[แต่ก็ช่างเถิด คนอย่างคุณชายหาน หลินอิงไม่คู่ควรอยู่แล้ว][ในหนังสือนิทานบอกว่าหลังจากพี่ชายรัชทายาทถูกปองร้าย ติ้งกั๋วโหวตายหมดทั้งบ้านแล้ว ตระกูลหานก็เริ่มตกอับเช่นกัน หลินอิงจึงขอแยกทางกับหานซีสือ และออกจากตระกูลหานไป][แต่พูดก็พูด แม่ของนางถือว่าเป็นคนไม่เลวนัก พยายามเกลี้ยกล่อมให้ลูกสาวกลับไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับสามี แต่นางกลับไม่เชื่อฟังคำเตือนของแม่นาง][ตอนหลังไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ ไปมีความสัมพันธ์กับองค์ชายสาม ยังไม่ทันรอให้พี่ชายรองได้ครองอำนาจเลย นางก็ถูกความโรคจิตขององค์ชายสามทรมานจนเสียชีวิตไปแล้ว ก็ถือว่ากรรมตามสนอง]ซ่งชิงเหยียนฟังคำพูดของลู่ซิงหว่านแล้ว ค่อยๆ เบิกตาโพลงขึ้น นางยอมรับว่าไม่ชอบแววตาเจ้าเล่ห์ของหลินอิง แต่ไม่นึกว่าหลินอิงจะเห็นแก่ผลประโยชน์ถึงเพียงนี้เดิมคิดว่าหานซีสือเป็นคนที่นางชื่นชอบมาแต่เล็ก จึงคิดแย่งชิงกับเสิ่นเป่าเยียนให้รู้แล้วรู้รอดซ่งชิงเหยียนยังเคยคิดว่า นางชอบนิสัยทะเยอทะยานของหลิงอิงเสียด้วยซ้ำ แต่คาดไม่ถึงว่า สิ่งที่หลินอิงต้องการไม่ใช่ความรัก หากแต่เป็นอำนาจต่างหากเมื่อนึกถึงตรงนี้ ซ่งชิงเหยียนก็อดมองหลานชายของตนไม่ได้ เขาเป็นคนหนุ
เยว่หลินพาแม่ลูกตระกูลหลินออกไปไม่นาน ก็เจอเข้ากับฮูหยินรองนามกัวหรูพาหญิงสาวผู้หนึ่งเดินตรงมาติ้งกั๋วโหวยังมีน้องชายต่างมารดาอีกคนหนึ่ง นามว่าซ่งจางอิง ก็คือสามีของกัวหรูผู้นี้ในขณะที่ซ่งจางผิงได้รับยศถาบรรดาศักดิ์เป็นถึงติ้งกั๋วโหว น้องชายผู้นี้กลับไม่ได้แยกบ้านไปอยู่เอง ทั้งสองครอบครัวจึงอยู่บ้านเดียวกันมาโดยตลอด แต่จะว่าไปแล้ว นี่ถือว่าเป็นเรื่องน่าอับอายเรื่องหนึ่งบิดาของติ้งกั๋วโหว ในอดีตเป็นเพียงแม่ทัพเล็กๆ ขั้นสามเท่านั้น แม้ตำแหน่งจะไม่ใหญ่โต แต่มีศรีภรรยาที่ดี ทั้งคู่รักใคร่ปองดอง ชีวิตก็พอมีความสุขบ้างแต่มารดาของติ้งกั๋วโหวคือฮูหยินผู้เฒ่าจ้าวนั้น กลับมีครอบครัวเดิมที่วุ่นวายนักมีอยู่ปีหนึ่ง ทางบ้านเดิมของฮูหยินผู้เฒ่า หาข้ออ้างให้นางช่วยดูแลน้องสาวซึ่งเป็นอนุภรรยาที่ถูกสามีเก่าทอดทิ้ง พร้อมส่งนางมาอยู่ตระกูลซ่งแทน ติ้งกั๋วโหวในเวลานั้น มีอายุประมาณสิบปีฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนมีเมตตา จึงตั้งใจดูแลน้องสาวในไส้ผู้นี้เป็นอย่างดี โดยหารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้วครอบครัวเดิมคิดร้ายต่อนางและสามีต่างหากทางตระกูลจ้าวเสแสร้งบอกว่าที่บ้านเกิดเรื่อง ให้ฮูหยินผู้เฒ่ารีบกลับไปดู
