ในสมองของหลินอิงพลันปรากฏภาพหญิงสาวที่ตามมาด้านข้างนางกัวซื่อเดิมกัวเยว่เส้าก็เป็นหญิงงามปานเซียนบนสวรรค์อยู่แล้ว วันนี้ยังมาในชุดยาวสีฟ้าคราม ผมยาวรวบขึ้น เมื่อครู่อยู่ทางเดินของจวนติ้งกั๋ว ลมโชยมาแผ่วเบา สายผูกเอวสีอ่อนที่เอวก็พลิ้วไหวตาม ยิ่งทำให้แลดูเอวบางร่างน้อย สะดุดตาเป็นอย่างมากหลินอิงไม่ใช่คนโง่ นางย่อมรู้ว่าสตรีผู้นี้มาจวนติ้งกั๋วโหวในวันนี้มีจุดประสงค์เพื่ออะไร เพียงแต่หญิงที่สะสวยถึงปานนี้ เหตุใดตนจึงไม่เคยพบเห็นมาก่อนจึงหันไปถามมารดาของตน “ท่านแม่ เมื่อครู่ที่อยู่กับนางกัวซื่อเป็นใครกันเจ้าคะ?”ฮูหยินหลินได้ยินก็มองหน้าหลินอิงเล็กน้อย ดูท่าลูกคนนี้ก็ใช่ว่าจะโง่เสียทีเดียว แต่สีหน้ายังคงดูเหม่อลอยดังเช่นเมื่อครู่ “เป็นคุณหนูรองของราชเลขากรมคลังแห่งตระกูลกัว ชื่อกัวเยว่เส้า”“กัวเยว่เส้า?” หลินอิงพยายามทบทวนความจำ แต่ก็นึกภาพไม่ออก “หรือว่าที่ผ่านมานางถูกเลี้ยงดูอยู่บ้านนอก?” แต่ดูจากลักษณะท่าที ก็ไม่ค่อยเหมือนนักฮูหยินหลินส่ายหน้า พร้อมอธิบายให้ลูกสาวฟัง “กัวเยว่เส้าถูกเลี้ยงดูในบ้านตระกูลกัวมาโดยตลอด เป็นคนที่เตรียมตัวเพื่อจะชายาเอกขององค์ชายสาม”“เมื่อจะเป็นชา
[ท่านแม่ ข้าชอบท่านป้าสาม ท่านแม่ๆ]ซ่งชิงเหยียนแอบถอนหายใจ ทีนี้ยิ่งดีใหญ่ ตนไม่ใช่แม่แสนดีคนเดียวของหวานหว่านอีกแล้ว ขณะที่ทุกคนมัวพูดคุย ด้านนอกก็มีอีกเสียงหนึ่งสอดแทรกมา“ชิงเหยียนกลับมาแล้ว อาซ้อไม่เห็นบอกกล่าวให้เรารู้บ้าง” ผู้ที่เอ่ยปากก็คือกัวหรูเยว่ซิ่วอยู่ด้านข้างรีบมาขอขมา “ฮูหยิน บ่าวไม่อาจขัดขวาง...”นางเซียวโบกมือเล็กน้อย นิสัยนางกัวเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว ที่จะไม่เห็นจวนโหวอยู่ในสายตา เข้านอกออกในก็ไม่คิดรายงานล่วงหน้า อยู่ดีๆ ก็พรวดพราดเข้ามา เหล่านี้นางเซียวล้วนแต่คุ้นชินหมดนิสัยนางเซียวไม่ใช่คนอ่อนข้อให้ใครง่ายๆ แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งเสียของแม่สามีก่อนตาย จึงต้องอดทนไว้ก่อน“น้องสะใภ้กล่าวเกินไปแล้ว” นางเซียวไม่ใคร่ถูกชะตากับน้องสะใภ้ผู้นี้อยู่แล้ว น้ำเสียงการพูดการจาจึงไม่สู้อ่อนหวานสักเท่าใดกัวหรูหาได้ถือสาไม่ มีแต่ยิ้มแย้มพร้อมพากัวเยว่เส้าเดินมาคำนับ “หม่อมฉันได้พาหลานสาวนามกัวเยว่เส้ามาถวายบังคมพระสนมหวงกุ้ยเฟยด้วย”“ตามหลักแล้ว หากข้าไม่เรียกตัว ท่านอาหญิงไม่ควรมาพบตามอำเภอใจ” เหตุเพราะมารดาได้สั่งไว้ก่อนหน้า ซ่งชิงเหยียนจึงไม่คิดถือสาหาความกับนางกัว แต่บ
