตัว ท่านอาหญิงไม่ควรมาพบตามอำเภอใจ” เหตุเพราะมารดาได้สั่งไว้ก่อนหน้า ซ่งชิงเหยียนจึงไม่คิดถือสาหาความกับนางกัว แต่บ
เมื่อเห็นนางกัวยอมจำนน ซ่งชิงเหยียนจึงได้สั่งการ “จิ่นซิน พยุงอาสะใภ้ไปนั่งเก้าอี้”กัวเยว่เส้าเห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีน้ำใจเช่นนี้ พลันรู้สึกเลื่อมใสยิ่ง ความองอาจของพระสนมเมื่อครู่นี้ แม้แต่ตนก็ยังอดนึกกลัวไม่ได้อาหญิงทำเกินไปจริงๆ ความสุขสบายที่อาหญิงกับอาเขยมีในทุกวันนี้ ล้วนมาจากจวนติ้งกั๋วโหวทั้งสิ้นแม้ว่าแต่ก่อนอาหญิงอยู่บ้านจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ยังนับว่าดีต่อตนอยู่ไม่น้อยดังนั้นเมื่อเห็นอาหญิงถูกพระสนมหวงกุ้ยเฟยตำหนิ ในใจนางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้งเมื่อได้ยินพระสนมหวงกุ้ยเฟยยอมให้อาหญิงนั่งลง กัวเยว่เส้าจึงรีบไปพยุงกัวหรู เมื่อเห็นนางนั่งลงแล้ว จึงค่อยนั่งที่ด้านข้างกัวหรูอีกทีเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ทำให้บรรยากาศในห้องโถงเกิดความตึงเครียดบ้างแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ตกใจกับความขึงขังของแม่ตัวเอง[ว้าว ท่านแม่ออกหน้าแทนท่านยาย ดูแล้วน่ากลัวมาก][แต่คนเราไม่อาจดูแค่หน้าตา ไม่นึกว่ากัวเยว่เส้าจะเป็นคนถ่อมตัวเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นคุณหนูที่ตระกูลกัวตั้งใจอบรมสั่งสอน]ซ่งชิงเหยียนได้ยินลู่ซิงหว่านกล่าวเช่นนี้ พลันรู้สึกนึกสงสัย ในหนังสือนิทานก็มีกล่าวถึง
[ข้าเพิ่งนึกถึงกัวหรูขึ้นมาได้]เสียงบ่นพึมพำของลู่ซิงหว่านแว่วเข้าหูซ่งชิงเหยียนอีกครั้ง[ท่านตามีน้องชายต่างมารดาคนหนึ่งชื่อซ่งจางอิงใช่หรือไม่ และกัวหรูก็คือภรรยาของซ่งจางอิง]ราวกับต้องการให้ลู่ซิงหว่านได้รู้จัก ซ่งชิงเหยียนเอ่ยปากถามถึง “ทำไมไม่เห็นอารองล่ะ ไปทำงานที่กรมพิธีการหรืออย่างไร?”ทุกวันนี้ซ่งจางอิงทำงานอยู่กรมพิธีการ ในตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญอันใด นอกจากให้บรรดาลูกขุนนางแขวนชื่อไว้ ถึงเวลาก็รับบำนาญสบายๆ เท่านั้น เป็นตำแหน่งขุนนางในระดับห้า แม้ไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ถือว่าพอมีงานให้ทำ ดีชั่วอย่างไรก็ถูกเรียกว่า ‘ใต้เท้าซ่ง’เมื่อเอ่ยถึงสามีของตน สีหน้ากัวหรูก็ปรากฏแววบึ้งตึง ก่อนหน้านี้ได้ถูกติ้งกั๋วโหวเรียกไปอบรม ทำให้เขาพอสงบเสงี่ยมอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ทำงานทำการบ้าง ถึงเวลาก็ไปลงชื่อเข้างานในกรมพิธีการแต่หลายวันมานี้ ไม่รู้ไปรู้จักเพื่อนกินกลุ่มไหนเข้าอีก วันๆ เริ่มไปเที่ยวเตร่ตามสถานเริงรมย์อีกครั้งแต่มาอยู่ต่อหน้าครอบครัวของติ้งกั๋วโหว อย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตัวเองไว้บ้าง “เมื่อครู่เพิ่งกลับมา แต่ก็รีบร้อนออกไปอีก คาดว่าคงมีงานด่วนกระมัง”ครอบครัวติ้งกั๋วโหวย
[ซ่งจางอิงแต่เดิมก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุขอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ถูกคนขององค์ชายสามหมายตาเข้าได้อย่างไร][แต่ในหนังสือนิทานบอกว่าตระกูลชุยทรงอิทธิพลในเมืองหลวงนัก แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่กัวเยว่เส้าจะมายังจวนติ้งกัวโหว][แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์ชายสามยังล่ำซำอยู่หรือเปล่า?][ถ้าจะบอกว่าซ่งจางอิงเป็นคนเลวร้าย เขาก็ไม่เคยคาดหวังต่อฐานะตัวเองในจวนติ้งกั๋วแต่อย่างใด และเขาก็รู้ว่าด้วยความสามารถของตัวเอง ยังไงก็เป็นผู้นำครอบครัวไม่ได้อยู่แล้ว ไม่สู้เสวยสุขไปวันๆ ยังจะดีเสียกว่า][แต่เขาก็โง่นัก โง่ที่ถูกคนรอบข้างขององค์ชายสามหลอกใช้ ถือกระบี่เล่มหนึ่งกลับมายังจวนโหวและส่งไปที่หนังสือของท่านตา แต่ท่านตากลับไม่รู้อะไรด้วย][แต่ภายหลังในฝักกระบี่ กลับพบจดหมายติดต่อระหว่างติ้งกั๋วโหวกับแม่ทัพของฝ่ายศัตรู จึงทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งประหารติ้งกั๋วโหวทั้งครอบครัว]ซ่งชิงเหยียนฟังถึงตรงนี้ พลันพรวดพราดยืนขึ้น พร้อมมองไปยังห้องหนังสือของบิดา แต่กลับคิดได้ว่าตนมีปฏิกิริยารุนแรงเกินไป จึงนั่งลงอีกครั้งทุกคนแม้จะตกใจเพราะท่าทีของนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ยังคงพูดคุยไปตามปกติซ่งชิงเหยียนก็พลอยเออออห่อหมกไป