ฉะนั้นครั้งนี้กัวหรู จึงพาบุตรสาวคนรองของพี่ชายตนมีนามว่ากัวเยว่เส้ามาด้วยซึ่งบิดาของกัวเยว่เส้า ก็คือราชเลขากรมคลังกัวผิงตั้งแต่เด็กมา กัวเยว่เส้าถูกเลี้ยงดูตามแบบฉบับของการเป็นพระชายาแห่รัชทายาทมาโดยตลอด เป็นความหวังของกัวผิงที่ว่า วันหน้าจะยกให้เป็นชายาขององค์ชายสามเพราะกัวผิงนั้น เป็นศิษย์เอกของอดีตเสนาบดีชุยเหวินด้วยและความคิดของชุยเหวินกับกัวเผิง ไม่ต้องบอกกล่าวก็เป็นที่รู้กัน ว่าใฝ่ฝันต้องการให้องค์ชายสามเป็นรัชทายาทแทนแต่ต่อมาตระกูลชุยต้องโทษทั้งตระกูล กัวผิงจึงไม่ต้องการให้บุตรสาวที่ฟูมฟักมาอย่างดีไปแต่งงานกับองค์ชายสามอีกเพราะรัชทายาทคนปัจจุบันเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ องค์ชายสามดูอย่างไรก็เป็นคนไม่เอาไหนการเป็นองค์ชายที่ไม่มีอนาคตนั้น ใครก็ไม่อาจคาดเดาถึงความรุ่งเรืองได้งั้นมิสู้เลือกทายาทขุนนางสักคนยังดีกว่า เพราะด้วยนิสัยของฮ่องเต้ ขอเพียงครอบครัวติ้งกั๋วโหวไม่ทำความผิด อย่างไรก็อยู่สบายไปอีกร้อยปีแน่เดิมทีกัวเยว่เส้าก็แก่กว่าองค์ชายสามถึงสามปีอยู่แล้ว หลายปีนี้เพื่อจะรอองค์ชายสาม เก็บเนื้อเก็บตัวจนเสียเวลาถึงอายุสิบห้าปีในวันนี้ดังนั้นกัวผิงจึงให้กัวหรูช่วย
ในสมองของหลินอิงพลันปรากฏภาพหญิงสาวที่ตามมาด้านข้างนางกัวซื่อเดิมกัวเยว่เส้าก็เป็นหญิงงามปานเซียนบนสวรรค์อยู่แล้ว วันนี้ยังมาในชุดยาวสีฟ้าคราม ผมยาวรวบขึ้น เมื่อครู่อยู่ทางเดินของจวนติ้งกั๋ว ลมโชยมาแผ่วเบา สายผูกเอวสีอ่อนที่เอวก็พลิ้วไหวตาม ยิ่งทำให้แลดูเอวบางร่างน้อย สะดุดตาเป็นอย่างมากหลินอิงไม่ใช่คนโง่ นางย่อมรู้ว่าสตรีผู้นี้มาจวนติ้งกั๋วโหวในวันนี้มีจุดประสงค์เพื่ออะไร เพียงแต่หญิงที่สะสวยถึงปานนี้ เหตุใดตนจึงไม่เคยพบเห็นมาก่อนจึงหันไปถามมารดาของตน “ท่านแม่ เมื่อครู่ที่อยู่กับนางกัวซื่อเป็นใครกันเจ้าคะ?”ฮูหยินหลินได้ยินก็มองหน้าหลินอิงเล็กน้อย ดูท่าลูกคนนี้ก็ใช่ว่าจะโง่เสียทีเดียว แต่สีหน้ายังคงดูเหม่อลอยดังเช่นเมื่อครู่ “เป็นคุณหนูรองของราชเลขากรมคลังแห่งตระกูลกัว ชื่อกัวเยว่เส้า”“กัวเยว่เส้า?” หลินอิงพยายามทบทวนความจำ แต่ก็นึกภาพไม่ออก “หรือว่าที่ผ่านมานางถูกเลี้ยงดูอยู่บ้านนอก?” แต่ดูจากลักษณะท่าที ก็ไม่ค่อยเหมือนนักฮูหยินหลินส่ายหน้า พร้อมอธิบายให้ลูกสาวฟัง “กัวเยว่เส้าถูกเลี้ยงดูในบ้านตระกูลกัวมาโดยตลอด เป็นคนที่เตรียมตัวเพื่อจะชายาเอกขององค์ชายสาม”“เมื่อจะเป็นชา
[ท่านแม่ ข้าชอบท่านป้าสาม ท่านแม่ๆ]ซ่งชิงเหยียนแอบถอนหายใจ ทีนี้ยิ่งดีใหญ่ ตนไม่ใช่แม่แสนดีคนเดียวของหวานหว่านอีกแล้ว ขณะที่ทุกคนมัวพูดคุย ด้านนอกก็มีอีกเสียงหนึ่งสอดแทรกมา“ชิงเหยียนกลับมาแล้ว อาซ้อไม่เห็นบอกกล่าวให้เรารู้บ้าง” ผู้ที่เอ่ยปากก็คือกัวหรูเยว่ซิ่วอยู่ด้านข้างรีบมาขอขมา “ฮูหยิน บ่าวไม่อาจขัดขวาง...”