เมื่อเห็นนางกัวยอมจำนน ซ่งชิงเหยียนจึงได้สั่งการ “จิ่นซิน พยุงอาสะใภ้ไปนั่งเก้าอี้”กัวเยว่เส้าเห็นพระสนมหวงกุ้ยเฟยมีน้ำใจเช่นนี้ พลันรู้สึกเลื่อมใสยิ่ง ความองอาจของพระสนมเมื่อครู่นี้ แม้แต่ตนก็ยังอดนึกกลัวไม่ได้อาหญิงทำเกินไปจริงๆ ความสุขสบายที่อาหญิงกับอาเขยมีในทุกวันนี้ ล้วนมาจากจวนติ้งกั๋วโหวทั้งสิ้นแม้ว่าแต่ก่อนอาหญิงอยู่บ้านจะมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ยังนับว่าดีต่อตนอยู่ไม่น้อยดังนั้นเมื่อเห็นอาหญิงถูกพระสนมหวงกุ้ยเฟยตำหนิ ในใจนางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยปากโต้แย้งเมื่อได้ยินพระสนมหวงกุ้ยเฟยยอมให้อาหญิงนั่งลง กัวเยว่เส้าจึงรีบไปพยุงกัวหรู เมื่อเห็นนางนั่งลงแล้ว จึงค่อยนั่งที่ด้านข้างกัวหรูอีกทีเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ทำให้บรรยากาศในห้องโถงเกิดความตึงเครียดบ้างแม้แต่ลู่ซิงหว่านก็ตกใจกับความขึงขังของแม่ตัวเอง[ว้าว ท่านแม่ออกหน้าแทนท่านยาย ดูแล้วน่ากลัวมาก][แต่คนเราไม่อาจดูแค่หน้าตา ไม่นึกว่ากัวเยว่เส้าจะเป็นคนถ่อมตัวเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นคุณหนูที่ตระกูลกัวตั้งใจอบรมสั่งสอน]ซ่งชิงเหยียนได้ยินลู่ซิงหว่านกล่าวเช่นนี้ พลันรู้สึกนึกสงสัย ในหนังสือนิทานก็มีกล่าวถึง
[ข้าเพิ่งนึกถึงกัวหรูขึ้นมาได้]เสียงบ่นพึมพำของลู่ซิงหว่านแว่วเข้าหูซ่งชิงเหยียนอีกครั้ง[ท่านตามีน้องชายต่างมารดาคนหนึ่งชื่อซ่งจางอิงใช่หรือไม่ และกัวหรูก็คือภรรยาของซ่งจางอิง]ราวกับต้องการให้ลู่ซิงหว่านได้รู้จัก ซ่งชิงเหยียนเอ่ยปากถามถึง “ทำไมไม่เห็นอารองล่ะ ไปทำงานที่กรมพิธีการหรืออย่างไร?”ทุกวันนี้ซ่งจางอิงทำงานอยู่กรมพิธีการ ในตำแหน่งที่ไม่มีความสำคัญอันใด นอกจากให้บรรดาลูกขุนนางแขวนชื่อไว้ ถึงเวลาก็รับบำนาญสบายๆ เท่านั้น เป็นตำแหน่งขุนนางในระดับห้า แม้ไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ถือว่าพอมีงานให้ทำ ดีชั่วอย่างไรก็ถูกเรียกว่า ‘ใต้เท้าซ่ง’เมื่อเอ่ยถึงสามีของตน สีหน้ากัวหรูก็ปรากฏแววบึ้งตึง ก่อนหน้านี้ได้ถูกติ้งกั๋วโหวเรียกไปอบรม ทำให้เขาพอสงบเสงี่ยมอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน ทำงานทำการบ้าง ถึงเวลาก็ไปลงชื่อเข้างานในกรมพิธีการแต่หลายวันมานี้ ไม่รู้ไปรู้จักเพื่อนกินกลุ่มไหนเข้าอีก วันๆ เริ่มไปเที่ยวเตร่ตามสถานเริงรมย์อีกครั้งแต่มาอยู่ต่อหน้าครอบครัวของติ้งกั๋วโหว อย่างไรก็ต้องรักษาหน้าตัวเองไว้บ้าง “เมื่อครู่เพิ่งกลับมา แต่ก็รีบร้อนออกไปอีก คาดว่าคงมีงานด่วนกระมัง”ครอบครัวติ้งกั๋วโหวย