นางเซียวโบกมือเล็กน้อย นิสัยนางกัวเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ที่จะไม่เห็นจวนโหวอยู่ในสายตา เข้านอกออกในก็ไม่คิดรายงานล่วงหน้า อยู่ดีๆ ก็พรวดพราดเข้ามา เหล่านี้นางเซียวล้วนแต่คุ้นชินหมดนิสัยนางเซียวไม่ใช่คนอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งเสียของแม่สามีก่อนตาย จึงต้องอดทนไว้ก่อน“น้องสะใภ้กล่าวเกินไปแล้ว” นางเซียวไม่ใคร่ถูกชะตากับน้องสะใภ้ผู้นี้อยู่แล้ว น้ำเสียงการพูดการจาจึงไม่สู้อ่อนหวานสักเท่าใดกัวหรูหาได้ถือสาไม่ มีแต่ยิ้มแย้มพร้อมพากัวเยว่เส้าเดินมาคำนับ “หม่อมฉันได้พาหลานสาวนามกัวเยว่เส้ามาถวายบังคมพระสนมหวงกุ้ยเฟยด้วย”“ตามหลักแล้ว หากข้าไม่เรียกตัว ท่านอาหญิงไม่ควรมาพบตามอำเภอใจ” เหตุเพราะมารดาได้สั่งไว้ก่อนหน้า ซ่งชิงเหยียนจึงไม่คิดถือสาหาความกับนางกัว แต่บ
เมื่อเห็นนางกัวยอมจำนน ซ่งชิงเหยียนจึงได้สั่งการ “จิ่นซิน พยุงอาสะใภ้ไปนั่งเก้าอี้”กัวเยว่เส้าเห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีน้ำใจเช่นนี้ พลันรู้สึกเลื่อมใสยิ่ง ความองอาจของพระสนมเมื่อครู่นี้ แม้แต่ตนก็ยังอดนึกกลัวไม่ได้อาหญิงทำเกินไปจริงๆ ความสุขสบายที่อาหญิงกับอาเขยมีในทุกวันนี้ ล้วนมาจากจวนติ้งกั๋วโหวทั้งสิ้นแม้ว่าแต่ก่อนอาหญิงอยู่บ้านจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ยังนับว่าดีต่อตนอยู่ไม่น้อยดังนั้นเมื่อเห็นอาหญิงถูกพระสนมหวงกุ้ยเฟยตำหนิ ในใจนางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้งเมื่อได้ยินพระสนมหวงกุ้ยเฟยยอมให้อาหญิงนั่งลง กัวเยว่เส้าจึงรีบไปพยุงกัวหรู เมื่อเห็นนางนั่งลงแล้ว จึงค่อยนั่งที่ด้านข้างกัวหรูอีกทีเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ทำให้บรรยากาศในห้องโถงเกิดความตึงเครียดบ้างแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ตกใจกับความขึงขังของแม่ตัวเอง[ว้าว ท่านแม่ออกหน้าแทนท่านยาย ดูแล้วน่ากลัวมาก][แต่คนเราไม่อาจดูแค่หน้าตา ไม่นึกว่ากัวเยว่เส้าจะเป็นคนถ่อมตัวเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นคุณหนูที่ตระกูลกัวตั้งใจอบรมสั่งสอน]ซ่งชิงเหยียนได้ยินลู่ซิงหว่านกล่าวเช่นนี้ พลันรู้สึกนึกสงสัย ในหนังสือนิทานก็มีกล่าวถึง
[ข้าเพิ่งนึกถึงกัวหรูขึ้นมาได้]เสียงบ่นพึมพำของลู่ซิงหว่านแว่วเข้าหูซ่งชิงเหยียนอีกครั้ง[ท่านตามีน้องชายต่างมารดาคนหนึ่งชื่อซ่งจางอิงใช่หรือไม่ และกัวหรูก็คือภรรยาของซ่งจางอิง]ราวกับต้องการให้ลู่ซิงหว่านได้รู้จัก ซ่งชิงเหยียนเอ่ยปากถามถึง “ทำไมไม่เห็นอารองล่ะ ไปทำงานที่กรมพิธีการหรืออย่างไร?”ทุกวันนี้ซ่งจางอิงทำงานอยู่กรมพิธีการ ในตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญอันใด นอกจากให้บรรดาลูกขุนนางแขวนชื่อไว้ ถึงเวลาก็รับบำนาญสบายๆ เท่านั้น เป็นตำแหน่งขุนนางในระดับห้า แม้ไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ถือว่าพอมีงานให้ทำ ดีชั่วอย่างไรก็ถูกเรียกว่า ‘ใต้เท้าซ่ง’เมื่อเอ่ยถึงสามีของตน สีหน้ากัวหรูก็ปรากฏแววบึ้งตึง ก่อนหน้านี้ได้ถูกติ้งกั๋วโหวเรียกไปอบรม ทำให้เขาพอสงบเสงี่ยมอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ทำงานทำการบ้าง ถึงเวลาก็ไปลงชื่อเข้างานในกรมพิธีการแต่หลายวันมานี้ ไม่รู้ไปรู้จักเพื่อนกินกลุ่มไหนเข้าอีก วันๆ เริ่มไปเที่ยวเตร่ตามสถานเริงรมย์อีกครั้งแต่มาอยู่ต่อหน้าครอบครัวของติ้งกั๋วโหว อย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตัวเองไว้บ้าง “เมื่อครู่เพิ่งกลับมา แต่ก็รีบร้อนออกไปอีก คาดว่าคงมีงานด่วนกระมัง”ครอบครัวติ้งกั๋วโหวย
[ซ่งจางอิงแต่เดิมก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุขอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ถูกคนขององค์ชายสามหมายตาเข้าได้อย่างไร][แต่ในหนังสือนิทานบอกว่าตระกูลชุยทรงอิทธิพลในเมืองหลวงนัก แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่กัวเยว่เส้าจะมายังจวนติ้งกัวโหว][แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์ชายสามยังล่ำซำอยู่หรือเปล่า?][ถ้าจะบอกว่าซ่งจางอิงเป็นคนเลวร้าย เขาก็ไม่เคยคาดหวังต่อฐานะตัวเองในจวนติ้งกั๋วแต่อย่างใด และเขาก็รู้ว่าด้วยความสามารถของตัวเอง ยังไงก็เป็นผู้นำครอบครัวไม่ได้อยู่แล้ว ไม่สู้เสวยสุขไปวันๆ ยังจะดีเสียกว่า][แต่เขาก็โง่นัก โง่ที่ถูกคนรอบข้างขององค์ชายสามหลอกใช้ ถือกระบี่เล่มหนึ่งกลับมายังจวนโหวและส่งไปที่หนังสือของท่านตา แต่ท่านตากลับไม่รู้อะไรด้วย][แต่ภายหลังในฝักกระบี่ กลับพบจดหมายติดต่อระหว่างติ้งกั๋วโหวกับแม่ทัพของฝ่ายศัตรู จึงทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งประหารติ้งกั๋วโหวทั้งครอบครัว]ซ่งชิงเหยียนฟังถึงตรงนี้ พลันพรวดพราดยืนขึ้น พร้อมมองไปยังห้องหนังสือของบิดา แต่กลับคิดได้ว่าตนมีปฏิกิริยารุนแรงเกินไป จึงนั่งลงอีกครั้งทุกคนแม้จะตกใจเพราะท่าทีของนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ยังคงพูดคุยไปตามปกติซ่งชิงเหยียนก็พลอยเออออห่อหมกไป
หลังจากมองส่งชายผู้นั้นจากไปแล้ว ความเคร่งขรึมจึงเริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฮ่องเต้ต้าฉู่ “เว่ยเฉิง ถือป้ายคําสั่ง ไปโยกย้ายทหาร”เว่ยเฉิงกลับเป็นห่วงความปลอดภัยของฮ่องเต้ต้าฉู่“เจ้าแค่ไปก็พอ!” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับยืนกรานอย่างยิ่ง “ข้างกายข้ามีองครักษ์เงามังกร ไม่เป็นไรหรอก”ดังนั้นในเวลานี้ คนที่เคาะประตูอยู่นอกจวนตระกูลจิ้นก็คือกลุ่มของฮ่องเต้ต้าฉู่เดิมทีเขาอยากจะไปคนเดียว แต่ภายใต้การยืนยันของซ่งชิงเหยียน ในที่สุดก็ไปด้วยกันทั้งสามคนถึงอย่างไรความสามารถในการได้ยินของลู่ซิงหว่านในตอนนี้ก็ยอดเยี่ยมจริงๆ อีกทั้งมีชิงเหยียนอยู่ หากมีอันตรายจริงๆ นางก็สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเห็นคนที่มา