[ซ่งจางอิงแต่เดิมก็หมกมุ่นอยู่กับอบายมุขอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ถูกคนขององค์ชายสามหมายตาเข้าได้อย่างไร][แต่ในหนังสือนิทานบอกว่าตระกูลชุยทรงอิทธิพลในเมืองหลวงนัก แต่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่กัวเยว่เส้าจะมายังจวนติ้งกัวโหว][แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้องค์ชายสามยังล่ำซำอยู่หรือเปล่า?][ถ้าจะบอกว่าซ่งจางอิงเป็นคนเลวร้าย เขาก็ไม่เคยคาดหวังต่อฐานะตัวเองในจวนติ้งกั๋วแต่อย่างใด และเขาก็รู้ว่าด้วยความสามารถของตัวเอง ยังไงก็เป็นผู้นำครอบครัวไม่ได้อยู่แล้ว ไม่สู้เสวยสุขไปวันๆ ยังจะดีเสียกว่า][แต่เขาก็โง่นัก โง่ที่ถูกคนรอบข้างขององค์ชายสามหลอกใช้ ถือกระบี่เล่มหนึ่งกลับมายังจวนโหวและส่งไปที่หนังสือของท่านตา แต่ท่านตากลับไม่รู้อะไรด้วย][แต่ภายหลังในฝักกระบี่ กลับพบจดหมายติดต่อระหว่างติ้งกั๋วโหวกับแม่ทัพของฝ่ายศัตรู จึงทำให้ฮ่องเต้ต้าฉู่สั่งประหารติ้งกั๋วโหวทั้งครอบครัว]ซ่งชิงเหยียนฟังถึงตรงนี้ พลันพรวดพราดยืนขึ้น พร้อมมองไปยังห้องหนังสือของบิดา แต่กลับคิดได้ว่าตนมีปฏิกิริยารุนแรงเกินไป จึงนั่งลงอีกครั้งทุกคนแม้จะตกใจเพราะท่าทีของนาง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ยังคงพูดคุยไปตามปกติซ่งชิงเหยียนก็พลอยเออออห่อหมกไป
ทุกคนต่างหัวเราะร่วนอีกครั้งและที่ติ้งกั๋วโหวกลับมาเมืองหลวงรอบนี้ มีเพียงบุตรชายคนโตซ่งชิงฉี่ รองแม่ทัพจ้าวหานยวน พี่ชายฮองเฮาเสิ่นหนิงนามว่าเสิ่นเซียว และทหารอีกสิบกว่าคนติดตามมาด้วยเท่านั้นทุกคนล้วนขี่ม้าเก่ง อีกทั้งหวังกลับบ้านโดยเร็ว ตลอดทางจึงมาด้วยความรวดเร็วยิ่งเมื่อมาถึงวังหลวงก็ลงจากหลังม้า เร่งรีบไปทางห้องทรงอักษรจึงได้พบกับฮองเฮาซึ่งเพิ่งออกจากห้องทรงอักษรเช่นกันรู้ว่าติ้งกั๋วโหวกับพวกไม่ได้อยู่ร่วมพิธีแต่งตั้งฮองเฮา ย่อมไม่รู้จักฮองเฮาองค์ใหม่แน่ ขันทีที่นำทางให้พวกเขาจึงรีบตรงไปถวายบังคม “บ่าวขอถวายบังคมฮองเฮา”ติ้งกั๋วโหวกับพวกจึงได้รีบทำตาม “ถวายบังคมฮองเฮา”แต่เสิ่นหนิงกลับจำติ้งกั๋วโหวได้ “ท่านโหวไม่ได้เข้าวังมานาน คงจะลืมธรรมเนียมไปแล้วกระมัง”ติ้งกั๋วโหวตกตะลึง เงยหน้ามองเสิ่นหนิงแม้ตนจะไม่เคยพบนางมาก่อน แต่เคยได้ยินบุตรสาวเอ่ยถึงฮองเฮาองค์นี้ ก่อนหน้านี้องค์หญิงหย่งอันถูกคนวางยาพิษ ฮองเฮาเป็นคนช่วยนางเอาไว้แต่ทว่าบัดนี้...ในความคิดของเสิ่นหนิง ในเมื่อบาดหมางกับซ่งชิงเหยียนไปแล้ว มาวันนี้ได้เจอบิดาของนาง แล้วเหตุใดจึงต้องเกรงใจอีกที่อยู่ด้านขวาม
อวิ๋นจูซึ่งตามหลังเสิ่นหนิงพลันเอ่ยปาก “ฮองเฮาจะไปถือสาคนเหล่านั้นทำไมเพคะ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกหยาบกร้าน มีแต่กลิ่นดินและเหม็นสาบเหงื่อไคลไปทั้งตัว”ขณะที่พูดก็ยกมือขึ้นพัดหน้าจมูก คล้ายต้องการไล่กลิ่นเหม็นให้หมดไป“ไปเถิด” เสิ่นหนิงไม่ตอบกลับ เพียงเดินนำอวิ๋นจูไปทางตำหนักจิ่นซิ่วส่วนทางเสิ่นเซียวนั้น กลับรู้สึกผิดต่อท่านโหวและรองแม่ทัพซ่งเป็นอย่างมาก รอจนเมิ่งฉวนเต๋อเดินห่างไปไกล จึงได้เอ่ยปากเสียงเบา “ท่านโหวอย่าได้ถือสาน้องสาวข้าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”ติ้งกั๋วโหวย่อมไม่ถือสาเสิ่นเซียวอยู่แล้ว เพราะเขาเป็นทหารที่มีความสามารถ ตนยังคิดส่งเสริมให้ขึ้นเป็นรองแม่ทัพเสียด้วยซ้ำแต่ว่าเรื่องนี้ สุดท้ายยังต้องให้ฮ่องเต้ต้าฉู่ทรงพิจารณาจึงได้ตอบกลับเสียงเบา “ไม่เป็นไร นางยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง สมัยก่อนพระสนมหวงกุ้ยเฟยก็มีนิสัยเถรตรงเช่นนี้”“ที่จริงวันนี้ข้าเองก็ทำไม่ถูก พบฮองเฮาครั้งแรก ควรต้องถวายบังคมต่อนาง”“พระสนมหวงกุ้ยเฟยเป็นผู้รู้กาลเทศะ” เสิ่นเซียวคารวะต่อติ้งกั๋วโหว น้องสาวของตนนั้น อย่างไรก็ไม่อาจเทียบพระสนมหวงกุ้ยเฟยซึ่งเป็นผู้ห้าวหาญในการออกศึกในขณะที่เมิ่งฉวนเต๋อซึ่งเดิน
ทันทีที่ติ้งกั๋วโหวเอ่ยประโยคนี้ ฮ่องเต้ต้าฉู่ก็เข้าใจในความหมาย พร้อมกับนั่งตัวตรงขึ้นแน่นอนว่า บัดนี้ติ้งกั๋วโหวได้เข้าสู่วัยชราแล้ว สมควรกลับไปอยู่กับครอบครัวเสพสุขในบั้นปลาย แต่ยังต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายรบทัพจับศึกเพื่อแคว้นต้าฉู่อีกฮ่องเต้ต้าฉู่เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็อดปวดใจเสียมิได้ บุคคลเช่นนี้ ตนยังสั่งประหารเก้าชั่วโคตรได้ลงคอตอนนั้นตนถูกผีเข้าหรืออย่างไร?“ใต้เท้าซ่งกล่าวถูกแล้ว” ฮ่องเต้ต้าฉู่ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงได้เอ่ยปาก “ถึงเวลาต้องมีคนใหม่มารับช่วงแทน”รับสั่งจบก็เงยหน้าขึ้นมองติ้งกั๋วโหว “ท่านพอมีผู้ที่เหมาะสมหรือไม่?”“ดั่งคำว่าคนนอกไม่สู้คนใน เลือกคนที่ผลงาน กระหม่อมเห็นว่า บุตรชายคนโตซ่งชิงฉี่ เหมาะกับหน้าที่นี้ที่สุด”“ชิงฉี่ติดตามกระหม่อมไปออกรบตั้งแต่เด็ก ผ่านการเคี่ยวกรำจนเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ เชี่ยวชาญกลยุทธ์การรบ สติปัญญายิ่งเหนือกว่ากระหม่อม อีกทั้งเคยอยู่ในกองทัพภาคตะวันตกถึงสามสิบกว่าปี นับว่าเหมาะสมยิ่งกว่าใคร” ติ้งกั๋วโหวกล่าวจบ สายตาก็มองไปยังฮ่องเต้ต้าฉู่ฮ่องเต้ต้าฉู่ย่อมเห็นความมุ่งมั่นและจริงใจในแววตาของเขา พร้อมรู้สึกตื้นตันต่อความฮึกเหิมของ