ใต้เท้าจิ้นก็ตกใจจนยืนตัวตรง ไม่ได้พูดอะไรอยู่นานทําไมฝ่าบาทถึงกลับมาอีก“ใต้เท้าจิ้น” ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับทําความเคารพใต้เท้าจิ้นอย่างเป็นกลาง “ข้าน้อยลู่เหยา อยากมาทํามาหากินที่อําเภอไถจิน หวังว่าใต้เท้าจิ้นจะสะดวก เงินทองอะไร ล้วนคุยกันได้”ใต้เท้าจิ้นรีบคํานับกลับ เขาจะกล้ารับการคํานับจากฝ่าบาทได้อย่างไรมองซ่งชิงเหยียนที่อุ้มเด็กอยู่ข้างๆ อีกครั้ง คิดว่านี่คงเป็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยและองค์หญิ
“เว่ยเฉิง” ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็รู้สึกไม่สบายใจจริงๆ จึงเลิกม่านรถขึ้นแล้วมองไปที่เว่ยเฉิงที่อยู่ข้างๆ “หาพวกคนบ้านนอกมาสอบถามดูว่าใต้เท้าจิ้นเป็นคนอย่างไรกันแน่”เว่ยเฉิงมองตามสายตาของฮ่องเต้ต้าฉู่ไป จริงดังคาด ตอนนี้ที่นามีราษฎรจํานวนไม่น้อยกําลังไถนาอยู่แม้จะสงสัย แต่ก็รับพระบัญชาจากฝ่าบาทแล้วเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก เว่ยเฉิงก็พาคนคนหนึ่งเดินกลับมา “นายท่าน ชายผู้นี้บอกว่ามีเรื่องจะพูด”ชายผู้นั้นคุกเข่าลงด้วยเสียงดัง"ตุบ"[โอ้ แม่เจ้า พื้นที่นี่ไม่เรียบเลยนะ ไม่เจ็บเหรอเนี่ย]“นายท่านท่านนี้คิดว่าคงมาจากเมืองหลวง ไม่ทราบว่านายท่านอยากรู้อะไรหรือขอรับ?”ฮ่องเต้ต้าฉู่ลังเลอยู่ครึ่งวัน ในที่สุดก็เอ่ยปาก “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่อยากทําธุรกิจเล็กๆ ที่อําเภอไถจินแห่งนี้ ไม่รู้ว่านายอําเภออย่างพวกเจ้าเป็นอย่างไร ก็เลยอยากลองสอบถามดู”ลู่ซิงหว่านเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบหน้าของน้องชายผู้นั้นมีความผิดหวังอยู่ชั่วขณะหนึ่งเดิมทีเขาคิดว่าคนนี้เป็นขุนนางใหญ่อะไรในเมืองหลวง ได้รับคําสั่งให้มาตรวจสอบใต้เท้าจิ้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่ครอบครัวพ่อค้าเท่านั้น แต่ก็ยังพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “นายท่านดู
เสียงของฮ่องเต้ต้าฉู่ดังมาก ดึงดูดสายตาของผู้คนมาไม่น้อยแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ยังอดหวาดกลัวไม่ได้[โอ้ เสด็จพ่อของข้า ท่านคิดว่ายังอยู่ในวังหรือ? ท่านทําตัวเงียบๆ หน่อยที่ข้างนอกได้ไหม?][ข้ากับท่านท่านแม่ยังอยากกลับไปเมืองหลวงอย่างปลอดภัยนะ][จู่ๆ ก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา ทําไมต้องตามเสด็จพ่อออกมาด้วย คงไม่ได้ถูกลอบสังหารอีกแล้วใช่ไหม?]ส่วนซ่งชิงเหยียนก็รีบหยิบตะเกียบของตัวเองขึ้นมา คีบอาหารให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ “ข้ารู้ว่านายท่านคิดถึงอาหารที่บ้านแล้ว แต่ไม่กินไม่ได้นะเจ้าคะ”ฮ่องเต้ต้าฉู่เข้าใจความหมายของแม่ลูกคู่นี้ จึงหยิบตะเกียบขึ้นมา ค่อยๆ กินอาหารในจานสนมเยว่กุ้ยเหรินยืนมองอยู่ด้านข้างจนตาค้างใครบอกว่าพระสนมหวงกุ้ยเฟยพระสนมมีนิสัยหยาบกระด้าง เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนละเอียดรอบคอบขนาดนี้นางดูเหมือนจะเข้าใจทันทีว่าทําไมนางถึงเข้าวังมาหลายปีและยังไม่ได้รับการแต่งตั้งเลื่อนยศสักทีก็ตัวเองไม่สมควรจริงๆ นั่นแหละ!ทําไมพระสนมถึงได้เก่งขนาดนี้ทางด้านบู๊สามารถนําทหารไปรบได้ ส่วนด้านเหวิน... เหวินสามารถเกลี้ยกล่อมฮ่องเต้ได้ภายหลังฮ่องเต้ต้าฉู่ก็ได้ส่งเว่ยเฉิงไปตรวจสอบใต้เท้าจิ้นที่อ
ซ่งชิงเหยียนมองไปที่ฮ่องเต้ต้าฉู่ สีหน้าของเขาดูไม่ดีจริงๆ จากนั้นก็หันหน้าไปตบมือสนมเยว่กุ้ยเหรินเบาๆ “เป็นเรื่องในอดีตแล้ว ไม่ต้องเอ่ยถึงอีกแล้วล่ะ”“เจ้าสนิทกับเล่อกุ้ยเหรินได้ดีที่สุด ตอนนี้ครรภ์ของนางเป็นอย่างไรบ้าง?”ต้องบอกว่าความกังวลของสนมเล่อกุ้ยเหรินนั้นไม่ผิด สนมเยว่กุ้ยเหรินถือได้ว่าเป็นคนที่ปากไม่มีหูรูดจริงๆ แต่ก็เป็นคนที่ไม่คิดมากสําหรับเรื่องที่ซ่งชิงเหยียนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นางไม่สนใจแม้แต่น้อย รับเรื่องไว้แล้วก็พูดต่อจุดแรกของพวกเขาอยู่ที่ตําหนักนอกเมืองแห่งหนึ่งที่ชานเมืองฮ่องเต้ต้าฉู่เตรียมที่จะเก็บสัมภาระบางส่วนที่นี่ แล้วเปลี่ยนเป็นเครื่องแต่งกายของพ่อค้าทั่วไป ค่อยเดินทางลงใต้ต่อไปทางด้านลู่ซิงหว่านอาจอยากลงใต้เพื่อไปเที่ยวเล่น แต่ถึงอย่างไรฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เป็นฮ่องเต้ ความคิดของเขาคืออยากดูว่าการเก็บเกี่ยวของราษฎรในปีนี้เป็นอย่างไร ชีวิตเป็นอย่างไรมากกว่ากลยุทธ์การช่วยเหลือราษฎรที่นําโดยองค์รัชทายาทก่อนหน้านี้ได้บรรลุผลจริงหรือไม่ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อราษฎรสงบสุข ใต้หล้านี้ถึงจะสงบสุขได้หลังจากเดินทางอย่างเรียบง่ายแล้ว ความเร็วของรถม้าก็เร็วขึ้น
“คุณหนูเดินทางลงใต้ในครั้งนี้ จึงให้หลานอิ่งและจวี๋อิ่งติดตามไปตลอดทาง” เพราะทุกครั้งที่ซ่งชิงเหยียนออกจากวัง นางมักจะถูกลอบสังหารเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ยังมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าอย่างฮ่องเต้ต้าฉู่ เหม่ยอิ่งจึงไม่วางใจ“ส่วนข้าน้อยก็อยู่ในวัง คอยจับตาดูอยู่ในวังแทนคุณหนู” แทนที่จะบอกว่าจับตาในวัง ไม่สู้บอกว่าจับตาฮองเฮาจะดีกว่า “ไม่ว่าเรื่องอะไร ข้าน้อยจะแจ้งให้คุณหนูทราบทันที”พูดถึงตรงนี้เหมยอิ่งก็หันไปมองจู๋อิ่งอีกครั้ง “สําหรับจู๋อิ่ง เรื่องที่เผยซื่อจื่อถูกลอบสังหารก่อนหน้านี้ ยังคงหาเบาะแสไม่ได้ ถือโอกาสนี้ให้จู๋อิ่งเดินทางไปยังแคว้นต้าหลี่ด้วยตนเอง”ซ่งชิงเหยียนพยักหน้าและพอใจมากกับการจัดการของเหมยอิ่ง[ว้าว เหมยหลานจู๋จวี๋ที่อยู่ข้างกายท่านแม่นี่สิถึงเป็นสี่มหาพิทักษ์][ท่านแม่บอกมาสิว่า สหายเคียงบ่าที่เก่งกาจแบบนี้มีจุดจบหนึ่งศพสองชีวิตในนิทานได้ยังไงล่ะเนี่ย][แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว! ตอนนี้พวกเราเก่งมากเลย!]สองวันต่อมาในตอนฟ้าเพิ่งจะสาง รถของฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เตรียมพร้อมอยู่ที่ประตูวังแล้วพระสนมทั้งหลายย่อมต้องมาส่ง แม้แต่สนมเล่อกุ้ยเหรินและสนมเหยาผินที่กําลังตั้งครรภ์ก็ม
สืบไปสืบมา กลับไม่ได้ผลอะไรเลยทางฝั่งตระกูลหาน ไม่ว่าจะเป็นตําหนักชิงอวิ๋น หรือตำหนักหลงเซิง แม้กระทั่งตําหนักจิ่นซิ่วของฮองเฮา ก็ยังส่งของขวัญมากมายไปให้หานซีเยว่ถึงอย่างไรหานซีเยว่ก็เกิดเรื่องในวังหลวง และก็เพื่อซ่งชิงเหยียนด้วยเนื่องจากไม่วางใจ ซ่งชิงเหยียนจึงให้จิ่นอวี้พาฉยงหัวไปที่จวนตระกูลหานอีกครั้ง อย่างไรก็ต้องดูว่าอาการบาดเจ็บของหานซีเยว่หายดีเป็นเช่นไร นางถึงจะวางใจ“ขอบพระทัยในความห่วงใยของพระสนมหวงกุ้ยเฟยเพคะ” ตอนนี้หานซีเยว่ไม่เป็นอะไรแล้ว สีหน้าฮูหยินหานก็ดีขึ้นมากแล้ว “บุตรสาวข้าแค่บาดเจ็บทางผิวหนังเท่านั้น ไม่จําเป็นต้องให้พระสนมก่อความวุ่นวายเช่นนี้”แต่จิ่นอวี้ต้องทําตามคําสั่งของซ่งชิงเหยียน จึงให้ฉยงหัวตรวจดูหานซีเยว่อีกครั้งตอนนี้ทั้งในวังและนอกวังต่างก็รู้ว่าข้างกายของพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีหมอหญิงที่มีความสามารถคนหนึ่ง ฝีมือการรักษายอดเยี่ยมมาก ฮูหยินหานย่อมปรารถนาเป็นอย่างยิ่งไม่นาน ฉยงหัวก็ออกมาจากห้องด้านใน มองไปทางฮูหยินหาน “ตอนนี้คุณหนูหานไม่เป็นอะไรแล้ว แม้มีดสั้นจะปักเข้าไปแล้ว แต่ยังดีที่เส้นเอ็นและกระดูกไม่บาดเจ็บ แค่ครึ่งเดือนนี้ พยายามอย่าให้คุ
นอกจากตําหนักชิงอวิ๋นที่ยุ่งวุ่นวายแล้ว ย่อมมีตําหนักจิ่นซิ่วที่ยุ่งวุ่นวายตามไปด้วยตอนนี้ทุกคนในตําหนักต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าวันนี้คุณหนูตระกูลหานเข้าวังมาเยี่ยมเยียนพระสนมหวงกุ้ยเฟย คิดไม่ถึงว่าจะพบมือสังหารที่นอกตําหนักชิงอวิ๋นแต่คุณหนูตระกูลหานที่ปกป้องพระสนมหวงกุ้ยเฟยอย่างสุดจิตสุดใจ กลับถูกมีดแทงแทนนางโชคดีที่คุณหนูตระกูลหานโชคดีมาก ไม่ได้โดนทําร้ายจุดสําคัญเมื่อได้ยินข่าวนี้ ไป๋หลิงที่กําลังมาพร้อมกับลู่ซิงหุยก็ลุกขึ้นยืนทันที ขมวดคิ้วและมองไปข้างนอกและลู่ซิงหุยก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของไป๋หลิงจริงๆ นางต้องการแก้แค้นตําหนักชิงอวิ๋นเพื่อตัวเองจริงๆ คิดถึงตรงนี้ ลู่ซิงก็สั่งให้อิงหงออกไป แล้วดึงไป๋หลิงมาอีกครั้ง“พี่หญิงไป๋หลิง” ลู่ซิงหุยลองหยั่งเชิงอย่างเงียบๆ “จะมีใครพบท่านไหม?”ไป๋หลิงกลับตกใจกับคําถามอย่างกะทันหันขององค์หญิงหก มองนางอย่างประหลาดใจ จากนั้นเพียงแค่ยิ้มแล้วย่อตัวลงข้างองค์หญิงหก “องค์หญิงวางใจเถิด ไม่มีใครสืบสาวราวเรื่องได้หรอกเพคะ”พระสนมเต๋อเฟยเคยทิ้งคนกลุ่มหนึ่งไว้เบื้องหลัง ล้วนซ่อนอยู่ในวังหลังแห่งนี้ พวกเจาล้วนไม่มีพ่อแม่ไม่มีอะไรต
พอเห็นฉยงหัว รัชทายาทก็รีบก้าวขึ้นไปและถามว่า “แม่นางฉยงหัว ซีเยว่เป็นอย่างไรบ้าง?”เมื่อรู้ว่าซ่งชิงเหยียนเคารพและให้ความสําคัญกับฉยงหัว แม้จะรีบร้อน องค์รัชทายาทก็ยังเกรงใจนางมาก[ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าบอกแล้วว่าพี่ฉงหัวเก่งที่สุด!][พี่ฉยงหัวได้ถอนพิษของพี่หญิงตระกูลหานแล้ว แม้แต่บาดแผลก็รักษาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้พี่หญิงตระกูลหานพ้นขีดอันตรายแล้ว][แค่รอตื่นมาก็พอ]ซ่งชิงเหยียนและฮ่องเต้ต้าฉู่ได้ยินความในใจของลู่ซิงหว่าน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแต่องค์รัชทายาทกลับไม่ได้ยิน ยังคงมองฉยงหัวด้วยสายตาร้อนแรง รอคอยคําตอบของนาง“ทูลองค์รัชทายาทเพคะ” ฉยงหัวกอดลู่ซิงหว่านแล้วย่อตัวลงเล็กน้อย “แม่นางหานสบายดี ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูปก็ตื่นแล้วเพคะ”ซ่งชิงเหยียนก็รีบเข้าไปรับลู่ซิงหว่าน “ฉยงหัว ลําบากเจ้าแล้ว”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเกรงใจแล้ว เป็นหน้าที่ของบ่าวเพคะ” พระสนมหวงกุ้ยเฟยปฏิบัติต่อนางอย่างดีเช่นนี้ นางย่อมต้องตอบแทนอย่างสุดความสามารถเดิมทีฮ่องเต้ต้าฉู่กําลังพูดคุยกับองค์รัชทายาทอยู่ในห้องเรียน และอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พ่อลูกสองคนจึงมา
เมื่อรู้สึกถึงความโกรธของฝ่าบาท เมิ่งเฉวียนเต๋อรีบรับคําและหันหลังจากไปส่วนเสิ่นหนิงก็หลบไปหลบมา สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความโกรธของฮ่องเต้ต้าฉู่ “ในเมื่อฮองเฮาอยู่ ก็ไม่จําเป็นต้องให้ข้าพูดมาก ในวังหลังเกิดเรื่องวุ่นวายแบบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าเป็นฮองเฮา ควรทบทวนตัวเองให้ดี”เสิ่นหนิงรู้สึกหมดคําพูดเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตน ใครใช้ให้นังซ่งชิงเหยียนนี่ล่วงเกินคนอื่นไปทั่ว ทําไมไม่เห็นมีใครมาลอบสังหารคนอื่นเลย!แต่ใบหน้านางกลับทําได้เพียงคุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม “ฝ่าบาทตรัสถูกต้องแล้วเพคะ หม่อมฉันคิดอยู่ว่า ถ้านางกํานัลคนนี้ไม่ใช่คนของวังหลวง ก็แสดงว่าแต่ละตําหนักย่อมมีคนอื่นปะปนเข้ามา”“หม่อมฉันคิดว่าควรตรวจสอบคนรับใช้ทั้งหมดในวังหลัง” พูดถึงตรงนี้เสิ่นหนิงก็หยุดชะงัก “แค่ยุ่งยากนิดหน่อย”ฮ่องเต้ต้าฉู่กลับเห็นด้วยกับความคิดเห็นของนางอย่างหาได้ยาก “ไปตรวจสอบตอนนี้เลย มีคนตายแล้ว ยังจะพูดว่ายุ่งยากหรือไม่ยุ่งยากอีก”“พระมเหสี” ระหว่างทางที่ออกจากตําหนักชิงอวิ๋น เยว่หรานก็เผยความไม่พอใจต่อฮ่องเต้ “พระมเหสีเหตุใดต้องทนเช่นนี้ด้วยเพคะ”เสิ่นหนิงกลับถอนหายใจยาวช่างเถอะ อดทนอีกไม่กี่เ